ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    H O M E L E S S [YoonTae Feat.Yeon(hee)Sic,WenRene]

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 3 : การตัดสินใจ [rewrite 27.07.2015]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.58K
      5
      27 ก.ค. 58

    Chapter 3
    การตัดสินใจ

     

     

    แสงไฟหลากสีสลับกันสาดส่องวูบวาบหลอกล่อผีเสื้อราตรีให้หลงเข้ามาติดกับ เสียงเพลงดังกระหึ่มใต้ความสลัวรางดึงดูดนักเที่ยวเข้ามาจนแน่นขนัด ความสนุกสนานกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งคลับ โดยมีแอลกอฮอล์เป็นตัวขับเคลื่อนชั้นดี บนฟลอร์เตี้ย ๆ มีเหล่านักท่องราตรีวาดลวดลายหลุดโลกเบียดเสียดจนไร้ช่องว่าง

    เจสสิก้าถอนสายตาออกมาจากภาพคุ้นชินอย่างเบื่อหน่าย กลับไปมองเป้าหมายที่นั่งประจำอยู่ตรงเคาน์เตอร์บาร์อีกครั้ง เป็นจังหวะเหมาะที่อีกฝ่ายถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังหลังจากร่ำลากับกลุ่มเพื่อน และเธอเองก็เพิ่งสลัดคู่ควงคนล่าสุดออกไปจากชีวิตได้เป็นผลสำเร็จเช่นกัน

    ร่างอรชรในเดรสสีดำรัดรึงเบียดแทรกผู้คนเข้ามาจนใกล้กับที่หมายใหม่ ผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งที่สะดุดตานับตั้งแต่วินาทีแรกที่พบเห็น แม้จะสวมเพียงเสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ทว่าดึงดูดจนละสายตาไม่ได้

    มือเรียวเขย่าแก้วเครื่องดื่มสีสวยเล่นเป็นวงกลม หันหลังพิงเคาน์เตอร์บาร์พร้อมทอดสายตามองภาพเบื้องหน้าอย่างสบายอารมณ์ ริมฝีปากได้รูปคลี่คลี่ยิ้มบาง ๆ ขณะโยกศีรษะไปตามจังหวะครึกครื้นของดนตรีในคลับ

    เจสสิก้าขยับเข้าไปจับจองเก้าอี้ทรงสูงที่เพิ่งว่างลงข้างกายของใครคนนั้นอย่างถือวิสาสะ

    เพื่อนกลับไปแล้วเหรอคะ?” ต้องโทษเสียงอึกทึกรอบกายทำให้เธอต้องเอียงหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ ๆ เพื่อให้คู่สนทนาได้รับสารชัดเจน อีกฝ่ายหันกลับมามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ เจสสิก้าทันได้สบสายตาคู่สุกใสในระยะประชิด กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ที่รวยรินอยู่เพียงปลายจมูกทำให้นึกอยากแนบชิดยิ่งกว่าเดิม

    เพิ่งกลับไปเมื่อกี๊นี่เองค่ะเสียงนั้นตอบกลับมาอย่างสุภาพ แม้ไม่มีทาทีตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธไมตรีที่เจสสิก้าหยิบยื่นให้

    ท่าทางคุณยังไม่อยากกลับสินะคะ

    ทำนองนั้นมั้งคะ นาน ๆ ทีได้มา

    มิน่าล่ะ ฉันถึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุณเลยเพราะหากเป็นขาประจำของที่นี่ป่านนี้คงไม่รอดสายตาของเหยี่ยวสาวมาจนถึงทุกวันนี้อย่างแน่นอน

    มาที่นี่บ่อยเหรอคะ?”  ริมฝีปากสีอ่อนยามขยับพูดยิ่งชวนมอง นึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัสกับผิวขาวจัดที่โผล่พ้นเสื้อเชิ้ตสีเข้มนั่นสักครั้ง แต่ต้องสงวนท่าทีเอาไว้ไม่ให้ดูน่าเกลียด

    ค่ะ ฉันเป็นขาประจำของที่นี่เรียวขาขาวเนียนขยับขึ้นไขว่ห้างร่นเดรสให้สั้นขึ้นไปอีกอย่างจงใจ ชั่วขณะหนึ่งคล้ายเห็นร่องรอยความขบขันในดวงตาคู่นั้น แต่เจสสิก้าคิดว่าตนมองพลาดไปจึงไม่เก็บมาเป็นอารมณ์

    อย่างนี้นี่เอง... แล้วคนที่มาด้วยกันไปไหนซะล่ะ

    เอ๋? คุณเห็น เจสสิก้าเอียงคอมองโดยไม่ลืมแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ ทึกทักเข้าข้างตนเองว่าอีกฝ่ายก็สนใจเธออยู่เช่นกัน

    ไม่มีคำตอบจากอีกคน มีเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรและอาการไหวไหล่น้อย ๆ ก่อนจะยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปาก ปล่อยของเหลวสีสวยให้ไหลผ่านลำคอเพียงบางเบา เจสสิก้าช้อนสายตามองคนตรงหน้าอย่างรอคอย ชูแก้วใบสวยขึ้นเล็กน้อยจนสายตาวาววับมองเห็นความนัยน์ที่ส่งผ่านจึงยกแก้วมากระทบกันเบา ๆ

    ทว่าเหยื่อของเหยี่ยวสาวคราวนี้จะเคี้ยวไม่ได้ง่าย ๆ เช่นทุกที แอลกอฮอล์ที่เพิ่มปริมาณในกระแสเลือดทำให้ทรงตัวลำบาก หากไม่อาศัยมืออุ่นคอยประคองและเคาน์เตอร์บาร์เป็นหลักยึด เจสสิก้าก็คงลงไปกองอยู่บนพื้นไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่ง ต่างกับอีกที่ดื่มในปริมาณไม่ต่างกันกลับยังนั่งนิ่งไม่ปรากฏอาการมึนเมาเช่นเธอ

    ศีรษะหนักอึ้งเอนเอียงไปซบไหล่ตามที่ใจปรารถนา แต่คงจะดีกว่านี้หากเป็นเวลาที่สติยังอยู่ครบถ้วน แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเจสสิก้าจะหยุด ยิ่งเมาก็ยิ่งกระดกดื่มของเหลวในแก้วราวกับมันเป็นน้ำเปล่า

    “อีกแก้วนะ นะคะ”

    “จะดีเหรอคุณ เมามากแล้วนะ”

    จำเป็นต้องรอบเอวคอดเอาไว้กันร่างที่ทำตัวเหมือนไร้กระดูกนั้นล้มลง ศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมสีน้ำตาลอ่อนเอนซบไหล่อย่างต้องหารที่พึ่ง ไม่ได้นึกรำคาญเพียงแต่รู้สึกขบขันกับวิธีการล่าเหยื่อของนักท่องราตรีคนสวย หากเป็นคนอื่นผู้หญิงในอ้อมแขนคงไม่ได้มานั่งทำเสียงออดอ้อนอยู่ตรงนี้นานนักหนอก

    “คุณ! คุณ! หลับไปแล้วเหรอ?”

    ออกแรงเขย่าตัวคนที่ฟุบหน้าลงบนไหล่ของตนเมื่อเห็นว่านิ่งไป แต่เพียงไม่นานใบหน้าสวยเฉี่ยวก็เงยขึ้นแล้วหัวเราะคิกคักอย่างมีจริต มือบางป้วนเปี้ยนอยู่รอบคอของคนตัวสูงกว่า

    “ยาง~ ฉันยังไม่หลับ”

    ช้อนสายตาหวานที่หวานจนหยาดเยิ้มเมื่อเจือด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ขึ้นสบตา พยายามดันตัวออกจากการช่วยเหลือของผู้หวังดี จนซวนเซแทบจะทิ้งร่างลงไปซบกับเคาน์เตอร์บาร์ทั้งตัว

    “กลับ.......”

    “คุณว่าไงนะ”

     เสียงอ้อแอ้ที่ดังแค่ในลำคอไม่อาจทำให้คนฟังเข้าใจได้ ยิ่งในคลับที่ดังกระหึ่มด้วยเสียงเพลงเช่นนี้ด้วยแล้ว แม้จะพยายามเงี่ยหูฟังเท่าไหร่ก็เปล่าประโยชน์ และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้นคนเมาก็ฟุบใบหน้านิ่งกับท่อนแขนของตน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว

    “หลับไปซะแล้ว” พูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ เห็นสาวสวยหมดสภาพแล้วส่ายหน้า คงจะฝืนจนเลยขีดจำกัด ที่อยู่มาได้จนป่านนี้ก็นับว่าเก่งมากทีเดียว

    ที่เหลือคือความกังวล ไม่รู้จะทำอย่างไรกับร่างบอบบางที่แต่งกายด้วยชุดล่อแหลมนี้ดี ไหล่ที่เปลือยเปล่าตลอดจนเรียวขาขาวที่พ้นจากเดรสสีเข้มนั้นออกมา ล้วนแต่เป็นสิ่งยวนตา อาจดึงดูดอันตรายมาสู่เจ้าของได้ง่าย ๆ ที่พึ่งเดียวที่พอจะนึกออกก็คือผู้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ และตนรู้จักเป็นอย่างดี

    “พี่โบกยอง ออกมาดูคนหน่อยสิพี่”

    “น่าจะเป็นลูกค้าเจ้าประจำของพี่นะ ไม่ได้ถามชื่อไว้ซะด้วย”

    “เมาหลับอยู่ตรงเคาน์เตอร์นี่แหละ พอดีฉันต้องรีบกลับพรุ่งนี้ทำงาน”

    “รีบมานะพี่ กลัวโดนเค้าอุ้ม”

    โทรศัพท์ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าสะพายตามเดิมเมื่อคุยธุระเสร็จสิ้น มองร่างไร้สติของสาวนิรนามอย่างชั่งใจก่อนหยิบเอาเสื้อโค้ทที่วางพาดบนเก้าอี้ของตนมาคลุมร่างนั้นไว้ อย่างน้อยก็มิดชิดกว่าชุดที่เจ้าตัวสวมใส่อยู่มาก

     

                สองเท้าพาร่างสูงโปร่งออกมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารสองชั้นที่ยังมีเสียงอึกทึกเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน สูดหายใจยาวลึกเพื่อกอบโกยเอาอากาศบริสุทธิ์ที่ไร้ซึ่งกลิ่นบุหรี่และแอลกอฮอล์ มองผ่านม่านฝนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายก็พบกับถนนว่างโล่ง คงไม่มีใครอยากออกเดินทางตอนที่ฝนกำลังตกหนัก

    กางร่มที่เจ้าของไนต์คลับคนสวยยัดเยียดให้แล้วคลี่ยิ้มอย่างนึกขอบคุณ หากไม่มีมันคงได้เดินเปียกไปจนถึงรถอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนในใจก็เอาแต่ค่อนขอดสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดฤดูกาล ออกเดินฝ่าสายฝนห่างออกไปจากไนต์คลับโดยไร้อาการมึนเมา

    เห็นทีต้องพกร่มตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิเลยสินะปีนี้

     

     

    การหลับยาวตลอดทั้งวันทำให้แทยอนตื่นเช้ากว่าปกติ เวลาที่อยู่บนหน้าโทรศัพท์เลยตีสี่มาเพียงเล็กน้อย ลืมตาขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยในความมืด ขณะที่ร่างกายยังหลงเหลืออาการอ่อนเพลียเพราะพิษไข้ ทว่าที่อ่อนล้ายิ่งกว่าก็คือจิตใจ  ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตรงป้ายรถเมล์เธอเฝ้าภาวนาให้ทุกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้าย พอเช้ามาความฝันนั้นก็เลือนรางและจางไปเช่นทุกครั้ง 

    แต่ฝันร้ายคราวนี้กลับยาวนาน ยังตามติดหลอกหลอนทั้งในยามหลับและยามตื่น ยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจน มันคอยแต่จะช่วงชิงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากเธอไป ความสุขที่เคยอบอวนอยู่รอบกายกลายเป็นเพียงวิมานในอากาศ พอมีบางสิ่งมากระทบจึงพังทลายลงอย่างง่ายดาย ก่อนมือที่มองไม่เห็นจะผลักให้ตกลงไปในหุบเหวส่วนที่ลึกเกินหยั่ง หมดแรงแม้แต่จะปีนป่ายเอาชีวิตรอด ถูกทอดทิ้งให้อยู่จมอยู่ในความมืดมนเพียงลำพัง แม้แต่ที่พึ่งสุดท้ายก็ทำท่าจะหลุดลอยไปต่อหน้า

                หากรู้ว่าต้องตื่นมาพร้อมความรู้สึกย่ำแย่ เธอเลือกที่จะนอนซมอย่างเดิมเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็แค่ป่วยที่กาย ไม่ใช่ที่ใจ

    ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งรับไม่ทัน ทว่าแทยอนกลับมองไม่เห็นจุดจบ สิ่งเดียวที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดได้ดีที่สุดคือหยดน้ำตา ต่างตรงที่คราวนี้ไม่มีใครคอยปลอบโยนให้คลายเศร้าเหมือนทุกครั้ง ท่อนแขนถูกยกขึ้นพาดทับบนเปลือกตาที่ร้อนผ่าวปล่อยน้ำตาให้รินไหลโดยไร้เสียงสะอื้น ในหูคล้ายแว่วยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันให้กับความทุกข์ทรมานของตน หากน้ำตาสามารถชะล้างภาพที่ติดในความทรงจำให้ลบเลือนไปจนหมดคงดี

    สายใยที่เชื่อมต่อวันวานอันขมขื่นกับปัจจุบันอันอ้างว้างคือโทรศัพท์เพียงเครื่องเดียวที่วางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ทุกครั้งที่หยิบมันขึ้นมาแล้วพบเพียงความว่างเปล่าแทยอนนึกอยากจะขว้างมันทิ้งไปให้ไกล แต่ก็ตัดใจไม่ลงเพราะมันคือสายป่านเส้นสุดท้ายที่เธอยึดเอาไว้ได้ แม้ว่าจะบางเบาและพร้อมที่จะถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อก็ตาม

     

     

    เสียงกุกกักที่ดังอยู่นอกห้องทำให้คนที่อยู่ในห้องรู้สึกตัว หลังจากผล็อยหลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือร้องไห้จนเหนื่อยแล้วเผลอหลับไปอีกครั้งนั่นเอง ระหว่างที่นั่งงัวเงียอยู่บนเตียงประตูห้องก็เปิดผลุงเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว

    “อุ๊ย”

    “......ฉันนึกว่าเธอหลับอยู่” เจ้าของห้องเอ่ยเหมือนไม่รู้สึกรู้สาแทนที่จะขอโทษกันสักคำ

    ต่างฝ่ายต่างก็ตกใจทั้งคนในห้องและผู้มาใหม่ แต่คนอายุมากกว่าได้กลบเกลื่อนความรู้สึกไว้ใต้ใบหน้าเรียบเฉยจนไม่เหลือร่องรอยใด ๆ

    อันที่จริงยุนอาก็แค่นึกเป็นห่วง เพราะตอนนี้ก็สายมากแล้วแต่แทยอนยังไม่ตื่นเลยลองเคาะประตูเรียก แต่ก็ยังเงียบไร้สัญญาณตอบรับจากคนข้างใน จึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาอย่างร้อนใจ แล้วก็เป็นอย่างที่เห็น... แทบจะทำหน้าไม่ถูกกันทั้งคู่

    จังหวะที่แทยอนนั่งหน้าตาตื่นอยู่บนเตียงในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อยืดที่ยุนอาให้หยิบยืมชั่วคราวคงตัวใหญ่เกินไปคอเสื้อถึงได้เอียงมาข้างหนึ่ง เปิดผิวเปล่าเปลือยบริเวณหัวไหล่ ภาพนั้นพอจะทำให้คนมองเกิดความรู้สึกขัดเขินแปลก ๆ

    “ไม่เป็นไรค่ะ”

    เสียงนั้นราวกับเตือนสติ ยุนอากระแอมเบา ๆ แล้วถอนสายตาจากผิวขาวเนียนก่อนที่เจ้าของจะทันได้รู้ตัว เปลี่ยนมาสำรวจใบหน้าซีดเซียวและดวงตาบวมช้ำที่เรียกคะแนนสงสารจากยุนอาได้เป็นกระบุงโกย เผลอถอนหายใจเบา ๆ เมื่อคิดว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าบ้าง

    “ดีขึ้นหรือยัง?”

    “ค่ะ ดีกว่าเมื่อวาน”

    “แต่หน้าเธอยังดูซีด ๆ อยู่เลยนะ”

    “ยังมึนหัวอยู่นิดหน่อยค่ะ”

    “แล้วเธอหิวรือยังล่ะ?”

    “ไม่ค่ะ” ตอบพร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ มือยังกอดผ้าห่มเอาไว้แนบอกราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า

    “แต่นี่ก็สายมากแล้วนะ ออกมากินอะไรสักหน่อยดีกว่า”

    “ค่ะ” แทยอนรับคำอย่างว่าง่าย ป่วยการที่จะปฏิเสธน้ำใจจากผู้หวังดี

    “เธอลุกไหวนะ?” ดวงตาคู่สวยหรี่มองอย่างพิจารณา เหมือนไม่แน่ใจว่าเด็กสาวแข็งแรงพอจะช่วยเหลือตัวเองได้

    “ไหวค่ะ”

    “งั้นฉันไปรอข้างนอกนะ เธอก็..จัดการตัวเองซะ” บอกแล้วหมุนตัวกลับออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้เบามือ มีคำขอบคุณแผ่วเบาลอยตามลมไป ทว่าคนรับคงไม่ทันได้ยินมัน

     

    พอออกจากห้องด้วยสภาพที่เรียบร้อยกว่าเดิมก็พบว่ามีอาหารง่าย ๆ วางรออยู่บนโต๊ะทรงกลมเพียงไม่กี่อย่าง ส่วนของแทยอนก็คงจะหนีไม่พ้นข้าวต้มร้อน ๆ ในถ้วยอย่างเคย ซึ่งรสชาติที่ปลายลิ้นได้สัมผัสก็ทำให้คนที่บอกว่าไม่หิวในตอนแรกเจริญอาหารขึ้นมากกว่าเมื่อวานเป็นเท่าตัว สายตาที่เจือด้วยความสงสัยลอบมองคนที่จัดการกับอาหารมื้อเช้าอย่างเงียบ ๆ อยู่หลายคราว จนกระทั่งอีกฝ่ายรู้ตัว

    “มีอะไรเหรอ.. แทยอน?”

    ร่างเล็กที่รู้จมอยู่ในความคิดของตนถึงกับสะดุ้งคำถามที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมา อดรู้สึกแปลกหูไม่ได้กับชื่อของตนที่ออกจากริมฝีปากบางนั่นเป็นครั้งแรก

    “เปล่าค่ะ” เสียงแหบแห้งตอบปฏิเสธทันควัน ส่ายศีรษะเร็ว ๆ จนเรือนผมกระจาย

     ยุนอามองใบหน้าใสแล้วอมยิ้มรู้ทัน

    “ฉันไม่ได้ทำเองหรอก สั่งมาจากข้างล่าง”

    “ค่ะ”

    แทยอนหลุบตาต่ำมองชามข้าวต้มอย่างเดิมเมื่ออีกฝ่ายคาดเดาความคิดของตนได้ถูก ไม่กล้าเหลือบมองเกรงว่าอีกฝ่ายจะจับได้ให้ได้อายอีก เป็นอันว่าข้อสงสัยที่ติดค้างในใจมาตั้งแต่เมื่อวานได้รับคำตอบเป็นที่เรียบร้อย

     

     

    ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่ยุนอากลับได้รับสายจากทั้งลูกน้องและลูกค้าแทบทั้งวัน กับปัญหาที่สะท้อนกลับมาจากผู้บริหารสาขาย่อยรุ่นเก่า ส่วนคนที่ตามแก้ก็หนีไม่พ้นยุนอาและลูกทีม ระหว่างอาหารมื้อเที่ยงก็ยังมีสายเข้ามาไม่ได้ว่างเว้น กับข้าวที่เคยถูกปากก็ดูไร้รสชาติไปหมดเมื่อมีเรื่องวุ่นวายให้ขบคิด จนเผลอลืมไปว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนที่พลัดหลงเข้ามาในชีวิตอยู่ตรงนี้ด้วยอีกคน

    สาเหตุอาจเป็นเพราะแทยอนไม่มีปากมีเสียงใด ๆ นั่งจมจ่อมกับความคิดของตนอยู่อย่างเงียบเชียบราวกับอยู่กันคนละโลก เจ้าของห้องถึงได้หลงลืมไปในบางขณะ พอปัญหาได้รับการคลี่คลายยุนอาถึงได้ให้ความสนใจสิ่งอื่นนอกเหนือจากงานที่บริษัท

    “จบซักที”

    ยุนอาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนโยนโทรศัพท์ลงไปบนโซฟาหน้าทีวี ทว่าคนที่จับจองโซฟาตัวยาวอีกตัวอยู่ก่อนนั้นกลับไม่ได้รับรู้ถึงการมาของยุนอาแม้แต่น้อย ทีวีจอใหญ่ที่เปิดไว้ก็ดูไร้ความหมายสำหรับแทยอนเช่นกัน เมื่อสายตาเหม่อมองไปบนหน้าจอแต่เหมือนจิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่กับมัน กระทั่งยุนอาหย่อนกายลงนั่งอีกด้านของโซฟาตัวเดียวกันร่างที่นั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่นั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ

    บนโต๊ะตรงหน้านั้นมีสมาร์ทโฟนหน้าจอร้าวเครื่องเดิมวางอยู่ มันไม่ส่งสัญญาณใด ๆ มานานนับตั้งแต่แทยอนนำมันมาวางไว้ตรงนั้น

    “แทยอน”

    พอได้ยินเสียงเรียกแทยอนก็ผินหน้ามองเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็วผิดคาด ยุนอานึกว่าเด็กสาวจะหลุดไปยังอีกโลกแล้วเสียอีก

    “เธอไม่คิดจะเรียนต่อแล้วจริง ๆ เหรอ?” ไม่ได้อยากจะเซ้าซี้เพียงแต่เสียดายที่แทยอนตัดสินใจเช่นนั้น ที่กระตุ้นบ่อย ๆ แค่อยากให้เด็กสาวเปลี่ยนใจ

    “ไม่ค่ะ ยังไม่ใช่ตอนนี้” และคนตอบก็ไม่ได้หยุดใคร่ครวญสักวินาที

    “ไม่เสียดายอนาคตหรือไง”

    “มันเป็นเรื่องของอนาคต อยากเรียนค่อยไปเรียนก็ได้ค่ะ” แทยอนพูดเรียบเรื่อยเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง นั่นทำให้ยุนอาชักไม่ชอบใจที่เด็กอายุเท่านี้ทำตัวไม่แยแสกับชีวิตของตนอย่างที่ควร

    “ชักสงสัยแล้วว่าเธออายุเท่าไหร่กันแน่” ยุนอาเอ่ยถามโดยไม่มองหน้าแทยอน แต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ดวงตาหมองหม่นนั้นจ้องมองตนเขม็ง

    “......”

    “เห็นทำตัวหมดอาลัยตายอยากเหมือนคนแก่วัยเกษียณ” พูดพร้อมหันไปสบตากับอีกฝ่าย อยากเห็นสีหน้าตอนถูกยิงคำถามว่าจะยังปั้นหน้าเฉยชาได้อยู่หรือไม่

    “คงงั้นมั้งคะ” ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแล้วเบือนหน้าหนี และยุนอาไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนใบหน้าอ่อนเยาว์นั่นเลย ทำให้ต้องทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย คงหมดหนทางที่จะเปลี่ยนความคิดของเด็กคนนี้แล้วจริง ๆ

    ทีวีที่เปิดไว้ยังคงส่งเสียงดังตามหน้าที่ ทว่าคนสองคนที่จมอยู่ในความคิดของตนไม่มีใครใส่ใจ

    “พรุ่งนี้ฉันคงต้องไป รบกวนคุณมามากแล้ว”

    “คิดออกแล้วเหรอว่าจะไปไหน?”

    ยุนอาเพิ่งรู้ว่าการคุยกับคนที่กลายร่างเป็นหุ่นยนต์ มีชีวิตแต่เหมือนไร้ความรู้สึก เป็นเรื่องยากเหลือเกิน และที่ยากที่สุดคือการควบคุมอารมณ์ของตนไม่ให้เดือดดาลกับความเฉยชาจากอีกฝ่าย

    “ยังค่ะ แต่ถึงเวลาก็คงมีที่ไปเอง”

    “เธอเห็นชีวิตเป็นของเล่นหรือไง” ยุนอาผุดลุกขึ้นยืนอย่างหมดความอดทน น้ำเสียงนั้นแข็งกร้าวพอ ๆ กับแววตาที่หลุบมองคนอายุอ่อนกว่า

    “พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวฉันไปส่ง ที่ไหนก็ได้ที่เธออยากไป คืนนี้ไปคิดมาซะ” จากที่แรกเริ่มจะรั้งไว้ก็ต้องเปลี่ยนความคิด เมื่อแทยอนไม่มีทีท่าว่าจะรับความปรารถนาดีใด ๆ ที่ยุนอาพยายามหยิบยื่นให้ ขนาดเจ้าตัวยังไม่ใส่ใจอนาคตตัวเองแล้วเธอเป็นใครถึงจะไปบงการชีวิตของเด็กคนนี้ได้

     


     

     

     

     

     

    ©
    t
    b
    u
    t
    t
    e
    r
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×