กว่าจะมาเป็นหมอ
เด็กโง่ๆเรียนได้ไม่ถึงสามแต่สามารถพัฒนาตัวเองจนกระทั่งหลุดเข้าไปยังโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์โรงเรียนวิทยศาสตร์แห่งแรกของประเทศไทย และสุดท้ายจนได้เป็นหมอตามที่ฝัน มันไม่ใช่่เรื่องง่ายๆที่จะทำได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากถึงขนาดว่าทำไม่ได้ (เป็นเรื่องราวชีวิตจ
ผู้เข้าชมรวม
2,940
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
บทที่หนึ่ง
เนี่ยนะ!!! นักศึกษาแพทย์
" เหวอ!!! กิ๊ฟเนี่ยนะจะเป็นหมอ น่ากลัวนะลูก สงสารคนไข้เถอะนะ "
" ไม่จริงมั้ง อย่างแกเนี่ยนะ แล้วจะตกลงว่าแกจะเป็น หมอนวด หรือ หมอผี ดีหล่ะ "
" นรินธร นี่เธออย่าล้อครูเล่นนะ ติดหมอจริงๆเหรอเนี่ย!! "
อย่าว่าแต่คนอื่นจะไม่อยากเชื่อ ตัวกิ๊ฟเองยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะทำได้ และยังไม่เคยคิดเลยว่าจะเลือกเส้นทางสายมรณะ เอ้ย!! เส้นทางหฤโหดสายนี้ แต่ด้วยชะตากรรม เอ้ย!! ชะตาฟ้าลิขิตทำให้กิ๊ฟต้องมาอยู่บนเส้นทางแห่งการอุทิศตนนี้แล้ว ก็ทำได้แค่เพียงเดินตามเส้นทางนี้และทำตัวเองให้มีประโยชน์แก่มวลมนุษย์มากที่สุด กิ๊ฟเชื่อว่าหลายๆคนคงมีความฝัน กิ๊ฟเองก็เช่นกัน สมัยเด็กกิ๊ฟเคยฝันว่าอยากเรียนหมอ แต่ด้วยความคิดที่ว่า เราทำไม่ได้หรอก ไม่มีทางเป็นไปได้ มันช่างดูเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ความคิดแบบนี้แหล่ะที่ทำให้กิ๊ฟเกือบที่จะพลาดโอกาสในการทำตามความฝันไป ใครต่อใครต่างก็เตือนว่า หมอเนี่ยเรียนหนักนะ แถมยังไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวด้วย เวลาพักผ่อนก็น้อย แต่พอกิ๊ฟมาถึงจุดนี้จริงๆ ใครๆที่บอกว่าการเรียนหมอนั้นหนักหนาสาหัส มันเป็นจริงแค่เพียงส่วนเดียวเท่านั้น การเรียนหมอยังมีอีกหลายแง่หลายมุมที่กิ๊ฟอยากจะให้คนอื่นได้รับรู้ อย่าคิดว่าคนเป็นหมอ จะต้องบ้าเรียน เป็นลุงเป็นป้าใส่แว่นหนาๆ อยู่แต่กับตำราท่องหนังสือทุกวัน ความคิดนี้มันล้าสมัยไปเสียแล้ว และสำหรับใครที่คิดว่าอยากเป็นหมอเพราะรู้สึกโก้ เท่ห์ สามารถยืดอกแล้วอวดชาวบ้านได้ ถ้าด้วยเหตุผลแค่นี้มันก็ไม่คุ้มหรอกค่ะที่จะมาแลกเอาความโก้ เท่ห์ กับความยากลำบากทั้งหมดที่คนเป็นหมอจะต้องเผชิญ หรือสำหรับใครที่คิดว่าการเป็นหมออาศัยแค่ความเก่งเพียงอย่างเดียว แค่ความเก่งมันไม่พอหรอกค่ะ มันมีอีกหลายๆอย่างที่คนเป็นหมอต้องมี นอกเหนือจากความเก่งอีกสิ่งนึงที่สำคัญนั่นคือ ความเพียรพยายาม อดทนและไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก เราต้องสู้อย่างไม่ยอมแพ้เมื่อไหร่ที่ล้มก็ต้องลุกขึ้นก้าวต่อ ภาพของคุณหมอที่สวมเสื้อกราวน์ดูสง่างาม น่าเคารพต่อคนไข้ กว่าที่พวกเรานักศึกษาแพทย์จะได้ก้าวมายืนอยู่ ณ จุดนั้น มันต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ ทั้งอุปสรรคจากสิ่งรอบข้างและความอ่อนแอจากจิตใจของตัวเอง ถ้าผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ คงจะได้รู้จักกับนักศึกษาแพทย์ในอีกหลายแง่มุมเลยทีเดียว
สุดท้ายที่กิ๊ฟอยากจะบอกกับคนที่ฝันจะเป็นแพทย์ว่า ถ้าคิดจะเลือกทางสายนี้แล้วจะต้องระลึกเอาไว้เสมอว่าเราทำงานเพื่อผู้อื่น ถ้าเราเลือกที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานหนักเพื่อคนอื่นแล้ว มันก็หมายความว่าเวลาความเป็นส่วนตัวของเราต้องถูกตัดทอนไป ดังนั้นถ้าคิดจะเป็นหมอ ก็จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอุทิศตน คำว่านายแพทย์หรือแพทย์หญิงไม่ได้ดูดีแค่คำพูด มันไม่ได้มาพร้อมกับเกียรติยศและชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว แต่มันมาพร้อมกับภาระและหน้าที่ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่แพทย์ทุกคนจะต้องยอมรับ มันไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายในการเรียนแพทย์แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากขนาดที่ทำไม่ได้ "กว่าจะมาเป็นแพทย์" นักศึกษาทุกคนต้องฝ่าฝันอุปสรรคนานับประการเพื่อที่จะได้เติบใหญ่มาเป็นนายแพทย์หรือแพทย์หญิงอย่างสมเกียรติ นักศึกษาแพทย์ทุกคนกำลังค่อยๆเดินไปตามเส้นทางที่ได้เลือกแล้วไปทีละก้าวๆ ค่อยๆเรียนรู้ชีวิตความเป็นแพทย์ จนกว่าจะถึงวันที่พวกเราจะจบการศึกษาและเป็นแพทย์เต็มตัว....
"อย่าคิดว่าไกลเกินฝัน ถ้าหากคิดที่จะฝันแล้วต้องพยายามเดินทางก้าวไปตามความฝัน อาจจะล้มลุก คลุกคลานไปบ้าง อย่าหยุดเดิน อย่ายอมแพ้ แต่จงก้าวเดินต่อ ก้าวแต่ละก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ใครจะวิ่ง จะแซงเราไป ช่างเค้า ถ้าเหนื่อยนักก็พักก่อน เมื่อพร้อมก็จงลุกเดินต่อไป คนทุกคนมีสองมือสองเท้าเหมือนกันดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น อย่าคิดว่าต้องทำไม่ได้แน่ๆทั้งๆที่ยังไม่ได้ลองทำ จงอย่าดูถูกความสามารถของตัวเอง"
อุปสรรคที่ต้องฝันฝ่า
กว่าที่จะฝ่าฟันแข่งขันกับนักเรียนมอปลายทั่วประเทศเพื่อที่จะได้เข้ามาเป็นนักศึกษาแพทย์ดังที่ได้ฝันเอาไว้ มันไม่ง่ายเลยในการที่จะทำตามความฝัน ไม่ใช่ว่าเรียนจบม.ปลายมาแล้วค่อยคิดว่าเราจะเรียนต่อสาขาอะไร แต่หากถ้าคิดจะเรียนแพทย์จริงๆแล้วเราต้องมีการวางแผนชีวิตตัวเองให้ดี ต้องมีการเตรียมตัวเตรียมใจ เราต้องตั้งใจเรียนมาตั้งแต่ในสมัยมัธยมปลาย จะได้มีพื้นฐานความรู้ที่แน่นพอที่จะเพื่อที่ว่าเราจะได้นำเอาความรู้ของเรามาใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ใครที่คิดว่าไว้จบมอหกก่อน แล้วค่อยตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเอนทรานซ์ สอบเข้ามหาลัย มันไม่ทันหรอกค่ะ ลองคิดดูเพื่อนเค้าสตาร์ตกันก่อนเรามาสามปี แล้วเราจะเร่งตามเค้าได้ทันเหรอคะ หรือสำหรับใครที่หวังพึ่งน้ำบ่อหน้า กะเอาไว้ว่าจะไปเรียนพิเศษโค้งสุดท้ายเพียงอย่างเดียว หวังว่าจะไปโกยเอาตอนที่เราเรียนเพิ่มเติม มันก็ไม่พอหรอกค่ะ เพราะถ้าเทียบกับคนอื่นที่เป็นคู่แข่งพื้นฐานของเราจะอ่อนกว่าเค้า เวลาเรียนพิเศษเค้าก็จะไม่สอนพื้นฐานซ้ำเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่คุณซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมเอนท์ต้องรู้อยู่แล้ว และคราวนี้ทั้งพื้นฐานก็ไม่แน่น ทั้งโจทย์ advance เพิ่มเติมที่ยิ่งยากขึ้นไปอีกก็ทำไม่ได้ เจ๊งคร้าบบผม เพราะฉะนั้นเรามาตั้งใจเรียนกันตั้งแต่วันนี้กันดีกว่า อย่าปล่อยให้เวลาสามปีต้องเสียประโยชน์ การเรียนให้ดีในมัธยมปลายไม่ใช่เรื่องยาก แค่เราเอาใจใส่มันและรู้สึกรักกับบทเรียนที่เราเรียนแค่นั้นก็พอแล้ว สำหรับวิชาที่เราชอบเราก็เรียนด้วยความที่รุ้สึกว่าอยากรู้มันก็สนุก แต่สำหรับวิชาไหนที่เราไม่ชอบ มันก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดีก็ต้องทำใจอย่างเดียว เราอาจจะต้องฝืนความรู้สึกตัวเองในการที่จะอ่าน และเรียนรู้ อาจจะต้องใช้ความพยายามมากหน่อยแต่เราก็ต้องอดทน ตื่นมาตอนเช้าไปเรียนหนังสือ ตกเย็นกลับบ้านมาก็อ่านหนังสือบ้างเป็นการทบทวนบทเรียน ถึงเวลาเสาร์อาทิตย์ และช่วงซัมเมอร์ปิดเทอมก็ไปเรียนพิเศษเพิ่มเติม มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้วในเรื่องของการเรียนพิเศษ ปัจจุบันนี้กิ๊ฟเชื่อว่าเด็กแทบจะทุกคนต้องมีการเรียนพิเศษ ถ้าเราไม่เรียนเราก็จะด้อยกว่าคนอื่นเค้า มันเป็นสิ่งที่หลายๆคนยอมไม่ได้อยู่แล้ว ในช่วงปิดเทอมที่ต้องเตรียมตัวอ่านหนังสือ กิ๊ฟเรียกว่าเรียนกันจนลืมบ้านเลยทีเดียว เรียนตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนกระทั่งสองทุ่ม กิ๊ฟก็ไปเรียนตามสถาบันกวดวิชาที่มีชื่อเสียงที่ใครๆก็รู้จัก พูดคำว่า"เคมี"ใครๆก็นึกถึงอาจารย์อุ๊ หรือว่าเป็น"Eng"ก็ต้องอาจารย์สมศรี ถ้าเป็น "math"ก็ต้อง sup'k center และถ้าเป็น "ฟิสิกส์" ก็ต้องเป็น apply ในช่วงที่เรียนพิเศษหนักๆกิ๊ฟตื่นตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เรียนจารย์อุ๊ตอนเจ็ดโมง พอเที่ยงก็พักกินข้าว 12.15 ก็ต้องรีบวิ่งไปเรียนฟิสิกส์ต่อ(เรียกว่ายัดมะได้เรียกว่ากินแล้ววว) ตบด้วยคณิตศาสตร์ตอนเย็นแล้วเลิกตอนสองทุ่ม กลับบ้านสลบอย่างเดียว!! ชีวิตวนเวียนแบบนี้จนเปิดเทอม และก็ยังต้องอ่านหนังสือต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงวันสอบจริงๆ เนี่ยหล่ะถึงเรียกว่าชีวิตเด็กเอ็นท์ ไอ่ที่บอกว่านั่งๆนอนๆอยู่บ้านแล้วก้อเผลอสอบติดเอง ไม่มีหรอกค่ะ ยากส์
เริ่มด้วยการสอบ O-Net ซึ่งนักเรียนม.ปลายทุกคนต้องสอบ เปรียบเสมือนกับการสอบเอนทรานซ์ในสมัยก่อนและสอบ A-Net ซึ่งเป็นการสอบที่ยากกว่าอย่างแรก และเราสามารถเลือกวิชาสอบได้ แล้วแต่ว่าอยากสอบต่อคณะอะไร เช่น ถ้าเป็นสายวิทย์ก็ต้องสอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ถ้าคนที่จะเป็นแพทย์ก็จะต้องสอบความถนัดทางแพทย์เพิ่มเติมเช่นเดียวกับคนที่อยากจะเรียนต่อทางสถาปัตย์ ก็ต้องสอบพื้นฐานในการวาดเขียนของสถาปัตย์ด้วย สำหรับคนที่จะสอบต่อแพทย์ก็จะมีข้อจำกัดต่างๆอาทิเช่น คะแนนสอบO-net ต้องได้มากกว่า 60% ทุกวิชา และคะแนนสอบ A-Net ต้องมากกว่า 30% ทุกวิชา และคะแนนที่ใช้ในการคัดเลือกจะใช้เฉพาะคะแนน A-net เท่านั้น อันนี้ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่นักเรียนเตรียมสอบแพทย์จะต้องรู้ก่อนที่จะสอบ เพื่อที่จะได้วางแผนเอาไว้ว่าเราควรจัดการอ่านหนังสืออย่างไรบ้าง
ในตอนนี้กิ๊ฟก็ก้าวเข้ามาเป็นนักศึกษาแพทย์ได้ครึ่งก้าวแล้ว อีกครึ่งก้าวที่เหลือ ยังมีอุปสรรคมากมายรอให้กิ๊ฟไปเผชิญ เหลืออีกแค่สามปีเท่านั้นที่นักศึกษาแพทย์ปี3อย่างกิ๊ฟจะต้องฟันฝ่าเพื่อจะได้เป็นแพทย์เต็มตัว.....
ชีวิตของเด็กธรรมดาคนนึง
เสียงโครมครามที่ดังขึ้นทุกๆเช้าของการไปโรงเรียน "กิ๊ฟตื่นนน บอกว่าให้ตื่นน ไม่ตื่นจะเอาไม้เรียวไปฟาดเดี๋ยวนี้นะ รู้ไหมว่านี่มันสายแล้ว ทำไมเป็นเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบขนาดนี้เนี่ยย ฯลฯ " นี่เป็นวิธีการปลุกกิ๊ฟของคุณแม่ที่ธรรมดาที่สุด เพราะว่ากิ๊ฟเป็นคนขี้เซามากถึงมากที่สุด ประเภทที่โจรเข้าบ้าน ไฟ้ไหม้ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า จะไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียว นอกจากโรคขี้เซาแล้วยังมีโรคขี้เกียจเป็นโรคประจำตัวที่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่หาย ถ้าได้เป็นหมอเต็มตัวเมื่อไหร่จะวิจัยรักษาโรคนี้สักที "ตึงๆๆๆ สายแล้วๆ หม่าม๊ารองเท้าอยู่ไหน กระเป๋าหล่ะ อ่าวแล้วไอ่นั่น ไอ่นี่ของกิ๊ฟหายไปไหนหมดดด!!!" คุณคิดว่าคนที่มีบุคลิกอย่างนี้หน่ะเหรอคะ ที่ควรจะเป็นหมอ ดีไม่ดีถ้ามีเคสผ่าตัด คงได้ลืมกรรไกรหรือเครื่องมือในท้องคนไข้เป็นแน่ คงเป็นอย่างที่เพื่อนบอกจริงๆ หมอนวด หรือ หมอผีน่าจะเหมาะกว่า แต่ถ้าคร้านจะให้เราไปนวด ก็คงมีแต่เคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว เผลอๆดีไม่ดีอาการหนักกว่าเก่าอีก ถ้าจะให้เป็นหมอผีจริงๆ เราก็คงวิ่งป่าราบเป็นคนแรก เพราะความที่เราเป็นคนที่กลัวผีขึ้นสมอง เป็นอันว่าหมอรักษาคนเนี่ยหล่ะ คงจะเหมาะสมที่สุดแล้ว
เด็กๆกิ๊ฟน่ารักค่า น่ารักมากจนคุณแม่อยากจะฆ่าเลยทีเดียว555 ไม่มีวันไหนที่ไม่ถูกตี นี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่ว่าเป็นโรคชอบความเจ็บปวดนะ(Sadism) ก็เรามันแก่นแก้วเหลือทน การถูกตีสำหรับเด็กหลายๆคนคงเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ต้องไม่ใช่สำหรับกิ๊ฟ ชินซะแล้ว ถ้าถามว่าเจ็บไหมเวลาตี ก็คงบอกว่าเจ็บสิ แต่ว่าเวลาซนเราไม่ได้คิดถึงไม่เรียว เพราะฉะนั้นทั้งที่โรงเรียนหรือที่บ้าน ก็จะถูกตีบ่อยมากๆ เรียกว่าได้ดิบได้ดีเพราะไม้เรียวของคุณแม่และของคุณครู ครั้งนึงเวลาพักกลางวันกินข้าว โดยมากพอกินข้าวเสร็จ เด็กๆก็จะชวนกันหาอะไรเล่น บางคนเล่นโดดยาง เล่นวิ่งไล่จับ เล่นหมากเก็บไปตามเรื่องตามราว ก็ดูน่ารักตามประสาเด็กๆ อ่า.. แต่อย่างเราจะให้เล่นอะไรที่ธรรมดาๆได้ไง ชวนเพื่อนไปปีนเสาธงชาติ ค่อยๆไต่กระดึ้บๆได้ยังไม่ถึงครึ่งเสา คุณครูเดินมาเห็นเข้า ตะโกนเรียก "นรินธร เธอลงมาเดี๋ยวนี้นะ โอ้ย!!ชั้นจะเป็นลม ทำไมเล่นอะไรพิเรนทร์แบนี้" จากเหตุการณ์คราวนั้นกิ๊ฟเลยโดนฟาดไปซะสามที น้ำตาร่วงเลย ความแสบของหนูกิ๊ฟคนนี้ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้หรอกค่ะ ยังมีอีกเพียบ
ตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงมัธยมสาม กิ๊ฟเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญศึกษาซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งและเป็นโรงเรียนหญิงล้วน ซึ่งจะอบรมสั่งสอนให้นักเรียนหญิงเรียบร้อยให้สมกุลสตรีไทย แต่กิ๊ฟดันขาดคุณสมบัติทุกข้อ จากความซน ความแสบ "นรินธร" เลยถูกขนานนามว่า "น-ลิง-ธร" ชื่อที่ภาคภูมิใจกลายเป็นลิงเสียแล้ว จนครูหลายๆท่านอาจลืมชื่อจริงไปเพราะไม่ค่อยได้เรียก ในชั้นเรียนคุณครูทุกท่านสามารถจดจำน-ลิง-ธร คนนี้ได้ ไม่ใช่ในแง่ของความเก่ง หรือว่าทำชื่อเสียงให้กับโรงเรียนเหมือนคนอื่นๆ แต่เป็นเพราะความแสบมากกว่า เรียกว่าขยาดกันเลย สำหรับกิจกรรมในวัยเด็กก็ไม่ได้แตกต่างกับเด็กคนอื่นๆบางทีอาจจะดูผาดโผนกว่าด้วยซ้ำ อย่าคิดเชียวนะ ว่ากิ๊ฟจะเป็นป้าแว่นเป็นหนอนหนังสือนั่งอ่านตลอดเวลา ผิดคาดแล้วหล่ะ เชื่อไหมว่า นักศึกษาแพทย์คนนี้หล่ะหัวโจกในการแกล้งชาวบ้าน ซนเป็นที่หนึ่ง ด้วยเหตุที่มีพี่น้องเป็นผู้ชายทั้งหมด กิ๊ฟเลยทโมนเหมือนลูกลิง นับตั้งแต่จำความได้กิ๊ฟจะเล่นกับพี่ชายและน้องชายเสมอ ใครเล่นต่อยมวย กิ๊ฟก็ไปต่อยกะเค้า ผู้ชายเล่นอะไรได้ กิ๊ฟก็เล่นได้ด้วย ไม่มีหวั่นลุยไปถึงไหนถึงกัน เด็กๆกิ๊ฟซนมาก ซนเสียทุกคนขยาด และยังเป็นเด็กช่างพูด ช่างลอง เห็นอะไรไม่เคยกลัว ลุยก่อนเลย นรินธรซะอย่าง!!
ครั้งหนึ่งกิ๊ฟเดินไปที่ตลาดเห็นปูใส่กระด้งวางขายอยู่ ด้วยความที่เราซนก็เอามือไปแหย่ๆแกล้งปู ในใจก็นึกว่ามันคงทำอะไรเราไม่ได้หรอกเพราะว่ามันเชือกไว้แล้ว แต่เชือกเจ้ากรรม!! ดันขาด ปูมันคงรอจังหวะนี้อยู่ เห็นเราแกล้งมันมากๆ มันเลยจัดการ ฉับ!! นิ้วน้อยๆของหนูโดนปูหนีบเรา ร้องจ้าก!! เผ่นแน่นกลับบ้านทันที ซึมไปเลย แต่ก้อเข็ดได้แค่สองสามวันเท่านั้น หลังจากนั้นก็เป็นลูกลิงเหมือนเดิม คราวนี้เข้าไปใหม่อย่างมีแผนการณ์ เอาไม้แหย่ๆ เคาะๆกระดองมันแทน เพราะรู้ว่ายังไงมันก็หนีบเราไม่ได้หรอก ฮาๆ เอาเป็นว่าศึกครั้งนี้ หนูกิ๊ฟคนนี้ก็ชนะปูไป กิ๊ฟเป็นคนช่างถาม ช่างสงสัยมาก มากเสียจนคนอยู่รอบข้างรำคาญ 555 ถามได้แม้กระทั่งว่าทำไมคนมีสองขา แล้วน้องเหมียวที่บ้านทำไมมีสี่ขา แล้วทีนี้คุณพ่อกับคุณแม่หนูจะตอบอย่างไรไให้เด็กไม่กี่ขวบเข้าใจ จะตอบว่าเป็นตาม anatomy หรือตามการวิวัฒนาการก็ไม่ได้อีก เด็กอนุบาลคงไม่เข้าใจ ได้แต่ตอบว่าเป็นไปตามธรรมชาติ ด้วยความไม่ยอมแพ้เราก้อถามต่อด้วยความสงสัยอีกว่า ทำไมธรรมชาติต้องเป็นแบบนี้หล่ะคะ เอาแล้วไงแล้วทีนี้จะตอบคำถามอย่างไรดี พอถามมากๆเข้า คำตอบที่ได้กลับมาก็จะประมาณว่า อย่าไปยุ่งกะขามันเลย เรามีสองขาก็พอแล้วหล่ะ เดินได้ก็ดีแล้ว !@#$เป็นงั้นไป
เด็กหลายคนตอนอยู่บ้านซนมาก แต่พอมาอยู่โรงเรียน ด้วยความที่กลัวคุณครูก็จะกลายเป็นเด็กเรียบร้อยไป แต่ไม่ใช่กิ๊ฟอย่างแน่นอนค่ะ กิ๊ฟซนอย่างไรก็อย่างนั้น คล้ายๆเด็กไฮเปอร์ต้องเดิน หรือ ขยับตัวตลอดเวลา นั่งเรียนได้สักพัก พอครูหันหลังจดกระดาน เราก็ลุกออกมาเดินๆ ออกไปนอกห้องไปเดินเล่นเสียรอบสองรอบ จนครูเห็นก็มาลากเรากลับไปนั่ง วันนึงเป็นแบบนี้เสียหลายรอบ^^ แล้วพอเรากลับมานั่งเรียนได้แค่แว่บเดียว ก็ชวนคนนู้นคนนี้คุยซะไม่ต้องเรียน หันซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ชวนกันคุย ชวนกันเล่น จนครูต้องจับเรามานั่งแยกเดี่ยวหน้าห้องติดโต๊ะครู TT น่าสงสารไหมหล่ะคะ บางทีถึงขั้นเอาเชือกมาขู่บอกจะมัดเราให้ติดกับเก้าอี้ก็มี ครั้งนึงเราชวนคุยมากๆ ครูก็สั่งห้ามคนอื่นคุยกับเรา แต่ด้วยความเป็นเด็กพอมีเพื่อนมาแหย่ๆคุยมากๆเค้าก็ต้องหลุดคุยกะเราเป็นธรรมดา คราวนี้ครูโมโหทนไม่ไหวไม่รู้จะทำยังไงดี ก็สั่งให้เราเอาพลาสเตอร์มาปิดปากตัวเอง เราก็ทำตามอย่างดีค่ะ ปิดปากแล้วส่งเสียง อู้อี้ๆอยู่ สักพักครูคงสงสารเลยอนุญาตให้แกะออก พอเลิกเรียนคุณแม่มารับเห็นคราบกาวที่ปาก ซักจนทราบเรื่อง นั่งหัวเราะกันจากฤทธิ์ของลูกสาวตัวแสบคนนี้ เรื่องยังไม่จบเท่านี้ เพราะกิ๊ฟก็ยังคงคุยเหมือนเดิม คราวนี้คุณครูเปลี่ยนแผน สั่งให้ลงมาที่ครัวตอนแรกเราก็งง ลงมาทำไมหว่า?? ตอนหลังรู้แล้ว ครูให้ลงมาหาลูกมะนาว ขนาดกำลังพอดี แล้วยัดเข้าปาก อมเอาไว้อย่างนั้นจนหมดคาบเรียน กรามแทบค้าง ไปเล่าให้ใครฟังก็คงขำกันน่าดู มีด้วยเหรอ พูดมากขนาดที่ต้องใช้พลาสเตอร์ปิดปาก แล้วยังต้องใช้ลูกมะนาวเนี่ยนะ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ในโรงเรียนเลย
นอกจากความน่ารักน่าชัง(ที่หลายๆคนบอกว่ามีแต่ความน่าชังเพียงอย่างเดียว) แล้วกิ๊ฟยังเป็นคนรักสัตว์มาก แทบทุกชนิดทั้งตุ๊กแก กิ้งก่า ตัวกบ ตัวเขียด งู อีกลัวน่า หรืออีน่ากลัวที่ใครๆเค้าเรียกกัน กิ๊ฟก็ไม่เคยหวั่น ยิ่งเห็นตัวอะไรแปลกๆนี่ยิ่งชอบ เรียกได้ว่าน่าจะไปเป็นนางงามจักรยานรณรงค์ต่อต้านการทำร้ายสัตว์โลกซะเลย มีคราวนึงตอนเด็ก กิ๊ฟมีโอกาสได้ไปสิงค์โปร์พร้อมๆกับครอบครัวและเพื่อนคุณพ่อ พวกเราเดินผ่านลานกว้างลานหนึ่ง เห็นมีแขกโพกหัวนั่งเป่าปี่เรียกงู เหมือนในการ์ตูน เจ้างูเหลือมตัวอย่างใหญ่ ยาวกว่าช่วงแขน ก็ค่อยๆโผล่เต้นระบำออกจากตะกร้า ยืดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดมายังไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ทุกคนชะงักหยุดยืนดูอย่างสนใจ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ม ได้เพียงแต่ล้อมเป็นวงอยู่ห่างๆ มีเหรอคะที่จะปล่อยให้พลาดโอกาสงามๆ ไอ่เรารึไม่สนใจอะไรเลย เดินตรงเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆงูตัวนั้นแล้วค่อยๆยื่นมือมาลูบหัวเจ้างู ทุกคนตกใจ ตะลึงกันไปหมด!!! คุณแม่แทบหยุดหายใจ ภาพที่ปรากฏแก่สายตาคือ เด็กหญิงตัวเล็กๆในชุดแขกมีผ้าโพกหัวของแขก มีงูพันรอบคอ ย้อนกลับไปคิดแล้วยังสยองเลย ถ้าเจ้างูตัวนั้นดันมีพิษ คงไม่มีหนังสือเล่มนี้ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันแน่ๆ ทุกวันนี้กิ๊ฟยังคิดเลยว่าตัวเองช่างกล้าเสียจริงๆ..
เมื่อถึงเวลาสอบเลื่อนชั้น ก็จะมีผลการเรียนรายงานถึงผู้ปกครอง ผลการเรียนในวัยเด็กเรียกว่าค่อนข้างแย่ เกรดไม่ถึง3.00 บางเทอมเกือบไม่ถึง 2.50 ด้วยซ้ำ แต่กิ๊ฟก็สามารถพาเอาตัวเองรอดจากการเรียนซ่อมเสริมมาได้เกือบทุกครั้ง เรียกว่าอย่างเฉียดฉิวเลยทีเดียว ด้วยความเราที่ยังเป็นเด็กที่ไม่ค่อยสนใจเรียน ไม่ชอบทบทวนตำรา ชอบเล่นเสียมากกว่า เลยไม่ค่อยสนในผลสอบสักเท่าไหร่ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น กิ๊ฟเป็นคนเกลียดการเรียนมากๆและยิ่งทนไม่ได้ถ้าต้องให้เรามานั่งท่องตำราเป็นเวลานานๆ เพราะฉะนั้นในวัยเด็ก กิ๊ฟแทบจะจำภาพที่ตัวเองนั่งอ่านหนังสือก่อนสอบไม่ได้เลย จำได้แต่เพียงว่า นั่งอ่านหนังสือได้สัก 10-15 นาที ก็ต้องลุกไปเดินเล่น ไปทำอย่างอื่น แล้วก็เลิกอ่านเอาซะดื้อๆ ดังนั้นจึงไม่เคยที่จะอ่านหนังสือจบสักครั้งก่อนสอบ ผลการเรียนเลยออกมาอย่างที่เห็น บางเทอมก็ได้เกรด3กว่าๆ อาจเป็นเพราะเทอมนั้นตั้งใจเรียนในห้องมากหน่อย แต่บางเทอมก็ได้แค่2กว่าๆ เป็นอย่างนี้สลับกันไป ในขณะที่พี่ชายและน้องชายไม่เคยทำให้ครอบครัวผิดหวัง มักจะได้คะแนนสูงสุดในวิชาใดวิชาหนึ่งเสมอ เป็นที่รู้จักของคุณครูหลายๆท่าน มักได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันกับต่างโรงเรียนเสมอๆ นั่นคือตรงข้ามกับกิ๊ฟเสียหมด เกรดเฉลี่ยของพวกเค้าส่วนมากก็ประมาณ 4.00 ถ้าเทอมไหนแย่หน่อยก็เหลือประมาณ 3.8 หรือ 3.9 ซึ่งเป็นผลการเรียนที่จัดว่าดีมากถ้าเทียบกับตัวกิ๊ฟเอง ตามปกติกิ๊ฟจะได้ลำดับที่ประมาณ 30ต้นๆ จากนักเรียน 40 กว่าคนซึ่งเป็นอะไรที่เกือบสุดท้ายแล้ว แต่มีครั้งนึงฟลุ้คได้ลำดับที่22 คุณพ่อและคุณแม่ดีใจกันยกใหญ่ พาออกไปทานข้าวนอกบ้าน ฉลองกันทั้งครอบครัว ทุกคนคงคิดว่าแปลกทำไมทั้งๆที่พี่ชายและน้องชายได้ที่หนึ่งมาตลอด แต่ท่านก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นหรือยินดีอะไรมากแต่พอมาถึงคราวของกิ๊ฟ ทำไมถึงต้องดีใจกันมากมายขนาดนั้นแถมผลการเรียนก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย แต่สิ่งที่กิ๊ฟอยากบอกก็คือ ความดีใจเหล่านี้ไม่ได้มาจากการที่ผลการเรียนดีเลิศ แต่เป็นเพราะคนเรามีการพัฒนา ส่วนมากคนเรามักจะวัดสิ่งต่างๆโดยดูที่ผลลัพธ์ แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่สำคัญกว่าผลลัพธ์ก็คือขั้นตอนกว่าที่จะได้ผลลัพธ์นั้น โดยมากคนส่วนใหญ่มักจะชมคนที่ได้ที่หนึ่ง ว่าเป็นคนเก่ง เป็นเด็กที่ฉลาด ไม่ว่าสอบกี่ครั้งกี่หนก็ได้ที่หนึ่งตลอด แต่สิ่งที่ที่กิ๊ฟเรียนรู้จากตัวเองก็คือ คนที่เก่งคือคนที่รู้จักพัฒนาตัวเอง พัฒนาตัวเองอย่างไม่ท้อถอย ค่อยๆเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง อดทนจากภาวะความกดดันจากคนรอบข้าง จากที่สุดท้าย ค่อยๆไต่ลำดับขึ้นมาจนกระทั่งเป็นที่หนึ่ง คนแบบนี้หล่ะคือคนที่เก่งและมีความวิริยะอุตสาหะที่น่ายกย่อง กิ๊ฟมักจะถูกคนภายนอกเปรียบเทียบกับพี่และน้อง ตอนนั้นรู้สึกกดดันมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี โดนตีก็มากที่สุด แถมเรียนก็อ่อนที่สุด เคยโดนแม้กระทั่งคำพูดที่ว่า "อย่าไปสอบเลยมหิดลวิทยานุสรณ์ อย่างคุณหน่ะเหรอจะทำได้ ถ้าเป็นพี่ชายหรือน้องชายก็ว่าไปอย่าง" อึ้งไปเลย รู้สึกเสียใจมาก แต่เราก็เอาความเสียใจนั้นมาเป็นแรงผลักดัน มันทำให้กิ๊ฟฮึดสู้และคิดว่าต้องทำให้ได้ จะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเราเด็ดขาด แต่สำหรับคุณพ่อและคุณแม่ท่านไม่เคยทำให้กิ๊ฟรู้สึกถูกเปรียบเทียบ ไม่เคยสร้างความกดดันใดๆให้กิ๊ฟได้รู้สึกเลย ท่านทั้งสองกลับคอยให้กำลังใจ และสอนเสมอว่า ทุกคนมีสิ่งที่ตัวเองเก่งและไม่เก่ง ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะเก่งไปหมดซะทุกอย่าง คนเราเก่งกันคนละด้าน พวกเค้าสองคนเก่งในการเรียนหนังสือ ส่วนตัวกิ๊ฟเองก็มีสิ่งที่กิ๊ฟเก่งอยู่ในตัว เป็นสิ่งที่พวกเค้าทั้งสองไม่มี กิ๊ฟพยายามถามตัวเองมาตลอดว่าอะไรคือสิ่งที่มีเหนือกว่าคนอื่น แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ในตอนนั้นนึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตัวเราเนี่ยเก่งอะไร สงสัยคงเก่งอยู่เรื่องเดียว คือการสร้างปัญหา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งคุณพ่อและคุณแม่ไม่เคยดุด่าว่ากล่าวเรื่องผลการเรียนที่แย่นั่นเลยสักครั้งเดียว นั่นเป็นสิ่งที่กิ๊ฟอยากขอบคุณมากที่สุด ท่านทั้งสองไม่เคยทำให้กิ๊ฟรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ากว่าใครๆ มีแต่เพียรพยายามบอกว่ากิ๊ฟเสมอๆว่ากิ๊ฟก็มีสิ่งที่ดีอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่มีใครเชื่อ แต่ท่านเชื่ออยู่เสมอว่ากิ๊ฟมีอะไรที่พิเศษกว่าคนอื่น กิ๊ฟก็มีจุดเด่นในตัวเองไม่ด้อยไปกว่าใครๆเลย...
นี่หล่ะค่ะคือเหตุผลที่ทำไมใครหลายๆคนถึงไม่อยากเชื่อว่าวันนี้กิ๊ฟจะมายืนอยู่ ณ ที่นี้ได้ มันสูงเกินกว่าที่เคยฝันไว้ซะอีก แต่กิ๊ฟก็สามารถทำได้ หลายๆคนเก่งกว่ากิ๊ฟเสียอีกแล้วทำไมจะทำไม่ได้
จุดเริ่มต้นของความฝัน
เหมือนนวนิยายสยองขวัญมากกว่าอ่า TT
เสียงไซเรนดังแว่วเข้ามากระทบโสตประสาท ค่อยๆดังขึ้นๆในความรู้สึก สายตาที่พร่ามัวจากละอองน้ำฝนค่อยๆปรับโฟกัสจนเห็นเป็นภาพ เมื่อสัญญานไฟกระพริบของรถพยาบาลที่เข้ามากู้ชีพของผู้ประสบอุบัติเหตุเลื่อนเข้ามายังกลุ่มของความวุ่นวายเบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏในสายตาค่อยๆชัดเจนขึ้นแม้กระทั่งทุกวันนี้ภาพนั้นยังคงติดตาฝังอยู่ในใจไม่หายไป รอยเลือดสีแดงสดกองประปรายบนพื้นถนน ด้านข้างมีร่างที่แน่นิ่งนอนด้วยท่าทางอันผิดธรรมชาติ คาดว่าเป็นเพราะกระดูกส่วนต่างๆถูกกระแทกอย่างแรงจนเกือบจะแหลกละเอียดทำให้ร่างกายมีสภาพเป็นเช่นนั้น เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆถูกลำเลียงลงมายังพื้นถนนเพื่อยื้อลมหายใจของร่างที่ไม่ได้สติเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความความทุลักทุเลและยากลำบาก ร่างนั้นแน่นิ่งไม่ตอบสนองต่อคำพูดหรือการสัมผัสใดๆราวกับว่าเขาได้ตายไปจากโลกนี้ไปเสียแล้ว ณ เวลานั้นเราไม่สามารถแยกระหว่างความเป็นกับความตายของร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงเบื้องหน้า ได้เพียงแต่ภาวนาขอให้ปาฏิหาริย์มีจริง เราไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยืนมองอยู่ห่างๆ ทั้งๆเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ...รถสองแถวคันใหญ่ขับเบียดชิดริมถนนซึ่งเป็นเวลาพร้อมๆกันกับพ่อค้าขายของในตลาดเข็นรถเข็นสวนทางมาตามปกติ ดังเช่นที่เคยทำเป็นประจำ แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น รถคันนั้นเสียหลักแฉลบเกี่ยวเอาลำตัวของชายผู้เคราะห์ร้ายล้มลงนอนใต้รถสองแถวคันนั้น เสียงเบรคดังสนั่นแต่ก็ไม่สามารถบังคับรถให้หยุดลงได้ในทันที กร๊อบ!!! เสียงที่บังเกิดขึ้นทันทีที่ล้อรถสัมผัสกับร่างมนุษย์ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาที เสียงกรีดร้องดังลั่นไปหมด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งชวนให้อาเจียน ทำเอาหลายๆคนแทบจะเป็นลม คนขับรถส่งเสียงด่าด้วยความกราดเกรี้ยวถึงปัญหาที่จะตามมาจากร่างที่นอนใต้ล้อรถ การเสียเงินค่าทำขวัญจากการตายยังดีกว่าเสียค่ารักษาพยาบาลที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจ่ายหมด ชายผู้น่าสงสารถูกกระชากขึ้นอย่างแรงด้วยน้ำมือของคนใจอำมหิต หวังว่าจะให้แหลกตายคามือแต่ร่างนั้นยังคงติดอยู่ใต้ล้อไม่ขยับไปไหน คนรับรถกลับขึ้นไปเหยียบคันเร่งหมายว่าจะซ้ำ เสียงพ่อค้าแม่ค้าละแวกนั้นร้องห้ามและยื้อกระชากกันสุดแรง ในที่สุดชายใจอำมหิตตัดสินใจทิ้งรถแล้ววิ่งหนีไปอีกฝากของถนนหายลับไปท่ามกลางกลุ่มคน เราได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า จนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนขอความช่วยเหลือ จึงได้สติรีบวิ่งไปโทรศัพท์แจ้งตำรวจและเรียกรถพยาบาล ณ วินาทีนั้นรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นคนไม่มีประโยชน์ อยากช่วยแต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร น่าจะทำอะไรได้มากกว่าการที่ยืนดูเฉยๆแล้วรอเวลาให้รถพยาบาลมา เพราะยิ่งเวลาผ่านไปโอกาสรอดของผู้ประสบภัยยิ่งน้อยลงเท่านั้น และจะเป็นการแย่กว่าหากเราให้การช่วยเหลือโดยปราศจากความรู้ความชำนาญทางการแพทย์ ผลเสียที่เกิดขึ้นอาจนำไปสู้ความพิการหรือบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่านั้น นั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของความรู้สึกชั่ววูบที่เข้ามาในสมองว่า"อยากจะเป็นหมอ" แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึกลึกๆภายในใจที่ถูกลบเลือนด้วยกาลเวลา.....
ผลงานอื่นๆ ของ evolyevo ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ evolyevo
ความคิดเห็น