ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รอบรู้ประเทศญี่ปุ่น

    ลำดับตอนที่ #14 : Live in Japan ตอนสุดท้าย แฉตัวเอง(ตอนจบ)

    • อัปเดตล่าสุด 20 ส.ค. 50


    Live in Japan

    ตอน  แฉตัวเอง(ตอนจบ)                    

       

    สวัสดีครับก็หายไปนานเหมือนกัน กำลังตรมใจกับการสอบวัดระดับที่ผ่านมา (แต่จริงๆก็เดาออกแล้วล่ะว่าจะเป็นอย่างนี้) สำหรับผมภาคที่ทำไม่ได้เลยก็คือการอ่านเนื้อเรื่อง เป็นคนที่อ่านช้ามั่งครับเลยไม่ทัน ก็ว่ากันไปแก้ตัวกันไป แต่ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ทำได้อย่างเดียวก็คือทำใจและรอรับผล(คงจะได้อะไรที่เบาๆ ไม่มีบัตรประกาศรับรองหรอก) ตอนนี้ก็พอทำใจได้  ก็เริ่มๆกันใหม่สำหรับเป้าหมายใหม่ก็กลายเป็นอิคิวซัง (ระดับหนึ่ง) ก็สำหรับใครที่พลาดก็อย่าไปท้อครับ ปีหน้าฟ้าใหม่ยังมี สำหรับคนที่สอบได้ก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายที่สูงๆขึ้นต่อไป อย่างไรก็สู้ๆนะครับ

     

    สำหรับตอนที่แล้วก็อาจจะทำให้ใครๆหลายคนผิดหวังหน่อย(ผมกลับอ่านก็ยังรู้สึกว่าเขียนไม่ค่อยดี เท่าไร ก็ต้องบอกขออภัยไว้ก่อนนะครับสำหรับ เรื่องที่เขียนเป็นเรื่องจริงทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตของผม มันอาจจะไม่สนุกทั้งหมด แต่ก็อยากให้เป็นประสบการณ์ให้บางคน)ตอนแรกกะว่าจะจบแค่ตอนที่แล้วไม่เขียนต่อ แต่ก็คิดว่าคงจะมีบางคนที่อยากจะอ่านต่อ  ก็เลยลุกขึ้นมาจับคีย์บอร์ดพิมพ์ แต่ตอนหน้าคงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นจริงๆ ก็ต่อกันดีกว่าถึงตอนที่แล้วก็คือ ผมไปนั่งรอรับเจ้าหล่อน ที่สนามบินดอนเมือง ลืมบอกไปว่าก่อนหน้าที่ ยาซูโกะซังจะมาเค้าอีเมลล์มาบอกว่าพอดีเพื่อนจะมาด้วยอีกคน ชื่ออะไรจดไม่ได้อะ น่าจะนาโอโกะซังมั่ง แล้วจะแวะไปเที่ยวเชียงใหม่ก่อนมากรุงเทพ เลยไปนั่งรอที่ฝั่งผู้โดยสารภายในประเทศ พอถึงเวลาที่เครื่องบินลง ก็ไปยืนรอรับ ใครนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงในหนังในละครที่พระเอกนางเอก ไปยืนเกาะรั้วเหล็กแล้วมีผู้โดยสารเดินออกมา แล้วก็ถึงตอนที่พระเอกเดินมองไปที่ประตูที่เปิดปิดอัตโนมัติ เพื่อที่จะรอนางเอก(อาจจะสวมแว่นตาดำ หรือว่าหมวกไหมพรม) แต่ผมไม่ได้ถือป้ายเขียนชื่อเค้าหรอกนะครับแบบว่าอาย เพราะว่าแถวข้างๆมีคนถือเยอะเป็นพวกบริษัททัวร์ แต่ในมือก็ถือรูปถ่ายเจ้าหล่อนไว้  อีกมือก็ถือพวงมาลัยที่อุตสาห์ซื้อมาจากสี่แยกไฟแดง  ก็ผ่านไปคนแล้วคนเล่า พยายามมองหาคนที่แต่งตัวแบบญีปุ่น หรือว่าหน้าตาแบบญี่ปุ่น ก็มีผ่านมานะ หลายคู่เหมือนกัน คู่นี้หรือเปล่านะ (คิดในใจ) แต่ก็ไม่กล้าทัก เดี๋ยวทักผิด รปภ.สนามบินจะมาลากไป ข้อหาก่อกวนหรือเปล่า (สมัยนั้นมือถือยังไม่เป็นที่นิยมเท่าตอนนี้ ก็มีแต่ว่าแพงหรือเหลือ) ก็พยายามทำมุมมองและทำหน้าให้เหมือนกับภาพในรูปที่ส่งไปให้ เผื่อเจ้าหล่อนจะจำได้(สำหรับรูปที่ผมส่งไปให้ก็เป็นรูปที่แบบว่ามุมที่ดีที่สุดของหน้า เรียกว่ามุมหลอกลวงก็ว่าได้ ผมว่าทุกคนก็น่าเวลาที่ถ่ายรูปจะรู้ว่ามุมไหนถ่ายรูปออกมาแล้วดีทีสุด) ก็ไม่เจอ ผ่านไปจนหมดก็ไม่เห็นมีสาวญีปุ่นที่มาเป็นคู่ ก็กลับมานั่งที่เก้าอี้แล้วดูนาฬิกา กังวัลเหมือนกันจะกลับไปสอบทันหรือเปล่า(ว่ะ) คิดว่าไม่น่าจะเจอ แต่ก็ต้องรอเพราะว่านัดแล้ว แต่ลำบากมากเพราะไม่รู้ว่าแต่งตัวแบบไหนมา จริงๆแล้วน่าจะบอกให้เสียบปักดอกกุหลาบสีแดงไว้ที่หน้าอก จะได้รู้  ก็นั่งๆรอ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าเหมือนคนไทย มามองผมเหมือนกันตอนนั้นก็คิดว่าอ่ะๆ สงสัยจะเห็นว่าเราหล่อ (เหมือนกันนะเนี้ย) ก็มองกลับไปตาประสานตาปิ้งๆ แต่แล้วเจ้าหล่อนก็เดินจากไป สักห้านาทีได้ ก็มีคนเดินมาข้างหลังผม แล้วมานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงกันข้าม แล้วทันใดนั้นเจ้าหล่อนก็หยิบกระดาษอัดรูปมา ยกขึ้น มาดูแล้วผมก็เห็นตัวหนังสือที่เขียนข้างหลังภาพมันเป็นลายมือตู นี้หว่า คนนี้เหรอ ยาซูโกะซัง เหอะๆๆ ที่ไม่เชื่อไม่ใช่ว่าไม่น่ารักนะครับ ก็น่ารัก น่ารักมากกว่าในรูปด้วยซ้ำ ขาว ตาแบบญี่ปุ่นเล็ก แต่ไม่เรียว (คนที่มาแอบดูก่อนหน้าคือนาโอโกะ)แต่ที่ไม่เชื่อก็คือเครื่องแต่งกายที่เจ้าหล่อนใส่อ่ะ ไม่คิดว่าเจ้าหล่อนจะกล้าใส่อ่ะ ก็เล่นใส่ชุดไทยอ่ะ ที่เป็นเหมือนสไบพาดอ่ะ แหมทำไปได้ กล้าจริงๆ ผมคนไทยแท้ๆ ยังไม่กล้าใส่ออกมาเดินโชว์คนอื่นเลยอ่ะ (จริงๆแล้วไม่มีด้วยซ้ำอิอิ) ก็ทักว่าใช่ๆไหม ก็ปรากฏว่าใช่ ตอนนั้นก็ทำไรไม่ถูกเหมือนกัน ภาษาอังกฤษที่ใช้เขียนกับใช้พูดนี้มันแตกต่างกันมาก แต่ก็พอจะเข้าใจ มัวแต่ดีใจเกือบลืม ดอกไม้ที่ซื้อมา ก็เอาจัสมิส(พวงมาลัย มะลิ)ให้เจ้าหล่อน เจ้าหล่อนทำหน้าดีใจ(แต่ในใจไม่รู้หรอกว่าคิดไรอยู่)  แต่ทันทีทีได้ปรากฎว่ายาซูโกะซังอ่ะ เอามันไปวางบนหัว แล้วทำท่าเหมือนได้มงกุฏ นางงามจักรวาลอ่ะ เหอะๆเอาล่ะสิ ตูซื้อมาให้คล้องแขนเล่นเอาไปทำมงกุฏ เพื่อนที่มาด้วยกันแทนที่จะห้ามดันตบมือ มีเสียงทำเอาคนในสนามบินหันมามองกลุ่มที่ผมยืนคุยกัน ก็กลายเป็นว่าสาวญี่ปุ่นใส่เสื้อผ้าแบบไทย มีมงกุฏเป็นพวงมาลัย พร้อมเสียงตบมือจากกองเชียร์(มารู้ที่หลังว่าเค้าไปซื้อมาจากเชียงใหม่) แต่รวมๆแล้วมันก็น่ารักดีนะครับ ในแบบคิขุอาโนะเนะ  ก็เจอกันแต่ผมไม่มีเวลาแล้ว ต้องรีบขับมอไซด์กลับไปสอบ ก็เลยบอกเจ้าว่าจะไปส่งที่แท็กซี่ในสนามบิน ทำเอาหน้าบึงไปนิดเพราะถามว่าไม่ได้ไปด้วยกันเหรอ ผมก็บอกว่าต้องไปสอบเดี้ยวตอนเย็นจะพาไปเที่ยว ก็แยกกันโดยเค้าพักที่โรงแรมเอเชียแถวสะพานหัวช้าง ส่วนผมก็กลับมาสอบทันพอดี แต่ว่าเข้าไปสอบแล้วทำไม่ได้เลย เพราะว่าไม่ได้อ่านหนังสืออ่ะจะทำได้ไง แต่ก็ไม่เป็นไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน ลงใหม่ปีหน้า ก็สอบเสร็จก็เลยไปหาเจ้าหล่อนที่ โรงแรม ก็ไปถามประชาสัมพันธ์ก็รู้ห้อง แต่ว่าตอนนี้เค้าบอกว่าไม่อยู่ ออกไปข้างนอก ก็นั่งรอถึงสองทุ่ม เหอะๆจากบ่ายสี่โมงถึงสองทุ่ม เหนื่อยเหมือนกัน วันนั้น ปรากฎว่าเธอกลับมา แล้วก็ถามผมว่ามารอนานไหม จริงๆอยากจะบอกว่านานมาก แต่เพราะว่าไม่ได้นัดเวลากันไว้ก็เลยบอกว่าเพิ่งมา เธอก็ชวนขึ้นไปบนห้อง(ฮาๆ คิดอะไรอยู่........)ก็เดินไปสามคน ขึ้นไปนั่งคุยกัน แต่จริงๆแล้วคุยไม่รู้เลย สักส่วนใหญ่ เพราะว่าภาษาอังกฤษของสองชาติเสียงมันไม่ใช่ ยิ่งคนญี่ปุ่นใช้คำทับศัพท์คาตากานะ แล้วเสียงมันยิ่งไม่ใช่ ก็ใช่ภาษากายเข้าช่วย วันนั้นก็สนุกดี ได้เห็นการจัดกระเป๋าเดินทางแบบคนญี่ปุ่น มีทุกอย่าง ซุปมิโสะ เป็นซอง เตารีดเล็กๆหรือแม้แต่เครื่องต้มน้ำเล็กๆ น่ารักไปหมดเทคโนโลยีแบบญี่ปุ่น ถามได้รู้ว่าเค้ากับเพื่อนไปเที่ยวกันเอง ที่วัดพระแก้ว อรุณ อื่นๆ แล้วไปนั่ง ตุ๊กตุ๊กกลับมา (อ้าวหมดเลยแล้วตูจะพาไปเที่ยวไหนล่ะนี้เล่นไปหมดแล้ว)  ก็นึกได้ว่าอยุธยาน่าจะเหมาะ เลยชวนว่าไปไหมพอดีเค้าก็อยากไปเหมือนกัน ก็ตกลงว่าวันพรุ่งนี้ไปโดยขึ้นรถไฟแปดโมงเช้า สำหรับวันนี้ทั้งสองฝ่ายไม่ไหว ผมก็เหนื่อยกับการสอบและต้องไปรับเจ้าหล่อน ส่วนพวกเค้าก็เหนื่อยกับเวลาที่ไม่ตรงกันระหว่างสองประเทศเพราะที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าไทย สองชั่วโมงดังนั้นตอนนั้นที่เมืองไทยก็สามทุ่มๆกว่าๆ แต่ญี่ปุ่นก็จะเที่ยงคืนแล้วก็เลยง่วง อีกอย่างแอบไปเที่ยวมาเองด้วย กับสภาพอากาศที่ร้อนเลยเหนื่อยไปใหญ่ ก็เลยบอกลาวันนี้ต่างคนต่างไปนอน

     

     

    เช้าวันต่อมาผมไปที่โรงแรมเวลาประมาณเกือบแปดโมง ก็ถือว่าสายนิดหน่อยก็กลัวจะโดนว่าเหมือนกัน เรื่องเวลาเพราะว่าได้ยินว่าคนญี่ปุ่นอ่ะไม่ชอบคนไม่ตรงเวลา ก็ไปถึงโรงแรมก็ใช้สายในโทรไปปรากฎว่า ยังไม่ตื่นเหอะๆ ผมก็กลัวว่าจะไม่ทันรถไฟ ก็รู้ๆว่ารถไฟเหมือนไทยอ่ะมันไม่เหมือนที่ญี่ปุ่น จะมีแต่ช่วงเช้า กับเย็น แล้วชั่วโมงล่ะขบวน แล้วแต่ล่ะขบวนไม่ได้ในทิศทางเดียวกัน แต่สำหรับเค้าคงไม่รู้อ่ะ ทำให้คิดว่าไม่ทันแปดโมงเช้าก็ไปคันต่อไปแปดโมงสิบห้า หรือว่าครึ่ง อะไรประมาณนี้ ก็เลยต้องขึ้นไปตามที่หน้าห้องและเข้าไปรอในห้อง(มารู้ที่หลังว่าเป็นการเสียมารยาทอย่างแรง ก็ไม่รู้นี้เมื่อคืนยังให้เข้ามาได้เลย)ก็นั่งแท็กซี่ไปหัวลำโพง โชคดีที่เช้าวันเสาร์รถไม่ติดไปถึงหัวลำโพงแบบว่ารถไฟกำลังจะตีกระดิ่งแล้วออกอ่ะ คนก็มองกันทั้งรถไฟอ่ะเป็นรถไฟสายสั้นๆรู้สึกจะไปโคราช มีทุกรูปแบบสูบบุหรี่กันควันขโมก หาบที่ใส่ของไปขาย เด็กร้องไห้เสียงดังลั่น (อะๆสาวญีปุ่นไม่เคยเห็นสิท่า แอบภูมิใจที่เค้าทำหน้าตกใจ แต่ตอนนี้มาอยู่ที่ญีปุ่นถึงรู้ว่าทำไมเค้าถึงได้ทำหน้าตกใจแบบนั้น)รถไฟช้ามากๆๆๆๆ จอด นานทุกสถานีแรกก็สนุกดีแต่นานไปเบื่อๆ ก็ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงได้ (รถหวานเย็น) ไปถึงสถานีอยุธยาก็มีเรื่องอีก ใครเคยไปจะรู้ว่าที่ในสถานีรถไฟอยุธยา มันจะมีพวกคิวรถบริการ แบบรถสามล้อ แต่คล้ายๆรถตู้เปิดท้าย รอที่จะขย้ำนักท่องเทียวต่างชาติ แบบหูฉี่ ผมไปถึงพวกเค้าเล่านั้นก็พยายามมาฉุดกระชากให้ไปใช้บริการของเค้า มาถามผม สำหรับผมก็ไม่เคยไปแบบนี้เหมือนกัน เคยไปก็รถส่วนตัว เลยไม่รู้ราคา แต่ปรากฎว่าแพงมากเลยไม่ขึ้นตอนนั้นรู้สึกว่าเหมา แบบว่าไปสี่ห้าวัดนี้ พันบาทได้มั่ง แต่ผมเห็นว่ามันแพงไปก็เลยไม่ไปกะว่าจะไปหาเอาข้างหน้า แต่ก็มีพวกเหมือนนักเลงคนขับรถ เดินมาถามผมว่าไปตบสาวญีปุ่นมาจากรถไฟเหรอ (มันบอกว่ามาแบ่งๆกันๆบ้างสิ) เหอะความคิดมัน นี้เค้าเป็นเหมือนหน้าตาของประเทศเลยนะนั้น เค้าคงจะเห็นว่าผมคงอังกฤษกับเค้าไม่ค่อยรู้เรื่อง คงไม่ใช่ไกด์ แต่ผมก็บอกว่าเพื่อนกันมาก่อนแล้ว แต่ตอนนั้นมันไม่ยอมเสียงดัง ผมล่ะงงเลย ก็เลยเดินไปหาตำรวจรถไฟ แต่รู้สึกว่าเค้าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี ไม่ได้ว่าไอ้บ้านั้นสักคำ แค่บอกว่าเค้าไม่อยากไปก็อย่าไปว่าเค้าสิ ซึ่งตอนนั้นญี่ปุ่นสองคนอ่ะ กลัวจนตัวสั่นแล้ว(ตูก็สั่นเหมือนกันล่ะ เพิ่งเคยเจอ) ก็รีบออกจากสถานีกลัวมันตามมาเอาเรื่องจะเป็นเรื่องเป็นราว ก็ไปเที่ยวเสร็จก็กลับมา กทม  ก็เหนื่อยเหมือนเดิม แต่ว่าพรุ่งนี้ตอนกลางเย็นเค้าจะกลับแล้ว ก็เลยอยากเที่ยวต่อ ก็ให้เลือก ว่ารู้จักที่ไหนหรือว่า อยากไปไหน แล้วก็สรุปว่าไปที่สีลม ที่ว่าแสบๆอ่ะมันเริ่มๆตอนนี้อ่ะ ก็ให้เลือก ดันเลือกไปสีลมอ่ะ แต่ก็ไม่คิดอะไรสงสัยจะอยากไปดูย่านพัฒนพงษ์ ซื้อของ อะไรพวกนี้ ก็เดินๆๆไปซื้อของบ้าง มีคนชวนไปดูสาวอะโก้โก้เต้นรำบ้าง แต่ก็ไม่ได้ไป ก็ถามว่าอยากดูไหมเค้าก็บอกว่าอยากดูนะ แต่ว่าบางทีผู้หญิงเค้าไปมันก็ลำบากเหมือนกัน ก็เดินมาสุดปลายซอย ก็ไปเจอสิ่งที่เจ้าหล่อนอยากจะดูมาก   เห็นผู้ชายแต่งตัวแบบแปลกๆ แรงๆ คือเหมือนพวกนักกล้ามนะ มีกล้ามเป็นมัดๆใส่เสื้อกล้าม เสื้อดำ แบบหนัง และกางเกงขาสั้น ใส่หมวก หนัง แล้วแบบมีหนามเล็ก ถ้านึกภาพไม่ออกก็ดูเจ้าลิซ่า เลมอน มันประกอบมั่งล่ะ

     

                           

     

    มันก็คือ บาร์เกย์ อ่ะ (โอ้แม่เจ้า ตั้งแต่เกิดมาจนโตป่านนี้ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าบาร์เกย์เลย สงสัยจะค้นพบตัวเองก็วันนี้ล่ะตู) ก็สอบถามคนแถวนั้นว่าถ้าไปบาร์เกย์แถวนี้จะไปที่ไหนดี อายโครตคนโดนถามเค้ามอง (สาระอย่างเอ็งเหรอจะเข้าบาร์)ก็ไปบาร์เกย์แถวสีลมซอยหก ไม่อยากเข้าเลยอ่ะ กลัวๆๆ แต่สาวญี่ปุ่นสองคนทำท่าตื่นเต้นอย่างกับจะได้ไปเที่ยวโตเกียวดิสนิย์แลนด์ อะไรประมาณนั้น บรรยากาศนั้นเหอะๆน่ากลัวมากเข้า เป็นแบบประตูสองชั้น เข้าไปก็รีบจับกลุ่มกับสาวสองคนให้คนอื่นมองว่าตูมากับแฟนนะโว้ยอย่ามายุ่งกับตู ภาพที่เห็น กับสิ่งที่คิด โอ้แม่เจ้า ฉันมาทำอะไรที่นี้ มีการแสดงโชว์ อันนี้ต้องยอมรับจริงๆๆ ว่า เค้าพี่เสือ ทั้งแกร่ง ทั้งจัมโบ้  เรียกว่าดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัวเอง (หดหู่)ดูไปสักพักก็ไม่ไหวที่หน้าเวที แล้วมีการหว่านรูปมาจากหน้าเวทีด้วยนะ สองสาวอ่ะกระโดดรับดีใจ แล้วก็ได้มาคนละแผ่น ผมก็ยืนด้วยห่างๆ แต่รู้สึกในใจว่ามันใช้โปรแกรมโฟโต้ชอป หรือเปล่าหว่าน ผิดมนุษย์มะนา ไม่ไหวดูต่อไม่ไหว ก็เลยขอตัวไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามีคนแอบมองอยู่เหอะๆๆ ก็ไปเข้าห้องน้ำก็รีบเข้ารีบออก เดี้ยวจะโดนตุ๋ยท้องแล้วลากเข้าไปในห้อง (คิดเอง) ออกมาก็เจอกับผู้ชายหน้าตาดีจะบอกว่ามันหล่อก็ได้ แต่งตัวโครตดีเลย มาทักผมบอกว่าแอบมองมานานแล้ว มากับแฟนเหรอ ดีนะมีแฟนเป็นคนญี่ปุ่น แต่ผมก็บอกว่าอยากเป็นเหมือนกันแฟนแต่เค้าคงไม่อยากให้ผมเป็นหลังจากเห็นหน้าตากันแล้ว คุยสักสองนาทีก็สำนึกได้ว่าที่นี้มันแหล่งที่ชายชอบชายนี้หว่า เกือบเผลอตัวไปแล้วไปล่ะ ก็ขอตัว เค้าก็ให้นามบัตรมา เป็นผู้จัดการฝ่ายบริษัทใหญ่มากล่ะกัน ไม่น่าเชื่อ สังคมอีกแง่หนึ่งก็จะมีแบบนี้ด้วย ถ้าเจอข้างนอกก็อาจจะเป็นคนที่ตัวงอ โค้งให้เค้าก็ได้ ก็จริงๆแล้วบรรยากาศมันเยอะกว่านี้มีสามชั้นแต่ผมไม่เล่าต่อดีกว่า ก็บอกสองสาวว่าผมไม่ไหว ขอออกไปรออย่างนอก ตอนนั้นไม่หวงว่าเค้าจะเป็นอะไรหรอกนะครับเพราะว่าดูสายตาทุกคนที่มองแล้วไม่ใช่สายตาแบบนั้น แต่ผมห่วงตัวเองมากกว่า ก็ออกมารอ สองสาวออกมาบอกว่าสนุกมาก ไม่เคยเห็น(มารู้ตอนนี้อีกล่ะว่าคนญี่ปุ่นที่เป็นเกย์กะเทย ในสังคมญี่ปุ่นนี้น่าสงสารกว่าที่เมืองไทยเหลือ สังคมไม่ยอมรับเลย เรียกว่ากีดกันเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่ใช่ดารา หรือคนสำคัญ การที่จะมาแสดงออกว่าฉันเป็นหญิงนี้ อาจจะไม่มีใครคบ หรือไม่มีเพื่อน ในบางครอบครัวนะครับถ้ารู้ว่าพี่น้องหรือว่าญาติคนใดคนหนึงเป็นกะเทยหรือว่าเกย์ อีกฝ่ายอาจจะไม่ยอมให้แต่งงานด้วยก็ได้) ก็จบเรื่องบาร์เกย์ ก็ประมาณเที่ยงคืน ยังอยากเที่ยวกันต่อ ก็นึกว่าได้ว่าต้องเป็นอาร์ซีเอ สิ หนุ่มสาวชอบเที่ยว ก็นั่งแท็กซี่ไป ปรากฎว่าเค้าก็ชอบ ก็ไปรูทหกหก ล่ะ ตอนนั้นยังไม่ได้ปรับปรุงให้เป็นแบบนี้ ก็ดื่มๆไป ได้ทีไม่ดีเท่าไร สามคน ก็เต้นๆไปสักพักก็สนุกดี แต่ว่าสำหรับสาวญี่ปุ่น หนุ่มไทยๆใครๆก็ใฝ่ฝันอย่างจะทำอะไรต่อมิอะไร  ทุกคนก็มองมาที่โต๊ะผม แต่ก็ไม่ได้คงไม่กล้าเพราะว่าอย่างน้อยก็มีผู้ชายมาด้วย  แต่มันเกิดเรื่องตอนที่ผมไปเข้าห้องน้ำสิ กลับออกมาไม่รู้สองสาวนั้นหายไปไหน ก็งงเหมือนกัน กลัวมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ก็มองๆหาคนก็แน่นมาก ก็ไปเจอโอ้แม่เจ้า สองสาวไปเต้นอยู่กลางร้านแล้ว มีผู้ชายล้อมเป็นสิบ ไม่ใช่สิ หาจะมากกว่ายี่สิบคน ผมล่ะตกใจเลย เหอะๆๆรีบดึงกับมาที่โต๊ะ แต่มารู้ที่หลังว่ายาซูโกะอ่ะเมาแล้วเป็นอย่างนี้ เพื่อนต้องไปตามไปเตือนแต่ไม่ไหวก็เลยเป็นอย่างนั้น แล้วยาซูโกะบอกว่าผู้ชายที่นี้เป็นมิตรดีนะ ทำให้เค้ารู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ(เหมือนเจ้าหญิง) เค้าชอบ  (แหม ไม่รู้เหมือนว่าเค้าหวังอะไรจากตัวเธอ) ก็ปรากฎว่ามีหนุ่มๆเข้ามาตามเธอกันเป็นแถว(กองทัพงูเห่า) ตอนนั้นหล่อนก็เมามาก แล้ว ผมก็บอกว่าผมไม่ไหวอ่ะ จะกลับแล้วถ้าเป็นแบบนี้อยู่ไปเดี๋ยวก็มีเรื่องมีราว ถ้าจะกลับผมจะไปส่งที่ โรงแรม ถ้าไม่กลับตอนนี้ก็กลับเอง ยาซูโกะอ่ะไม่อยากกลับ แต่เพื่อนเค้ากลัว ก็เลยดึงกลับมาได้ แต่ไม่ไหวอ่ะ เมามากขึ้นแท็กซี่ก็ไปอ้วกใส่ขากางเกงผมอีกซบที่หน้าตบ (หรือว่าเช็ดที่หน้าตักจะดีกว่า) ตอนไม่เมาทำไม่ทำอย่างนี้หว่า  หมดกันสภาพความน่ารัก ภาพสุดท้ายที่ผมจำเธอได้ก็คือประคองกันขึ้นลิฟท์ วันต่อมาผมก็ไม่ได้ไปส่งเธอแบบว่าเหนื่อย แล้วก็เสียใจ คือตลอดเวลาที่คุยกันทางจดหมายกับการกระทำในระหว่างที่เจอกัน รู้สึกว่าผมไม่ใช่คนเดียวกันที่ผมรู้จัก รู้สึกว่าผมเป็นแค่ไกด์พาเค้าเที่ยวเท่านั้น ก็จบกัน สำหรับความรู้สึกดีๆทางจดหมาย

                    อ่ะเขียนได้เยอะจังหว่า ขอโทษนะที่วันนี้ให้อ่านกันเยอะ อาจจะไม่ได้เขียนนาน สำหรับตอนนี้ก็จบแค่นี้ล่ะครับ จินตนาการกับโลกความจริงอ่ะ แตกต่างกันเยอะ อย่าคาดหวังอะไรกับมันมาก (สำหรับผู้ที่เกียวข้องในเนื้อเรื่องทั้งหลาย ก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ ทั้งเหล่าเกย์ กะเทย หรือว่าเจ้าถิ่นหน้าสถานีรถไฟ หรือแม้แต่หนุ่มๆในคืนนั้นที่หวังจะ ...แต่ไม่ได้เพราะว่าผมลากกลับก่อน  แล้วก็ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่ผมอาจจะผิดตกหรือว่าวนไปวนมา ก็ใช้จินตนาการแต่งเติมเข้าไปหน่อยล่ะครับ เพราะว่าผมไม่ใช่นักเขียนอาชีพ แต่ไงก็ขอน้อมรับคำติชมครับ เพื่อไปปรับปรุงต่อไป)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×