ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    TIMELESS (NewJiew TS1)

    ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 10 : ผิดแบบซ้ำ ๆ

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 57


    บทที่ ๑๐

    ผิดแบบซ้ำ ๆ




    January 12, 2014 | (SUN)


    จิ๋วไม่แปลกใจเลยที่มีรถคันคุ้นตามาจอดอยู่ภายในบริเวณบ้าน ร่างเล็กกระชับเสื้อกันหนาวที่สวมใส่ให้แนบกับลำตัว เนื่องจากอากาศยามสายของเชียงใหม่ในช่วงนี้ยังคงเย็นยะเยือก เธอเดินทางมาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเตรียมตัวร่วมงานในตอนเย็นที่บ้านเกิด ด้านหลังมีผู้จัดการและผู้ติดตามเดินลากกระเป๋าสัมภาระตามมาติด ๆ  จิ๋วยิ้มให้หญิงสูงวัยผู้เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่แล้วยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ก่อนจะทักทายชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันตามลำดับ พอจะเดาออกถึงจุดประสงค์ในการมาเยือนของแม่กับพี่ชายนิวในวันนี้

    มาแต่เจ๊าเลยนะแม่ อ้ายหนุ่ม (มาแต่เช้าเลยนะแม่ พี่หนุ่ม)”

    ว่าจะมาตั้งแต่หกโมงปู้นละ กั๋วบ่มีไผลุกมาเปิดบ้านหื้อนะกะ (ว่าจะมาตั้งแต่หกโมงนู่น กลัวไม่มีใครตื่นมาเปิดบ้านให้)” ท่านพูดอย่างอารมณ์ดีแล้วหัวเราะร่วนแม้จะมีความกังวลปรากฏอยู่ในสีหน้า เหมือนกับนิวไม่มีผิด นี่สินะที่เขาเรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น

    บ้านนี้เปิ้นตื่นเจ๊าเน่อแม่ มาตั้งแต่ฟ้ายังบ่สางยังได้เลย (บ้านนี้เค้าตื่นเช้าแม่ มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางยังได้เลย)” จิ๋วกระเซ้ากลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    มาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกั๋นก่อนเต๊อะลูก (มาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะลูก)” แม่ของจิ๋วบอกกับผู้ติดตามของลูกสาวคนเก่ง ทั้งหมดเดินตามญาติผู้พี่ของจิ๋วเข้าไปในบ้าน เหลือเพียงจิ๋วที่ยังต้องอยู่คุยธุระกับแขกผู้มารอพบอย่างรู้งาน

    อยู่ตางนั้นเป๋นใดพ่อง สบายดีก่อ แล้วนิวบ่อยากขึ้นมาเจียงใหม่ตวยกั๋นกะลูก (อยู่ทางนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ สบายดีไหม แล้วนิวไม่อยากขึ้นมาเชียงใหม่ด้วยกันเหรอลูก)” พอคล้อยหลังคนอื่น ๆ ไปแม่ของนิวก็เข้าเรื่องทันที แน่นอนว่าแทบทุกคนย่อมรู้ถึงความเป็นไปในขณะนี้ดี ข่าวการชุมนุมทางการเมืองที่ทำท่าจะยืดเยื้อไปอีกนานมีให้เห็นผ่านทางหน้าจอทีวีทุกวี่วัน ยิ่งเป็นคนที่ญาติพี่น้องอยู่ในกรุงเทพ ฯ ด้วยแล้วก็เป็นธรรมดาที่ต้องร้อนใจด้วยความเป็นห่วง

    ในกรุงเทพ บางตี้ก่อวุ่นวายเจ้าแม่ แต่ก็บ่ใจ้ตึงหมด แต่แม่บ่ต้องเป๋นห่วงเน้อ วันนี้แม่ตั๋วดีก่อหนีลงใต้ไปปู้นละเจ้า (ในกรุงเทพ ฯ บางที่ก็วุ่นวายค่ะแม่ แต่ไม่ทั้งหมด แต่แม่ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้แม่ตัวดีก็หนีลงใต้ไปแล้วล่ะค่ะ)” ในน้ำเสียงท้ายประโยคนั้นอดที่จะเหน็บแนมคนที่ถูกกล่าวถึงไม่ได้

    “ลงใต้ ไปไหนก๋าจิ๋ว (ลงใต้... ไปไหนเหรอจิ๋ว)” แม่ของจิ๋วถามแทรกขึ้นด้วยความสงสัย

    หันบอกจะไปหลบเรื่องฮ้อนๆตี้นครศรีฯน่ะแม่ เหมือนจะไปเมินน่อย หันขนลูกน้องไปตึงสตู ฯ (เห็นบอกจะไปหลบเรื่องร้อน ๆ ที่นครศรีธรรมราชน่ะแม่ ท่าทางจะไปนาน เห็นขนลูกน้องไปทั้งสตู ฯ)”

    อย่าบอกเน่อ ว่าจะขับรถไปคนเดียวแหมแล้วน่ะ (อย่าบอกนะว่าขับรถไปเองอีกแล้วน่ะ)” หนุ่มโพล่งถามออกมาด้วยสีหน้าหนักใจ

    เหมือนเดิมนะเจ้าอ้ายหนุ่ม นี่ก่อกำลังมาบอกกับจิ๋วตะคืนว่าจะเดินทางวันนี้ สงสัยกั๋วโดนห้าม (เหมือนเดิมล่ะค่ะพี่หนุ่ม นี่ก็เพิ่งมาบอกกับจิ๋วเมื่อคืนว่าจะเดินทางวันนี้ สงสัยกลัวโดนห้าม)”

    “หมดเรื่องนึงก่อยังบ่ป้นแหมเรื่องน้อเจ้านิว แม่บอกหลายเตื้อแล้วน่ะ ว่าไปไกล๋จะไปขับรถคนเดียว ขึ้นเครื่องบินเร็วกว่าก่อบ่เอา (หมดเรื่องนึงก็ยังไม่พ้นอีกเรื่องน้อเจ้านิว แม่บอกหลายครั้งแล้วนะว่าเดินทางไกลอย่าขับรถเอง ขึ้นเครื่องบินไวกว่าก็ไม่เอา)” แม่นิวบ่นลูกสาวหัวรั้นด้วยความเป็นห่วง จิ๋วก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก

    แต่เตื้อนี้ไปกั๋นหลายคน รถก่อตึงสองกันก่อน น่าจะเปลี่ยนกั๋นขับน่ะแม่ ตางไกล๋ขนาดนั้นขับคนเดียวบ่ไหวหรอก (แต่คราวนี้ไปกันหลายคน รถก็ตั้งสองคน น่าจะเปลี่ยนกันขับนะแม่ ทางไกลขนาดนั้นขับคนเดียวไม่ไหวหรอก)” จิ๋วบอกให้บรรดาแม่ ๆ ของเธอสบายใจ แม้เธอจะเป็นฝ่ายคิดมากเสียเองก็ตาม

    “จิ๋วก่อช่วยปราม ๆ นิวน่อยกะ อยู่ตวยกั๋นก่อต้องบอกต้องเตือนกั๋นพ่อง (จิ๋วก็ช่วยปราม ๆ นิวหน่อยสิ อยู่ด้วยกันก็ต้องบอกต้องเตือนกันบ้าง)” แม่จิ๋วบอกเชิงตำหนิลูกสาวของตน จิ๋วถอนหายใจอย่างอ่อนใจ เพราะเรื่องคราวนี้ก็สุดความสามารถจริง ๆ ก็เล่นมาบอกกันหลังจากที่วางแผนทุกอย่างไว้แล้ว ซ้ำยังบอกกก่อนเวลาแค่ไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ใครจะไปรั้งเอาไว้ได้ทัน

    ขนาดแม่มันยังบ่ะยอมฟังเลย แล้วจิ๋วจะไหวก่อ (ขนาดแม่มันยังไม่ยอมฟังเลย แล้วจิ๋วจะไหวเหรอ)” หนุ่มออกความเห็น ซึ่งเป็นสิ่งที่จิ๋วเองก็หนักใจอยู่เหมือนกัน

    ก่อต้องลองดูกะ หลายๆคนช่วยอู้คงดีขึ้น (ก็ต้องลองดูล่ะ หลาย ๆ คนช่วยพูดคงดีขึ้น)” แม่จิ๋วบอก

    แม่ นิวบอกว่าวันนี้เดวจะโทรหาเน่อเจ้า หรือว่าแม่จะโทรไปเองก่อได้นา ต๋อนนี้น่าจะยังบ่ะตันได้ออกจากกรุงเทพเตื้อ คงวุ่น ๆ ฮับคนกั๋นอยู่ (แม่ นิวบอกว่าวันนี้เดี๋ยวจะโทรหานะคะ หรือแม่จะโทรเองก็ได้นะ ตอนนี้น่าจะยังไม่ทันได้ออกจากกรุงเทพ ฯ คงวุ่น ๆ รับคนกันอยู่)”

    โทรไปต๋อนนี้เลยดีกว่า หนุ่มโทรหาน้องหื้อแม่กำ (โทรไปตอนนี้เลยดีกว่า.. หนุ่มโทรหาน้องให้แม่หน่อย)" แม่นิวหันไปบอกกับลูกชายที่มาด้วยกัน เขากดโทรหาน้องสาวคนเดียวอย่างรวดเร็วตั้งแต่แม่ยังไม่ทันได้ออกคำสั่ง คุยกับปลายสายสองสามคำก็ส่งโทรศัพท์ให้ผู้เป็นแม่

    “นิวเอ้ย ออกจากกรุงเทพละยังลูก เยะใดบ่ขึ้นเครื่องบินไปล่ะ  (นิวเอ้ย ออกจากกรุงเทพ ฯ รึยังลูก ทำไมไม่ขึ้นเครื่องบินไปล่ะ)” แม่หน้านิ่วคิ้วขมวดตอนที่คุยกับลูกสาวคนเล็ก ซึ่งจิ๋วก็พอเดาออกว่าปลายสายคงดื้ออีกตามเคย

    จะไปไหนมาไหนก่อบ่โทรมาบอกกั๋นพ่องเลย ถ้าจิ๋วบ่ะโทรมาบอก แม่จะฮู้เรื่องก่อ (จะไปไหนมาไหนก็ไม่โทรบอกกันหน่อย ถ้าจิ๋วไม่มาบอกแม่จะรู้เรื่องมั้ย)” แม่นิวยังบ่นลูกสาวต่อน้ำเสียงติดน้อยใจอยู่เล็ก ๆ จิ๋วนั่งมองแล้วลอบถอนหายใจ ความรู้สึกนั้นเธอเองก็รู้ดีและเพิ่งประสบมาเมื่อคืน

    “ไปอยู่นู่นจะไปมัวก้ากิ๋นเหล้านา หันเปื้อนเยอะเป็นบ่ะได้เน่อ จะใดถึงแล้วก่อโทรบอกตวยเน่อลูกกุ๊คนเป๋นห่วง (ไปอยู่นู่นอย่าเอาแต่กินเหล้าล่ะ เห็นเพื่อนเยอะเป็นไม่ได้นะเราน่ะ ยังไงถึงแล้วก็โทรบอกด้วยนะลูก ทุกคนเป็นห่วง)” นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่คนเป็นแม่บอกกับลูกสาวก่อนจะวางสายไป จิ๋วจึงได้โอกาสพูดให้ผู้สูงวัยคลายความกังวลลงไปบ้าง

    “แม่บ่ะต้องห่วงนะเจ้า เดวจิ๋วจะตวยลงไป ช่วงนี้คิวงานน่อยลงแล้ว อยู่กรุงเทพกะบ่ฮู้จะเป๋นจะใดเหมือนกั๋น (แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวจิ๋วตามลงไป ช่วงนี้คิวงานน้อยลงแล้ว อยู่กรุงเทพ ฯ ก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน)”

    จะใดก่อระวังตั๋วเน่อจิ๋ว แม่ฝากดูนิวตวย ไกล๋หูไกล๋ต๋าจะอั้นแม่ก่อบ่ฮู้จะไปพึ่งไผนอกจากจิ๋ว (ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะจิ๋ว แม่ฝากดูนิวด้วย ไกลหูไกลตาอย่างนี้แม่ไม่รู้จะพึ่งใครนอกจากจิ๋ว)” แม่นิวพูดเชิงขอร้อง จิ๋วพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ

    “ห้ามไปทะเลาะกั๋นแหมเน่อ กว่าจะคืนดีกั๋นกะบ่ฮู้ตั้งกี่ปี๋ (อย่าไปทะเลาะกันอีกล่ะ กว่าจะคืนดีกันก็ไม่รู้ตั้งกี่ปี)” หนุ่มกระเซ้ากลั้วเสียงหัวเราะ คนพูดคงไม่คิดอะไรมากแต่มันกลับจี้ใจคนฟังจนอดสะดุ้งเล็ก ๆ ไม่ได้ จิ๋วยิ้มแห้ง ๆ ให้คนอายุมากกว่า เพราะพูดอะไรไม่ออก

    กุ๊วันนี้นิวกิ๋นเหล้าเจื่อเกินลูกเอ้ย ปิ้กมาบ้านเมื่อใด พอปะเปื้อนฝูงเข้าน่อยก่อจวนกั๋นกิ๋นตลอด บางเตื้อก่อเกือบเจ๊ากว่าจะเลิก แม่ห้ามมันก่อบ่ค่อยอยากจะฟัง (ทุกวันนี้นิวกินเหล้าบ่อยเหลือเกินลูกเอ๊ย กลับมาบ้านทีไรพอเจอเพื่อนเจอฝูงเข้าหน่อยก็ชวนกันกินตลอด บางทีก็เกือบเช้ากว่าจะเลิก แม่ห้ามมันก็ไม่ค่อยอยากจะฟัง)” ขณะที่ผู้สูงวัยบ่นอยู่นั้นสีหน้าจิ๋วก็เคร่งเครียดขึ้นทุกที สิ่งที่เธอรู้สึกตงิด ๆ ในใจมาตลอดเห็นจะเป็นความจริง

    มันน่าแปลก… เมื่อก่อนนิวไม่ใช่คนดื่มจัดถึงขนาดนี้

    เยะใดเปิ้นถึงเป๋นจะอั้นล่ะ (ทำไมเค้าเป็นแบบนั้นล่ะ)”

    บ่มีไผฮู้หรอก อ้ายเองก่อบ่ฮู้ ก ก๋ำลังเป๋นบ่ะกี่ปี๋นี่บะดาย ตั้งแต่หนีลงใต้คราวก่อน (ไม่มีใครรู้หรอก พี่เองก็ไม่รู้ เพิ่งเป็นไม่กี่ปีนี่เอง ตั้งแต่หนีลงใต้คราวนั้น)” คำอธิบายของหนุ่มยิ่งทำให้จิ๋วข้องใจมากกว่าเดิม

    หนีลงใต้? ตั้งแต่เมื่อใดอ้ายหนุ่ม (หนีลงใต้? ตั้งแต่เมื่อไหร่พี่หนุ่ม)”

    เมินแล้วนาจิ๋ว สี่ห้าปี๋ได้ละ ถามว่าเป๋นอะหยังก่อบ่ะยอมตอบ จ๋นกุ้วันนี้ก่อยังบ่ะมีไผฮู้ว่าเป๋นเพราะอะหยัง แต่ดูท่าจะเสียศูนย์นักพ่อง ถ้านิวแฟนอ้ายก่อคงกึ้ดว่าอกหัก แต่นี่บ่ใจ้ไง (นานมากแล้วล่ะจิ๋ว สี่ห้าปีได้ ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมตอบ จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร แต่ท่าทางเสียศูนย์น่าดู ถ้านิวมีแฟนพี่ก็คงคิดว่ามันอกหักไปแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ไง)”

     สิ่งที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้จิ๋วรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก ถ้าให้เดา สาเหตุที่ทำให้นิวเป็นแบบนี้ก็คงหนีไม่พ้นจิ๋วอีกนั่นแหละ ช่วยไม่ได้ที่จิ๋วจะรู้สึกผิด เหตุการณ์ครั้งนั้นส่งด้านลบกับนิวเกินกว่าที่เธอคิดไว้มากทีเดียว

    เอาเป๋นว่าเดวจิ๋วจะช่วยอู้หื้อเน่อ แต่บ่ฮู้ว่าเปิ้นจะยอมฟังก่อ จะพยายามหื้อถึงที่สุดแล้วกั๋นเจ้า (เอาเป็นว่าเดี๋ยวจิ๋วจะช่วยพูดให้นะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะยอมฟังรึเปล่า จะพยายามให้ถึงที่สุดแล้วกันค่ะ)” จิ๋วตอบแบ่งรับแบ่งสู้หลังจากถอนหายใจเบา ๆ

    แม่ว่านิวต้องฟังจิ๋ว รายนั้นน่ะกลัวจิ๋วยิ่งกว่าพ่อกับแม่อีก (แม่ว่านิวต้องฟังจิ๋ว รายนั้นน่ะกลัวจิ๋วยิ่งกว่าพ่อกับแม่อีก)” พูดแล้วก็หัวเราะร่วนอย่างพออกพอใจ มันคงจะดีถ้านิวยอมฟังเธออย่างที่แม่ของนิวบอก

    ถ้าเป็นนิวเมื่อ 5 ปีก่อนจิ๋วจะไม่หนักใจกับคำขอของแม่เลย แต่กับนิวคนนี้เธอก็ไม่แน่ใจเช่นกันว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร



    เพราะนิวคนปัจจุบันนั้นช่างคาดเดาอะไรได้ยากเหลือเกิน



    .

    .

    .

    เวลาสามทุ่มเศษ ภายในร้านอาหารร้านหนึ่งริมชายหาดทะเลขนอม เต็มไปด้วยเสียงอึกทึกจากเพลงคาราโอเกะที่เปิดดังลั่นหาด คลอด้วยเสียงของนักร้องจำเป็นที่ผลัดเปลี่ยนกันมาจับไมค์โชว์ลูกคออยู่เรื่อย ๆ  คร่อมจังหวะบ้าง เพี้ยนบ้างตามประสาคนเมา

    “พี่ปัณณ์ เจ้าของร้านประสาอะไรปล่อยให้เหล้าหมด จะบิดขวดอยู่แล้วเนี่ยเห็นป่าว” นิวชูขวดเปล่าขึ้นเหนือศีรษะ ตะโกนบอกหนุ่มผิวสีแทนสุดเสียงแข่งกับดนตรีที่เปิดอยู่

    “นั่นกินหรืออาบยะนังน้องนิว ทำไมมันถึงได้หมดไวขนาดนั้น” ปัณณ์เท้าสะเอวกระแนะกระแหน จริตจกร้านที่แสดงออกเกินหญิงทำให้นิวทำสีหน้าเหม็นเบื่อใส่ ก่อนที่ปัณณ์จะหัวเราะลั่นกับผลงานตนแล้วหันบอกกับลูกน้อง ยื่นขวดเหล้ายี่ห้อดังให้พลางพยักพเยิดไปที่โต๊ะของนิว

    “มันต้องอย่างนี้” นิวยิ้มกว้างอย่างพอใจเมื่อขวดเครื่องดื่มดีกรีแรงมาวางอยู่บนโต๊ะเป็นขวดที่สาม นับตั้งแต่เริ่มตั้งวงกันเมื่อหัวค่ำ วันนี้ลูกค้าในร้านอาหารของปัณณ์บางตา ทว่าบรรยากาศกลับครึกครื้นกว่าทุกวัน เพราะมีพวกของนิวมาเป็นแขกรับเชิญในร้าน

    “ซักเพลงมั้ยยะหล่อน ไว้ลายนักร้องเก่าหน่อย” ปัณณ์เดินมานั่งข้างนิวบุ้ยปากไปที่ตู้คาราโอเกะ

    “ไม่เอาอะพี่ เจ็บคอแล้วเนี่ย”

    “อ่อนว่ะ” ปัณณ์ยีผมคนอายุอ่อนกว่าจนยุ่ง นิวตวัดสายตามองแล้วจิ๊ปากขัดใจก่อนปัดมือใหญ่ออกจากศีรษะอย่างนึกรำคาญ

    “ส่งไอ้สองตัวนั่นไปแทนแล้วไง”  นิวคลึงแก้วเหล้าในมือแล้วมองไปที่ขิงและอ๊อดที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงกับการร้องคาราโอเกะ

    “ตั้งแต่มาเจอเทือกสุบรรณช่างหนักใจเหลือเกิน ขอร้องน้องจงอย่าเพลินระวังม็อบไทย” เนื้อเพลงที่อ๊อดดัดแปลงขึ้นทำให้นิวและคนอื่น ๆ สะดุ้งกันทั้งโต๊ะ เหลือบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

    “อยู่ ๆ ก็อยากกินตีนนะคนเรา” ท็อปบ่นแล้วส่ายหน้า เหลือบมองไปยังโต๊ะที่อยู่รายรอบ ขยับตัวอย่างอึดอัดกับสายตาบางคู่ที่กลับมา ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบอย่างฝืดคอ

    “ลูกน้องเธอนี่ขยันเรียกแขกจังเลยนะ” ปัณณ์ประชดทีเล่นทีจริง นิวปรายตามองคนพูดเล็กน้อย แล้วตะโกนแข่งกับเสียงเพลง

    “ถ้าใครหุบปากไอ้อ๊อดได้เดี๋ยวปลายเดือนพี่ให้โบนัส!!

    “เดี๋ยวหนูจัดให้เลยพี่นิว” ขิงประกาศออกไมค์แล้วแย่งไมค์อีกตัวจากอ๊อดมาถือไว้เอง เพื่อไม่ให้กลุ่มของตนสุ่มเสี่ยงต่อการโดนสหบาทา นิวยิ้มพอใจแล้วชูแก้วให้ขิง

    งานสังสรรค์เล็ก ๆ คงดำเนินต่อไปอีกยืดยาวหลังจากนี้ เมื่อไม่มีใครห้ามและไม่มีใครอยากให้ช่วงเวลาแห่งความสนุกสิ้นสุดลง....



    .


    .


    .



    January 13, 2014 | (MON)

     
     

    10:08 AM

    “เป็นอะไร ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์”

    “ยังไม่ตื่นอีกรึไง”

    “จิ๋วกับพวกพี่เจนมาถึงสนามบินแล้วนะ”

    “ถ้าได้อ่านแล้วตอบด้วย”


     


     

    10:45 AM

    “นิว!!!

    “มันจะชั่วโมงแล้วนะ ลืมนัดแล้วรึไง”

    “เมื่อไหร่จะมารับซักที!!

    “ถ้าเกินเที่ยงแล้วไม่โทรกลับจะไปเที่ยวที่อื่น ไม่รอแล้วนะ”

    “อย่าให้รู้นะว่าเมื่อคืนมัวแต่กินเหล้า ไม่งั้นล่ะน่าดู”
     

     

    ฯลฯ



     

    เสียงเตือนข้อความเข้าจากไลน์ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้านับรวมกับเสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนที่นอนแอ้งแม้งอยู่ข้างกายคงได้เป็นร้อยหนที่มันดังแล้วเงียบไป ...นานกว่าชั่วโมงเจ้าของของมันถึงได้เริ่มขยับตัว

    มือควานหาต้นตอของเสียงพร้อมคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจที่ถูกรบกวน บวกกับฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ยังตกค้างอยู่ในกระแสเลือดทำให้เจ้าของผมสั้นแสนยุ่งเหยิงนั้นไม่อยากลุกออกไปจากที่นอน ต่อให้เอาช้างมาฉุดนิวตอนนี้ก็ยังยาก

    “ดังอะไรแต่เช้า โถ่เว้ย....คนจะหลับจะนอน” ริมฝีปากบางสบถออกมาอย่างหัวเสีย เปลือกตาขยับขยุกขยิกหลายทีก่อนจะฝืนลืมตาขึ้นมองข้อความจากโทรศัพท์ในมือ


    “ฉิบหาย...”

    ดวงตาเบิกกว้างพร้อมอาการงัวเงียที่หายเป็นปลิดทิ้งราวกับสับสวิทช์ เมื่อเห็นว่าใครเป็นเจ้าของมิสคอลนับสิบ ๆ สายที่ตนเพิ่งตำหนิไปเมื่อครู่ และถ้ารู้ล่วงหน้าสักนิด นิวจะไม่ปริปากบ่นเลยสักคำ ให้สาบานตรงนี้เลยก็ได้

    ปลายนิ้วรีบเลื่อนดูข้อความจากไลน์โดยไม่ต้องหยุดคิด....

    ไม่ต่างจากที่คาดเอาไว้นักเมื่อมีข้อความจากคนคนเดียวยาวติดกันเป็นพรืด นิวกวาดตามองข้อความบนหน้าจอด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะร้องไห้ นิวลุกพรวดขึ้นจากเตียงก่อนโยนสมาร์ทโฟนเครื่องโปรดเอาไว้กลางเตียงเมื่อมันหมดความสำคัญ  เพราะเธอเองที่เป็นคนผิดนัดกับจิ๋ว มัวแต่ดื่มเหล้าจนดึกดื่น ซ้ำยังไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้อีก ไม่แปลกใจเลยที่อีกคนจะระบายอารมณ์ความโกรธผ่านไลน์มาขนาดนั้น

    แต่ก็ยังดีกว่าเงียบไปเฉย ๆ แบบนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า...



    .



    .



    .



    “กว่าจะเสด็จมาได้นะแม่คู๊ณ” เจนรบปรี่เข้ามาค่อนแคะนิวเป็นคนแรกทันทีที่นิวโผล่หน้าเข้าไปในสนามบิน

    “พี่ก็นึกว่าน้องนิวจะปล่อยเกาะพวกพี่ซะอีก”

    ตามมาด้วยเสียงห้าว ๆ ของภัทรและผองเพื่อน นิวได้แต่ยิ้มแหย ๆ ให้พร้อมทั้งก้มศีรษะขอโทษขอโพยทุกคนเป็นการใหญ่ และมีอยู่คนเดียวที่เงียบกว่าใครเพื่อน

    “ไปกันดีกว่าเนอะพวกเรา สายมากแล้ว” นิวพูดอ้อมแอ้มอย่างนึกละอายที่ให้คนทั้งกลุ่มต้องรอ สายตาเหลือบมองคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และอีกคนก็มองมาอย่างสำรวจตรวจตราก่อนส่ายหน้าเมื่อเดาสถานการณ์ออกจากสภาพของนิว ในดวงตาคู่นั้นมีแววของความไม่พอใจอัดแน่นอยู่เต็มเปี่ยม

    “จิ๋วว่าพี่เจนขับเองดีกว่า ถ้าอยากถึงบ้านพัก ไม่ใช่โรงบาล” จิ๋วฉวยเอากุญแจรถจากมือแล้วเหลือบมองด้วยหางตาอย่างตำหนิ เท่านั้นก็ทำให้นิวอยากจะหายตัวไปจากตรงนั้น ได้แต่เกาศีรษะแกรก ๆ เพราะเถียงไม่ออกสักคำ

    “กลิ่นหึ่งเชียวนะ” ก่อนจะเดินผ่านไปยังได้ยินเสียงกระซิบลอดไรฟันที่จิ๋วพูดให้ได้ยินกันเพียงสองคน เสียงนั้นเบามากแต่กลับทำให้คนฟังหนาวสันหลังได้อย่างน่าประหลาด...

     

     

     

     

     

    กลับมาแล้วค่ะ ยังจำกันได้ไหม ยังไม่ลืมกันใช่ไหม 

    ถ้าใครยังอยู่ขอเสียงหน่อยเร้ววววววววววว 
    ขออภัยที่หายไปนานนะคะ 
    แล้วก็ยังไม่ได้ตรวจคำผิดละเอียดนักในตอนนี้ พรุ่งนี้เดี๋ยวกลับมาแก้ใหม่อีกที เ
    ห็นอะไรแปลก ๆ ก็ทักกันได้นะคะ 

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×