คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [1 SHOT] Glad to see you Again
Glad to see you Again
November 16, 2013 (ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12)
เป็นวันที่เธออาบน้ำแต่งตัวนานที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ร้อน ๆ หนาว ๆ อยู่ในใจชอบกล ถามว่ากลัวอะไรก็ให้คำตอบตนเองไม่ได้ รู้แค่ว่าอยากประวิงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับนิวออกไปให้นานอีกนิด อิดออดหยิบเครื่องประดับหลายชิ้นมาลองเปลี่ยนทั้งที่ปกติไม่เคยพิถีพิถันขนาดนี้ จนกระทั่งไม่เหลืออะไรจะให้ลอง
ก่อนจะมาถึงเชียงใหม่เคยพูดกับเจนรบไว้ว่า “ ในเมื่อยังไง ๆ ก็หนีกันไม่พ้นอยู่แล้วก็มาเจอกันซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า” ซ้ำยังเดินทางล่วงหน้ามาเพียงลำพังโดยไม่มีผู้จัดการคนเก่งติดสอยห้อยตามมาเหมือนอย่างเคย เพียงเพราะเหตุผลที่ว่างานของเธอยังไม่มีในวันนี้ และอยากพิสูจน์ให้เจนรบได้เห็นว่าเธอไม่ได้กลัวนิวอย่างที่เคยถูกสบประมาทไว้
แต่ถ้าเจนรบมาเห็นสีหน้าของจิ๋วเหมือนที่เธอเห็นตนเองในกระจกอยู่ตอนนี้คงจะโดนหัวเราะเยาะอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วไหนจะภารกิจที่ได้รับมอบหมายมาจากรุ่นพี่อีกล่ะ…. แค่คิดก็ลำบากใจ ไม่รู้จะเริ่มต้นพูดกับนิวยังไงดี
ชุดพื้นเมืองล้านนาประยุกต์ที่แม่เป็นคนหามาให้เธอสวมใส่มันได้พอดี เสื้อแขนกระบอกสีขาวที่ทำจากผ้าฝ้ายปักลวดลายดอกไม้พองามกับผ้าสิ้นสีเปลือกมังคุด เป็นเครื่องแต่งกายที่เธอไม่คุ้นเคยนักในพักหลัง เพราะห่างหายไปจากการร่วมงานประเพณีท้องถิ่นไปนานหลายปี มือเล็กยกขึ้นแตะเรือนผมที่เกล้าขึ้นเป็นมวยกลางศีรษะเพื่อสำรวจความเรียบร้อย
จิ๋วหลุดขำออกมาเบา ๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าปลาบปลื้มของแม่ตอนที่เธอตอบตกลงจะมาร่วมงานในปีนี้ พอจิ๋วกลับมาบ้านอีกครั้งหลังจากวันนั้นแม่ก็จัดหาชุดมาให้เธอยกใหญ่จนเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว นาน ๆ ทีลูกสาวออกงานก็บังคับให้แต่งเสียเต็มยศ มาเห็นตอนแต่งตัวเสร็จในกระจกแล้วก็รู้สึกขัดเขินอยู่ไม่น้อย
“จิ๋วเอ๊ย เสร็จรึยังลูก นิวมารอเมินแล้วหนา ขจั๋ยเวย ๆ เดี๋ยวบ่มีตี้จอดรถเน้อ (จิ๋วเอ๊ย เสร็จรึยังลูก นิวมารอนานแล้วนะ เร็ว ๆ หน่อย เดี๋ยวไม่มีที่จอดรถ)” เสียงของแม่ตะโกนเร่งมาจากชั้นล่าง จริง ๆ เธอก็ได้ยินเสียงรถของนิวมาจอดอยู่หน้าบ้านได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่อยากก้าวออกไปจากห้องเท่านั้นเอง แต่เมื่อถึงเวลายังไงก็ต้องลงไปเผชิญหน้ากับนิวอยู่ดี
รู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากตอนออกอัลบั้มแรกเลยทีเดียว
“เสร็จแล้วแม่ เสร็จแล้ว” เสียงใสตอบรับกลับมาเรียกให้นิวเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนร่างบอบบางจะปรากฏตัวอยู่บนขั้นบันไดด้วยชุดพื้นเมืองเต็มยศ เห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้กับภาพตรงหน้า จิ๋วในตอนนี้ทั้งสวยและน่ารักไม่ผิดจากสาวแรกรุ่น เผลอใจเต้นตามอย่างห้ามไม่อยู่… ดวงตากลมมองนิวอย่างประหลาดใจในนาทีแรกก่อนยกมือไหว้แม่ของนิวที่มาด้วยกัน อาจจะเป็นเพราะสีผมที่เปลี่ยนไป จากดำสนิทกลายเป็นสีบลอนด์สว่างจึงทำให้จิ๋วผิดสังเกต
เกือบสองปีที่ไม่ได้พบหน้า แต่นิวกลับไม่รู้สึกว่าพวกเธอทั้งคู่ห่างกันเลยสักนิด เพราะข่าวคราวของจิ๋วถูกถ่ายทอดผ่านคนในครอบครัวถึงเธอมาโดยตลอด เป็นการลดช่องว่างที่เคยเหินห่างให้แคบลงทีละนิด วันนี้คงเป็นวันดีสำหรับการเริ่มต้นสานต่อมิตรภาพระหว่างเพื่อนต่อไป… นิวเชื่อว่าอย่างนั้น
“กว่าจะลงมาได้ ส่องจ๋นกระจกมันทะลุเฮี๋ยละก้า (กว่าจะลงมาได้ ส่องจนกระจกมันจะทะลุแล้วมั้งนั่น)” แม่ของจิ๋วบ่นลูกสาวไปตามเรื่อง แต่พอนิวหัวเราะก็ถูกสายตาดุ ๆ ของอีกคนห้ามไว้จนต้องหุบยิ้ม ท่าทางเหมือนกำลังส่งค้อนให้เล็ก ๆ ให้ทำให้นิวแปลกใจ ต้องสังเกตสายตาของจิ๋วอยู่หลายทีกว่าจะเข้าใจ น่าจะเป็นกางเกงยีนส์สีซีดกับเสื้อม่อฮ่อมสีขาวที่นิวใส่อยู่เป็นต้นเหตุ จิ๋วคงคิดไว้ว่าเธอจะแต่งชุดพื้นเมืองเหมือนกันแต่กลับผิดคาดเลยออกอาการแง่งอน
จริง ๆ แล้วตอนแรกเธอก็ถูกแม่คะยั้นคะยอให้แต่งตัวแบบเดียวกับจิ๋ว แต่นิวอ้างว่าตัวเองต้องถ่ายรูปแล้วต้องการความคล่องตัว ให้สวมชุดแบบนั้นคงเคลื่อนไหวไม่สะดวกเลยรอดตัวไป
“ไปกั๋นเต๊อะ บ่ายสามละ คนมันเริ่มนักละ (ไปกันเถอะ บ่ายสามแล้ว คนเริ่มเยอะ)” แม่ของนิวบอกก่อนที่ทั้งหมดจะเข้าไปนั่งในรถ โดยบรรดาแม่ ๆ พร้อมใจกันนั่งบนเบาะหลัง ปล่อยที่ว่างข้างคนขับให้จิ๋ว
ก่อนออกรถไปนิวได้ยินเสียงคนข้าง ๆ บ่นพึมพำประโยคยาว ๆ แต่นิวฟังไม่ถนัด ได้ยินชัด ๆ อยู่เพียงคำเดียว และมันทำให้นิวต้องกลั้นหัวเราะแทบตาย
“ขี้โกง”
.
.
.
ธุดงคสถานในช่วงกลางวันเต็มไปด้วยพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมพิธีถอดกฐินสามัคคีกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ในงานมีการแสดงมากมายจากนักเรียนนักศึกษาเพื่อต้อนรับคณะกฐิน ทั้งดนตรีพื้นบ้าน สะล้อ ซอ ซึง และการร่ายรำตามแบบฉบับท้องถิ่นอันงดงามอ่อนช้อย นิวสังเกตเห็นผู้มาร่วมงานหลายคนมองจิ๋วจนเหลียวหลัง ทำให้คนที่ไม่ค่อยมั่นใจตั้งแต่ออกจากบ้านต้องก้มหน้าก้มตาเดินท่าเดียว จนนิวต้องสะกิดเตือนเพราะทนมองเฉย ๆ ไม่ได้
“จิ๋ว จะรีบไปไหน ทำไมเดินแบบนั้น” นิวคว้าแขนจิ๋วเอาไว้โดยไม่ทันคิด ทว่าสัมผัสอบอุ่นที่แตะอยู่บนเรียวแขนกำลังขยายอาณาเขตไปทั่วทั้งกาย เขย่าหัวใจดวงน้อยให้สั่นไหว ห้าปีที่เหินห่างแต่ร่างกายมันกลับจดจำสัมผัสจากคนคนนี้ได้เป็นอย่างดี
จิ๋วกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนเรียกเสียงตนเองกลับมาเพื่อตอบคำถามอีกคน
“ก็ดูคนเค้ามองสิ”
“จะแปลกอะไรล่ะ จิ๋วเป็นนักร้องนะ” คำพูดของนิวทำให้จิ๋วฉุกใจคิด ดวงตากวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ มัวแต่กังวลเรื่องชุดจนลืมนึกถึงสถานะของตนเองไปชั่วขณะ น่าอายที่ต้องให้อีกคนออกปากเตือน
“มั่นใจหน่อยสิ ชุดนี้เหมาะกับจิ๋วมากนะ” สายตาที่นิวใช้มองทำให้จิ๋วทนมองได้ไม่นาน กลัวจะเผลอคิดอะไรเข้าข้างตนเองอีก น่าแปลก ที่คำปลอบโยนของนิวเพียงไม่กี่คำก็ทำให้เธอสงบลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ความมั่นใจถูกเรียกกลับมาอีกครั้ง สามารถวางตัวสง่าผ่าเผยได้อย่างเดิม
“รีบไปเถอะ เดี๋ยวตามแม่ไม่ทัน” จิ๋วดึงแขนกลับจากการเกาะกุมของนิวอย่างสุภาพ สัมผัสอุ่นยังทิ้งร่องรอยไว้บนผิวกาย ร่างเล็กเดินล่วงหน้าไปก่อนโดยไม่หันหลังกลับ แม้อยากจะกล่าวคำขอบคุณแต่คิดว่าไม่พูดมันออกไปดีกว่า
ไม่ใช่แค่จิ๋วที่ใจสั่นไปกับเหตุการณ์เมื่อครู่ นิวเองก็รู้สึกอย่างเดียวกัน เรียกได้เป็นความใกล้ชิดที่สุดในรอบห้าปีเลยก็ว่าได้ ใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากอีกคน จนตอนนี้กลิ่นนั้นยังติดอยู่ตรงปลายจมูก กระตุ้นให้เผลอคิดถึงคืนวันเก่า ๆ นิวพ่นลมออกจากปากเบา ๆ ระอากับความรู้สึกฝังใจของตน…
ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน จิ๋วก็ยังอันตรายต่อหัวใจที่อ่อนแอของเธออยู่ดี
และนิวก็ห้ามพฤติกรรมเก่า ๆ ของตนไม่ได้เสียด้วย
กล้องในมือถูกยกขึ้นมาแล้วเก็บภาพบบรรยากาศโดยรอบ… แล้วมาหยุดโฟกัสอยู่ที่ร่างบอบบางในชุดพื้นเมืองประยุกต์ที่จับใจเธอตั้งแต่แรกเห็น นิวขยับออกไปจับภาพอยู่ห่าง ๆ เพื่อไม่ให้คนในความสนใจรู้ตัว ปลายนิ้วไม่ห่างจากชัตเตอร์เลยแม้แต่วินาทีเดียว …วิญญาณปาปาราซซี่กำลังเข้าสิงนิวชั่วคราว
บทเพลงพื้นบ้านที่ขับกล่อมแขกเหรื่อในงานช่างเข้ากับบรรยากาศและชุดที่คนตัวเล็กสวมใส่ ภาพที่นิวมองเห็นผ่านเลนส์กล้อง เสียงที่นิวได้ยินผ่านหู ราวกับตกอยู่ในมนต์สะกดของล้านนาย้อนยุค
“…..”
แต่แล้วมนต์ขลังก็ถูกทำลายลงเมื่อจิ๋วทำท่าเหมือนจะรู้ตัว ใบหน้าหวานหันมองมาทางนิวอย่างฉับพลันจนเธอผงะไปเล็กน้อย คนแอบถ่ายแทบดึงกล้องหนีไม่ทัน หัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มกลัวว่าจิ๋วจะจับได้
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ร่างเล็กแค่เปลี่ยนที่วางสายตาเท่านั้น ไม่ได้จงใจหันมาเพราะผิดสังเกตแต่อย่างใด
“เกือบไป…”
โคมนับพันถูกจุดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันก่อนจะล่องลอยสู่ฟากฟ้าคืนเพ็ญหลังจากเสียงสัญญาณให้ปล่อยดังขึ้น อีกคนเงยหน้ามองดวงประทีปเหล่านั้นด้วยตาเปล่า ส่วนอีกคนมองผ่านเลนส์ของกล้องคู่ใจอีกต่อหนึ่ง เก็บภาพสวยงามติดตาตรึงใจเอาไว้ในเมมโมรี่การ์ด
ภาพที่ประทับใจเจ้าของกล้องที่สุดคงจะหนีไม่พ้นภาพของใครอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตากลมทอประกายสุกใสล้อกับแสงสีนวลจากเปลวไฟในคบที่ปักอยู่บนพื้นดิน รอยยิ้มบนใบหน้ายามที่เผลอไผลช่างหวานจับใจจนอดที่จะถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งที่นิวหาดูได้ยากเหลือเกิน
“นิว ถ่ายอะไรน่ะ” เพราะไม่ทันระวังสุดท้ายจิ๋วก็รู้ตัวจนได้ คนตัวเล็กเขม้นมองกล้องในมือของนิวอย่างแคลงใจ
“ก็ถ่ายรูปโคมพวกนั้นไง” นิวชี้นิ้วขึ้นไปบนฟ้าไม่ยอมจนมุมง่าย ๆ ตอบออกไปหน้าซื่อตาใส
“ใช่เหรอ?” จิ๋วขมวดคิ้วมองอย่างคาดคั้น
“ใช่สิ จิ๋วอยากจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกหน่อยมั้ยล่ะ นิวถ่ายให้ ถ่ายกับแม่ด้วยมา” นิวถือโอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของจิ๋ว และมันก็สำเร็จเสียด้วยเมื่อมีลูกคู่อย่างคุณแม่สุดที่รักทั้งสองเป็นแรงสนับสนุน
“ดีเหมือนกั๋นนะจิ๋ว มาถ่ายฮูปตวยกั๋นซักสองสามฮูปมาลูก (ดีเหมือนกันนะจิ๋ว มาถ่ายรูปด้วยกันสักสองสามรูปหน่อยนะลูก)” แม่ของนิวเอ่ยปากขอร้องถึงขนาดนี้จิ๋วก็ไม่กล้าปฏิเสธ เป็นอันว่านิวได้ถ่ายรูปจิ๋วครั้งแรกในรอบครึ่งทศวรรษแบบไม่ต้องแอบถ่ายอย่างที่ผ่านมา นางแบบจำเป็นมีสีหน้ากระอักกระอ่วนอย่างปิดไม่มิดแต่นิวทำเป็นมองไม่เห็นมัน ทำหน้าที่ช่างภาพของตนต่อไปอย่างเงียบ ๆ
“วันพูกไปลอยกระทงตวยกั๋นก่อแม่เดี๋ยวนิวปาไป (พรุ่งนี้ลอยกระทงกันมั้ยแม่ เดี๋ยวนิวพาไป)” นิวเอ่ยถามเมื่อรถติดไฟแดง การจราจรในวันนี้ค่อนข้างติดขัดเพราะเป็นช่วงจัดงานประเพณียี่เป็ง และคงจะตกอยู่ในสภาพนี้ไปอีกสักพักจนกว่าจะหมดหน้าเทศกาล
“บ่ไปละลูก คนมันนัก กั๋วไปเป๋นลมเป๋นแล้ง จิ๋วกับนิวไปกั๋นสองคนเต๊อะลูก บ่ได้ลอยตวยกั๋นมากี้ปี๋ละ (ไม่ล่ะลูก คนเยอะ กลัวเป็นลมเป็นแล้งไป จิ๋วกับนิวไปกันสองคนเถอะ ไม่ได้ลอยกระทงด้วยกันมากี่ปีแล้วล่ะ)” แล้วคำตอบจากแม่ของจิ๋วก็กลับมามัดตัวคนถามเสียเอง
“สี่ห้าปี๋แล้วก้าเจ้า (สี่ห้าปีแล้วมั้งคะ)” นิวเป็นคนตอบเมื่อดูท่าทีแล้วจิ๋วไม่คิดจะปริปาก
“วันพูกจิ๋วมีงานตี้แม่ฮ่องสอนแต่จะปิ๊กมาตันแม่นก่อลูก (พรุ่งนี้จิ๋วมีงานที่แม่ฮ่องสอน แต่กลับมาทันใช่มั้ยลูก)” แม่ถามจิ๋วเชิงคาดคั้น นิวเผลอบีบพวงมาลัยแน่น ไม่รู้ว่าการตอบรับกับปฏิเสธอย่างไหนจะดีต่อทั้งคู่มากกว่ากัน
“น่าจะตันหนาแม่ หมดคิวซักประมาณหัวค่ำ (น่าจะทันนะแม่ หมดคิวประมาณหัวค่ำ)” จิ๋วตอบในลำคอ ไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบเท่าไหร่ นิวอยากเห็นสีหน้าของเจ้าของเสียงตอนนี้แต่ไม่กล้าพอที่จะหันไปมอง
“เอาเป๋นว่าไปลอยกระทงกั๋นสองคนละกั๋น แม่จะรออยู่ตี้บ้าน (เอาเป็นว่าไปลอยกระทงกันสองคนแล้วกัน แม่จะรออยู่ที่บ้าน)” แม่นิวเป็นคนสรุปให้แบบมัดมือชก
“ตี้เดิมดีก่อจิ๋ว (ที่เดิมดีมั้ยจิ๋ว)” นิวขอความเห็นจากอีกคนเป็นภาษาถิ่น
“ก่อดีเหมือนกั๋น บ่ค่อยวุ่นวายดี (ก็ดีเหมือนกัน ไม่ค่อยวุ่นวาย)” และจิ๋วก็เข้าใจได้เองโดยไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาว คำว่า “ที่เดิม” ของนิวหมายถึงแม่น้ำสายเล็กที่ผู้คนไม่พลุกพล่านนักในช่วงเทศกาลลอยกระทง เมื่อก่อนทั้งคู่ไปลอยกระทงที่นั่นแทบทุกปี เพราะนิวเกลียดเสียงประทัดและเสียงพลุที่ดังสนั่นไปทั่วสถานที่จัดงานในเมือง ไม่รู้ว่าทุกวันนี้ยังเป็นเหมือนเดิมอยู่หรือเปล่า
“ถ้ามาบ่ได้ก่อบ่เป็นหยังหนา (ถ้ามาไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ)”
“มาได้ก่า จะใดจิ๋วก่อต้องปิ๊กมานอนบ้านอยู่ละ (มาได้สิ ยังไงจิ๋วต้องกลับมานอนบ้านอยู่แล้ว)” นิวพยักหน้ารับเป็นการจบบทสนทนาปล่อยให้ห้องโดยสารเงียบไปพักใหญ่
“นิวกับจิ๋วก่ออายุบ่ใจ้น๊อยละหนา เมื่อใดจะแต่งงานเป๋นฝั่งเป๋นฝากั๋นซักเตื้อล่ะลูก (นิวกับจิ๋วก็อายุไม่น้อยแล้วนะ เมื่อไหร่จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาซักทีล่ะลูก)” แม่ของนิวเอ่ยถามทำลายความเงียบ คนที่นั่งคู่กันบนเบาะรถด้านหน้ายืดแผ่นหลังตั้งตรงพร้อมกัน รู้สึกเกร็งกับคำพูดอีกหลายประโยคที่กำลังจะพรั่งพรูจากปากของผู้สูงวัยบนเบาะหลัง ทั้งคู่แอบชำเลืองมองผู้ประสบชะตากรรมเดียวกันเล็กน้อยระหว่างที่รอฟัง
“ป้อแม่ก่อเฒ่ากั๋นละ ไค่หันหน้าหลานก่อนต๋ายซักกำ (พ่อแม่ก็แก่กันแล้ว อยากจะเห็นหน้าหลานก่อนตาย)” แม่ของจิ๋วพูดเสริม ทำให้คนฟังรู้สึกว่าอากาศในรถไม่เพียงพอต่อการหายใจอีกต่อไป
“อู้อะหยังจะอั้น บ่หันจะเฒ่าเลย ยังแข็งแรงกั๋นดีกู้คนล้อ อยู่กับหมู่ลูกได้แหมเมิน (พูดอะไรอย่างนั้น ไม่เห็นแก่เลยแม่ ยังแข็งแรงกันดีทุกคน อยู่กับพวกเราได้อีกนานเลยล่ะ)” นิวพูดแก้สถานการณ์ อาศัยแสงไฟจากเกาะกลางถนนเพื่อสังเกตสีหน้าของท่านทั้งสองผ่านกระจกมองหลัง
“ความเป๋นความต๋ายมันบ่เข้าใค๋ออกใค๋ล่อ ลูกสองคนก่อเป็นแม่ญิง ถ้ามีใค๋ซักคนมาดูแลแม่ก่อจะได้หมดห่วง (ความเป็นความตายมันไม่เข้าใครออกใครหรอก ลูกสองคนก็เป็นผู้หญิงนะ ถ้ามีใครสักคนมาดูแลแม่จะได้หมดห่วง)” ที่ผ่านมาแม่ก็บ่น ๆ เรื่องนี้กับนิวมาตลอด แต่ยังไม่เคยมีครั้งไหนที่จริงจังเท่าครั้งนี้ซ้ำยังมาพูดต่อหน้าจิ๋วอีกต่างหาก
“แม่ญิงสมัยนี้อยู่คนเดียวปะเล๊อะปะเต๋อแม่ เผลอๆ เฮาอาจจะดูแลตั๋วเก่าดีเหลือป้อจายหลายๆ คนแห๋มกำละ แม่บ่ต้องเป๋นห่วงหมู่ลูกหรอกเจ้า (ผู้หญิงสมัยนี้อยู่คนเดียวเยอะแยะไปค่ะแม่ บางทีเราอาจจะดูแลตัวเองได้ดีกว่าผู้ชายหลาย ๆ คนซะอีก แม่ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอกค่ะ)” จิ๋วที่นิ่งฟังอยู่นานออกความคิดเห็นบ้าง
“คนเฮาปอมันแก่มันเฒ่าลงมันก่อง่อมหนาลูก จะใดมันมีคนอยู่ข้างๆ มันจะบ่ะดีกว่าก๋า (คนเรายิ่งแก่ตัวลงมันก็ยิ่งเหงานะลูก ยังไงมีคนคอยอยู่ข้าง ๆ มันก็ดีกว่าไม่ใช่เหรอ)” แม่ของจิ๋วพยายามโน้มน้าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้าอั้นก่อแต่งกั๋นคนเดียวเลยบ๋อแม่ บ่ต้องรอใค๋มาจีบตวย นิวกับจิ๋วก่อฮู้จักกั๋นมาเมินละหนา (ถ้างั้น แต่งกันเองเลยดีมั้ยแม่ ไม่ต้องรอใครมาจีบด้วย นิวกับจิ๋วก็รู้จักกันมานานแล้วเนี่ย)” คำพูดติดตลกของนิวเรียกเสียงหัวเราะระคนเสียงบ่นจากผู้สูงวัย แต่กลับทำให้ใครอีกคนนั่งเงียบไปตลอดทางจนถึงบ้าน
แม้ว่าวันนี้หลาย ๆ อย่างในตัวนิวจะเปลี่ยนไป แต่จิ๋วคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม คือการพูดโดยไม่ทันไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน และมันทำให้คนฟังอย่างเธอเป็นฝ่ายลำบากใจและต้องเก็บกลับมาครุ่นคิดอยู่เสมอ ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
.
.
.
November 17, 2013 (ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12)
ดวงจันทร์คืนเพ็ญสะท้อนเงาอยู่บนผืนน้ำ แสงระยิบระยับจากเปลวเทียนในกระทงนับสิบส่องกระทบนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่จดจ้องผิวน้ำอยู่นานนับชั่วโมง ระรอกคลื่นเล็ก ๆ พัดพาดวงไฟดวงน้อยลอยห่างจากฝั่งไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งลับสายตา… กระทงใบเล็กสองใบตั้งอยู่เคียงกันบนแผ่นกระดานไม้ใต้ศาลาท่าน้ำท่ามกลางความเงียบเหงา สายลมบางเบาพัดเส้นผมสีอ่อนให้ปลิวระใบหน้า แต่เจ้าของเรือนผมไม่ใส่ใจความรำคาญเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับตนเอง
นิวนั่งแกว่งเท้ารับลมเล่นเพื่อรอการมาถึงของใครอีกคนอย่างใจจดจ่อ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูหลายต่อหลายรอบ ยิ่งนานก็ยิ่งกระวนกระวาย นึกเป็นห่วงคนที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดในเวลากลางค่ำกลางคืน แต่นิวก็ไม่รู้จะติดต่อกลับไปยังไง เลยได้แต่นั่งรอเรื่อยไป จนตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มเข้าไปแล้ว คนที่รอก็ยังไม่เห็นแม้เงา
มืออุ่นถูไปมาบนเรียวแขนของตนอยู่บ่อยครั้งเมื่อต้องลม เพราะอยู่ใกล้กับแม่น้ำอากาศจึงหนาวเย็นเป็นพิเศษ นิวที่สวมเพียงเสื้อยืดบาง ๆ จึงต้องกอดตัวเองเอาไว้ ถึงจะเป็นสถานที่ที่คนไม่พลุกพล่านนักแต่ก็ยังมีเสียงประทัดดังมาเข้าหูอยู่ประปราย แต่ก็ไม่ถึงกับต้องคอยระแวงอยู่ตลอดเวลาเหมือนริมแม่น้ำในเมือง
เสียงลั่นของไม้กระดานเรียกให้นิวหันไปมองโดยอัตโนมัติ โดยหวังเอาไว้ในใจทุกครั้งที่ได้ยินว่าคนที่เหยียบย่างเข้ามาในศาลาหลังนี้จะต้องเป็นจิ๋ว
“รอนานมั้ย?”
และคราวนี้นิวก็ไม่ผิดหวัง
“ก็ไม่นานนะ นั่งก่อนสิ” แค่สองสามชั่วโมงเอง เพราะนิวออกมาจากบ้านตั้งแต่ห้าโมงเย็น… ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าจะรีบออกมาทำไม
“พอดีว่ารถติดน่ะ ขอโทษนะ นึกว่าจะกลับก่อนซะแล้ว” จิ๋วหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามกับนิว
“วิ่งจากถนนเข้ามาเหรอ ใครมาส่งล่ะ” นิวตั้งข้อสังเกตเมื่อเห็นท่าทางกระหืดกระหอบของจิ๋ว
ร่างเล็กสวมแจ็คเก็ตตัวหนาทับชุดที่ใส่ขึ้นร้องเพลงวันนี้ไว้อีกชั้น เห็นเพียงชายกระโปรงที่สั้นเหนือเข่าขึ้นมาเป็นคืบ เรียวขาขาวโผล่ออกมาอวดความงามให้คนมองได้ชื่นชม เมื่อเทียบกับชุดพื้นเมืองเมื่อวานนิวพอใจที่จะให้จิ๋วสวมชุดนั้นมากกว่า แต่สุดท้ายก็ต้องพับเก็บความคิดนั้นไว้เมื่อรู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ไปหวงห้ามอะไร
“พี่เจนพามาทิ้งไว้นี่ บอกจะไปเที่ยวในงานแล้วจะกลับมารับ” เสียงหวานดึงสายตาของนิวออกไปจากการสำรวจเครื่องแต่งกายของตน
“แล้วถ้าพี่เจนลืมจิ๋วล่ะทำไง” นิวแกล้งแหย่เล่นตามนิสัย หยิบกระทงทั้งสองใบขึ้นมาถือไว้แล้วลุกไปนั่งตรงท่าน้ำ จุดเทียนกับธูปที่ปักอยู่บนกระทงเตรียมไว้รอจิ๋ว นั่นก็เพราะว่ากลัวจะเผลอแสดงความรู้สึกที่ไม่สมควรออกไปทางสีหน้า
“เดินกลับไงถ้านิวจะไม่ไปส่ง” แต่เพียงไม่นานจิ๋วก็ย้ายตัวเองมานั่งข้าง ๆ เพื่อช่วยนิวจุดเทียน มือเล็กยกขึ้นป้องลมที่หอบมาพัดเปลวไฟบนก้านไม้ขีดที่นิวจุดจนดับไปหลายที ด้วยความที่มัวแต่พะวงอยู่กับเทียนกับธูปในกระทงจึงลืมนึกถึงความใกล้ชิดที่มากเกินกว่าทุกครั้ง มือเฉียดกันไปมาก็หลายที แต่ไม่มีใครป้องกันตนเองจากความรู้สึกอ่อนไหวที่เกิดขึ้นในเสี้ยวนาที
จนกระทั่งการจุดธูปเทียนสำเร็จไปได้ด้วยดี แสงสีส้มส่องให้เห็นใบหน้าที่กำลังเปื้อนรอยยิ้มละมุนของอีกฝ่าย อึดใจเดียวที่ได้สบตากันนิ่ง ๆ จนกระทั่งเห็นเปลวเทียนที่วูบไหวในดวงตาของกันและกัน รอยยิ้มที่เคยมีก็ค่อย ๆ เลือนหายไป เกิดเป็นกำแพงที่มองไม่เห็นผุดขึ้นมากางกั้นความรู้สึกของคนทั้งคู่เอาไว้อีกครั้ง
จิ๋วเป็นฝ่ายเบือนหน้าหนีก่อนแล้วพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“ติดแล้วล่ะ”
นิวหันหน้าออกไปมองผืนน้ำกว้างอย่างที่อีกคนทำ กระทงในมือของทั้งคู่ค่อย ๆ ถูกวางลงไปบนผิวน้ำเย็นเฉียบ มือวักน้ำเพื่อซัดมันออกไปจากฝั่งให้ไกลที่สุด เหมือนกำลังขับไล่ความรู้สึกอันไม่พึงประสงค์ที่แอบเผยออกมายามที่เผลอตัว
ทว่า… กระทงน้อยทั้งสองใบที่ถูกเจ้าของของมันปล่อยออกไปอย่างไม่แยแสกลับลอยเคียงคู่กันไปในกระแสน้ำที่พัดเอื่อยเฉื่อย
สองเสียงแค่นหัวเราะออกมาพร้อมกันกับการเล่นตลกของกระแสธาร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับภาพที่เห็นตรงหน้ามันสวนทางกันโดยสิ้นเชิง ต่างรู้ดีแก่ใจว่าทั้งคู่ไม่อาจเดินเคียงข้างกันไปในเส้นทางเดิมได้อีก จะมีก็เพียงเส้นใยบาง ๆ ของผูกพันในวัยเยาว์ที่ยังเกี่ยวโยงคนสองคนไว้ด้วยกัน เส้นใยที่เกือบจะขาดสะบั้นลงเพราะความบาดหมางเมื่อหลายปีก่อน และโอกาสที่มันจะกลับมาเหนียวแน่นดังเดิมก็ริบหรี่เต็มทน
ใต้แสงจันทร์กระจ่าง ณ สถานที่แห่งเดิม คนสองคนได้กลับมายืนมองผืนน้ำยามค่ำคืนด้วยกันอีกครั้ง ทว่าในความรู้สึกกลับเหมือนอยู่ห่างกันแสนไกลจนเอื้อมมือออกไปไม่ถึงกัน
กระทงใบน้อยลอยห่างออกไปจนเห็นเพียงดวงไฟเล็ก ๆ อยู่ไกลลิบ ความเชื่อเรื่องโชคลางที่ถูกปลูกฝังมาแต่เล็กแต่น้อยได้ฝากความหวังอันขมขื่นไว้ในใจของคนทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว….
ความหวัง… ที่ยืนอยู่คนละฟากฝั่งกับความเป็นจริง
เรื่องที่จิ๋วเคยตกปากรับคำกับรุ่นพี่ร่วมค่ายก็ถูกลืมเลือนพร้อมกับกระทงน้อยที่กลืนหายไปในแสงจันทร์สลัว
มาช้าหน่อยเนอะ เกือบจะปีใหม่เลยทีเดียว
คำผิดพลาดประการใดก็ขออภัยเช่นเคยนะคะ
ไฟล์ pdf เช่นเคยใครจะโหลดคลิกโลด
V
V
[1 SHOT] Glad to see you Again (Full shot).pdf
ความคิดเห็น