คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ:: จุดเริ่มต้นของตำนานที่ขาดหาย
บทนำ
จุดเริ่มต้นของตำนานที่ขาดหาย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว.....
ในยุคสมัยที่เผ่าพันธุ์ทั้งห้าภูต มนุษย์ เอลฟ์ เทพ และปิศาจยังคงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน สมัยนั้นดินแดนของแต่ละเผ่าจะอยู่แยกจากกันเป็นเอกเทศไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดต่อถึงกันเลย แต่จะมีประตูที่ใช้เดินทางไปมาระหว่างดินแดนต่างๆ ประตูนั้นเรียกว่า “เกท”
เกทมีตั้งอยู่ทุกดินแดน ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์สามารถจะผ่านไปยังดินแดนของเผ่าต่างๆ ได้อย่างอิสระ หากไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบของดินแดนนั้น
แต่ละเผ่าพันธุ์ได้ผสานจุดเด่นเฉพาะของตนเข้าร่วมกัน เพื่อให้ทุกเผ่าพันธุ์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและมีความสุข.....
ภูตผู้สร้างสรรค์ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ มนุษย์ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยสติและไหวพริบ เอลฟ์ผู้ประเสริฐด้วยภูมิปัญญาอันสูงสุด เทพผู้ทรงฤทธาอำนาจ และปิศาจผู้หิวกระหาย
ภายใต้ความสงบร่มเย็น ไม่มีใครทราบเลยว่าโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กำลังจะถึงกาลอวสาน โลกกำลังเสียสมดุลลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดการล่มสลายของโลกเริ่มต้นขึ้น แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์เต็มเป็นด้วยสีเขียวขจีกลับแปรเปลี่ยนเป็นผืนดินที่แห้งแล้ง ผืนน้ำที่เคยใสสะอาดเป็นสีฟ้ากลับแปรเปลี่ยนไปจนไม่สามารถใช้ได้อีก ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งกับมืดครึมอยู่ตลอดจนไม่สามารถเห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้
การเริ่มต้นของการล่มสลายที่เกิดขึ้นทำให้ราชาทั้งห้าตัดสินร่วมกันสร้างสิ่งหนึ่งขึ้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากนักเล่นแร่แปรธาตุปริศนา
ในที่สุดสิ่งที่ราชาทั้งห้าร่วมกับนักเล่นแร่แปรธาตุปริศนาทำขึ้นจนสำเร็จ ได้ขนานนามว่า “เดวา” และราชาทั้งห้าผู้ที่สามารถสร้างเดวาได้สำเร็จถูกขนานนามว่า “มหาราชา”
ด้วยพลังอำนาจมหาศาลของเดวา ทำให้สามารถช่วยให้โลกที่กำลังเสียสมดุลกลับคืนสู่สภาพปกติ หากแต่พลังของเดวาเมื่อตกไปอยู่ในมือผู้ที่หิวกระหายอำนาจและสงคราม สิ่งนี้ก็จะสามารถเพิ่มพูนพลังให้กับผู้นั้นได้อย่างมหาศาล
....พลังที่สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้....
มหาราชาทั้งห้าต่างตระหนักถึงข้อเสียข้อนี้เป็นอย่างดี พลังอำนาจที่มหาศาลไม่ว่าเมื่อสิ่งนี้อยู่ใกล้กับผู้ใดแล้ว จิตใจด้านมืดที่อยู่ลึกสุดจะค่อยๆ เผยออกมา จิตใจแห่งการทำลายล้างที่เกิดขึ้นด้วยการชักนำของเดวา และหากเป็นเช่นนั้นท้ายที่สุดสงครามก็จะเกิดขึ้น
....สงครามเพื่อแย่งชิงเดวา...
มหาราชาทั้งห้าตัดสินใจมอบเดวาให้กับผู้นำของเหล่าเอสเทลเป็นผู้ดูแลรักษาไว้ เหล่าเอสเทลผู้มีจิตใจเข้มแข็งยิ่งกว่าชนเผ่าใดๆ
ทุกอย่างดูดำเนินไปดีหลังจากเดวาถูกสร้างขึ้นจนสำเร็จ ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกครั้ง
หลายพันปีต่อมา.............
วันที่ไม่คาดคิดก็มาถึง วันที่เหล่าปิศาจโดยมีราชาปิศาจเฮเดสเป็นผู้นำ ได้ร่วมมือกับมนุษย์ผู้กระหายสงครามบางกลุ่มก่อสงครามขึ้น สงครามที่ทำให้ทุกหนแห่งต่างนองเต็มไปด้วยเลือด การพลัดพลาด และการสูญเสีย
ทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่เหลือ ภูต มนุษย์ เอลฟ์และเทพได้ผนึกกำลังเข้าต่อกรกับเหล่าปิศาจ โดยหารู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของราชาแห่งแดนปิศาจ
ในที่สุดสงครามก็ดำเนินมาถึงจุดจบ ในวันที่ดวงจันทร์ทั้งสี่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าเบื้องบน เหล่าปิศาจที่พ่ายแพ้และเหล่ามนุษย์ที่ร่วมมือกับปิศาจที่เหลือรอดจากสงครามต่างๆ พากกันหลบหนี ทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่ได้รับชัยชนะพากันกู่ร้องอย่างดีใจ เหลือแต่เพียงเหล่าราชาที่ยังคงมีแววความวิตกกังวล เนื่องจากไม่มีใครพบเห็นราชาปิศาจในสงครามที่เกิดขึ้น
ในขณะเดียวกันเมืองแห่งเอสเทล เมืองที่มีตึกอาคารสีขาวตั้งอยู่เรียงรายกลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ไม่มีแม้แต่เงาของเหล่าเอสเทลให้เห็นแม้แต่เพียงคนเดียว
ราชาทั้งสี่ที่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างพากันโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ไม่ได้เฉลียวใจนึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของราชาปิศาจเฮเดลที่ต้องการแย่งชิงเดวา สิ่งที่เอสเทลรักษาไว้ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ
แต่ก่อนที่ราชาปิศาจเฮเดลจะได้สิ่งที่ต้องการ ผู้นำเอสเทลได้ใช้พลังสุดท้ายปิดผนึกเฮเดลไว้ยัง “เฮล” ดินแดนที่ใช้กักขังราชาปิศาจที่สร้างขึ้นมาด้วยเลือด เนื้อ และจิตวิญญาณของเหล่าเอสเทล
หลังสงครามจบราชาทั้งสี่ได้ทำพันธะสัญญาขึ้น และได้ถูกขนานนามเป็นมหาราชารุ่นที่ 2 เหล่าภูตและเทพตัดสินใจที่จะปิดเกท ส่วนเอลฟ์จะผนึกดินแดนของตนเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับดินแดนมนุษย์ แต่หากยามใดที่ดินแดนมนุษย์เกิดภัยทั้งภูตและเทพจะเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รีรอ
นั่นคือสัญญาที่มอบไว้...
.............................................................................................
ผืนน้ำสีครามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เกลียวคลื่นบางเบาวิ่งเข้ากระทบฝั่งอย่างแผ่วเบา สายลมเอื่อยๆ พัดไปตามพื้นหญ้าสีเขียวขจีที่ลู่ตามแรงลม บนหน้าผาสูงมีร่างของชายสี่คน และหญิงสาวอีกคนต่างมองผืนน้ำที่กว้างใหญ่ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย ในมือของพวกเขาต่างถือพวงดอกไม้สีขาวไว้
“ไม่เคยคิดเลยว่า....เรื่องทุกอย่างจะจบลงแบบนี้..” ชายผมดำ ดวงตาสีมรกตพูดเสียงเศร้า ดวงตายังคงจับจ้องไปยังผืนน้ำสีคราม
“ดินแดนแห่งนั้นไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาเหยียบย่างอีกนอกจากเหล่าเอสเทลนะ.....อิริค” เอลฟ์ที่มีผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำเงินพูดหันไปตบบ่าเพื่อนสนิทของตน
“ฉันรู้แต่ก็ยังทำใจไม่ได้สักที ราเชีย” ความเงียบเข้าครอบคลุม ความรู้สึกต่างๆ มากมายเกิดขึ้นภายในจิตใจอันปวดร้าวของแต่ละคน
ชายผู้มีผมและดวงตาสีทองที่ยืนอยู่ข้าหญิงสาวเพียงคนเดียวเดินมายังปลายหน้าผา มือขวาที่ถือพวงดอกไม้สีขาวทาบไว้ที่อก “เรื่องที่ฉันเคยให้สัญญาไว้กับนาย นายไม่ต้องเป็นห่วงไปล่ะ......เพราะฉันจะเบี้ยวแน่ๆ”
ผลัวะ~!! มือของใครคนหนึ่งกระแทกเข้าที่หัวทองๆ อย่างเต็มแรง
“โธ่~ ไอ้เรานึกว่าจะทำซึ้งสักอีก คนกำลังอินได้ที่ เสียอารมณ์หมด” ชายผู้มีผมและดวงตาสีเงินตีสีหน้าเซ็งๆ พร้อมสีหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
“ซาเรส!!!! เจ็บนะโว้ย” ไล่ตีอีกฝ่ายที่ไปหลบหลังหญิงสาวที่มีผมสีหยักศกสีทอง ดวงตาสีฟ้าเพียงคนเดียวในกลุ่ม
“เอริธ!! ช่วยด้วย” หญิงสาวเพียงยิ้ม แต่ชายผมทองก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก
“แน่จริงนายอย่าหลบข้างหลังเธอสิ” พูดอย่างเคืองๆ มองอีกฝ่ายอย่างโกรธๆ
“นี่ๆ พวกนายสองคนพอเลย หยุด...หยุด...ทั้งซาเรสและกิลเบิร์ต จริงๆ เลย...เจอหน้ากันเป็นต้องกัดทุกทีตั้งแต่เด็กยันจะแก่กันอยู่แล้ว” ราเชียปรามเมื่อเห็นว่าสงครามทางสายตายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย ถ้าไม่ติดที่กิลเบิร์ตชายผมทองเกรงเอริธว่าที่ภรรยาที่เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่ถ้าโกรธขึ้นมายิ่งกว่าซาตานสักอีก และในสงครามที่จบลงไปเอริธได้แสดงให้เห็นมาแล้ว ถึงความน่ากลัวของเธอ
“ปล่อยไปเถอะ...อีกหน่อยพวกเราก็คงไม่ได้เจอกันแบบนี้อีกแล้ว” อิริคพูด ก่อนนิ่งเงียบทำให้คนอื่นๆ เงียบตามไปด้วย
“อย่าเศร้ากันสิ พวกเราต้องยิ้มกับหัวเราะนะ ไม่งั้น...เขาคงไม่มีความสุข” หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนส่งเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต
เรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้พวกเขามาพบกัน ทะเลาะ กระทั่งสู้กันจะเป็นจะตาย หรือตลอดจนเรื่องที่ทำให้พวกเขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียง ร้องไห้ออกมาโดยไม่อดกลั้น แต่ทุกเรื่องที่เกิดก็ทำให้พวกเขาล้วนแต่มีความสุขเมื่อได้นึกถึง
กิลเบิร์ตพร้อมเอริธเดินคู่กันมายังปลายผาที่ยื่นออก “หวังว่านายจะหลับอย่างเป็นสุข ไม่มีใครไปรบกวนอีก” ชายผมทองโยนพวงดอกไม้สีขาวลงบนพื้นน้ำ
“เรื่องที่นายฝากฉันไว้ ฉันรับรองว่าจะจัดการให้” หญิงโยนพวงดอกไม้ตาม ก่อนที่ปีกสีขาวจะปรากฏขึ้นกางหลังของทั้งสองและหายไปจากที่ตรงนั้นโดยไม่ได้ล่ำลาใคร
ชายผมและดวงตาสีเงินเดินไปยังที่ที่กิลเบิร์ตและเอริธเคยอยู่ “ถ้าได้พบกันอีก.....เรามาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ” โยนพวงดอกไม้สีขวาลงไป ก่อนที่ร่างจะหายไปพร้อมกับสายลมแรง
“ที่นี่ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสินะ ที่ยังคงอยู่ที่นี่” อิริคพูดหันไปมองเพื่อนคนข้างๆ ที่ยืนสงบนิ่ง “ดีแล้วเหรอ? ที่ทำยังนี้”
“อะไร?”
“ผนึกดินแดนของนายรวมกับพวกมนุษย์อย่างฉัน”
ราเชียมหาราชาแห่งเอลฟ์ไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งอิริคก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อเดินออกไปยังปลายหน้าผาเพื่อกล่าวอำลาแด่เพื่อนผู้เป็นที่รักยิ่งของทุกคน
“ขอบคุณ.....สำหรับมิตรภาพและความจริงใจที่มอบให้เพื่อน” โยนพวงดอกไม้ลงไป ถอยออกมาให้ราชาแห่งเอลฟ์ที่ยืนทอดสายตาดูพื้นน้ำสีครามที่ปลายผาอยู่เพียงลำพัง ดวงตาสีน้ำเงินหลับตาลงนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาก่อนโยนพวงดอกไม้สีขาวตามเพื่อนๆ ที่โยนลงไป บนพื้นน้ำสีครามพวงดอกไม้สีขาวทั้งห้าลอยไปไกลเรื่อยๆ ตามเกลียวคลื่นที่พัดพา
“ลาก่อน.............เดเรียส เพื่อนรักของฉัน”
...........................................................................
“เลอาอยู่มั้ย?” เสียงเรียกเข้มๆ ดังขึ้นทำให้เด็กชายร่างเล็กวัยประมาณ 12 ปี ผู้ที่มีผมสีดำยาวถึงกลางหลัง ผมด้านหน้าปัดไปด้านขาวปิดตาขวาเอาไว้ ดวงตาสีเลือดที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนต้นไม้ใหญ่และสูงจำยอมละสายตาจากหนังสือเล่มโตความหนาหลายพันหน้าที่กำลังอ่านอยู่
“เลอา.......” เสียงเรียกดังอีกครั้งแต่ดูเหมือนจะใกล้กว่าครั้งก่อนมาก
“ฮะ อยู่ตรงนี้พี่โนอา” ขานรับ ก้มลงไปมองพี่ชายที่อยู่ด้านล่าง
“ตรงไหนหล่ะ?”
“ข้างบนหัวพี่ไง” ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่มีผมสีดำ ดวงตาสีเงินหันขึ้นไปมอง
“อยู่นี่เอง....ปล่อยให้ตามหาตั้งนาน แล้วทำไมมาอ่านหนังสือในป่านี้ ที่บ้านไม่มีที่อ่านไงกัน” บ่น
“พี่มาเพื่อบ่นแค่นี้ใช่มั้ย ผมจะได้อ่านหนังสือต่อ” พูดเซ็งๆ ก่อนหันไปอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ต่อ ไม่สนใจพี่ชายที่ยื่นอยู่ด้านล่างแม้แต่น้อย
“ป่าว....พี่มาเพราะไอ้นี่ต่างหาก” ชูซองจดหมายสีน้ำตาลโบกไปมาอย่างอารมณ์ดี
“จดหมายอะไร ถ้าจดหมายไร้สาระพี่ทิ้งไปเลยแล้วกัน” ไม่แม้แต่ปรายตามอง
“จดหมายจากโรงเรียนซีดิส”
พริบตาเดียวจดหมายในมือชายหนุ่มที่โบกไปมาหายไปทันที โนอายืนมองมือที่ว่างเปล่าก่อนหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองเด็กชายผมดำที่กำลังอ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบก็หันไปมองพี่ชายตนด้วยความสงสัย
“แต่....ผมไม่เคยส่งใบสมัครไปเลยนี่” แปลกใจ
“ก็พ่อตัวแสบนั่นแหล่ะที่เป็นคนส่งไปให้”
“แล้วทำไมไม่เคยบอกกันเลย คอยดูนะกลับมาเมื่อไรจะไม่ยอมพูดด้วย ชิๆ” งอนแก้มป่อง
“ฮึๆๆ แต่รีบไปเตรียมของออกเดินทางดีกว่า เดี๋ยวจะไปรายงานตัวไม่ทัน”
“อืม....อ๊ะ!! พี่โนอารอแปบนะ เดี๋ยวไปเอาหนังสือบนต้นไม้ก่อน”
“เดี๋ยวพี่เอาให้เอง” หยุดเลอาที่กำลังปืนต้นไม้ขึ้นไปเอาหนังสือ
โนอาปืนต้นไม้ความสูงนับสิบเมตรอย่างง่ายดายโดยใช้เวลาไม่ถึงนาที หยิบหนังสือเล่มโตขึ้นมาก่อนกระโดดลงมาตรงหน้าน้องชายอย่างสบายๆ แขนอีกข้างอุ้มเลอาขึ้นมาพากันกลับบ้าน
“พี่ถามจริงๆ ทำไมน้องชอบมาอ่านหนังสือในป่านี้ล่ะ?”
“ก็......มันสว่างดีนี่ แถมอากาศยังเย็นสบายอีก จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่ายที่บ้านไง”
“ไม่ใช่หนีใครมาหรอกนะ.” พูดอย่างรู้ทัน
เลอาหน้ายู่เมื่อถูกรู้ทัน “ก็ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวคนนู้นก็มาคนนั้นก็มา น่ารำคาญจะตาย” ท้ายประโยคพูดเสียงเหมือนพึมพำกับตัวเอง
โนอาพอนึกตามคำพูดก็หัวเราะเบาๆ ที่แท้การมาอ่านหนังสือที่ป่านี้ก็มาเพื่อหลบหน้าใครหลายคนที่ชอบมาหา แต่ว่าแต่ละคนที่มาหาเลอาต่างเกาะติดหนึบอย่างกับปลิง ไม่งั้นคงไม่หนีเข้ามาอ่านหนังสือที่นี่หรอก โดยเฉพาะสองแฝดลูกชายของเพื่อนพ่อที่ต้องมาพักอยู่ที่บ้านบ่อยๆ ตอนพ่อของสองแฝดรับงาน ตอนแรกๆ ก็ทำเป็นอิดออดไม่ยอมมา แต่หลังๆ กับไม่ยอมกลับบ้าน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โนอาก็ไม่อยากให้น้องชายเข้าป่ามาลึกขนาดนี้ ป่าที่ได้ชื่อว่า “ป่าแห่งความตาย” (
“แล้วทำไมถึงยังอ่านเล่มนี้อยู่ล่ะ? พี่เห็นอ่านจบไปนานแล้วนี่” มองดูหนังสือที่ถืออยู่ดวงสายตาขยาด หนังสือที่มีความหนาหลายพันหน้า
“ก็ชอบนี้ฮะ พี่ไม่เคยคิดเหรอว่าเรื่องข้างในนี้อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้” ตาเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองชอบ
“เหรอ........แต่พี่คิดว่ามันแต่งขึ้นมาก.....อึก” สายตาเย็นเชียบส่งมาจากร่างเล็กๆ โนอาหยุดพูดทันที ยิ้มแหย่ๆ พร้อมหัวเราะแห้งๆ
“มหาราชาแห่งมนุษย์อิริค มหาราชาแห่งเอลฟ์เรเชีย มหาราชาแห่งภูตซาเรส มหาราชาแห่งเทพกิลเบริต์ และราชาแห่งปิศาจเฮเดล ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ทำไมราชาปิศาจเฮเดลถึงได้ทรยศ พี่ไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ?”
“ก็นะ.....เฮอะๆๆๆ เลอาก็๋รู้พี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกตำนานเท่าไร แต่ถ้าน้องไปเรียนที่ซีดิสรับรองเรื่องที่อยากรู้ได้รู้แน่” เสริมเพิ่มความอยากให้น้องชายจะได้ตั้งใจเวลาสอบ
“จริงเหรอฮะ” ตาวาวอย่างตื่นเต้น โนอาพยักหน้ารับ
“งั้นพี่ก็รีบเดินเร็วๆ เลย ผมจะรีบเก็บของจะได้ไปกันเร็ว”
“คร๊าบๆ ทีแบบนี้ล่ะรีบ ที่เมื่อกี้ล่ะไม่สน” บ่นแต่ก็รีบเดินตามคำบัญชาของน้องชาย
ป่ารกทึบด้วยต้นไม้สูงค่อยเบาบางลงเป็นเพียงต้นไม้ที่ไม่สูงมากนัก ไม่นานสองพี่น้องก็เดินมาสุดชายป่าเผยให้เห็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งอิมมอร์ไนท์ นครแห่งพันราตรี
.............นครที่ต้องสาบ.............
ความคิดเห็น