คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 2 : ยินดีที่ได้รู้จัก [rewrite 22.07.2015]
Chapter 2
ยินดีที่ได้รู้จัก
(?)
นาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังบอกเวลาเก้าโมงเศษ
ๆ นานแล้วที่ไม่ได้ตื่นสายขนาดนี้ ยุนอาออกจากห้องน้ำด้วยความรู้สึกไม่สบายตัว
การพักผ่อนไม่เพียงพอบวกกับสภาพอากาศเมื่อคืนทำให้หวัดเล่นงานตั้งแต่เช้าจนต้องลาหยุดทั้งวัน
แต่คนที่อาการหนักกว่าคงหนีไม่พ้นเด็กผู้หญิงแปลกหน้าที่รับขึ้นรถมาด้วยเมื่อคืน
ป่านนี้ไม่รู้จะตื่นหรือยัง หรืออาจจะนอนซมเพราะพิษไข้อยู่ก็น่าคิด
ยุนอาพาดผ้าขนหนูผืนเล็กไว้บนไหล่ก่อนเดินไปยังห้องนอนข้าง
ๆ ที่ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป มือที่เตรียมยกขึ้นเคาะประตูตกลงข้างตัว
นึกขึ้นได้ว่าเสียงนั้นอาจจะรบกวนคนป่วย
แต่จะให้เปิดประตูเข้าไปเลยก็ดูจะไร้มารยาทเกินไปหากว่าเด็กคนนั้นไม่ได้หลับอยู่อย่างที่คิด
จริงอยู่ว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของยุนอา
แต่ในเมื่อยกให้อีกคนไปแล้วถึงจะแค่ชั่วคราวแต่ก็ไม่ควรจะล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว
ยกมือขึ้นกอดอกอย่างใช้ความคิด
พลางเงี่ยหูฟังเสียงจากภายในห้อง แต่ก็ไม่ได้อะไรนอกจากความเงียบ
ยืนมองประตูบานใหญ่อยู่นานเป็นนาทีกว่าจะตัดสินใจได้
ลองยื่นมือไปขยับลูกบิดก็พบว่ามันไม่ได้ถูก ล็อคจากข้างใน ยุนอาผลักความเกรงใจทิ้งไปพร้อมบานประตูที่ค่อย ๆ
เปิดแง้มออก นึกตำหนิอีกฝ่ายอยู่ในใจว่าช่างไม่รู้จักระมัดระวังตัวเสียบ้าง
แต่ยุนอาคงลืมอะไรไปอย่างว่าหากประตูถูกล็อคเธอก็คงเข้ามาในนี้ไม่ได้ง่าย ๆ
เช่นกัน
“หลับจริง ๆ ด้วย”
บนเตียงนอนกว้างมีร่างเล็ก
ๆ นอนซุกตัวอยู่ในผืนผ้าห่มที่คลุมจนเกือบถึงศีรษะ หากไม่สังเกตดี ๆ คงเห็นแต่กองผ้าไม่เห็นตัวคน
เมื่อร่างทั้งร่างราวกับจะจมหายไปกับเครื่องนอนสะอาดสะอ้าน
ใบหน้าซีกหนึ่งแนบไปกับหมอนใบใหญ่ เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านเดียวที่ดูไม่สู้ดีนัก
ริมฝีปากแดงจัดเพราะพิษไข้เผยอขึ้นน้อย ๆ ลมหายใจดูปั่นป่วนรุนแรงไม่เป็นปกติ
ไม่ต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ก็พอจะมองออกว่าอาการของคนตรงหน้านั้นย่ำแย่เพียงใด
ฝ่ามืออุ่นวางทาบลงบนหน้าผากเนียนอย่างแผ่วเบา
ความร้อนจากผิวที่สัมผัสก่อให้เกิดความวิตกกังวล
เด็กคนนี้ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากคนที่ไม่เคยดูแลใครอย่างยุนอาคงใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
“รอก่อน
อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ”
เมื่อรู้ว่าต้องทำอะไรยุนอาก็ผลุนผลันออกจากห้องไป
สมาร์ทโฟนที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งถูกหยิบขึ้นมาใช้งานอย่างร้อนใจ
สัญญาณรอสายที่ดังเพียงไม่กี่ครั้งก็ฟังเหมือนยาวนานกว่าทุกที
“สวัสดีค่ะพี่หมอ
ว่างอยู่หรือเปล่า”
“ช่วยมาดูคนป่วยหน่อยสิ”
“ที่คอนโด ฯ ฉันเองค่ะ
รบกวนด้วยนะ ขอบคุณค่ะ”
ยุนอากันตัวเองออกมาอยู่ตรงโซฟามุมห้อง
ได้แต่ลอบมองคุณหมอหนุ่มกับคนไข้บนเตียงเป็นครั้งคราว หากจะนั่งจ้องตรง ๆ
อย่างที่อยากทำก็เหนื่อยที่จะต่อปากต่อคำกับคุณหมอปากจัด หลังจากที่ต้องหาข้อแก้ตัวยกใหญ่เรื่องที่พาคนแปลกหน้าเข้ามาค้างที่คอนโด
ฯ ด้วยอีกฝ่ายเข้าใจไปว่ายุนอามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนป่วย
ซ้ำยังกระเซ้าเย้าแหย่ไม่ขาดปากหาว่าเธอไปหลอกเด็ก ถึงจะปฏิเสธแทบตายแต่ดูเขาไม่ยอมปักใจเชื่อ
แววตากรุ้มกริ่มแกมล้อเลียนที่ส่งมาให้ทุกครั้งที่ยุนอาทำท่าเป็นห่วงเป็นใยเด็กสาวยิ่งทำให้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ
จึงตัดปัญหาด้วยการออกมานั่งอยู่คนเดียวเงียบ ๆ
รอคอยจนกว่าการทำงานของหมอฮีชอลจะเสร็จสิ้น
“เรียบร้อยแล้วล่ะ
แค่ไข้หวัดธรรมดาไม่ต้องห่วง”
“ก็ไม่ได้ห่วงอะไร” ยุนอาพึมพำเบา
ๆ แต่ก็คิดว่าฮีชอลได้ยินแค่ทำเป็นไม่ใส่เท่านั้น
ดูจากรอยยิ้มกวนอารมณ์กับดวงตาแพรวระยับคู่นั้นก็รู้
“ช่วยดูไม่ให้ตัวร้อนมาก
ๆ ก็พอ ยาก็จัดไว้ให้แล้วพร้อมของเธอ
...เจลลดไข้เธอก็น่าจะมีทำไมไม่รู้จักเอามาใช้”
“ก็.. มันลืมนี่”
“เอาเถอะ ๆ
เธอเองก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ ป่วยไปอีกคนจะแย่เอา”
ฮีชอลว่าพลางเก็บอุปกรณ์ลงในกระเป๋าตามเดิม
“ค่า ทราบแล้วค่า~”
ยุนอารับคำอย่างประชดประชันแต่คนอายุมากกว่าก็ใช่ว่าจะใส่ใจ
“เออ ถามจริง ๆ
เถอะยุนอา”
“หือ?”
“พี่รู้ว่าเธอชอบผู้หญิง
เคยเห็นคู่ควงเธอมาก็เยอะ” ว่าพลางเหลือบมองคนป่วยที่ยังหลับไม่รู้เรื่องบนเตียง “แต่ท่าทางคราวนี้เธอจะเปลี่ยนรสนิยมสินะ.....
ที่จริงพี่ก็เข้าใจนะ อะไรที่ซ้ำซากจำเจมันก็น่าเบื่อ
บางทีเด็กวัยกระเตาะก็คงจะน่าตื่นเต้นไปอีกแบบ... แต่เธอจริงจังกับเด็กนี่แค่ไหน? หรือว่าแค่ควงเล่นแก้เบื่อล่ะ?”
ยุนอากลอกตาไปมากับคำถามที่วนซ้ำอยู่แต่เรื่องเดิมไม่จบไม่สิ้น
เห็นท่าทีจริงจังนึกว่าจะพูดเรื่องสำคัญเสียอีก
“นี่พี่ยังไม่จบอีกเหรอ”
“ยังไม่พร้อมจะตอบก็ไม่เป็นไร
เอาเป็นว่าพี่จะไม่บอกใครแล้วกันว่าเธอแอบพาเด็กขึ้นคอนโด ฯ พร้อมก็ค่อยเปิดตัวแล้วกันนะ”
“พี่จะเลิกพูดเองเออเองได้หรือยัง”
“น่า.. ดูแลกันดี ๆ นะ
พี่ไปทำงานต่อล่ะ” พูดจบก็เดินจากไปพร้อมปิดประตูกระแทกหน้าเจ้าของห้อง
ทิ้งให้ยุนอายืนกัดฟันกรอดมองบานประตูอย่างฉุนเฉียว
“เออ
ถ้าจะไม่เชื่อกันขนาดนั้นน่ะนะ... ไอ้หมอโรคจิตเอ๊ย”
ถ้าสภาพร่างกายยังปกติดียุนอาคงขับรถพาคนป่วยไปโรงพยาบาลด้วยตนเอง
จะได้ไม่เกิดปัญหา
ตอนที่โทรไปก็มัวแต่ตกใจจนลืมนึกถึงอุปนิสัยส่วนตัวอันน่าปวดหัวของรุ่นพี่คนสนิท
“เธอนี่ก็ขี้เซาเหลือเกินนะ”
ยุนอาหันกลับมาให้ความสนใจคนบนเตียงอีกครั้ง
ใบหน้าขาวซีดเมื่อปราศจากคราบมอมแมมแล้วก็ดูน่ามองขึ้นอีกเท่าตัว ผิวพรรณผุดผ่องประกอบกับรูปร่างที่ดูบอบบางอ้อนแอ้น
ราวกับถูกประคบประหงมดูแลมาทั้งชีวิต
ไม่น่าจะมาระหกระเหินอยู่ข้างถนนในเวลากลางคืนแบบนี้ด้วยซ้ำ แล้วเหตุผลใดที่ผลักดันให้เด็กผู้หญิงตัวเล็ก
ๆ ต้องระเห็จออกจากบ้านอันแสนอุบอุ่นกลายเป็นคนเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง
ยุนอาถอนหายใจยาวอย่างคิดไม่ตก
ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังแทรกเข้ามาในความเงียบ
เหลือบมองต้นตอของเสียงก็พบกับสมาร์ทโฟนหน้าจอแตกร้าวที่เจ้าตัวดูหวงแหนนักหนา
มันกำลังส่งสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่กำลังอ่อนแรง ยุนอาหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด
คงเป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนทำให้มันตกอยู่ในสภาพนั้น
แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าการที่เด็กตรงหน้ากำมันไว้แน่นแม้ยามหลับ
กว่าที่เธอกับฮีชอลจะช่วยแกะมันออกจากมือได้ก็ทุลักทุเลเหลือเกิน สติที่ครึ่งหลับครึ่งตื่นยังพะวงอยู่แต่กับมือถือเพียงเครื่องเดียว
ความสงสัยทำให้ยุนอาปัดความรู้สึกผิดออกไปชั่วคราว
แล้วถือวิสาสะหยิบสมาร์ทโฟนของอีกคนมาสำรวจโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
แต่พอหน้าจอสว่างวาบยุนอาก็แทบอยากเอาศีรษะไปโขกกับผนังแรง ๆ
ให้สาสมกับความโง่เง่าของตน
ลืมนึกไปว่าของสำคัญขนาดนั้นก็ต้องมีการตั้งค่าความปลอดภัยเอาไว้เป็นธรรมดา
ได้แต่จ้องมองตัวเลขบนหน้าจอที่กำลังเยาะเย้ยถากถาง
กับรหัสผ่านที่ยุนอาคาดเดาไม่ถูก
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ได้รับรู้จากมันก็คือ
คนที่นอนหลับใหลอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ในอดีตเคยเป็นเด็กผู้หญิงที่เปี่ยมล้นด้วยความสุข
ภาพรอยยิ้มของผู้เป็นเจ้าของที่ปรากฏอยู่บนพื้นหลังจอสี่เหลี่ยมได้บอกกับเธอเช่นนั้น
สัมผัสเย็นชื้นที่ป่ายปัดไปทั่วทั้งหน้ากำลังสร้างความรำคาญให้แก่แทยอน
เสียงแหบครางผะแผ่วพยายามหลบสิ่งรบกวนนั้น แต่จนแล้วจนรอดก็หนีไม่พ้น จำต้องฝืนเปลือกตาอันหนักอึ้งเปิดขึ้นในที่สุด
สิ่งแรกที่สายตาพร่ามัวมองเห็นคือใบหน้าของใครบางคนที่จอจ่ออยู่ใกล้ ๆ
ความหวาดระแวงสั่งให้ปัดมือของอีกฝ่ายออกไปแรง ๆ
ก่อนรวบรวมกำลังพาร่างกายอ่อนล้าลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง
รวบผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมตัวด้วยท่าทางไม่ไว้ใจ
“ตื่นแล้วก็แผลงฤทธิ์เลยนะ”
แทยอนไม่ได้ใส่ใจคำตำหนินั้น
ซ้ำยังโยนคำถามกลับไป เพราะสมองอันเฉื่อยชาคิดหาคำตอบเองไม่ได้
“คุณเป็นใคร?”
“ไข้หวัดนี่ทำให้เธอความจำเสื่อมได้ด้วยเหรอ?”
แทยอนยกมือนวดขมับบรรเทาความปวดร้าวที่ศีรษะ
เริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการเหน็บแนมนั่นแล้ว แต่ยังนึกไม่ออกในทันที
“ตื่นแล้วก็กินอะไรซักหน่อย
จะได้กินยา นี่ก็ได้เวลาพอดี” รับรู้ได้ว่าเจ้าของร่างนั้นถอยออกห่างเล็กน้อย
มือเล็กขยี้ตาเพื่อลดอาการพร่ามัว
รู้สึกคลับคลายคลับคลากับใบหน้าเรียวสวยที่มองเห็นก่อนที่ความทรงจำจากเมื่อคืนจะหลั่งไหลเข้ามาเหมือนสายน้ำหลาก
ดวงตาเรียวเล็กเบิกกว้างขึ้นในทันที
“นี่คุณ... คุณเองเหรอ”
“ท่าทางจะจำได้แล้วสินะ”
ท่ายืนกอดอกในท่าสบาย ทว่าสร้างความกดดันเล็ก ๆ ให้คนมองได้อย่างน่าประหลาด เค้าหน้าที่เห็นเลือนรางเมื่อคืนเพิ่งชัดเจนก็ตอนนี้
เสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิมนั่นคงเป็นสิ่งที่ทำให้แทยอนจดจำอีกฝ่ายได้ยากขึ้น
ทำให้รู้ว่าอีกคนก็ถูกฝนเล่นงานด้วยเช่นกัน
ผู้หญิงตรงหน้าเป็นคนสวยชนิดหาตัวจับยาก
แต่เสียที่ชอบเหน็บแนมและปากร้ายไปสักนิด
แทยอนละสายตาจากร่างสูงโปร่งแล้วหันมาให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อมรอบกายแทน
ห้องนอนกว้างที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครับครัน
ทำให้คาดเดาฐานะของผู้เป็นเจ้าของได้ไม่ยาก
แต่ที่สะดุดสายตาที่สุดเห็นจะเป็นกะละมังใบเล็กที่ตั้งบนหัวเตียงกับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดที่ยังเปียกชุ่ม
แล้วเลื่อนสายตากลับมามองเจ้าของอาณาเขตแห่งนี้ด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“คุณเป็นคนเช็ดตัวให้ฉันหรอคะ?”
“แล้วเธอเห็นใครในห้องนี้นอกจากฉันหรือเปล่าล่ะ?”
พูดพร้อมกับเบือนหน้าหนีด้วยท่าทีราวกับไม่ใส่ใจ
หากแทยอนมีเวลาสังเกตสักนิดจะเห็นความขัดเขินในสีหน้าที่พยายามบังคับให้นิ่งเฉย เพราะเพิ่งเคยทำในสิ่งที่ไม่คิดจะทำให้ใคร
แต่เด็กหลงทางที่เพิ่งพบหน้ากลับได้รับเกียรตินั้นเป็นคนแรก
“ขอบคุณค่ะที่กรุณา”แทยอนค้อมศีรษะให้พร้อมคำขอบคุณจริงใจ
ทำเป็นไม่ได้ยินคำถามยอกย้อนของคนตรงหน้า
“รีบกินข้าวต้มซะเถอะ
ยาเธอวางอยู่บนโต๊ะโคมไฟนั่น”
มองตามสายตาคู่สวยก็พบกับชามข้าวต้มที่ยังมีควันลอยกรุ่น
พร้อมกับแก้วน้ำและถุงยาวางอยู่ข้างกัน
แทยอนมองเลยผ่านชามข้าวต้มที่ไม่นึกอยากแตะนั่นนอกหน้าต่างมืดมิด
เม็ดฝนเกาะพราวบนกระจกบานใส ข้างนอกนั่นฝนคงกำลังตกหนัก
และคงจะตกต่อเนื่องไปอีกนาน แทยอนเพิ่งรู้ว่าตนใช้เวลานอนทั้งวันจนกระทั่งเย็นย่ำ
“กี่โมงแล้วคะ?”
“ทุ่มกว่าแล้ว”
“ฉันหลับไปทั้งวันเลยสินะ”
แต่อยู่ ๆ
แทยอนก็มีสีหน้าตื่นกระหนก ผ้าห่มที่กองอยู่บนตัวถูกตวัดออกไปจนแทบหล่นจากเตียง
พร้อมกับควานหาของสำคัญที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่อยู่ข้างกายอีกต่อไป
“เป็นอะไรไป”
“โทรศัพท์ค่ะ
โทรศัพท์ฉันหาย คุณเห็นบ้างไหมคะ”
“ก็นึกว่าเรื่องอะไร...
มันก็อยู่ข้างถาดข้าวต้มเธอนั่นแหละ”
ยุนอาส่ายหน้าให้กับอาการตื่นตูมจนเกินเหตุของเด็กสาว
พอได้โทรศัพท์มาก็ตั้งท่าจะเปิดมันแต่พบว่าไม่สำเร็จ
หน้าจอยังคงมืดสนิทเพราะแบตเตอรี่ได้หมดไปนานแล้ว
แทยอนเตรียมจะก้าวลงจากเตียงหากไม่ถูกเสียงหนึ่งทัดทานเอาไว้เสียก่อน
“เธอจะทำอะไรน่ะ?”
“ไปหยิบกระเป๋าค่ะ
ในนั้นมีที่ชาร์ตแบต ฯ”
“อยู่ตรงไหนเดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้”
เห็นร่างซวนเซที่แทบจะทรงตัวไม่อยู่ก็นึกสงสารจึงยื่นมือเข้าไปช่วย
ทว่าเด็กคนนี้ก็อวดดีเกินไปไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากยุนอาง่าย ๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันหยิบเองได้”
“อย่าอวดเก่งไปหน่อยเลยน่า
จะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ไหน กระเป๋าเธออยู่ไหน?”
แทยอนถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้
ยอมบอกที่เก็บกระเป๋ากับอีกฝ่ายแต่โดยดี
“ขอบคุณค่ะ”
ในขณะที่กล่าวคำขอบคุณอยู่ในลำคอก็ก้มหน้าก้มตาสำรวจสิ่งของในกระเป๋าอย่างร้อนรน
เกรงว่าจะมีสิ่งใดหล่นหาย
“อิม ยุนอา”
“.....?”
แทยอนหยุดมือแล้วเงยหน้าขึ้นมองอีกคนตาปริบ ๆ กับคำพูดลอย ๆ
ที่ไม่แน่ใจว่าต้องการบอกกับเธอหรือเปล่า
“ชื่อฉันเอง”
“เอ่อ.. ฉัน คิม
แทยอนค่ะ” จำต้องบอกชื่อตนเองออกไปเพราะทนสายตารบเร้าของอีกฝ่ายไม่ไหว เป็นการแนะนำตัวที่แปลกอยู่สักหน่อยในความรู้สึกของแทยอน ได้คำตอบที่พอใจแล้วก็ลดตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวที่ลากมาไว้ข้างเตียงตั้งแต่ตอนกลางวัน
เรียวขาสวยในกางเกงขาสั้นตวัดขึ้นไขว่ห้าง
กอดอกมองแทยอนเขม็งคล้ายกำลังเตรียมสอบสวน
“เธออายุเท่าไหร่?”
“17 ค่ะ”
“ยังเรียนม.ปลายอยู่สินะ”
“ค่ะ แต่ไม่เรียนแล้ว
จะหางานทำ” พอถูกจ้องด้วยสายตาคมดุแทยอนก็ต้องเบือนหน้าหนีหลบสายตา
“ทำไม?”
“ฉันไม่มีเงินเรียนต่อค่ะ”
เสียงตอบนั้นเบาลงทุกทีเมื่อต้องบิดเบือนความจริง
ผิวกายด้านที่ถูกจดจ้องรู้สึกร้อนวูบวาบราวกับกำลังถูกแผดเผา ดวงตาคู่นั้นมองเหมือนจะให้ทะลุถึงตัวตนข้างใน
“พูดเป็นเล่นไป
ท่าทางเธอไม่ใช่เด็กยากจนเลยสักนิด ข้าวของกับเสื้อผ้าที่เธอใช้
มันห่างไกลคำนั้นมากรู้ไหม?”
นึกอยู่แล้วว่าเธอคงไม่สามารถตบตาคนคนนี้ได้
จำต้องคายความจริงที่ไม่อยากเอ่ยถึงออกมา
“พ่อฉันเพิ่งเสียค่ะ”
“จริงเหรอ?”
“ฉันไม่เอาเรื่องความเป็นความตายมาล้อเล่นหรอก”
ดวงตาร้าวรานตวัดมองเมื่อเห็นว่าอีกคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อถือ
พอได้มองสบยุนอาก็ถอนใจแล้วพยักหน้า
“เข้าใจแล้วล่ะ...
แล้วแม่เธอล่ะ?”
“ไม่อยู่แล้วเหมือนกันค่ะ”
ริมฝีปากแดงจัดเม้มแน่นแสดงอาการไม่พอใจที่ถูกซักถามเรื่องส่วนตัวจนรู้สึกเหมือนกำลังถูกละลาบละล้วง
“ญาติเธอล่ะ?”
“ไม่มีค่ะ”
“แต่บ้านก็น่าจะมีไม่ใช่เหรอ?”
คนสอบสวนยังคงยิงคำถามด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ต่างจากคนที่ตกอยู่ในที่นั่งเดียวกับผู้ต้องหาลิบลับ กับการต้องเอื้อนเอ่ยความจริงที่เสียดแทงความรู้สึก
“ไม่มีแล้วค่ะ”
“ฉันขอถามเธอคำถามเดียวกับเมื่อคืน....
เธอจะไปที่ไหนต่อ”
“ฉันเอง...
ก็ยังไม่รู้เลย”
น้ำเสียงแผ่วเบาพร้อมอาการก้มหน้างุดมองแค่มือบนตักทำให้ยุนอาถอนใจเบา ๆ
นึกกลัดกลุ้มแทนอีกคนไม่น้อย
“โอเค
งั้นเธอพักผ่อนเถอะ หายแล้วค่อยคิดก็ได้ว่าจะเอายังไงกับชีวิต”ยุนอายุติการสนทนาที่เริ่มตึงเครียดขึ้นทุกขณะโดยไม่มีสัญญาณใด
ๆ พอจะมองออกว่าแทยอนไม่พร้อมตอบคำถามใคร
“ขอบคุณค่ะ”
“แต่เธอลองทบทวนดูดี
ๆ... ฉันว่าข้างนอกนั่นมันไม่น่าอยู่สำหรับเด็กผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะ”
ยุนอาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
น้ำเสียงแม้ไม่อ่อนหวานนุ่มนวลแต่เจือความห่วงใยอยู่เต็มเปี่ยม
“กินข้าวกินยาแล้วก็นอนพักซะจะได้หายไว
ๆ ....ฉันไปล่ะ”
กล่าวประโยคสุดท้ายก่อนที่ประตูจะปิดลง
ปล่อยแทยอนไว้กับเสียงฝนที่ตกโปรยปรายและความเงียบเหงาดังเดิม ส่วนคนที่ยืนพิงประตูหน้าห้องอยู่นั้นคงมีเรื่องให้ต้องขบคิดอีกทั้งคืน
ต้องขอบคุณและขอโทษคุณ Citrus :)) จากใจจริง ๆ ค่ะ ;-; คราวนี้เค้าจะพยายามให้จบค่ะ
กลับมาคราวนี้กะจะเคลียร์เรื่องนี้จริง ๆ จะลบตราบาปของตัวเองที่ไม่เคยเขียนฟิคยาวจบสักที
ขอบคุณที่ติดตามและยังไม่ทิ้งกันไปไหนนะคะ
ความคิดเห็น