คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Live in Japan การแต่งงานแบบญี่ปุ่น
Live in
การแต่งงานแบบญี่ปุ่น(ขอลูกสาวคนญี่ปุ่นชาวบ้านแต่งงาน)
ก็กลับมาแล้วหายไปนานเหมือนกัน(เหมือนเดิมด้วย) ก็ไปสัมภาษณ์งานที่ญี่ปุ่นมาอ่ะ แต่ว่าก็ไม่ได้หรอกครับ อยู่ที่นี้งานดีๆพวกใช้ความคิด ความต้องการเค้าคือระดับภาษาญี่ปุ่น ระดับหนึ่ง(สำหรับชาวต่างชาติ) อยู่ที่นี้เค้าไม่ได้สนหรอกครับว่าคุณจบมาจากมหาวิทยาลัยที่ไหนของไทย (เพราะว่าเค้าไม่รู้จัก) เค้ารู้อย่างเดียวว่าคุยกับเค้ารู้เรื่องหรือเปล่า แล้วระดับภาษาอ่ะ ใช้ในงานธุรกิจได้หรือเปล่าตอนนี้ระดับภาษาของผมก็คือเอาตัวรอดในญี่ปุ่นได้ ก็อยู่ประมาณระดับสามค่อนไประดับสอง ก็ลำบากมากครับ ตัวไม่เท่าไรแต่ทุกข์ใจมากกว่า มีความรู้แต่ไม่ได้ใช้ ไม่เอาดีกว่าบ่นๆไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มาฟังเรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานแบบญี่ปุ่นดีกว่า(สนุกหรือเปล่าไม่รู้นะ) เริ่มกันเลยดีกว่าตั้งแต่ขอลูกสาวชาวบ้านเค้า
ก็เริ่มจากตอนแรกก็มาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกก่อน ก็ประมาณช่วงนี้ล่ะครับช่วงปีใหม่ ก็ได้สัมผัสบรรยากาศปีใหม่แบบญี่ปุ่น ที่นี้ปีใหม่เงียบมากครับ ขอบอก ส่วนมากคนญี่ปุ่นหยุดยาวๆจะหนีไปเที่ยวกัน หรือว่าถ้าอยู่ก็อยู่แต่ในบ้านจริงๆ สาเหตุที่ว่าก็เพราะว่าร้านอาหารดีๆ หรือว่าบางที่ห้างสรรพสินค้าก็หยุด อาจจะเป็นจังหวัดที่ผมไปหาพ่อแม่เค้าเป็นจังหวัดบ้านนอกหน่อยมั่ง จังหวัดมิเอะ ครั้งแรกที่เจอพ่อแม่เค้าก็ตื่นเต้นดีเหมือนกัน เจอแม่แฟนก่อน มารอที่ประตูทางออก แต่พ่อแฟนไม่เห็นก็คิดในใจว่าสงสัยจะไม่อยากเห็นหน้า(ว่าที่ลูกเขย)เรา ก็กลุ้มใจนิดหน่อย แต่ว่าสักพักก็ได้ยินเสียงพ่อแฟน มาพร้อมกับรถเข็นสำหรับ ใส่กระเป๋า (อ่ะน่ารักจัง) ก็เจอกันแต่การทักทายสิไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหน แต่พ่อแฟนผมเค้าเคยไปเหมือนไทยครั้งหนึ่ง เลยคิดว่าการเจอกันก็คือการไหว้(แต่การไหว้มันก็มีหลายระดับ)พอเจอหน้าผมครั้งแรก พ่อแฟนเค้าก็ไหว้ผมก่อนเลย (ดันใช้ท่าไหว้แบบเด็กไหว้ผู้ใหญ่ คือไหว้แล้วก้มหัวลงมาด้วย) ผมล่ะทำตัวไม่ถูกต้องต้องรีบไหว้ตอบไป ด้วยการก้มหัวให้ต่ำกว่า ก็คุยกันนิดหน่อย(จริงแล้วไม่ได้คุยโดยตรงหรอกครับ เพราะว่าภาษาญี่ปุ่นพูดไม่ได้ คุยผ่านแฟน)
(บ้านเค้าที่ไปพัก)
ก็ไปถึงบ้านเค้าก็คุยกันเรื่องทั่วไปล่ะครับ (ขอบอกว่าถ้าคุณได้รับแขกให้เป็นแขกในบ้านของคนญี่ปุ่น คุณจะได้รับการตอบรับที่ดี อบอุ่นมาก แต่ถ้ามาในฐานะผู้พักอาศัย ความรู้สึกที่ได้รับจะไม่เหมือนกัน)สำหรับข้อหัวที่คุยกับคนญี่ปุ่น อยากให้เตรียมตัวมาหน่อยล่ะก็คงเป็นเรื่องความรู้ทั่วไป ข่าวดังๆในโลกที่มีญี่ปุ่นไปเกี่ยว(คนญี่ปุ่นจะภูมิใจในความเป็นชาตินิยม) สำหรับคนที่คิดว่าจะมาเกี่ยวดองเป็นครอบครัวกับคนญี่ปุ่น อีกเรื่องที่จะคุยกันก็น่าจะเป็นเรื่องทั่วไปเช่นอาหารญี่ปุ่น เรื่องครอบครัวแบบญี่ปุ่น ถ้าให้ดีก็เรื่องเหล้าสาเก หรือว่าเบียร์ คิดว่าควรจะดื่มให้เป็นจะเป็นการสนุกกว่า เพราะว่าคนญี่ปุ่นเค้าจะได้รู้สึกว่าเป็นพรรคพวกเดียวกัน เค้าดื่มกันทั้งบ้าน คุณไม่ดื่ม มันก็แปลกๆหน่อย(ที่นี้การดื่มเหล้า หรือว่าสูบบุหรี่ต่อหน้าพ่อแม่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลกอะไรครับสำหรับสังคมเค้า) ก็ผ่านไปหกวันก็เป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน ต้องรอกินข้าวกินพร้อมพ่อแม่เค้า(พ่อเค้าเป็นหมอ ค่อนข้างจะมีความคิดแบบหมอ เหมือนกันทุกประเทศล่ะมั่ง) ยกเว้นวันที่ผมไปพักที่เรียวกัง ที่ แถวฟูจิยามะ สองวัน หรอกนั้นก็ต้องกินข้าวพร้อมกัน ก็มีวันสุดท้ายนี้ล่ะที่แปลกๆหน่อย ก็พ่อเค้าดื่มมากกว่าปกติ ดื่มเร็วด้วย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าก็คงจะเหมือนกันทุกวันล่ะ แต่ว่าไม่ใช่อ่ะ พอเมาได้ที ก็โดนคำถามเลย เรา
คุณพ่อ..“คุณคิดอย่างไรกับลูกสาวของผม” (ให้ตายสิ คิดไว้แล้วต้องเจอคำถามนี้ แต่นึกว่าจะลืมแล้ว พรุ่งนี้ตูจะกลับแล้วด้วย)
ก็ตอบไปว่า.......
ผม...“คิ ดว่าจะแต่งงานด้วยในอนาคต”(ตอบแบบเลี่ยงๆหน่อย แต่ว่าพอใจสำหรับคนรับฟัง แต่จริงแล้วผมก็อยากจะแต่งงานนะครับแต่ว่าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น)
คุณพ่อ.. (หน้าแดงๆเพราะว่าหนาวหรือว่าเมา หรือว่าโมโหว่า)“แล้วเมื่อไหร่จะมีเงิน เมื่อไหร่จะพร้อมแต่งงาน”(เหงื่อตก แล้วสิตู)
ผม... “น่าจะอีกสามปี ตอนนี้ก็ช่วยกันเก็บเงินอยู่” (แต่ว่าเงินเดือนของผมมันเป็นเงินเดือนไทยอ่ะ คิดในใจจะมีปัญญาเหรอตู)
คุณพ่อ..“ช้าไปนะ............. แล้วคิดว่าแต่งงานแล้วจะทำให้ลูกสาวเค้ามีความสุขได้ไหม”
ผม... (คิดๆ........) “อันนี้ก็ต้องถามลูกสาวคุณพ่อสิครับ ว่าเค้ามีความสุขไหมที่ตอนนี้อยู่กับผม และแต่งงานแล้วจะมีความสุขไหม อันนี้ก็ตอบยากนิดหนึ่ง เพราะว่าการแต่งงานมันก็ไม่เหมือนกับเกมส์ มันต้องมีความลำบาก ความทุกข์ ความสุข ทะเลาะกันบ้าง ปนกันไป เพราะว่าเติบโตมาจากคนล่ะที่ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองว่าใครจะมองว่าสุขหรือทุกข์ ”(ฮาๆ ตอบแบบโยนแบบนุ่มนวล)
คุณพ่อ.. (หัวเราะ คิคิๆ)“ ฉลาดตอบนะ แล้ว(ลูกสาว) คิดอย่างไรล่ะ”
แฟนผม..“เหมือนที่ผมบอก คุยกันเรื่องแต่งงานอยู่ แต่ว่ายังช่วยกันเก็บเงินอยู่(ทำหน้าน่าสงสาร)”
บรรยากาศเริ่มเครียด....ทุกคนเงียบ มาก ผมกับแฟนก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตา เหอะๆๆสงสัยตอนก่อนกลับไทยต้องบอกให้ลูกสาวเลิกกับตูแน่นอนที่สุดเลย (ทำใจ..)
(รูปนี้หลังจากได้รับฟังคำตอบจากผม(ว่าที่) ไม่รู้ไม่พอใจหรือว่าพอใจ เลิกดื่มแล้วก็ไปล้างจาน ซึ่งปกติวิสัยจะคุณแม่ที่ล้าง)
แล้วแม่เค้าก็มาเปลี่ยนเรื่องบอกว่าคุยเรื่องอื่น ที่สนุกๆเถอะ ก็เลยรอดตายไปเลยตู ไม่งั้นก็นั่งก้มหน้าอยู่อย่างนั้นล่ะ แล้วรุ่งเช้าวันต่อมาก็กลับเมืองไทย แม่เค้าขับรถมาส่งที่ท่าเรือก่อนจะต่อไปสนามบิน ได้ประมาณสองเดือนครึ่ง ก็มีโทรศัพท์มาจากญี่ปุ่น ถึงแฟนผม บอกว่าให้กลับญี่ปุ่น(ตอนนี้เริ่มสนใจภาษาญี่ปุ่น แอบฟัง) ได้แล้ว เหอะๆๆซวยล่ะตู สงสัยจะเป็นเหมือนที่คิดไว้ตอนแรก ให้เลิกกันแน่เลย ก็ทำใจ แล้วแฟนก็วางโทรศัพท์ไป แล้วหันมาบอกว่า ผมด้วยหน้าตาแบบว่าไม่ดี ว่าคุณ
.........................................
.........................................
.........................................
.........................................
กลับไปพร้อมกับผม เพื่อไปแต่งงานที่โน้น พ่อเค้าจะช่วยในเรื่องงานแต่งงานให้ (แต่มีข้อแม้ว่า แต่งเสร็จแล้ว ต้องให้ผมอยู่ที่ญี่ปุ่น เพื่อเรียนรู้ นิสัย สังคม ญี่ปุ่น อย่างน้อยสามปีแล้วค่อยคิดใหม่ว่าจะอยู่ที่ไหน)
แฟนผมถามว่าผม คิดว่าอย่างไร จะไปหรือเปล่า ตอนนั้นก็ตอบแบบไม่ลังเลเลยว่าไปสิ (แต่ตอนนี้ให้กลับไปเลือก อาจจะคิดใหม่ก็เป็นไปได้ ลำบากเหลือเกิน ที่ญี่ปุ่นนี้) แล้วมาต่อกันตอนหน้านะครับ
ใครมีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเขียนก็ช่วยเขียนคอมเม้นกันหน่อยนะครับ หรืออยากติชมก็ยินดีนะครับ จะได้รู้ว่าจะต้องปรับปรุงส่วนไหน วิธีการเขียนแบบไหนให้ถูกใจ (แต่ผมสำหรับคิดว่าอยากจะเปลี่ยนชื่อเรื่อง จากlive in japan เป็น 国際結婚(kokusai ke-kon) ไม่รู้ว่าจะดีหรือเปล่า เพราะว่าเขียนๆมายังไม่เข้าเรื่องชื่อเรื่องเท่าไรเลย อ่ะ ทุกคนว่าไงล่ะครับ
(คิดถึงเมืองไทย จังเลย)
ความคิดเห็น