ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    :: LoST MyTHoLoGaPHY ::

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ:: จุดเริ่มต้นของตำนานที่ขาดหาย

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.พ. 52


    บทนำ

    จุดเริ่มต้นของตำนานที่ขาดหาย

     

     


                    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..... 

     


                    ในยุคสมัยที่เผ่าพันธุ์ทั้งห้าภูต มนุษย์ เอลฟ์ เทพ และปิศาจยังคงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ  ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน  สมัยนั้นดินแดนของแต่ละเผ่าจะอยู่แยกจากกันเป็นเอกเทศไม่มีพื้นที่ส่วนใดติดต่อถึงกันเลย แต่จะมีประตูที่ใช้เดินทางไปมาระหว่างดินแดนต่างๆ ประตูนั้นเรียกว่า เกท 




     
                    เกทมีตั้งอยู่ทุกดินแดน ซึ่งทุกเผ่าพันธุ์สามารถจะผ่านไปยังดินแดนของเผ่าต่างๆ ได้อย่างอิสระ หากไม่ได้ทำผิดกฎระเบียบของดินแดนนั้น


                    แต่ละเผ่าพันธุ์ได้ผสานจุดเด่นเฉพาะของตนเข้าร่วมกัน เพื่อให้ทุกเผ่าพันธุ์สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและมีความสุข.....


    ภูตผู้สร้างสรรค์ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ มนุษย์ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยสติและไหวพริบ เอลฟ์ผู้ประเสริฐด้วยภูมิปัญญาอันสูงสุด  เทพผู้ทรงฤทธาอำนาจ  และปิศาจผู้หิวกระหาย  


                    ภายใต้ความสงบร่มเย็น ไม่มีใครทราบเลยว่าโลกที่พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กำลังจะถึงกาลอวสาน โลกกำลังเสียสมดุลลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดการล่มสลายของโลกเริ่มต้นขึ้น แผ่นดินที่เคยอุดมสมบูรณ์เต็มเป็นด้วยสีเขียวขจีกลับแปรเปลี่ยนเป็นผืนดินที่แห้งแล้ง  ผืนน้ำที่เคยใสสะอาดเป็นสีฟ้ากลับแปรเปลี่ยนไปจนไม่สามารถใช้ได้อีก ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่งกับมืดครึมอยู่ตลอดจนไม่สามารถเห็นทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ได้ 


    การเริ่มต้นของการล่มสลายที่เกิดขึ้นทำให้ราชาทั้งห้าตัดสินร่วมกันสร้างสิ่งหนึ่งขึ้น  โดยได้รับความช่วยเหลือจากนักเล่นแร่แปรธาตุปริศนา 


    ในที่สุดสิ่งที่ราชาทั้งห้าร่วมกับนักเล่นแร่แปรธาตุปริศนาทำขึ้นจนสำเร็จ ได้ขนานนามว่า เดวา และราชาทั้งห้าผู้ที่สามารถสร้างเดวาได้สำเร็จถูกขนานนามว่า มหาราชา


    ด้วยพลังอำนาจมหาศาลของเดวา ทำให้สามารถช่วยให้โลกที่กำลังเสียสมดุลกลับคืนสู่สภาพปกติ หากแต่พลังของเดวาเมื่อตกไปอยู่ในมือผู้ที่หิวกระหายอำนาจและสงคราม สิ่งนี้ก็จะสามารถเพิ่มพูนพลังให้กับผู้นั้นได้อย่างมหาศาล

     


    ....พลังที่สามารถทำลายล้างโลกใบนี้ได้....

     


    มหาราชาทั้งห้าต่างตระหนักถึงข้อเสียข้อนี้เป็นอย่างดี พลังอำนาจที่มหาศาลไม่ว่าเมื่อสิ่งนี้อยู่ใกล้กับผู้ใดแล้ว จิตใจด้านมืดที่อยู่ลึกสุดจะค่อยๆ เผยออกมา จิตใจแห่งการทำลายล้างที่เกิดขึ้นด้วยการชักนำของเดวา และหากเป็นเช่นนั้นท้ายที่สุดสงครามก็จะเกิดขึ้น

     


    ....สงครามเพื่อแย่งชิงเดวา...

     


    มหาราชาทั้งห้าตัดสินใจมอบเดวาให้กับผู้นำของเหล่าเอสเทลเป็นผู้ดูแลรักษาไว้ เหล่าเอสเทลผู้มีจิตใจเข้มแข็งยิ่งกว่าชนเผ่าใดๆ


    ทุกอย่างดูดำเนินไปดีหลังจากเดวาถูกสร้างขึ้นจนสำเร็จ ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีกครั้ง


                    หลายพันปีต่อมา.............

     


                    วันที่ไม่คาดคิดก็มาถึง  วันที่เหล่าปิศาจโดยมีราชาปิศาจเฮเดสเป็นผู้นำ ได้ร่วมมือกับมนุษย์ผู้กระหายสงครามบางกลุ่มก่อสงครามขึ้น สงครามที่ทำให้ทุกหนแห่งต่างนองเต็มไปด้วยเลือด  การพลัดพลาด  และการสูญเสีย 


    ทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่เหลือ ภูต  มนุษย์  เอลฟ์และเทพได้ผนึกกำลังเข้าต่อกรกับเหล่าปิศาจ โดยหารู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของราชาแห่งแดนปิศาจ 


    ในที่สุดสงครามก็ดำเนินมาถึงจุดจบ ในวันที่ดวงจันทร์ทั้งสี่ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้าเบื้องบน เหล่าปิศาจที่พ่ายแพ้และเหล่ามนุษย์ที่ร่วมมือกับปิศาจที่เหลือรอดจากสงครามต่างๆ พากกันหลบหนี ทั้งสี่เผ่าพันธุ์ที่ได้รับชัยชนะพากันกู่ร้องอย่างดีใจ เหลือแต่เพียงเหล่าราชาที่ยังคงมีแววความวิตกกังวล เนื่องจากไม่มีใครพบเห็นราชาปิศาจในสงครามที่เกิดขึ้น


    ในขณะเดียวกันเมืองแห่งเอสเทล เมืองที่มีตึกอาคารสีขาวตั้งอยู่เรียงรายกลับกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ไม่มีแม้แต่เงาของเหล่าเอสเทลให้เห็นแม้แต่เพียงคนเดียว 


    ราชาทั้งสี่ที่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ต่างพากันโทษว่าเป็นความผิดของตนที่ไม่ได้เฉลียวใจนึกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของราชาปิศาจเฮเดลที่ต้องการแย่งชิงเดวา สิ่งที่เอสเทลรักษาไว้ด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ


                    แต่ก่อนที่ราชาปิศาจเฮเดลจะได้สิ่งที่ต้องการ ผู้นำเอสเทลได้ใช้พลังสุดท้ายปิดผนึกเฮเดลไว้ยัง เฮล ดินแดนที่ใช้กักขังราชาปิศาจที่สร้างขึ้นมาด้วยเลือด เนื้อ และจิตวิญญาณของเหล่าเอสเทล


                    หลังสงครามจบราชาทั้งสี่ได้ทำพันธะสัญญาขึ้น และได้ถูกขนานนามเป็นมหาราชารุ่นที่ 2 เหล่าภูตและเทพตัดสินใจที่จะปิดเกท ส่วนเอลฟ์จะผนึกดินแดนของตนเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับดินแดนมนุษย์ แต่หากยามใดที่ดินแดนมนุษย์เกิดภัยทั้งภูตและเทพจะเข้ามาช่วยเหลืออย่างไม่รีรอ 

     


                    นั่นคือสัญญาที่มอบไว้...

     


    .............................................................................................

     


                    ผืนน้ำสีครามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เกลียวคลื่นบางเบาวิ่งเข้ากระทบฝั่งอย่างแผ่วเบา สายลมเอื่อยๆ พัดไปตามพื้นหญ้าสีเขียวขจีที่ลู่ตามแรงลม บนหน้าผาสูงมีร่างของชายสี่คน และหญิงสาวอีกคนต่างมองผืนน้ำที่กว้างใหญ่ด้วยแววตาที่เศร้าสร้อย ในมือของพวกเขาต่างถือพวงดอกไม้สีขาวไว้


                    ไม่เคยคิดเลยว่า....เรื่องทุกอย่างจะจบลงแบบนี้.. ชายผมดำ ดวงตาสีมรกตพูดเสียงเศร้า ดวงตายังคงจับจ้องไปยังผืนน้ำสีคราม           


    ดินแดนแห่งนั้นไม่อยากให้ผู้ใดเข้ามาเหยียบย่างอีกนอกจากเหล่าเอสเทลนะ.....อิริคเอลฟ์ที่มีผมสีน้ำตาล ดวงตาสีน้ำเงินพูดหันไปตบบ่าเพื่อนสนิทของตน


                    ฉันรู้แต่ก็ยังทำใจไม่ได้สักที ราเชีย ความเงียบเข้าครอบคลุม ความรู้สึกต่างๆ มากมายเกิดขึ้นภายในจิตใจอันปวดร้าวของแต่ละคน


    ชายผู้มีผมและดวงตาสีทองที่ยืนอยู่ข้าหญิงสาวเพียงคนเดียวเดินมายังปลายหน้าผา มือขวาที่ถือพวงดอกไม้สีขาวทาบไว้ที่อก เรื่องที่ฉันเคยให้สัญญาไว้กับนาย นายไม่ต้องเป็นห่วงไปล่ะ......เพราะฉันจะเบี้ยวแน่ๆ


    ผลัวะ~!! มือของใครคนหนึ่งกระแทกเข้าที่หัวทองๆ อย่างเต็มแรง


    โธ่~ ไอ้เรานึกว่าจะทำซึ้งสักอีก คนกำลังอินได้ที่ เสียอารมณ์หมด ชายผู้มีผมและดวงตาสีเงินตีสีหน้าเซ็งๆ พร้อมสีหน้าไปมาอย่างเอือมระอา


    ซาเรส!!!!  เจ็บนะโว้ยไล่ตีอีกฝ่ายที่ไปหลบหลังหญิงสาวที่มีผมสีหยักศกสีทอง ดวงตาสีฟ้าเพียงคนเดียวในกลุ่ม


    เอริธ!! ช่วยด้วย หญิงสาวเพียงยิ้ม แต่ชายผมทองก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้มาก


    แน่จริงนายอย่าหลบข้างหลังเธอสิ พูดอย่างเคืองๆ มองอีกฝ่ายอย่างโกรธๆ 


    นี่ๆ พวกนายสองคนพอเลย หยุด...หยุด...ทั้งซาเรสและกิลเบิร์ต จริงๆ เลย...เจอหน้ากันเป็นต้องกัดทุกทีตั้งแต่เด็กยันจะแก่กันอยู่แล้ว ราเชียปรามเมื่อเห็นว่าสงครามทางสายตายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย ถ้าไม่ติดที่กิลเบิร์ตชายผมทองเกรงเอริธว่าที่ภรรยาที่เห็นนิ่งๆ เงียบๆ แต่ถ้าโกรธขึ้นมายิ่งกว่าซาตานสักอีก และในสงครามที่จบลงไปเอริธได้แสดงให้เห็นมาแล้ว ถึงความน่ากลัวของเธอ


    ปล่อยไปเถอะ...อีกหน่อยพวกเราก็คงไม่ได้เจอกันแบบนี้อีกแล้ว อิริคพูด ก่อนนิ่งเงียบทำให้คนอื่นๆ เงียบตามไปด้วย


    อย่าเศร้ากันสิ พวกเราต้องยิ้มกับหัวเราะนะ ไม่งั้น...เขาคงไม่มีความสุข หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้ม ทุกคนมองหน้ากัน ก่อนส่งเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มออกมา เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต


    เรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้พวกเขามาพบกัน ทะเลาะ กระทั่งสู้กันจะเป็นจะตาย หรือตลอดจนเรื่องที่ทำให้พวกเขาสามารถหัวเราะได้อย่างเต็มเสียง ร้องไห้ออกมาโดยไม่อดกลั้น แต่ทุกเรื่องที่เกิดก็ทำให้พวกเขาล้วนแต่มีความสุขเมื่อได้นึกถึง


    กิลเบิร์ตพร้อมเอริธเดินคู่กันมายังปลายผาที่ยื่นออก หวังว่านายจะหลับอย่างเป็นสุข ไม่มีใครไปรบกวนอีก ชายผมทองโยนพวงดอกไม้สีขาวลงบนพื้นน้ำ          


          

    เรื่องที่นายฝากฉันไว้ ฉันรับรองว่าจะจัดการให้ หญิงโยนพวงดอกไม้ตาม ก่อนที่ปีกสีขาวจะปรากฏขึ้นกางหลังของทั้งสองและหายไปจากที่ตรงนั้นโดยไม่ได้ล่ำลาใคร


    ชายผมและดวงตาสีเงินเดินไปยังที่ที่กิลเบิร์ตและเอริธเคยอยู่ ถ้าได้พบกันอีก.....เรามาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมนะ โยนพวงดอกไม้สีขวาลงไป ก่อนที่ร่างจะหายไปพร้อมกับสายลมแรง


    ที่นี่ก็เหลือแค่เราสองคนแล้วสินะ ที่ยังคงอยู่ที่นี่ อิริคพูดหันไปมองเพื่อนคนข้างๆ ที่ยืนสงบนิ่ง ดีแล้วเหรอ? ที่ทำยังนี้


    อะไร? 



                   “ผนึกดินแดนของนายรวมกับพวกมนุษย์อย่างฉัน 

    ราเชียมหาราชาแห่งเอลฟ์ไม่ตอบอะไรเพียงแต่ยิ้มให้อีกฝ่าย ซึ่งอิริคก็ไม่ได้ซักไซ้ต่อเดินออกไปยังปลายหน้าผาเพื่อกล่าวอำลาแด่เพื่อนผู้เป็นที่รักยิ่งของทุกคน


                    ขอบคุณ.....สำหรับมิตรภาพและความจริงใจที่มอบให้เพื่อน โยนพวงดอกไม้ลงไป ถอยออกมาให้ราชาแห่งเอลฟ์ที่ยืนทอดสายตาดูพื้นน้ำสีครามที่ปลายผาอยู่เพียงลำพัง ดวงตาสีน้ำเงินหลับตาลงนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาก่อนโยนพวงดอกไม้สีขาวตามเพื่อนๆ ที่โยนลงไป บนพื้นน้ำสีครามพวงดอกไม้สีขาวทั้งห้าลอยไปไกลเรื่อยๆ ตามเกลียวคลื่นที่พัดพา


                    ลาก่อน.............เดเรียส เพื่อนรักของฉัน

     


    ...........................................................................

                    


    เลอาอยู่มั้ย? เสียงเรียกเข้มๆ ดังขึ้นทำให้เด็กชายร่างเล็กวัยประมาณ 12 ปี ผู้ที่มีผมสีดำยาวถึงกลางหลัง ผมด้านหน้าปัดไปด้านขาวปิดตาขวาเอาไว้ ดวงตาสีเลือดที่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนต้นไม้ใหญ่และสูงจำยอมละสายตาจากหนังสือเล่มโตความหนาหลายพันหน้าที่กำลังอ่านอยู่


    เลอา.......เสียงเรียกดังอีกครั้งแต่ดูเหมือนจะใกล้กว่าครั้งก่อนมาก


    ฮะ อยู่ตรงนี้พี่โนอาขานรับ ก้มลงไปมองพี่ชายที่อยู่ด้านล่าง 


    ตรงไหนหล่ะ?


    ข้างบนหัวพี่ไง ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่มีผมสีดำ ดวงตาสีเงินหันขึ้นไปมอง


    อยู่นี่เอง....ปล่อยให้ตามหาตั้งนาน แล้วทำไมมาอ่านหนังสือในป่านี้ ที่บ้านไม่มีที่อ่านไงกันบ่น


    พี่มาเพื่อบ่นแค่นี้ใช่มั้ย ผมจะได้อ่านหนังสือต่อพูดเซ็งๆ ก่อนหันไปอ่านหนังสือที่อ่านค้างไว้ต่อ ไม่สนใจพี่ชายที่ยื่นอยู่ด้านล่างแม้แต่น้อย


    ป่าว....พี่มาเพราะไอ้นี่ต่างหาก ชูซองจดหมายสีน้ำตาลโบกไปมาอย่างอารมณ์ดี


    จดหมายอะไร ถ้าจดหมายไร้สาระพี่ทิ้งไปเลยแล้วกันไม่แม้แต่ปรายตามอง


    จดหมายจากโรงเรียนซีดิส 


    พริบตาเดียวจดหมายในมือชายหนุ่มที่โบกไปมาหายไปทันที โนอายืนมองมือที่ว่างเปล่าก่อนหัวเราะเบาๆ หันกลับไปมองเด็กชายผมดำที่กำลังอ่านจดหมายอย่างรวดเร็ว เมื่ออ่านจบก็หันไปมองพี่ชายตนด้วยความสงสัย


    แต่....ผมไม่เคยส่งใบสมัครไปเลยนี่แปลกใจ


    ก็พ่อตัวแสบนั่นแหล่ะที่เป็นคนส่งไปให้


    แล้วทำไมไม่เคยบอกกันเลย คอยดูนะกลับมาเมื่อไรจะไม่ยอมพูดด้วย ชิๆ งอนแก้มป่อง 


    ฮึๆๆ แต่รีบไปเตรียมของออกเดินทางดีกว่า เดี๋ยวจะไปรายงานตัวไม่ทัน


    อืม....อ๊ะ!! พี่โนอารอแปบนะ  เดี๋ยวไปเอาหนังสือบนต้นไม้ก่อน” 


    เดี๋ยวพี่เอาให้เอง หยุดเลอาที่กำลังปืนต้นไม้ขึ้นไปเอาหนังสือ 


    โนอาปืนต้นไม้ความสูงนับสิบเมตรอย่างง่ายดายโดยใช้เวลาไม่ถึงนาที หยิบหนังสือเล่มโตขึ้นมาก่อนกระโดดลงมาตรงหน้าน้องชายอย่างสบายๆ แขนอีกข้างอุ้มเลอาขึ้นมาพากันกลับบ้าน


    พี่ถามจริงๆ ทำไมน้องชอบมาอ่านหนังสือในป่านี้ล่ะ?


    ก็......มันสว่างดีนี่ แถมอากาศยังเย็นสบายอีก จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่ายที่บ้านไง 


    ไม่ใช่หนีใครมาหรอกนะ. พูดอย่างรู้ทัน


    เลอาหน้ายู่เมื่อถูกรู้ทัน ก็ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวคนนู้นก็มาคนนั้นก็มา น่ารำคาญจะตายท้ายประโยคพูดเสียงเหมือนพึมพำกับตัวเอง 


    โนอาพอนึกตามคำพูดก็หัวเราะเบาๆ ที่แท้การมาอ่านหนังสือที่ป่านี้ก็มาเพื่อหลบหน้าใครหลายคนที่ชอบมาหา แต่ว่าแต่ละคนที่มาหาเลอาต่างเกาะติดหนึบอย่างกับปลิง ไม่งั้นคงไม่หนีเข้ามาอ่านหนังสือที่นี่หรอก โดยเฉพาะสองแฝดลูกชายของเพื่อนพ่อที่ต้องมาพักอยู่ที่บ้านบ่อยๆ ตอนพ่อของสองแฝดรับงาน ตอนแรกๆ ก็ทำเป็นอิดออดไม่ยอมมา แต่หลังๆ กับไม่ยอมกลับบ้าน


    แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โนอาก็ไม่อยากให้น้องชายเข้าป่ามาลึกขนาดนี้  ป่าที่ได้ชื่อว่า  ป่าแห่งความตาย (Blood Forest) ป่าที่ต้นไม้และใบไม้กลายเป็นสีเงินให้แสงสว่างแก่ดินแดนแห่งนี้ อิมมอร์ไนท์ (Immornight) ดินแดนที่ไม่เคยได้เห็นแสงแห่งตะวัน 


                    แล้วทำไมถึงยังอ่านเล่มนี้อยู่ล่ะ?  พี่เห็นอ่านจบไปนานแล้วนี่ มองดูหนังสือที่ถืออยู่ดวงสายตาขยาด หนังสือที่มีความหนาหลายพันหน้า


                    ก็ชอบนี้ฮะ พี่ไม่เคยคิดเหรอว่าเรื่องข้างในนี้อาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ ตาเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อได้พูดถึงเรื่องที่ตนเองชอบ


                    เหรอ........แต่พี่คิดว่ามันแต่งขึ้นมาก.....อึกสายตาเย็นเชียบส่งมาจากร่างเล็กๆ โนอาหยุดพูดทันที ยิ้มแหย่ๆ พร้อมหัวเราะแห้งๆ 


                     มหาราชาแห่งมนุษย์อิริค มหาราชาแห่งเอลฟ์เรเชีย มหาราชาแห่งภูตซาเรส มหาราชาแห่งเทพกิลเบริต์ และราชาแห่งปิศาจเฮเดล ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างเคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน ทำไมราชาปิศาจเฮเดลถึงได้ทรยศ พี่ไม่คิดว่ามันน่าสนใจเหรอ? 


                    ก็นะ.....เฮอะๆๆๆ เลอาก็๋รู้พี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกตำนานเท่าไร แต่ถ้าน้องไปเรียนที่ซีดิสรับรองเรื่องที่อยากรู้ได้รู้แน่ เสริมเพิ่มความอยากให้น้องชายจะได้ตั้งใจเวลาสอบ


                    จริงเหรอฮะ ตาวาวอย่างตื่นเต้น โนอาพยักหน้ารับ


                    งั้นพี่ก็รีบเดินเร็วๆ เลย ผมจะรีบเก็บของจะได้ไปกันเร็ว


                    คร๊าบๆ ทีแบบนี้ล่ะรีบ ที่เมื่อกี้ล่ะไม่สน บ่นแต่ก็รีบเดินตามคำบัญชาของน้องชาย  


                    ป่ารกทึบด้วยต้นไม้สูงค่อยเบาบางลงเป็นเพียงต้นไม้ที่ไม่สูงมากนัก ไม่นานสองพี่น้องก็เดินมาสุดชายป่าเผยให้เห็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งอิมมอร์ไนท์  นครแห่งพันราตรี

                    


                    .............นครที่ต้องสาบ.............  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×