คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 : เเรกพบ [rewrite : 21.07.2015]
Chapter 1
เเรกพบ
...เมื่อไหร่ฝนถึงจะหยุดตก?.....
คำถามเดียวที่ดังสะท้อนไปมาอยู่ในใจ สายตาหม่นหมองที่รอคอยความหวังเหม่อมองม่านฝนที่บัดบังทัศนียภาพจนพร่ามัวอย่างเลื่อนลอย แทยอนกอดกระเป๋าเอกสารสำคัญแนบอกแน่น บรรเทาความหนาวเหน็บที่แทรกซึมไปทั่วทั้งกายจนสั่นเทา เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชื้นจากละอองฝนที่สาดเข้ามาภายใต้หลังคาที่พักผู้โดยสาร ความพยายามที่จะทำให้ร่างกายอบอุ่นของแทยอนจึงกลายเป็นสิ่งไร้ค่า เมื่อพายุร้ายยังคงกระหน่ำรุนแรงอย่างบ้าคลั่งโดยไม่ยอมผ่อนกำลัง ราวกับว่ามีสิ่งใดทำให้แผ่นฟ้าเบื้องบนบันดาลโทสะ จึงซัดสาดความกราดเกรี้ยวลงมายังผืนดินเป็นพายุลูกใหญ่ และกินเวลายาวนานเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
อากาศเย็นยะเยือกในยามดึกห่อหุ้มผิวกายทุกอณู ก่อนค่อย ๆ แทรกซึมเข้าสู่หัวใจดวงน้อย ความหนาวเหน็บก่อให้เกิดความหวาดหวั่นเมื่อมองไปรอบกายแล้วไม่เห็นใครนอกจากตนเอง การที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวกลางป้ายรถประจำทางโดยมีแสงไฟสลัวและเสียงอื้ออึงของพายุคอยเป็นเพื่อน ยังผลให้สมองของแทยอนเกิดจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ล้วนแต่เป็นเรื่องเลวร้ายแทบทั้งสิ้น หลอดไฟที่อยู่เหนือศีรษะก็ติดบ้างดับบ้างด้วยถูกสภาพอากาศเลวร้ายคอยก่อกวนให้ขัดข้อง
แทยอนกระชับกอดกระเป๋าใบย่อมในอ้อมแขนเอาไว้แน่นขึ้น เมื่อใจที่เคยหนักแน่นเริ่มกวัดแกว่งคลอนแคลน แต่จะให้หันหลังกลับก็ทำไม่ได้ ความรู้สึกหนึ่งคอยทัดทานเอาไว้ตลอดเวลา
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงกว่าทุกวันบวกกับความเปียกชื้นจากสายฝนทำให้กลีบปากสีชมพูอ่อนกลายเป็นสีซีดพอ ๆ กับใบหน้าอ่อนเยาว์ หากแต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยร่องรอยของความเจ็บช้ำกลับแดงก่ำคล้ายกับผ่านการร้องไห้มาหมาด ๆ แม้น้ำตาก็ยังไม่ทันเหือดแห้ง
สภาพของแทยอนตอนนี้ไม่ต่างจากเด็กข้างถนนแม้แต่นิดเดียว สเวตเตอร์ที่สวมทับเสื้อยืดตัวบางรวมไปถึงกางเกงยีนส์สีเข้มที่สวมใส่ล้วนแต่เปียกชื้น ผมสีดำสนิทยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ผิวที่ขาวจัดอยู่แต่เดิมก็ยิ่งดูซีดเซียวเพราะถูกความเหน็บหนาวทำร้ายอย่างไร้ปราณี เงินที่เหลือติดตัวก็ไม่พอแม้แต่ค่าโรงแรมถูก ๆ สักคืน เพราะกระเป๋าสตางค์ใบเล็กได้หล่นหายไปตั้งแต่เมื่อตอนกลางวัน เฝ้าก่นด่าตนเองเท่าไหร่ก็ไม่สาสมกับความสะเพร่าที่ปล่อยให้เกิดขึ้น
“จ๊อก~~” แม้จิตใจจะว้าวุ่น ทว่ากระเพาะอาหารก็ไม่ลืมหน้าที่หลักของมัน เพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงจึงร้องประท้วงผู้เป็นเจ้าของ แทยอนได้แต่กลืนน้ำลายลงคอต่างอาหารมื้อเย็น เลื่อนมือลงมากุมท้องของตนเผื่อจะบรรเทาความหิวลงได้บ้าง ฟันคมขบลงไปบนริมฝีปากสั่นระริกเมื่อความเจ็บใจตีตื้นขึ้นมาอีกหน พร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นปริ่มจะไหล
แล้วปลายลิ้นก็ได้ลิ้มรสเค็มปร่าของน้ำตาที่ร่วงหล่นผ่านผิวแก้ม ก่อนเสียงสะอึกสะอื้นจะดังสะท้อนไปมาใต้หลังคาป้ายรถเมล์ที่มีผู้โดยสารร่างเล็กจับจองอยู่เดียวดาย
รถยนต์สัญชาติยุโรปแล่นฝ่าพายุฝนใต้เงารัตติกาลด้วยความเร็วสม่ำเสมอ สีของซุปเปอร์คาร์คันหรูกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด แม้สารถีที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยจะบังคับมันได้คล่องแคล่วเพียงใดแต่ใจก็ไม่กล้าพอที่จะให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มสมรรถนะ ในขณะที่ร่างกายอ่อนล้าจนแทบจะหลับคาพวงมาลัย แม้ว่าจะคิดถึงเตียงนอนนุ่ม ๆ ในคอนโด ฯ ของตนเพียงใดก็ตามที
ยุนอาถอนหายใจแรงก่อนสบถออกมาดัง ๆ เมื่อมองเห็นสัญญาณไฟจราจรตรงสี่แยกข้างหน้ากำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง ทำให้ต้องชะลอความเร็วลงจนกระทั่งหยุดนิ่งต่อท้ายรถคันหน้าในที่สุด นัยน์ตาที่กรุ่นด้วยโทสะเพ่งมองที่ปัดน้ำฝนที่กวัดแกว่งไปมาอยู่หน้ารถอย่างหงุดหงิด ในระหว่างที่รอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ศอกข้างหนึ่งยันกับขอบกระจกรถ เอนศีรษะไปด้านเดียวกันแล้วนวดคลึงขมับเพื่อผ่อนคลายความเครียดที่สะสมมาตลอดวัน ทว่าไม่อาจทำให้คิ้วเรียวที่พาดเหนือดวงตาคู่หวานคลายปมออกได้ ปลายนิ้วที่วางอยู่บนพวงมาลัยเคาะถี่ ๆ ราวกับกำลังเร่งจังหวะให้สัญญาณไฟเปลี่ยนสี
“นึกว่าไอ้เรื่องงี่เง่านี่มันจะจบแค่ในออฟฟิศแล้วซะอีก” เห็นไฟจราจรที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเดินทางแล้วก็อดพูดกระทบกระเทียบไปถึงผู้บริหารระดับสูงในบริษัทของบิดาไม่ได้ ความขุ่นใจที่ได้รับจากการประชุมอันเคร่งเครียดในยามดึกยุนอายังพกมันมาเต็มกระเป๋า แม้จะเป็นบุตรสาวคนเดียวของประธานอิมแต่ใช่ว่าจะได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหารง่าย ๆ ด้วยความที่เพิ่งจบการศึกษามาได้ไม่นาน และยังไม่มีผลงานให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ฝ่ายนั้นจึงมองเธอเป็นเพียงเด็กอ่อนหัดที่หวังอาศัยบารมีของผู้เป็นบิดาเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งสำคัญ
หากว่ายุนอาไม่ได้รับการเคี่ยวเข็ญจากเครือญาติฝ่ายมารดาตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมปลาย ก็คงกลายเป็นไก่อ่อนให้คนเหล่านั้นรุมเชือดกลางที่ประชุม งานบริหารหลักสูตรเข้มข้นมีส่วนช่วยให้ยุนอารอดพ้นช่วงเวลาวิกฤติมาได้หลายต่อหลายครั้ง เขี้ยวเล็บที่เพียรลับมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยไม่ได้ยาวจนลากดิน หากแต่คมกริบพอจะสร้างบาดแผลให้ใครก็ตามที่หันคมเขี้ยวเข้าใส่ แม้วันนี้จะไร้เงาเพื่อนร่วมทาง ที่ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าพึ่งพาได้ก็ตามที
เมื่อไพล่นึกไปถึงคนไร้ความรับผิดชอบ ดวงตาที่อ่อนล้าคล้ายมีแสงเรืองรองขึ้นในความมืด ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มดูแคลน ในขณะที่ความโกรธ ความผิดหวัง กำลังยื้อแย่งพื้นที่ของความรู้สึก ผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก
ยุนอาสะบัดศีรษะแรง ๆ เพื่อสลัดคนในความทรงจำที่เห็นว่าไร้ประโยชน์ให้หลุดไปจากความคิด เอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดเพลงให้เครื่องเล่นทำงานกลบเสียงวุ่นวายที่ดังก้องในหัวให้สงบลง บทเพลงร่วมสมัยของกลุ่มไอดอลสาวที่กำลังโด่งดังเบี่ยงความสนใจของยุนอาไปจากเรื่องงานได้เป็นอย่างดี ปลายนิ้วที่เคาะสะเปะสะปะบนพวงมาลัยเริ่มเข้าจังหวะกับเพลงที่เปิดจนดังกระหึ่ม นอกจากจะช่วยให้ลืมเรื่องเคร่งเครียดในระหว่างวันได้แล้วยังช่วยบรรเทาความง่วงได้อีก ยุนอาเพิ่งเห็นประโยชน์ของเพลงที่เคยได้ยินจนชินหูตามท้องถนนก็วันนี้
เมื่อฝนเริ่มซาเวลาก็ล่วงเลยไปค่อนคืน กระเป๋าใบย่อมที่หวงนักหวงหนาถูกทิ้งไว้ข้างตัว ขาทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมาวางบนเก้าอี้ว่างเปล่าที่ไร้เงาเพื่อนร่วมชะตากรรม ชันเข่ารองรับศีรษะได้รูปแทนหมอนใบโตที่เคยหนุนนอน กอดขาของตนไว้แน่นแล้วซ่อนดวงตาหม่นหมองไว้ใต้เปลือกตาบาง ขณะที่แพขนตายังเปียกชื้นเกรอะกรังด้วยคราบน้ำตา ต่างจากหลายชั่วโมงก่อนตรงที่ริมฝีปากซีดเซียวนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะพิษไข้ แม้ลมหายใจยังสะดุดเป็นห้วง ๆ ด้วยระบบร่างกายที่ทำงานผิดปกติ
ทว่าเบื้องบนไม่ปล่อยให้แทยอนไปหลบซ่อนอยู่ในโลกแห่งความฝันได้นานนัก เมื่อลำแสงหนึ่งซึ่งทอดยาวจากฟากฟ้ามืดมิดฟาดเปรี้ยงลงมาบนผืนดิน บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรแต่ก็ดังพอที่จะปลุกเด็กหลงทางให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ไม่ยาก
ใบหน้าตื่นตระหนักเหลียวมองไปรอบกายอย่างหวาดกลัวหลังจากได้ยินเสียงที่ชวนให้อกสั่นขวัญหาย ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงถี่ ๆ ตามจังหวะหัวใจที่เต้นรัวเร็ว ...ความมืดที่สายตาพร่ามัวนั้นมองเห็น ความเงียบที่ผ่านเข้ามาในโสตประสาท ก่อให้เกิดความกลัวที่แตกต่างไปจากตอนพายุกระหน่ำ ความรู้สึกเย็นเยียบที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากสภาพอากาศกำลังยื่นมือเข้ามาเกาะกุมหัวใจทั้งดวง
แทยอนเพิ่งตระหนักชัดว่าเธอไม่ควรมานั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้นานนัก ภยันตรายที่แฝงมาในเงามืดอาจกำลังจ้องเล่นงานจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งเธอไม่อาจมองเห็น แม้จะไม่มีจุดหมาย แม้ร่างกายตลอดจนศีรษะจะหนักอึ้งจนแทบยกไม่ขึ้น แต่สัญชาตญาณอันเฉื่อยชาและเชื่อถือไม่ได้ของแทยอนก็พยายามตักเตือนให้รีบหนีไปจากตรงนี้ ไปในที่ที่มีแสงสว่าง หลบหลีกจากความเดียวดายที่กำลังเผชิญ
มือเล็กค้นเอาสมาร์ทโฟนคู่ใจขึ้นมาเพื่อเปิดแผนที่นำทาง อย่างน้อย ๆ ได้รู้ว่าตนอยู่ที่ใดในโซลก็พอจะทำให้อุ่นใจได้บ้าง เมื่อคิดหาหนทางเองไม่ได้ก็ต้องหาตัวช่วย ดีกว่าเดินสะเปะสะปะไม่รู้จุดหมาย แทยอนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนสวยซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ติดตัวมา ถึงจะแสนเสียดายแต่คงต้องตัดใจขายมันเพื่อแลกกับค่าอาหารและที่พักในวันรุ่งขึ้น
แก้วกาแฟที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อถูกยกขึ้นจรดริมฝีปาก จิบเบา ๆ เพื่อให้คาเฟอีนช่วยขับไล่ความเซื่องซึม แม้ฝนเม็ดเล็กจะตกเพียงโปรยปรายแต่ยุนอาก็ไม่อยากประมาทฝืนขับรถทั้งที่ตากำลังจะปิด หากไม่อวดเก่งปฏิเสธความหวังดีของแทคยอนมือขวาคนสนิทของบิดาก็ดีอยู่หรอก ป่านนี้คงได้หลับเอาแรงในระหว่างเดินทางไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งถ่างตาขับรถเองให้ลำบาก
ค่ำคืนหลังพายุลูกใหญ่พัดผ่านแลดูเงียบสงบ ยานพาหนะที่ผ่านไปมาบนท้องถนนแทบจะนับคันได้ องค์ประกอบเหล่านั้นทำให้คนที่นั่งหลังพวงมาลัยเกิดอาการเผลอไผลไปชั่วขณะ
“เฮ่ย!” เสียงอุทานลั่นห้องโดยสารพร้อมเท้าที่เคลื่อนไปกระทืบเบรกจนมิด เมื่อร่างของใครคนหนึ่งเดินตัดหน้ารถอย่างกะทันหัน เลือดในกายเย็นเฉียบไปจนถึงไขสันหลัง ทว่าเหงื่อเม็ดเป้งตรงขมับกลับไหลซึมออกมาอย่างช้า ๆ ยุนอานั่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปอยู่หลายวินาที ไม่อยากจะจินตนาการต่อว่าหากเธอรู้สึกตัวช้าไปสักเสี้ยววินาทีเหตุการณ์ต่อจากนี้จะเลวร้ายเพียงใด ร่างที่ทรุดลงไปนั่งบนพื้นถนนเปียกแฉะอยู่หน้ารถอาจจะนอนจมกองเลือดอยู่ตรงนี้แทน
“มันไม่มีตาหรือไงวะ มาเดินทำซากอะไรแถวนี้” ฟาดมือลงไปบนพวงมาลัยเต็มแรงพร้อมสบถยาวเหยียดหลังจากได้สติ ความง่วงที่สะสมมาตลอดวันหายไปในชั่วพริบตา หัวใจยังเต้นระรัวอยู่ในอกกับนาทีชีวิตที่เพิ่งผ่านพ้น มืออันสั่นเทาปลดเข็มขัดนิรภัยออกไปจากตัวอย่างยากเย็นทั้งที่เคยทำอยู่ทุกวัน จากความตื่นกลัวถึงขีดสุดแปรสภาพเป็นโทสะรุนแรง ลงจากรถได้ก็เดินลงเท้าหนัก ๆ ไปหาตัวต้นเหตุหมายจะเอาเรื่องอย่างถึงที่สุด เสียงเกรี้ยวกราดตะโกนลั่นตั้งแต่ยังไม่ถึงตัว
“เดินยังไงของแกฮะ? ไม่เห็นรถเหรอ! อยากตายนักหรือไง ....ถ้าอยากจะตายจริง ๆ ก็ไปตายที่อื่น อย่ามาทำให้ใครเค้าเดือดร้อนแบบนี้”
“ข.. ขอโทษค่ะ” เสียงสั่น ๆ ตอบโต้กลับมาแผ่วเบาและปลิวหายไปกับสายลม เทียบไม่ได้เลยกับน้ำเสียงที่อัดแน่นด้วยโทสะของยุนอา ร่างของคู่กรณีนั่งก้มหน้ามองแต่พื้นถนนอย่างไร้ทางสู้
กว่าจะมีสติรับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็เมื่อพายุอารมณ์อันกราดเกรี้ยวผ่อนกำลังลง หลังจากพ่นคำผรุสวาทรดศีรษะเล็กยาวเหยียดจนนับไม่ถ้วน ความเยือกเย็นที่เคยมีเมื่ออยู่ต่อหน้าใครต่อใครมลายหายไปกลายเป็นอีกคน ที่ยืนอยู่บนถนนคือเด็กในร่างผู้ใหญ่ที่พร้อมจะทำลายทุกสิ่งระบายความกราดเกรี้ยวของตน
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษจริง ๆ” ทว่าในนาทีที่เจ้าของเสียงสั่นเครือเงยหน้าติดมอมแมมนั้นขึ้นมอง ยุนอาก็ต้องพับเก็บความคิดที่จะต่อว่าอีกฝ่ายเอาไว้แล้วกลืนคำพูดเหล่านั้นลงคอจนหมด ดวงตาสั่นระริกที่คลอคลองด้วยหยาดน้ำใสทำให้ใจของคนมองอ่อนยวบ ความตื่นตระหนกหวาดกลัวที่ปรากฏบนใบหน้าอ่อนเยาว์ก่อให้เกิดความสงสารจับใจ และยุนอากำลังรู้สึกว่าเธอกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก ก่อนที่ความรู้สึกผิดจะเอ่อท้นขึ้นมาอย่างน่าโมโห... ทั้งที่เธอเองก็เกือบต้องตกเป็นผู้เสียหายเพราะความประมาทเลินเล่อของอีกฝ่ายแท้ ๆ
“นี่มันวันบ้าอะไรวะเนี่ย”
ฝ่ามือตบลงไปบนฝากระโปรงรถหนัก ๆ ก่อนเบือนหน้าหนีจากเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่ทำให้ยุนอาเสียศูนย์ตั้งแต่แรกพบ สูดหายใจเข้าลึกแล้วพ่นลมออกมาแรง ๆ คลายความรู้สึกบางอย่างที่กดทับจนหายใจลำบาก ฝนเม็ดเล็กที่กำลังโปรยปรายหล่นลงมากระทบหลังมือ ยุนอาเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเพียงความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด เพิ่งรู้ตัวว่าฝนเพียงบางเบาก็ทำให้เสื้อผ้าที่สวมใส่เปียกชื้นได้ เพียงเพราะยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไป และร่างที่กำลังก้มหน้าก้มตาค้นหาบางสิ่งบนพื้นก็คงไม่ต่างกัน
“หาอะไรอยู่?” แม้กระแสเสียงราบเรียบจะอ่อนลงไม่เกรี้ยวกราดเหมือนตอนแรก แต่ตะกอนความหวาดกลัวที่ยุนอาได้ทิ้งไว้ก็ทำให้ร่างนั้นสะดุ้งเฮือก
“ท..โทรศัพท์” เสียงหวานละล่ำละลักตอบอย่างประหยัดคำพูด ยุนอาก้มมองบนพื้นก็พบกับมือถือที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้าโดยไม่ต้องเสียเวลามองหา ในขณะที่อีกฝ่ายกลับควานมือสะเปะสะปะผิดทิศผิดทางไปหมด ราวกับคนหูหนวกตาบอด ดูเหมือนเด็กน้อยตรงหน้าเธอจะยังมีสติไม่ครบถ้วน
ยุนอาย่อตัวลงเก็บสมาร์ทโฟนเจ้าปัญหาแล้วยื่นให้เจ้าของ “นี่ใช่ไหม?”
ดวงตาบวมช้ำลุกวาวด้วยประกายของความหวังเมื่อเห็นของสำคัญในมือของคู่กรณี รีบกระโดดเข้าตะครุบมันเอาไว้แทบจะทันที สายตาคมกริบประเมินสถานการณ์ตรงหน้าอย่างว่องไวเมื่อความเฉียบคมกลับมาทำงานอีกครั้ง ท่าทีของเด็กผู้หญิงแปลกหน้ามีบางอย่างที่สะกิดใจ โดยเฉพาะแววตาหมองหม่นคู่นั้น บางทีเธออาจต้องการที่พึ่ง จะทำเป็นมองไม่เห็นก็ทำไม่ได้เสียด้วย
“ฉันว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันยาว รีบขึ้นรถดีกว่า ยังไม่อยากเล่นน้ำฝนตอนนี้” หลังจากลุกขึ้นยืนเต็มความสูงยุนอาก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าประโยคบอกเล่าธรรมดา
“ไม่ได้ค่ะ...ฉันต้องรีบไป” ยุนอาแทบหลุดขำกับคนที่บอกว่ารีบแต่เหมือนไม่มีทางไป แค่ลุกขึ้นยืนก็แทบจะทรงตัวไม่ไหว พอท้องฟ้าคำรามลั่นก็ยกมืออุดหูแล้วเบ้หน้าเหมือนจะร้องไห้ จะเดินพ้นไปจากถนนสายนี้หรือเปล่าก็ยังสงสัย
“แล้วเธอจะไปไหนล่ะ?” เอ่ยถามอย่างเป็นต่อทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว คนอวดเก่งกัดริมฝีปากของตนแน่นเมื่อกำลังใช้ความคิด แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีคำตอบใดหลุดออกจากเรียวปากแดงอิ่มคู่นั้น อาการลังเลและไม่เชื่อใจชัดเจนจนปิดไม่มิด แต่ยุนอาก็ใจร้อนเกินกว่าจะรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจได้เอง
“มาเถอะ ฉันไม่พาเธอไปฆ่าหรอกรับรองได้” จบประโยคก็คว้าข้อมือเด็กผู้หญิงตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ ทว่าความร้อนที่แผ่มาจากผิวนุ่มใต้ฝ่ามือทำให้ยุนอาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะออกแรงกระตุ้นให้ร่างเล็กกว่าเดินตามขึ้นมาบนรถโดยไม่เสียเวลาถามไถ่ แรงขัดขืนที่มีเพียงน้อยนิดต้านทานคนเอาแต่ใจไม่ได้เลย
พอขึ้นมานั่งในรถสูทสีเข้มก็ถูกโยนมาให้อย่างยัดเยียดทั้งที่แทยอนไม่ได้ร้องขอ เจ้าของรถจึงเหลือเพียงเชิ้ตสีอ่อนตัวใน
“เอาไปใส่ซะ เดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิม”
ที่อีกฝ่ายพูดมาไม่ผิดไปจากความจริงนัก แทยอนเองก็ไม่มีแรงจะต่อล้อต่อเถียงกับใครทั้งนั้น จึงหยิบเสื้อบนตักขึ้นมาห่มอย่างเงียบ ๆ เพื่อบรรเทาความหนาว ความนุ่มของเบาะรถคันหรูที่รองรับร่างกายอ่อนล้าทำให้แทยอนอยากจะหลับเสียตั้งแต่ตอนนี้ เปลือกตาร้อนผะผ่าวหนักอึ้งจวนเจียนจะปิด ที่ยังทนฝืนเอาไว้เพราะยังไม่วางใจคู่กรณี ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิงเหมือนกันแต่ความไม่คุ้นเคยก็ทำให้อดเคลือบแคลงไม่ได้
“เธอมาทำอะไรดึก ๆ ดื่น ๆ ฉันว่ามันไม่ใช่ที่ที่เด็กอย่างเธอจะมาเดินเล่น” หลังจากปล่อยให้ความเงียบครอบคลุมห้องโดยสาร จนคนป่วยเกือบเผลอหลับ คำถามแบบแกมตำหนิไม่มีปี่มีขลุ่ยก็ดังขึ้น
“ไม่ได้มาเดินเล่นค่ะ” เสียงแหบแห้งพยายามตอบคำถามนั้นอย่างสุภาพ เมื่อสำนึกรู้ว่าอีกคนอายุมากกว่า แต่คนฟังกลับรู้สึกว่ากำลังถูกกวนอารมณ์ มือเย็นเฉียบของแทยอนกระชับสมาร์ทโฟนในมือแน่นขึ้นเมื่อเห็นแววตาขุ่นเคืองที่เหลือบมอง
“ก็คิดว่างั้น... แล้วเธอมาทำอะไรล่ะ?”
“มาหางานทำค่ะ”
“ตลก” เสียงแค่นหัวเราะอย่างดูแคลนดังมาเข้าหูก่อนจะตามมาด้วยประโยคคำถามที่ให้ความรู้สึกอย่างเดียวกัน “จะมีงานอะไรให้เด็กอายุเท่าเธอทำเหรอ?”
คนถูกถามเมื่อคิดหาคำตอบไม่ได้จึงเลือกที่จะเงียบ ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีด้วยคำพูดต่อไป
“หนีออกจากบ้านมาหรือไง?”
“เปล่าค่ะ” เสียงห้วน ๆ โต้กลับมาแทบจะทันที
“แล้วทำไมมีสภาพแบบนี้ล่ะ”
“ฉันมาจากต่างจังหวัด”
“ไม่เห็นเกี่ยวกันสักนิด”
“ฉันหลงทางค่ะ”
ราวกับคุยกันคนละเรื่อง ถามอีกอย่างตอบไปอีกอย่างจนคนหลังพวงมาลัยอ่อนใจ ได้ยินเสียงถอนหายใจดัง ๆ เหมือนเอือมระอาดังมากระทบหู แทยอนคิดว่าอีกไม่นานคนคนนี้คงหมดความอดทนกับเธอ แต่แทยอนก็ไม่อยากอธิบายอะไรให้ยืดยาวในขณะที่ร่างกายกำลังต้องการการพักผ่อน
“ฉันว่าเธอคงป่วยหนักเกินไป นอนเถอะ ถึงแล้วเดี๋ยวฉันปลุก” นับเป็นเรื่องน่ายินดีเพียงเรื่องเดียวที่แทยอนได้สัมผัสในช่วงเวลาย่ำแย่ อยากขอบคุณน้ำใจที่ไม่ซักถามอะไรต่อ ทว่าเปลือกตาที่หนักอึ้งทนฝืนต่อไปไม่ไหว สำนึกสุดท้ายจดจำผู้หญิงอารมณ์ร้ายที่กลายร่างเป็นผู้ใหญ่ใจดีได้เลือนราง
ตอนแรกอาจจะยังไม่เห็นความแตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนเท่าไหร่
แต่จากตอนสองเป็นต้นไปคงเห็นชัดเจนล่ะค่ะ
ความคิดเห็น