ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คาบแรก - ปมขัดแย้งของเรื่อง
1. ประเภทของนักเขียน
ถ้าใครเคยอ่านการ์ตูนเรื่อง "บาคุแมน" ก็อาจจะคำพูดของ บก.ฮัตโตริได้
ที่ว่า "นักเขียนมีอยู่สองประเภท
ประเภทที่หนึ่ง คือ เขียนการ์ตูนโดยใช้สัญชาตญาณหรือเซนส์
อีกประเภทหนึ่ง คือ ต้องคิดคำนวณก่อนเขียน (พูดง่ายๆ คือใช้สมองนั่นแหละ)
ผมเคยอ่านบทสัมภาษณ์ของนักเขียนมืออาชีพในเมืองไทยก็พบว่า
นักเขียนก็มีสองประเภทเหมือนกัน
บางท่านเขียนนิยายให้สนุกและมีเสน่ห์ได้โดยไม่ต้องคิดอะไร
บางท่านก็เขียนนิยายด้วยการคิดคำนวณอย่างเป็นระบบ
(เช่นนักเขียนสองซีไรต์อย่างคุณวินทร์ เลียววาริณ)
ผมเป็นประเภทแรก...
คือคิดยังไงก็เขียนยังงั้นเลย ไม่มีการคำนวณอะไรทั้งสิ้น
ถ้าใครถามว่าคิดพล็อตได้ยังไง เขียนนิยายได้ยังไง
คงต้องตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า
"ไม่รู้สิ อยู่ๆ พล็อตมันก็ตกใส่หัวเองมั้ง"
ทีนี้พอมีคนมาปรึกษาประมาณว่า
"ช่วยเล่าวิธีการแต่งนิยายตั้งแต่ต้นจนจบให้หน่อยได้ไหมครับ"
งานเข้าสิครับพี่น้อง...
ตอนแต่งน่ะไม่ได้คิดอะไรหรอก
แต่พอต้องอธิบายว่าแต่งได้ยังไงนี่ต้องเริ่มคิดแล้ว
ผมเลยต้องขอเอาทฤษฎีวรรณกรรมบางส่วนมาช่วยเสริม
เพื่ออธิบายและวิเคราะห์วิธีการแต่งนิยายของผม
2. ปมขัดแย้งของเรื่อง
นักวิชาการด้านวรรณคดีท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า
(ดังเหมือนกันแต่จำชื่อไม่ได้แล้ว ไว้จำชื่อได้จะบอกทีหลังนะครับ)
"เทพปกรณัมของชาติดใก็ตามล้วนเกิดจากภาวะของคู่ขัดแย้ง"
ศาสนาคริสต์คือปมขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า (มนุษย์ไม่เชื่อฟังพระเจ้า)
เทพปกรณัมของฮินดูเกิดจากปมขัดแย้งระหว่าง ธรรมะและอธรรม
(พระวิษณุต้องอวตารลงมาปราบมารทุกที)
เทพปกรณัมของกรีกก็เป็นปมขัดแย้งระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า
(แต่ปัญหาส่วนใหญ่เทพเจ้าจะเป็นคนก่อ
เพราะเทพเจ้ากรีกเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ามนุษย์เท่าไรหรอก)
ศาสนาพุทธของเราคือปมขัดแย้งระหว่างทุกข์และการดับทุกข์
นักวรรณคดีบางท่านถึงกับลงความเห็นว่า
"หากไม่มีความขัดแย้งก็ไม่มีโครงเรื่อง(พล็อต)"
ลองคิดดูว่าถ้า สาวน้อยคนหนึ่ง ทั้งสวย ทั้งรวย ครอบครัวอบอุ่น
พบรักที่บริสุทธิ์ ได้แต่งงานกับชายที่ตนรัก และมีความสุขตั้งแต่ต้นจนจบ
ยังงี้ก็เหมือนไม่มีโครงเรื่องนั่นแหละ
ความขัดแย้งนั้นแบ่งได้สาม 3 ประเภทด้วยกันคือ
1. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (man against man)
2. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (man against environment)
3. ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับตนเอง (man against himself)
ความขัดแย้งแบบที่หนึ่งเช่น
การต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม สงครามการฆ่าฟันกัน
นิยายแฟนตาซีที่พระเอกต้องสู้กับศัตรู
(ต่อให้ศัตรูจะเป็นอสูรกาย ก็จัดเป็นแบบที่หนึ่ง
เพราะอสูรในนิยายก็เหมือนตัวแทนของมนุษย์ที่ชั่วร้าย)
แบบที่สองก็เช่น
หนังเกี่ยวกับภัยธรรมชาติที่พระเอกต้องหนีเอาตัวรอดจากภัยพิบัติ
(จะภูเขาไฟระเบิด น้ำท่วมโลก แผ่นดินไหว หรืออะไรก็ตาม)
รวมถึงหนังที่พระเอกถูกกดดันจากสังคม
โดนบีบคั้นจากชะตากรรมอันโหดร้าย
อย่างเรื่อง "คำพิพากษา" ของชาติ กอบจิตติ
หรือ "คนนอก" ของอัลแบร์ กามู
แบบที่สามเช่น
ความขัดแย้งภายในใจของตัวเอก
เช่นพระเอกไปหลงรักแฟนของเพื่อนสนิท
แล้วพระเอกต้องเลือกระหว่าง "คุณธรรม" คือไม่ทรยศเพื่อน
หรือจะปล่อยใจไปตาม "ความรัก" ที่เป็นกิเลส
แล้วแย่งผู้หญิงคนนั้นมาจากเพื่อน
รวมถึงปมจากสภาร่างกายของพระเอก
เช่นพระเอกเป็นคนพิการและต้องต่อสู้กับความพิการเป็นต้น
ในความเป็นจริงนิยายเรื่องหนึ่งจะมีปมขัดแย้งมากกว่าหนึ่งปมก็ได้
เช่นเรื่องไททานิกนั้น
มีปมหลักคือการเอาตัวรอดจากอุบิตเหตุเรือล่ม (แบบที่สอง)
แต่พี่ฮอลลีวู้ดกลัวหนังจะไม่มันเลยต้องใส่ตัวร้าย
เอาไว้คอยไล่ล่าพระเอกกับนางเอก (แบบที่หนึ่ง)
หรืออย่างลอร์ดออฟเดอะริงนั้น
ตัวเอกต้องเอาแหวนไปทิ้งที่ปากปล่องภูเขาไฟ
เพื่อกำจัดอสูรร้าย (จำชื่อไม่ได้ละ) นำสันติสุขกลับมาสู่มิดเดิลเอิร์ธ (แบบที่หนึ่ง)
แต่โฟรโดก็ต้องต่อสู้กับจิตใจตัวเองเพื่อไม่ให้แพ้อำนาจของแหวนด้วย
(แบบที่3) เป็นต้น
ที่ผมต้องยกทฤษฎีเกี่ยวกับปมขัดแย้ง ก็เพื่อให้เพื่อนๆ ได้ลองวิเคราะห์
นิยาย หนัง หรือการ์ตูนตัวเองชอบดูว่าในนั้นมีปมอะไรบ้าง
แต่ที่จริงแล้วปมขัดแย้งไม่ได้มีอยู่แต่ในเรื่องแต่งเท่านั้น
เพราะพวกมันอยู่ในทุกอณูของชีวิตเรานี่เอง
อย่างวันก่อนมีเพื่อนมาบ่นทำนองว่า
"ไม่อยากมีลูก เพราะเด็กสมัยนี้ทำตัวไม่น่ารักเหมือนเด็กๆ
ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก แล้วแทนที่พ่อแม่จะอบรม ก็กลับชมว่าลูกฉันเก่ง"
ปมขัดแย้งคือ "เพื่อนไม่อยากมีลูกเพราะเด็กสมัยนี้ทำตัวไม่น่ารักเหมือนเด็ก"
(เป็นแบบที่สอง คือความขัดแย้งระหว่างคนกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป)
แค่นี้ผมก็เอามาแต่งเป็นเรื่องสั้นได้แล้วว่า...
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
(เรื่องเริ่มที่ "นก" กับ "ต่อ" นั่งคุยกัน)
นก: นี่ต่อ ฉันไม่อยากมีลูกเลย
ต่อ: ทำไมล่ะนก
นก: เธอไม่เห็นหรือว่าเด็กสมัยนี้นะโตเกินวัย
วันก่อนฉันเห็นเด็กห้าขวบยืนเถียงพ่อแม่ฉอดๆๆ
นี่ถ้าเป็นลูกฉันล่ะก็โดนตบหัวคว่ำไปแล้ว
ต่อ: ถ้าเราเลี้ยงลูกดีๆ ก็ไม่เป็นไรหรอกมั้ง
นก: ไม่ใช่แค่นั้นนะ บางคนยังเป็น "เด็กหญิง" อยู่เลยก็มีลูกซะแล้ว
วันก่อนฉันเห็นข่าวเด็กนักเรียน 9 คน รุมโซมนักเรียนหญิง
นี่ถ้าลูกฉันต้องไปอยู่ในสังคมแบบนั้นก็ไม่รู้จะเป็นไงบ้าง
พวกสื่อเดี๋ยวนี้ก็น่ากลัว... ลูกฉันต้องเสียคนแน่ๆ เลย
(ต่อกับนกคุยกันทำนองนี้อีกสักพักหนึ่ง
ก็มีเสียงประชาสัมพันธ์จากภายในโรงเรียนดังขึ้น)
เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์: เด็กชายต่อ เด็กหญิงนก
ผู้ปกครองมารอรับที่หน้าโรงเรียนแล้วนะคะ
(เรื่องหักมุมตรงที่ ต่อ กับ นก เป็นแค่เด็กป.1!
และเด็กหญิงนก คงไม่เข้าใจเรื่องที่ตัวเองพูดหรอก
ก็แค่จำคำพูดของพวกผู้ใหญ่มาพูดเท่านั้นเอง - พูดง่ายๆ คือแก่แดด!)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------
ด้วยปมแบบนี้ก็เขียนเป็นเรื่องสั้นได้แล้วหนึ่งเรื่อง...
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่ามี "ปม" เท่ากับมี "พล็อต"
นิยายก็คือเรื่องที่มี "พล็อตหลัก" 1-2 พล็อต (หรืออาจจะมากกว่า)
และ "พล็อตรอง" อีกหลายๆ พล็อตมารวมกัน
และ "ปม" ที่เป็นวัตถุดิบในการเขียนนิยายก็มีอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา
"ฝนตกรถติดไปโรงเรียนสายโดนครูตี" ก็คือปม...
"แอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งแต่ไม่รู้จะจีบยังไง" นี่ก็คือปม...
ข่าวต่างๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ก็เป็นปม...
หากมองได้แบบนี้แล้ว เราก็จะมีพล็อตมากมายจนหยิบมาเขียนได้ไม่หมดไม่สิ้น
แต่การจะเอาพล็อตเล็กๆ หลายๆ พล็อตมาปะติดปะต่อยังไงให้เป็นเรื่องนั้น
ผมจะขอเอาไว้เล่าต่อในคาบต่อไปนะครับ ^^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น