คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ONCE AGAIN : 02 WHO AM I?
สีเทา = เหตุการณ์ในอดีตนะคะ
เรื่องนี้จะสลับกันเล่าระหว่างอดีตกับปัจจุบันตัดไปตัดมาอยู่เรื่อยๆ
อดีตก็ต่างช่วงเวลากัน เป็นปีบ้าง เดือนบ้าง ก็ว่ากันไป
________________________
02 Who am I?
2 ปีก่อน
นัดประชุมวันเสาร์ตอนสิบโมง แต่ยังไม่มีใครมาเพราะยังไม่ถึงเวลานัดหมาย ห้องประชุมเล็กข้างห้องดนตรียังคงสงบเงียบ มีข้าวของบางอย่างวางไว้บนเก้าอี้ที่วางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ บ่งบอกว่ามีคนมาถึงก่อนเธอบ้างแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนกลุ่มนั้นหายตัวไปไหน ภายในห้องกำลังอุ่นผิดจากอากาศหนาวเย็นภายนอกราวกับอยู่คนละโลก ที่สำคัญประตูของห้องดนตรีที่อยู่ต่อหน้ายุนอานั้นก็ไม่ได้ล็อคไว้เช่นกัน
ลองเข้าไปดูข้างในสักหน่อยคงไม่มีใครว่าอะไรหรอกมั้ง
มือยกขึ้นผลักบานประตูเร็วเท่าความคิด สัมผัสเย็นเฉียบใต้ฝ่ามือเกือบทำให้ยุนอาเปลี่ยนใจแต่ก็ออกแรงผลักจนประตูเปิดออกในเวลาต่อมา พอแทรกร่างผ่านเข้าไปได้ก็ปล่อยให้ปิดลงอย่างเดิม ในห้องดนตรีมืดสลัวมองอะไรไม่ชัดเจนนัก ยุนอาเสียเวลาคลำหาสวิตช์ไฟในนั้นอยู่เกือบนาทีกว่าจะหาเจอแล้วกดเปิดจนทั้งห้องสว่างวาบ
เครื่องดนตรีหลายชิ้นวางอยู่อย่างไร้ระเบียบ โน้ตเพลงบางส่วนขาดวิ่นปลิวตกลงบนพื้นห้องแทบเท้ายุนอา ห้องที่ดูเหมือนจะกว้างเมื่อมองจากข้างนอกกลับดูคับแคบไปถนัดตาเมื่อเทียบกับจำนวนของเครื่องดนตรีในนี้ ทั้งที่ชำรุดและยังใช้การได้ดีอยู่ งานใหญ่แน่หากจะจัดทั้งหมดนี่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ต้องการ ดูเหมือนตอนปิดเทอมใหญ่ก่อนหน้าที่ยุนอาจะเข้ามาเป็นศึกษา ที่นี่คงถูกทิ้งไว้โดยไร้คนดูแลนานหลายเดือน
ยุนอาถือโอกาสสำรวจเครื่องดนตรีหลายชิ้นที่เคยเห็นแต่ไม่เคยได้สัมผัสอย่างเพลิดเพลิน ก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าสีน้ำตาลเข้มผืนใหญ่ที่ปกคลุมอะไรบางอย่างเอาไว้ ไม่ปล่อยให้สงสัยอยู่นาน มือเรียวยื่นไปดึงผ้าผืนนั้นให้เปิดออกทันที
“โอ๊ะ เปียโนนี่..”
ยืนพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งจึงวางนิ้วทาบลงไปบนคีย์เปียโน กดไล่เสียงไปมั่ว ๆ เพื่อทำความคุ้นเคย จากช้า ๆ แล้วเริ่มเร็วขึ้นด้วยความคึกคะนองเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ ก่อนจะหยุดทบทวนคอร์ดเพลงที่เคยเล่นมาบ้างเมื่อนานมาแล้ว วางนิ้วผิด ๆ ถูก ๆ จนชักหงุดหงิดตนเอง สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นแทนที่จะสนุกอย่างครู่ก่อน
แอด...
เสียงประตูที่เปิดออกทำให้ยุนอาสะดุ้งตกใจจนแทบกระโดดหนีจากเปียโน ก่อนหันไปจ้องบานประตูที่ค่อย ๆ แง้มเปิดอย่างลุ้นระทึก
“รุ่นพี่”
คิมแทยอนอีกแล้วที่ยืนอยู่ตรงนั้น พักนี้ชักจะเห็นหน้ากันบ่อยเกินไปหน่อย ปากที่อ้าคางไว้ด้วยความตกใจก็ปิดสนิท คิ้วเริ่มพันจนยุ่งเมื่อรู้แน่ว่าผู้มาเยือนคือใคร แทยอนดูแปลกตาในเสื้อโค้ดตัวหนา เพราะวันนี้อากาศหนาวกว่าครั้งล่าสุดทีเจอกันค่อนข้างมาก
“ทำอะไรอยู่ ไม่หนาวเหรอ?” แทยอนดูจะไม่แปลกใจเลยที่เห็นยุนอาอยู่ในนี้ คล้ายกับรู้มาก่อนแล้ว
“หาอะไรดูรอประชุมค่ะรุ่นพี่” ยุนอาเก็บความไม่พอใจเล็ก ๆ เอาไว้ด้วยท่าทีสุภาพอนอบน้อม ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มบางเบา
“อยู่ในนี้ไม่หนาวเหรอ เข้าไปในรอในห้องประชุมดีกว่ามั้ย?” แทยอนชักชวนพร้อมก้าวเข้าไปหายุนอาภายในห้อง ปล่อยประตูบานใหญ่ให้ปิดลงอย่างเดิม มือข้างหนึ่งถือแก้วเครื่องดื่มไว้เฉย ๆ โดยที่ไม่แตะต้องมันเลยสักครั้ง
“ก็หนาวนิดหน่อยค่ะ แต่ไม่มากเท่าข้างหรอก”
ผ้าคลุมผืนสีน้ำตาลถูกหยิบมาคลุมเปียโนกลางเก่ากลางใหม่หลังนั้นไว้อย่างเดิมจนมิดชิดก่อนที่แทยอนจะเอ่ยถาม
“เล่นเป็นด้วยเหรอ?”
ยุนอาเหลือบมองใบหน้าขาวใสเล็กน้อยก่อนตอบ “ไม่ถือว่าเป็นหรอกค่ะ แค่งู ๆ ปลา ๆ ไม่ได้แตะนานแล้วด้วย”
แทยอนอมยิ้มน้อย ๆ เหมือนกำลังขำกับท่าทางสูญเสียความมั่นใจของยุนอา แต่อีกฝ่ายคงไม่ทันเห็น และเป็นเรื่องดีที่ไม่เห็น
“อะนี่ แก้หนาว เห็นหลังไว ๆ เลยชงมาเผื่อ” โกโก้ร้อนถูกยื่นมาให้ตรงหน้า ยุนอาเหลือบมองหน้าคนให้อย่างฉงน
“รับไปเถอะน่า พี่ไม่วางยาเราหรอก” แทยอนกระตุ้นซ้ำยุนอาจึงยอมรับมัน
“ขอบคุณค่ะ”
ยกแก้วโกโก้ร้อนขึ้นจิบบาง ๆ แล้วคลี่ยิ้มหลังจากกล่าวขอบคุณ รสชาติดีทีเดียวสำหรับน้ำใจจากคนที่แทบจะเรียกได้ว่าแปลกหน้าสำหรับกันและกัน นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันดีระหว่างรุ่นพี่และรุ่นน้อง หากไม่นับท่าทีผิดแปลกของแทยอนตั้งแต่เจอกันกับเธอครั้งแรก
ความเคลือบแคลงสงสัยยังติดค้างอยู่ในใจของยุนอาและแสดงออกชัดเจนทางสีหน้า แทยอนจึงเริ่มอธิบาย
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะ ในร้านเนื้อย่างวันนั้น เราหน้าคล้ายคนที่พี่เคยรู้จัก พี่จำคนผิดน่ะ”
ยุนอาเหลือบมองสีหน้าคนพูดแล้วใช้เวลาทบทวนอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะทำความเข้าใจกับมันได้
“ในที่สุดรุ่นพี่ก็ตอบข้อสงสัยฉันซักที” แก้วโกโก้หอมกรุ่นในมือถูกคลึงไปมาช้า ๆ ยุนอาก้มมองของเหลวอุ่นในนั้นแล้วคลี่ยิ้มก่อนเหลือบมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนอายุมากกว่า
“งั้นก็รีบออกไปกันเถอะ อีกไม่นานจะเริ่มประชุมแล้ว พี่มีอะไรให้ช่วยนิดหน่อย”
“ด้วยความยินดีค่ะรุ่นพี่”
.
.
.
ร่มและเสื้อกันฝนไม่จำเป็นนักสำหรับวันนี้ ฝนเม็ดเล็กที่ตกปรอย ๆ ไม่สามารถทำให้ใครเปียกได้แม้จะยืนอยู่ข้างนอกเป็นชั่วโมงก็ตาม แต่ฟ้าก็ยังคงมืดครึ้มตลอดทั้งวันอยู่ดี เพียงแต่น้อยกว่าหลายวันที่ผ่านมาเท่านั้น อีกแค่ไม่กี่นาทีจะถึงเวลานัดบรรยากาศรอบตัวมืดลงเรื่อย ๆ ราวกับช่วงเวลากลางคืน ยุนอาผลักบานประตูหนาหนักเข้าไปเบา ๆ ก็พบเพียงความเงียบและมืดสนิท แทยอนคงยังไม่มา
สองเท้าพาร่างโปร่งบางไปยังทิศทางที่คุ้นเคยโดยไม่ต้องอาศัยแสงสว่าง
“ใครน่ะ?!” หลังจากที่มือสัมผัสสวิตช์ก็เหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์มุมห้อง แม้จะร้องทักเสียงดังด้วยความตกใจก็ แต่ร่างนั้นก็ไม่ขยับเขยื้อนราวกับคนไม่ได้สติ เมื่อสังเกตเห็นเรือนผมสีสว่างที่ปรกใบหน้ารวมไปถึงรูปร่างและเสื้อผ้าที่สวมใส่ทำให้ยุนอาเบาใจ อย่างน้อยใครคนนั้นก็คือคนที่เธอต้องการพบไม่ใช่ขโมยหรือภูติผีอย่างที่นึกกลัว
“รุ่นพี่คะ รุ่นพี่” ลองขยับเข้าไปเรียกใกล้ ๆ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่รู้สึกตัว ยืนหันรีหันขวางอยู่ตรงนั้นสักพักจึงตัดสินใจเขย่าตัวเพื่อปลุกแทยอนให้ตื่น
“ได้ยินฉันมั้ย?”
“อื้อ...” กว่าที่เสียงครางแผ่วจะหลุดจากปากยุนอาก็หน้าเสียไปแล้ว ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกได้ในเวลาต่อมา
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
“ไม่เป็นไร” แทยอนตอบกลับมาด้วยเสียงแหบแห้งพร้อมทั้งยื่นมือไปคว้ายุนอาไว้เพื่อพยุงตัว อาการปวดศีรษะจนหนักอึ้งทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างทุลักทุเลจนยุนอาต้องยื่นมือไปช่วยพยุง
“รุ่นพี่ ตัวร้อนนี่” เมื่อได้สัมผัสกับผิวกายรุมร้อนของอีกฝ่ายยุนอาก็เข้าใจ “ไม่สบายเหรอ?”
“นิดหน่อย ไม่เป็นไรมากหรอก” น้ำเสียงและอาการที่แสดงออกดูเหมือนจะไปคนละทางกับประโยคที่แทยอนพูดออกมา ใบหน้าซีดเซียวแต่ริมฝีปากกลับแดงจัดจนผิดปกติ ทั้งหมดนั่นทำให้ยุนอารู้สึกผิด หากเมื่อคืนรั้งแทยอนเอาไว้ไม่ปล่อยให้เดินตากฝนกลับไปอาการก็คงไม่หนักขนาดนี้ ดีไม่ดีอาจจะไม่ป่วยเลยด้วยซ้ำ
แปลกใจนิดหน่อยที่วันนี้แทยอนมาคนเดียว ไร้เงาของเพื่อนสนิทอย่างฮโยยอนหรือซุนกยู เพื่อความแน่ใจจึงกวาดสายตามองไปทั่วทั้งห้องแต่ก็ไม่พบ
“พี่มาคนเดียว” แทยอนบอกเหมือนล่วงรู้ความคิดของยุนอา มือเล็กยกขึ้นนวดขมับของตนด้วยสีหน้าทรมาน ยุนอาพยักหน้ารับรู้แล้วจับสังเกตอาการอีกคนอย่างรู้สึผิด
“ฉันขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไร?” เหลือบมองยุนอาด้วยดวงตาแดงก่ำหลังจากเปลี่ยนอิริยาบถมานั่งพิงพนักเก้าอี้
“ขอโทษที่ทำให้รุ่นพี่ไม่สบาย”
“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า มันไม่ใช่ความผิดของเราซักหน่อย” แม้จะป่วยหนักแต่ยังมีแรงยิ้มส่งยิ้มเพลีย ๆ ให้ยุนอา
“ไม่สบายก็ไม่เห็นต้องมาเลยนี่คะ”
“ไม่ได้หรอก สัญญาต้องเป็นสัญญาสิ”
ได้ยินแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวกับความดื้อดึงของแทยอน เห็นถึงความพยายามแล้วก็นึกเห็นใจจึงให้คำตอบที่เตรียมมาตั้งแต่เมื่อคืนโดยไม่ประวิงเวลาไว้อีก
“ฉันตกลงค่ะ เรื่องเมื่อคืน”
“หือ? ว่าไงนะ” ดูเหมือนอาการป่วยจะทำให้แทยอนคิดช้าลง เวลานี้ใบหน้าใสเต็มไปด้วยคำถาม
“ฉันตกลงไปจะกลับบ้านกับรุ่นพี่ค่ะ”
“จริงเหรอ?... ตอนแรกนึกว่าจะถูกปฏิเสธซะแล้ว” รอยยิ้มบนใบหน้าซีดเซียวของแทยอนยืนยันว่ายุนอาตัดสินใจไม่ผิด คำชวนที่รอคอยมาหลายปีกว่าจะได้รับจากแทยอนมาถึงง่าย ๆ โดยไม่ต้องร้องขอ รู้สึกยินดีกับคำชวนนั้นก็จริง แต่จะให้รีบตะครุบข้อเสนอในทันทีก็กระไรอยู่ จึงต้องขอเวลาเล่นตัวบ้างพอเป็นพิธี
ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้คนตรงหน้านึกถึงยุนอา เธอก็อยากจะขอบคุณ อย่างน้อยก็ช่วยร่นระยะห่างระหว่างทั้งคู่เข้ามาบ้างนิดหน่อย ถือว่าเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีทีเดียว
“กลับกันเถอะค่ะ” ยุนอาเอ่ยขึ้นหลังจากส่งมือให้แทยอน
“โอเค แล้วเจอกันนะ” แทยอนพยุงกายลุกขึ้นยืนโดยไม่สนใจความช่วยเหลือที่ยุนอาหยิบยื่นให้ ยุนอาส่ายหน้ายิ้ม ๆ แล้วขยับเข้าไปประคองคนป่วยอย่างอ่อนใจ
“เดี๋ยวฉันไปส่งรุ่นพี่ที่ห้อง”
“ไม่ต้องหรอกยุนอา มันมืดแล้วพี่กลับเองได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันเป็นสาเหตุให้รุ่นพี่ป่วย ฉันต้องรับผิดชอบอะไรบ้างสิ” พูดพลางรั้งตัวคนอวดเก่งที่พยายามผละจากเธอเอาไว้ ประคองให้ลุกไปจากโต๊ะคอมพิวเตอร์ ไม่ลืมปิดไฟให้มืดสนิทก่อนเดินออกมาจากห้องซ้อมดนตรี
“บอกแล้วว่าเราไม่เกี่ยว”
“ถ้ารุ่นพี่ไม่ตากฝนไปหาฉันที่ห้องจะป่วยมั้ยล่ะ?”
ยุนอาจ้องตาหรี่ปรือของคนป่วยนิ่งจนกระทั่งอีกฝ่ายหลบตาไปเองเพราะจนด้วยคำพูด แต่ก็ดูไม่พอใจอยู่เพราะเถียงสู้ไม่ได้
“รู้จักรึไงว่าพี่พักที่ไหน ถ้าไม่รู้จักก็ปล่อยเถอะกลับเองเร็วกว่า” คนอวดเก่งสะบัดตัวจนหลุดจากการประคับประคองของยุนอาแล้วยื่นมือไปเท้ากำแพงไว้เพื่อพยุงตัว ดูเอาเถอะขนาดว่าป่วยหนักจนแทบเดินไม่ไหวแล้วยังอวดดีอีก
“รู้สิคะ ถ้าไม่รู้ฉันไม่อาสาหรอก”
“รู้ได้ไง?”
“เอาเป็นว่าฉันรู้แล้วกันน่า รีบไปกันเถอะค่ะ”
หางตาเหลือบมองยุนอาที่ขยับเข้ามาประคองร่างของตนโดยไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือ ก่อนพึมพำบางอย่างที่ทำให้คนอ่อนกว่าหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เออ เอ็งเก่ง”
.
.
.
เป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันที่ยุนอามีโอกาสก้าวเข้ามาในห้องพักของแทยอน ได้ทานข้าวเย็นด้วยกันสองต่อสองในขณะที่เจ้าของห้องกำลังนอนซมอยู่บนเตียงเพราะไข้หวัด เห็นแทยอนอ่อนแออย่างนี้แล้วความขุ่นเคืองที่ตกตะกอนอยู่ในใจมานานนับปีก็เหมือนจะหายไปเสียเฉย ๆ
“อิ่มแล้วล่ะ” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้นหลังจากวางช้อนลงในชามข้าวต้มที่พร่องลงไปไม่ถึงครึ่ง
“ทานไปนิดเดียวเอง ไม่ทานต่ออีกหน่อยเหรอ?” แทยอนส่ายหน้าดิกกับข้อเสนอของยุนอา พยาบาลจำเป็นจึงลุกขึ้นไปเก็บชามข้าวต้มให้คนป่วยโดยไม่มีอิดออด จะให้ทำถึงขั้นป้อนถึงปากแล้วบังคับให้ทานจดหมดก็กะไรอยู่ อีกฝ่ายเป็นถึงรุ่นพี่ไม่ใช่เพื่อนหรือคนรักซ้ำยุนอาก็ขัดเขินเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ลง
แทยอนมองตามร่างโปร่งบางด้วยความรู้สึกหลากหลาย แอบดีใจอยู่ลึก ๆ ที่ยุนอาอาสาอยู่ดูแลเธอในค่ำนี้ ทั้งพามาส่งที่ห้อง เป็นธุระซื้อหาอาหารขึ้นมาให้ถึงห้องแล้วยังอยู่ทานข้าวเย็นเป็นเพื่อนอีก ทั้งที่ปัจจุบันทั้งคู่ไม่ได้คุ้นเคยกันอย่างแต่ก่อน
“น้ำกับยาค่ะ” แก้วน้ำถูกส่งให้พร้อมถุงยา แทยอนรับมาแล้วคลี่ยิ้มบาง ๆ ให้แทนคำขอบคุณ เมื่อหมดหน้าที่ของตนยุนอาก็ตั้งหน้าตั้งตาจัดการกับจาจังมยอนในชามใบโตด้วยความหิวโหย
“ท่าจะหิวจัด” แทยอนพึมพำออกมาเบา ๆ หลังจากล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม ยุนอาหยุดเคี้ยวจาจังมยอนคำโตในปากแล้วเหลือบมองแทยอนอยู่ครู่หนึ่ง สบตากันเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าใสจะขึ้นสีชมพูจาง ๆ ด้วยความรู้สึกเขินอายที่เผลอทำตัวตะกละตะกลามต่อหน้ารุ่นพี่ จังหวะในการจ้วงตะเกียบช้าลงพร้อมใบหน้าที่ก้มต่ำ แทยอนรู้ตัวว่าทำให้อีกฝ่ายเสียความมั่นใจจึงเบนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วหลับตาลงทั้งที่รอยยิ้มยังค้างอยู่ตรงมุมปาก
“รุ่นพี่.... รุ่นพี่คะ ฉันกลับล่ะนะ” ยุนอากระซิบบอกคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงเสียงเบา หลังจากเสร็จสิ้นมื้ออาหารง่าย ๆ มีเพียงความเงียบแทนเสียงตอบรับจากแทยอน ยุนอาขมวดคิ้วแล้วลองชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นว่าดวงตาคู่ใสกำลังหลับพริ้ม ลมหายใจผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอ
ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว
ยุนอาดึงผ้าห่มที่กองอยู่ตรงช่วงเอวขึ้นมาปิดช่วงอกจนมิด ยืนมองผลงานของตนอยู่ครู่หนึ่งแล้วอมยิ้มอย่างเอ็นดู ก่อนถอยห่างออกมา เดินหาสวิตช์ไฟจนเจอแล้วกดปิด ก้าวออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบโดยไม่ลืมล็อคประตูไว้ให้เสร็จสรรพ อยู่ค้างที่นี่เห็นทีจะไม่เหมาะไว้ค่อยเจอกันวันหลังจะดีกว่า
.
.
.
วันเดินทาง คณะทัวร์กวางจูอยู่พร้อมหน้ากันที่บ้านของซูยองซึ่งเป็นจุดนัดพบ โดยมีแทยอนกับซุนกยูเป็นแกนนำ พร้อมด้วยผองเพื่อนอีก 6 คน ซึ่งประกอบไปด้วย ฮโยยอน ยุนอา ซูยอง จงฮยอน แทอุน และซอนฮวา จะขาดก็แต่ซอฮยอนญาติผู้น้องของฮโยยอนที่ต้องไปออกค่ายกับคณะจึงมาด้วยไม่ได้
“คนครบแล้วนะ?” แทยอนเจ้าภาพของงานตะโกนถามเพื่อนในกรุ๊ปทัวร์ขนาดย่อมเสียงดัง หลังจากนั้นจึงมีอีกหลายเสียงที่ตอบรับกลับมาอย่างฉะฉาน
“ทำป้ายชื่อให้เด็ก ๆ ด้วยล่ะเผื่อหลงจะได้หาผู้ปกครองเจอ” ฮโยยอนเย้า
“ฉันว่าแทนที่จะทำให้เด็ก ๆ ทำให้พี่แทยอนดีกว่า รายนั้นจะจำทางกลับบ้านตัวเองได้รึเปล่าก็ไม่รู้” ซูยองสัพยอกรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่าอย่างเจ็บแสบ หยิบยกจุดอ่อนของแทยอนที่มักจะสับสนทิศทางขึ้นมาล้อเลียน ทำให้คนฟังฉุนกึกถึงกับปาถุงขนมปังที่เพิ่งซื้อจากร้านสะดวกซื้อใส่ซูยองเต็มแรง
“เอาขนมปังไปอุดปากซะนะ” แทยอนมองคาดโทษ ก่อนที่คนอื่น ๆ จะหัวเราะร่วนอย่างชอบใจ
“เอาล่ะ ๆ แกสองคนอย่าเพิ่งทะเลาะกัน รีบขึ้นรถเร็ว ๆ ....ยุนอามาขับรถพี่นะ” ซันนี่โบกมือห้ามเพื่อยุติสงครามขนาดย่อมนี้ให้สิ้นสุดลง ก่อนหันไปสั่งการกับยุนอา หญิงสาวหันมองรุ่นพี่ร่างเล็กแล้วชี้มือมาที่ตนเองเหมือนไม่เชื่อหูพร้อมหน้าซุนกยูอย่างฉงน
“ฉันเหรอ?”
“อือ แกนั่นแหละ รีบไปอย่าช้า” ว่าแล้วคนตัวเล็กแต่แรงเยอะก็เปิดประตูรถฝั่งคนขับแล้วจับยุนอายัดเข้าไปในรถโดยไม่ยอมให้เธอได้มีโอกาสปฏิเสธ
“แกก็ไปได้แล้ว แทยอน บอกทางให้ถูกด้วยล่ะ ” ซุนกยูผลักแทยอนเข้าไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับส่วนตนเองกระโดดขึ้นนั่งเบาะหลังพร้อมกระเป๋าสัมภาระบางส่วนของสมาชิกร่วมทริป ก่อนออกคำสั่ง
“ออกรถเร็ว ๆ สิยุนอา ต้องขับนำเพื่อน ๆ ไปไม่ใช่เหรอ?” ยุนอาเหลือบมองแทยอนแวบหนึ่งแล้วบิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ พารถเคลื่อนออกไปทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกเท่าไหร่ เพราะก่อนจะนัดเจอกันก็ไม่ได้ตกลงอะไรไว้ รู้สึกเหมือนถูกซุนกยูจับมัดมือชกกลาย ๆ
นี่ถ้าเกิดยุนอาขับรถไม่เป็นคงได้มีคนหน้าแตกกันบ้างล่ะ
“รถแกทำไมแกไม่มาขับเองล่ะ?” แทยอนเอี้ยวตัวกลับไปถามคนเจ้ากี้เจ้าการที่เอนหลังสบายใจเฉิบอยู่บนเบาะนุ่ม
“ฉันเมื่อย ขับมานานแล้วขี้เกียจนอนพักดีกว่า แกสองคนก็เปลี่ยนกันขับเอาเองแล้วกัน”
“พี่รู้ได้ไงว่าฉันขับรถเป็น?” ยุนอาเอ่ยถามพร้อมเหลือบตามองซุนกยูผ่านกระจกมองหลัง
“ฉันเคยเห็นแกขับนี่...”
“พอ ๆ ฉันจะงีบก่อนเมื่อคืนนอนดึกโคตรง่วง พวกแกอย่ามาชวนฉันคุยสิ” ซุกกยูยกมือห้ามแล้วปรับเบาะนให้เอนลง ลากเอาแจ็คเก็ตของใครสักคนที่กองรวมอยู่กับสัมภาระมาคลุมตัวไว้แล้วดึงปีหมวกแก๊ปลงมาปิดบังใบหน้า แทยอนหันมามองหน้ายุนอาแล้วยักไหล่ให้กัน
“รับทราบค่ะเจ้านาย” แทยอนตอบประชด
หลังจากประโยคนั้นรถทั้งคันก็ตกอยู่ในความเงียบเป็นครั้งแรก ยุนอาไม่ใช่คนช่างพูด แทยอนเองก็ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาคุยกับอีกฝ่ายดี กลายเป็นว่าต่างคนต่างเงียบไปเกือบตลอดทาง พูดคุยโต้ตอบกันในเฉพาะยามที่จำเป็นเท่านั้น เช่น ตอนที่แทยอนต้องบอกเส้นทางหรือตอนที่ถามว่าหิวน้ำหรือเปล่า ทว่าในความเงียบนั้นต่างฝ่ายต่างก็มีความกังวลอยู่ในใจเช่นกัน
ยุนอามีบางอย่างอยากจะถามแต่ก็พูดไม่ออก
แทยอนมีบางอย่างอยากให้ยุนอารู้ก่อนถึงบ้านแต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร
“ร้อนมั้ยโชเฟอร์?”
ยุนอาคายหลอดดูดที่กำลังแทะออกจากปากก่อนหันไปตอบคำถามฮโยยอน ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่สนิทที่สุดในกลุ่ม
“ก็นิดหน่อยน่ะ”
“งั้นพี่ช่วยดับร้อนให้ละกัน”
ฮโยยอนเผยยิ้มเจ้าเล่ห์จนยุนอาต้องขมวดคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังถูกแกล้งก็สายเกินไป
“โอ๊ย! เล่นอะไรของพี่เนี่ย”
ยุนอาสะดุ้งโหยงเมื่อรู้สึกถึงวัตถุเย็นเฉียบที่ไหลลงไปในเสื้อตลอดแผ่นหลัง โวยลั่นพร้อมกับกระโดดเหยง ๆ ให้เจ้าสิ่งนั้นหล่นลงจากชายเสื้อ
น้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ขนาดหนึ่งกำมือหล่นลงบนพื้นคอนกรีตหน้าร้านสะดวกซื้อภายในปั๊มน้ำมัน ก่อนจะละลายกลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็วด้วยอุณหภูมิร้อนแรงของแสงแดดจัดจ้ายามบ่าย ฮโยยอนตัวต้นเหตุยืนหัวเราะอยู่กับเพื่อน ๆ ของยุนอาลั่นปั๊มน้ำมันโดยไม่รู้สึกผิด ยุนอาจ้องหน้ารุ่นพี่คนสนิทอย่างเอาเรื่องแล้วแยกเขี้ยวใส่ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งถูกใจคนขี้แกล้ง จึงเลือกที่จะเดินหนีปึงปังกลับไปที่รถของซันนี่โดยไม่ตอบโต้อะไรให้ตนเองเสียเปรียบอีก
“ยิ้มอะไรคะคุณคิมแทยอน”
ซุนกยูเอ่ยทักทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ถึงกับสะดุ้ง มองผ่านกระจกใสของร้านสะดวกซื้อไปยังจุดที่ตรึงสายตาของแทยอนไว้เมื่อครู่ก็พบกับร่างของยุนอาที่เพิ่งผลุบหายเข้าไปในรถ เห็นอย่างนั้นแล้วซุนกยูถึงได้เข้าใจ
“ขวัญอ่อนจริงนะเธอ” หลิ่วตามองเพื่อนสนิทแล้วสัพยอกให้พอรู้สึกแสบ ๆ คัน ๆ ก่อนที่เสียงจะเล็กหลุดหัวเราะคิกคักออกมาอย่างน่าหมั่นไส้จนคนฟังต้องตวัดสายตามองอย่างไม่พอใจ
“ขำมากนักเหรอ ฝากจ่ายตังค์ด้วยแล้วกัน” แทยอนยัดตะกร้าที่เต็มไปด้วยขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มใส่มือซุนกยูแล้วเดินหนีออกไปจากร้านกลบเกลื่อนความรู้สึกเสียหน้า ซุนกยูมองตามพลางทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับอาการสงวนท่าทีที่มีมากเกินไปของเพื่อนสนิท
“ฟอร์มเยอะไปไหนเพื่อนฉัน”
“ให้พี่ขับมั้ย?” แทยอนเอ่ยถามหลังจากประตูรถปิดลง
“ไม่เป็นไรค่ะ เพิ่งหายป่วยไม่ใช่เหรอคะ ฉันขับเองดีกว่า” เพราะห่วงใยถึงได้รับอาสาขับเองคนเดียว
“ยุนอา พี่หายป่วยได้เกือบสองอาทิตย์แล้วนะ” แทยอนพูดกลั้วหัวเราะ ทำให้ยุนอาต้องยกมือเกาแก้มแก้เก้อ “ให้พี่ขับเถอะนะ อีกนานกว่าจะถึง”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ” ทนแรงคะยั้นคะยอจากแทยอนไม่ไหวจึงยอมลงจากรถเดินอ้อมเพื่อสลับที่กันนั่ง
“ถ้าเมื่อยก็บอกได้นะคะ” ยุนอาหันไปกำชับหลังจากได้ที่นั่งเรียบร้อย แทยอนวางมือบนพวงมาลัยเหมือนกำลังเตรียมพร้อมแล้วพยักหน้ารับคำ
“นี่ พวกแกเดินสวนสนามกันจบยัง” ซันนี่ชะโงกหน้ามาแทรกกลางระหว่างยุนอาและแทยอนพร้อมคำถามประชดประชันแกมหมั่นไส้
“โอเค ๆ ไปแล้ว ๆ” แทยอนรับคำแล้วพารถเคลื่อนออกไปจากปั๊มน้ำมันอย่างระมัดระวัง
.
.
.
รถทั้งสามคันเคลื่อนเข้ามาจอดภายในอาณาเขตของบ้านสองชั้นหลังใหญ่ก่อนที่เครื่องยนต์จะดับลง ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดครึ้ม เมฆกำลังตั้งเค้าเป็นสัญญาณบอกว่าฝนกำลังจะตกลงมาในไม่ช้า แทยอนเหลือบมองยุนอาที่นอนหลับคอพับคออ่อนอยู่บนเบาะนั่งข้าง ๆ อย่างกลัดกลุ้ม จังหวะนั้นซุนกยูกำลังยื่นมือไปเขย่าตัวปลุกยุนอา แต่ถูกแทยอนห้ามไว้เสียก่อน
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง ปล่อยเค้าหลับไปก่อน”
“ทำไมล่ะ?”
แทยอนมองตาเพื่อนด้วยสีหน้าเป็นกังวล เงียบไปสักพักก่อนถอนหายใจแล้วตอบกลับมาเบา ๆ
“ฉันขอเวลาเตรียมใจหน่อย” ไม่บ่อยนักที่แทยอนจะแสดงความรู้สึกออกมาตรง ๆ ซุนกยูพยักหน้าอย่างเข้าใจ ยื่นมือไปบีบไหล่เพื่อนสนิทเบา ๆ เพื่อส่งกำลังใจ
“งั้นเอาของไปเก็บก่อนดีกว่าแล้วค่อยปลุก”
“โอเค ได้”
“แทยอน มาแล้วเหรอ” ชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดเดินออกมาจากบ้านเพื่อต้อนรับแทยอนและกลุ่มเพื่อน สีหน้าตื่นเต้นยินดีผิดไปจากทุกครั้ง มือหยาบกร้านเพราะงานในสวนยื่นไปเขย่าตัวของลูกสาวคนเล็กขณะที่เอ่ยถาม เห็นประกายแห่งความหวังในดวงตาคู่นั้นแล้ว แทยอนก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าที่ทำไปนั้นถูกหรือผิด ดูเหมือนบิดาของตนจะไม่เหลือพื้นที่ให้กับความผิดหวังแม้เพียงน้อยนิด
“มาแล้วค่ะพ่อ อยู่ในรถน่ะ” แทยอนพูดเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน เหลือบไปเห็นร่างผอมบางของผู้เป็นย่ายิ่งน่าหนักใจกว่าหลายเท่า
แดฮุนผละจากลูกสาวเพื่อประคองมารดาไปที่รถด้วยความยินดีอย่างท่วมท้น แม้แต่เสียงเอ่ยทักทายของเหล่าผองเพื่อนของแทยอนก็แทบไม่ได้ยิน เพียงตอบรับไปส่ง ๆ ตามมารยาทเท่านั้น เพราะความรู้สึกกำลังจดจ่ออยู่กับสิ่งอื่นมากกว่า
เสี้ยวหน้าที่เห็นเลือนรางในแสงสลัวยามอัสดงทำให้หัวใจที่เต้นแผ่วเบาของหญิงชราสูบฉีดรุนแรงเหมือนได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง มือเหี่ยวย่นที่กำลังสั่นเทาค่อย ๆ ยื่นไปแปะที่กระจกรถพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอจากบางสิ่งที่ตีตื้นอยู่ในอก แดฮุนเองก็พยายามห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหล แต่ก็ห้ามได้ยากเหลือเกิน
กระจกรถถูกเคาะเบา ๆ สองสามทีเพื่อปลุกคนที่หลับไหลไม่ได้สติให้ตื่นเสียที เปลือกตาบางกระพริบถี่ก่อนจะเปิดขึ้นมองรอบตัวอย่างมึนงง ประตูรถถูกดึงให้เปิดออกด้วยฝีมือของคนแปลกหน้า ยุนอาตกใจจนแทบหลุดเสียงอุทานออกมาลั่นรถ หากไม่เหลือบไปเห็นแทยอนที่ยืนอยู่หน้ารถเข้าเสียก่อน
“พ่อพี่เอง” แทยอนบอกสั้น ๆ
“สวัสดี..” พูดไม่ทันจบประโยคเสียงแหบแห้งของหญิงชราก็เอ่ยเรียกใครบางคน แต่สายตาฝ้าฟางกลับจ้องมองมาที่ยุนอาด้วยความตื้นตันไม่ต่างไปจากบิดาของแทยอน
“ยุนฮี”
ยุนอาเขม้นมองอย่างฉงนขณะก้าวออกมาจากรถอย่างช้า ๆ ดวงตาจดจ้องใบหน้าของผู้สูงวัยทั้งสองสลับกับใบหน้าของแทยอนเพื่อขอคำตอบ ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“....”
มือเหี่ยวย่นยื่นมาประคองใบหน้าของยุนอาแผ่วเบาแล้วค่อย ๆ เลื่อนไปสัมผัสองค์ประกอบบนใบหน้าทุกส่วน ราวกับกลัวว่ายุนอาจะหายวับไปจากต่อหน้า
“ยุนฮี.... ก... กลับมาแล้วใช่มั้ย” เสียงสั่นเครือถามคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ น้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลอาบแก้มพาเอาอีกหยดพรั่งพรูตามลงมาเป็นสายราวกับเขื่อนแตก ท่ามกลางความตกใจของยุนอาและทุกคนที่ไม่รู้เรื่อง หญิงชราแปลกหน้าโผเข้ากอดยุนอาแน่นแล้วร่ำไห้ปานจะขาดใจ เนื้อตัวสั่นเทาจนยุนอานึกสงสารและปฏิเสธไม่ลง แต่ก็ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรกับสถานการณ์เหนือความคาดหมายที่กำลังประสบ
เหลือบมองบิดาของแทยอนที่ยืนแตะแผ่นหลังเธอเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบโยนให้สงบใจไว้ก่อน แต่ในความมืดสลัว ยุนอาแอบสังเกตเห็นประกายของหยดน้ำใสที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของชายวัยกลางคน กระทั่งเจ้าตัวแอบปาดมันออกไปเงียบ ๆ
แทยอนไม่ได้ให้คำตอบแก่ยุนอาในทันที ปล่อยให้ความสงสัยยังค้างคาอยู่ต่อไป
ทำไมคนตรงหน้าถึงเรียกยุนอาว่ายุนฮี แล้วยุนฮีคือใครกันแน่???
______________________
ความคิดเห็น