ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #6 : ศาสนจักรจอมเวทย์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 601
      0
      25 มิ.ย. 53


                    ในปี 2012 ตามปฏิทินบนโลกมนุษย์... ได้เกิดมหาสงครามที่ดินแดนแห่งเทพปกรณัม ระหว่างเหล่าจอมเวทย์จากห้าอาณาจักรกับเทพมารที่ชื่อ “ดิส” ผลจากสงครามนั้นรุนแรงจนสะเทือนมาถึงโลกมนุษย์ ทำให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ขึ้นบนโลกมนุษย์ เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนในที่สุดเหล่าจอมเวทย์ก็มีชัยเหนือเทพมาร

                    การระเบิดใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ใจกลางอาณาจักรเฮลไฮม์ของเทพมาร ทำให้ทั้งเทพมารดิสและจอมปราชญ์หญิงไวส์หายสาบสูญ และความสงบสุขก็กลับมาสู่ดินแดนแห่งเทพปกรณัมอีกครั้ง จนกระทั่ง...


                    สิบวันก่อนได้มีนักรบมฤตยูในผ้าคลุมสีดำทะมึนปรากฏตัวที่อาณาจักรวูดแลนด์ของเหล่าเอลฟ์ เข่นฆ่าเหล่าเอลฟ์และแฟรี่ไปเป็นจำนวนมากก่อนจะหายตัวไปอย่างลึกลับ คลื่นจิตที่แผ่ออกมาจากนักรบมฤตยูนั้น มีกลิ่นอายของเทพมารดิสแฝงอยู่ สร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าจอมเวทย์ในดินแดนแห่งเทพปกรณัม

                    หรือว่าเทพมารดิสจะกลับมาอีกครั้ง...

                    เหล่าประมุขจากห้าอาณาจักรใหญ่จึงมารวมตัวกันที่อาณาจักรนอร์สการ์ด ณ บ่อน้ำอุรด์ใต้ร่มเงาแห่งพฤกษาโลกนามว่า “อิกดราซิล” ที่บ่อน้ำนั้นมีสามพี่น้อง “โนร์น” เทวีแห่งชะตากรรมอันได้แก่ อุรด์ (เทวีแห่งชะตา)
    เวอร์ดันดี (เทวีแห่งการลิขิต) และสกุลด์ (เทวีแห่งการดำรงอยู่)

                    เหล่าประมุขได้ปรึกษากับสามพี่น้องโนร์นถึงชะตากรรมของดินแดนแห่งเทพปกรณัม

                    “เงาแห่งความชั่วร้ายกำลังคลืบคลานมายังดินแดนแห่งเทพปกรณัม" สกุลด์เอ่ยขึ้นก่อน

                    "อย่างไรก็ดีเมื่อสิบห้าปีก่อนที่โลกมนุษย์ จอมปราชญ์หญิงผู้ยิ่งใหญ่ได้ให้กำเนิดบุตรคนหนึ่ง เขาคนนั้นจะเป็นผู้ลิขิตชะตาของดินแดนแห่งเทพปกรณัม” อุรด์กล่าว

                    “พวกท่านจงพาคนผู้นั้นมายังดินแดนแห่งนี้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมเราจะบอกคำทำนายส่วนที่เหลือให้กับพวกท่านเอง" เวอร์ดันดีปิดท้าย




                    "ด้วยเหตุนี้เหล่าประมุขจึงส่งทูตทั้งสามลงมายังโลกมนุษย์... ซึ่งก็คือข้า นามิ แล้วก็พี่อลิเซียนั่นเอง” ฟริกก้าสรุป หลังจากที่เล่าความเป็นมาของดินแดนแห่งเทพปกรณัมให้ผมฟัง

                    “หลังจากที่ปราบรุงนีร์ พวกเราก็ได้ลองไปสืบเรื่องแม่ของเธอ และพบว่าท่านไวส์และวิชญาเป็นคนเดียวกัน” อลิเซียพูดขึ้น “ฉันไม่เคยพบท่านไวส์จึงไม่ค่อยรู้เรื่องของท่าน รู้เพียงแต่ว่า 'ไวส์' (wise) นั้นไม่ใช่ชื่อจริงของท่าน เป็นเพียงฉายาที่พวกเราเรียกเพื่อยกย่องความเก่งกล้าสามารถและมีสติปัญญาหลักแหลมของท่านเท่านั้น”

                    “ข้าเคยเจอท่านไวส์ครั้งหนึ่ง" นามิพูดโดยไม่หันมามองผม "กระแสวิญญาณของท่านอบอุ่นอ่อนโยน ในขณะเดียวกันก็หนักแน่นมั่นคง เป็นรัศมีแสงสีเขียว... คล้ายๆ กับของเจ้า”

                    นั่นคือสิ่งที่พวกเธออธิบายให้ผมฟัง ก่อนที่อลิเซียจะพาผมไปยังที่พัก

                    "ยินดีต้อนรับสู่ศาสนจักรจอมเวทย์ - ศูนย์กลางของดินแดนแห่งเทพปกรณัมจ้ะ... วันนี้กฤษณ์เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว พักผ่อนก่อนเถอะ"

    ... ... ...



                    “กฤษณ์...” ในความมืดนั้น ใครคนหนึ่งกำลังเรียกผมอยู่ เสียงนั้นทุ้มและเย็นเยียบ

                    “ในที่สุดเจ้าก็มายังดินแดนแห่งเทพปกรณัมซะที...”

                    “นายเป็นใคร?” เสียงนี้ไม่ใช่ของเจ้าเขียว ผมพยายามจะมองหน้าเขา แต่ร่างของเขาอยู่ในเงามืดจนมองอะไรไม่เห็น

                    "เมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว เวลาก็จะเริ่มเดินอีกครั้ง... เวลาที่ชะตากรรมของข้ากับเจ้าจะมาบรรจบกัน”

                    “เดี๋ยวก่อน!” ผมร้องเรียก แต่ชายคนนั้นก็หันหลังเดินหายไปในความมืด พลันทุกอย่างก็สว่างจ้าจนแสบตา . . . . .

     

                    “อ้าวกฤษณ์"

                    แสงสีขาวส่องเข้ามาจากหน้าต่างที่หญิงสาวกำลังเลิกม่านอยู่

                    อลิสา...!

                    "ขอโทษนะ ฉันทำให้เธอตื่นรึเปล่า"

                    เมื่อพิศดูหญิงสาวคนนั้นอีกครั้งจนแน่ใจ ผมจึงเห็นว่าหญิงสาวคนนั้นไม่ใช่อลิสา แต่เป็นอลิเซีย

                    ผมลุกขึ้นจากเตียงไม้โอ๊คซึ่งปูด้วยผ้านวมที่นุ่มราวกับขนนก ห้องที่ผมอยู่มีเพียงโต๊ะกลมเล็กๆ เก้าอี้สองตัว ชั้นหนังสือ และนาฬิกาลูกตุ้มโบราณ พื้นห้องและผนังเป็นสีเบจ ทั้งหน้าต่าง เครื่องเรือนและตัวบ้านนั้นเป็นแบบยุโรปยุคกลาง แต่กลับดูใหม่เอี่ยมราวกับเพิ่งทำขึ้นเมื่อวาน

                    “เป็นไง หลับสบายไหมจ๊ะ”

                    “อืม...” ผมบิดขี้เกียจแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพียงแค่หายใจเข้าไป ร่างกายของผมก็รู้สึกสดชื่นมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที

                    อากาศของที่นี่มีรสชาติ... ผมก็เพิ่งรู้ว่าวันนี้นี่แหละ ที่คนเขาว่ากันว่าอากาศ "อร่อย" มันเป็นแบบนี้นี่เอง

                    แล้วอลิเซียก็เอาชุดมาให้ผมเปลี่ยน เป็นเสื้อคลุมยาวถึงเข่ากับกางเกงขายาวสีน้ำเงินดูคล้ายกับพวกขุนนางในยุคกลาง

                    "เป็นไงใส่พอดีไหม นี่เป็นชุดของพี่ชายตอนที่เขาอายุเท่าๆ กับกฤษณ์นี่แหละ"

                    ว่าแล้วเธอก็พาผมออกมานอกบ้าน ท้องฟ้าที่นี่สว่างจ้าทั่วทั้งผืนฟ้าและไม่มีเมฆ สิ่งที่สะดุดตาผมก็คือแสงสีฟ้าที่พุ่งออกมาจากยอดของโบสถ์ที่ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางอาณาจักร

                    "แสงนั่นออกมาจาก คริสตัลแห่งชีวิตที่อยู่ในโบสถ์" อลิเซียพูดขึ้น "แสงนี้คอยมอบพลังให้กับทุกชีวิตในศาสนจักรจอมเวทย์แห่งนี้"

                    มิน่าล่ะ งั้นแสงที่เห็นบนท้องฟ้าก็มาจากคริสตัลนั้นสินะ เอ๊ะ ว่าแต่ไม่เห็นมีดวงอาทิตย์แฮะ

                    “ที่นี่ไม่มีดวงอาทิตย์หรอก” อลิเซียเอ่ยขึ้น

                    "หา?" ผมยังไม่ได้ทันถามซักหน่อย หรือว่าอลิเซียก็อ่านใจผมได้เหมือนเจ้าเขียว

                    อลิเซียหัวเราะ

                    “ไม่ต้องทำหน้างงขนาดนั้นก็ได้ ฉันอ่านใจใครไม่ได้หรอก คงคล้ายๆ กับเอะใจมากกว่า เธอเองก็น่าจะเคยนะ เวลาที่อยู่ใกล้ใครสักคนแล้วจู่ๆ ก็รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

                    เหรอว่าจะเหมือนตอนเด็กๆ เวลาผมไปทานข้าวกับพ่อแม่แล้วจู่ๆ ก็แวบชื่ออาหารที่แม่จะสั่งขึ้นมา และแม่ก็สั่งตามนั้นจริงๆ ด้วย

                    "เพียงแต่สัมผัสของคนที่นี่จะไวกว่าที่โลกมนุษย์หลายเท่า"

                    แปลว่าถ้าอยู่ที่นี่ผมต้องระวังความคิดของตัวเองด้วยสินะ เพราะใครที่เดินผ่านไปมาอาจจะรู้ความคิดของผมก็ได้

                    มิน่าล่ะเจ้าเขียวถึงพูดเป็นเชิงตักเตือนว่า อย่า “คิด” ดัง

                    "ก็อย่างที่เห็นท้องฟ้าที่ศาสนาจักรจอมเวทย์นั้นสว่างตลอดทั้งวันเพราะแสงจากคริสตัล ที่นี่จึงไม่มีกลางคืน" อลิเซียกลับเข้าเรื่อง

                    “ที่ดินแดนแห่งเทพปกรณัมยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่เหมือนโลกมนุษย์ เดี๋ยวกฤษณ์ก็จะค่อยๆ รู้เองแหละ”

                    เพิ่งรู้ตัวว่าได้หลงเข้ามายังดินแดนมหัศจรรย์เสียแล้ว... ผมรู้สึกตื่นเต้นขณะที่มองไปยังบ้านเรือนที่มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง แต่วัสดุนั้นกลับไม่เหมือนสิ่งก่อสร้างบนโลกมนุษย์ เพราะดูเหมือนบ้านเหล่านั้นจะมีแสงในตัวเอง แม้แต่ทางเดินก็ปูด้วยหินที่ส่องประกายระยิบระยับหลากสีราวกับเพชรพลอย

                    ทั้งที่รอบตัวผมเต็มไปด้วยสิ่งน่าอัศจรรย์ แต่ใจของผมกลับสงบอย่างน่าประหลาด ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมนั้นคล้ายกับอลิสานั่นเอง

                    อลิสา... เมื่อนึกถึงเธอ ใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง

                    แต่ไม่ทันที่จะคิดอะไรต่อก็เกิดเสียงดัง โครม! คล้ายเสียงตึกถล่มจากข้างหลัง จนผมสะดุ้งโหยง เมื่อหันไปทางภูเขาซึ่งอยู่ห่างจากเขตบ้านเรือนผมก็เห็นสาวน้อยสองคนที่คุ้นตาดีกำลังรุกรับขับขี้ยวกันอย่างดุเดือด

                    คนที่กำลังไล่ต้อนอีกฝ่ายอยู่คือสาวน้อยผมสีฟ้า ฟริกก้า... ครั้งนี้เธอสวมชุดเกราะสีเทาเข้มใหญ่เทอะทะ และถือขวานคู่อันใหญ่ ไล่ฟาดฟันหญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูลายดอกซากุระ

                    หญิงสาวในชุดกิโมโนผมสีม่วงผูกโบว์สีแดงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนามิ เธอหลบการจู่โจมแบบไม่ให้พักหายใจของฟริกก้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย มือซ้ายกำดาบไว้มั่น พร้อมจะชักออกจากฝักทุกเมื่อ

                    “เป็นอะไรไปนามิ เจอแค่นี้ก็ตอบโต้ไม่ได้แล้วเรอะ!” ฟริกก้าพูดอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า

                    การต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสอง (จริงๆ แล้วต้องบอกว่าฟริกก้าเป็นฝ่ายรุกอยู่ข้างเดียว) ทำให้ต้นไม้ที่ตีนเขาหักโค่นราบเป็นแถบๆ

                    “ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ นี่เป็นเรื่องปรกติของสองคนนี้น่ะ" อลิเซียพูดกับผม "เห็นอย่างนี้แต่นามิเองก็กำลังสนุกอยู่นะ เพราะในศาสนจักรจอมเวทย์นี้เห็นจะมีฟริกก้าคนเดียวเท่านั้นที่กล้าท้าประลองกับนามิซึ่งๆ หน้า”

                    "ในศาสนจักรจอมเวทย์ นามิเป็นเอซในสายต่อสู้ระยะประชิด ส่วนฟริกก้าเป็นเอซในสายต่อสู้ระยะกลาง แต่ฟริกก้าเขาถือทิฐิว่าชาวนอร์สการ์ดต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยพลังกาย เลยชอบมาท้านามิสู้อยู่เรื่อย"

                    "รู้สึกว่าชุดเกราะของฟริกก้าจะไม่เหมือนกับที่เห็นที่โลกมนุษย์แฮะ"

                    "อ๋อ ชุดเกราะของฟริกก้าเป็นชุดเกราะเวทย์น่ะ ที่กฤษณ์เห็นคราวก่อนคือ 'รูนทรานซฟอร์เมชั่น - วัลคีรีโหมด' ซึ่งเน้นพลังเวทย์กับความเร็วและทำให้บินได้ ส่วนที่เห็นอยู่ตอนนี้คือ 'รูนทรานซฟอร์เมชั่น - เบอร์เซิร์กเกอร์โหมด' ซึ่งเน้นพละกำลังอย่างเดียว"

                    ขณะนั้นเองนามิซึ่งกำลังหลบหลีกการโจมตีของฟริกก้าอยู่ก็เอ่ยขึ้น

                    "ฟริกก้า... เจ้ายังมีการเคลื่อนไหวที่เสียเปล่าอยู่เยอะนะ"

                    “การเคลื่อนไหวที่เสียเปล่าเรอะ" ฟริกก้าว่า "เชอะ ใครเขาจะไปสนเรื่องหยุมหยิมอย่างนั้น!” เธอหันด้ามขวานทั้งสองประกบกันแล้วเงื้อขึ้นเหนือศีรษะ

                    “รูนแอ็กซ์ - กีกันติกฟอร์ม!!”

                    พริบตานั้นขวานสองด้ามก็รวมกันเป็นขวานสองคมขนาดมหึมา ฟริกก้าเหวี่ยงขวานเล่มนั้นใส่นามิซึ่งอยู่ข้างล่างสุดแรง

                    “รับไปซะ!”

                    นามิซึ่งตั้งท่ารออยู่แล้วชักดาบออก

                    “เพลงดาบฮิเมะมุระซากิ - เกลียวคลื่นผกผัน”

                    สาวน้อยในชุดกิโมโนกระโดดเข้าใส่ขวานยักษ์นั่นใช้ดาบที่มือขวาและปลอกดาบที่มือซ้ายวาดเป็นวงกลม เหมือนเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว วงดาบของนามิเบี่ยงคมขวานพ้นตัวเธอไปเพียงปลายก้อย แล้วนามิก็พุ่งขึ้นไปฟาดหัวฟริกก้าด้วยฝักดาบในมือซ้ายดัง โป๊ก!

                    อูย . . . เห็นแล้วเจ็บแทน



                    “โว้ย...! แพ้อีกแล้ว” ฟริกก้าโวยวายหลังจากเดินกลับมาหาผมกับอลิเซีย

                    “เหนื่อยไหมจ๊ะ ทั้งสองคน" อลิเซียเข้าไปทักทั้งสอง ก่อนจะหันมาแซวฟริกก้า "เท่านี้ก็เป็นแพ้ห้าสิบชนะหนึ่งแล้วสิ”

                    “ฟริกก้าเคยชนะนามิด้วยเหรอ” ผมถาม

                    “เผอิญคราวนั้นนามิติดภารกิจ เลยไม่มาตามนัดน่ะ" ฟริกก้าพูดแบบเซ็งๆ

                    อ่านะ... แต่ก็อุตส่าห์นับด้วย

                    "เห็นว่าฟริกก้าเป็นชาวอาณาจักรนอร์สการ์ดไม่ใช่เหรอ... แล้วทำไมถึงมาอยู่ที่ศาสนจักรจอมเวทย์ล่ะ" ผมหันไปถามอลิเซีย

                    "ศาสนจักรจอมเวทย์เป็นเหมือนศูนย์กลางของดินแดนแห่งเทพปกรณัมนะ จึงมีคนจากอาณาจักรต่างๆ มาเรียนและฝึกฝนเวทย์มนต์ที่นี่ จะว่าไปก็เหมือนเป็นที่ชุมนุมของเหล่าจอมเวทย์นั่นแหละ" เธอตอบ

                    "หืม..." แล้วนามิกับฟริกก้าก็เป็นถึงเอซในสายต่อสู้ระยะประชิดและระยะกลางของที่นี่ เอ๊ะ ถ้างั้นก็ต้องมีสายต่อสู้ระยะไกลด้วยสิ...

                    “นั่นไง บุตรชายของท่านไวส์” ในตอนนั้นเองก็มีพวกผู้หญิงที่สวมชุดซิสเตอร์แบบเดียวกับอลิเซียเดินเข้ามาหาผม

                    “จริงด้วย บุตรของท่านไวส์” นอกจากนั้นก็มีพวกผู้ชายที่สวมชุดแบบเดียวกับผม

                    พวกเขากรูเข้ามาล้อมผมอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีพวกอลิเซียก็ถูกกันออกไปอยู่วงนอกเรียบร้อย

                    “ได้ยินว่าเจ้าปราบเจ้ายักษ์ฮรุงนีร์ด้วยศรเวทย์เรอะ”

                    “ไหนๆ โชว์ให้พวกเราดูบ้างสิ”

                    "แล้วเจ้าใช้เวทย์อะไรได้อีก"

                    คำถามถูกยิงมาเป็นชุดจนผมมึนตื้อ ไม่รู้จะตอบอันไหนก่อน

                    “ทุกคนหยุดก่อน!” เสียงชายคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา

                    ทันใดนั้นทุกคนก็เงียบกริบ แล้วหลีกทางให้ชายผู้นั้นได้เดินเข้ามาหาผม เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมสันเกลี้ยงเกลา ผมสีน้ำตาล สวมชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มที่มีบั้งที่ไหล่ดูน่าเกรงขามแตกต่างจากชุดที่ผมสวมอยู่

                    "เจ้าน่ะรึ บุตรของท่านไวส์" ดวงตาสีฟ้าของเขาจ้องเขม็งมาที่ผม

                    “ข้าไม่สนคำทำนายของพวกโนร์นหรอกนะ” เขาว่า “ต่อให้เจ้าจะเป็นบุคคลในคำทำนายจริง เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับที่นี่ สิ่งที่จำเป็นสำหรับศาสนจักรจอมเวทย์ไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เป็นกฎระเบียบ ศรัทธาที่มากจนเกินพอดีจะทำให้คนขาดปัญญา เมื่อใดที่คนเชื่อมั่นในตัววีรบุรุษมากกว่ากฎระเบียบ วีรบุรุษก็จะอยู่เหนือกฎ ทำให้การปกครองยุ่งยากสับสน”

                    เอ่อ... พี่ครับ ผมไม่เข้าใจที่พี่พูดเลยสักนิดอ่ะ ทั้งวีรบุรุษเอย กฎระเบียบเอย ว่าแต่วีรบุรุษที่ว่านี่หมายถึงใครกันล่ะ?

                    “ท่านพี่อาเรส” อลิเซียแหวกฝูงชนเข้ามา

                    ท่านพี่... งั้นชายคนนี้ก็คือพี่ชายของอลิเซีย ที่ผมเอาเสื้อของเขามาใส่น่ะสิ!

                    "อลิเซีย เจ้าอยู่นี่เองเรอะ" ดวงตาของเขาอ่อนโยนลงขณะมองไปยังอลิเซีย

                    “เจ้าชื่อกฤษณ์ใช่ไหม ตามมาสิ ท่านอูรานอสประมุขแห่งศาสนจักรจอมเวทย์เรียกไปพบ”

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×