ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #4 : ลืมตาตื่น

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 660
      0
      6 มิ.ย. 53


                    ตอนเด็กๆ ผมเคยวิ่งเล่นกับเหล่าภูตตัวจิ๋วที่สวนหลังบ้าน...

                    บ้านของผมไม่ได้มีพื้นที่มากมาย เป็นบ้านสองชั้นที่มีสองห้องนอนสองห้องน้ำ และด้านหลังก็มีสวนเล็กๆ ซึ่งคุณแม่ปลูกต้นไม้และดอกไม้ไว้หลายชนิดขึ้นเรียงรายกันอย่างสวยงาม

                    “สวัสดีจ้ะ พวกฉันคือแฟรี่นะ” เหล่าภูตตัวเท่าดอกไม้ที่มีปีกเหมือนนางฟ้ายิ้มทักทายผม

                    “สวัสดี พวกเราคือโนม” เหล่าภูตที่ตัวสูงเพียงหนึ่งคืบสวมหมวกและเสื้อผ้าสีเขียวก็กล่าวกับผม

                    เวลาที่ผมอยู่บ้านคนเดียว สวนดอกไม้เล็กๆ นี้ก็จะเป็นสรวงสวรรค์ส่วนตัวของผม ผมจะเล่นกับเพื่อนๆ ในจินตนาการจนลืมเวลา รู้ตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว และคุณแม่ก็จะเรียกเข้าบ้าน

                   
    แต่ถ้าหากเพื่อนๆ เหล่านั้นไม่ได้เป็นเพียงจินตนาการที่ผมสร้างขึ้นล่ะ...

     

                    เบื้องหน้าผมตอนนี้ไม่ใช่เหล่าภูตตัวจิ๋วที่ยิ้มแย้มและเป็นมิตรเฉกเช่นในวัยเด็ก หากแต่เป็นยักษ์ที่มีรูปร่างใหญ่โตและโหดเหี้ยม...

                    ร่างของมันซึ่งดูดกลืนอาคารเรียนเข้าไปนั้น มีขนาดมหึมาสูงเทียมฟ้า จนผมต้องแหงนหน้ามอง ใบหน้าอันเกรี้ยวกราดของมัน บอกให้รู้ว่ามันไม่ได้เห็นเราเป็นเพื่อนเล่น หากแต่เป็นมดหรือแมลงวันที่สร้างความรำคาญให้มัน

                    ที่อยู่ข้างๆ ผมนั้น คือเหล่าสาวน้อยจอมเวทย์ซึ่งอ้างว่ามาจากดินแดนแห่งเทพปกรณัม (แล้วมันที่ไหนกันล่ะ?) พวกเขามีเวทย์มนต์อันเหลือเชื่อซึ่งผมก็ได้ประจักษ์มาแล้วกับตา และที่ลืมไม่ได้ก็คืออ.ฉัตรชัย ซึ่งบาดเจ็บสาหัสเพราะปกป้องผม...

                    “ลุยล่ะนะ!” ฟริกก้ากู่ร้องอย่างหึกเหิม เธอกระโดดพรวดเดียวทะยานขึ้นไปสูงลิ่ว พร้อมกับปีกสีฟ้าที่ข้อเท้าทั้งสอง

                    เมื่อขึ้นไปประจันหน้ากับฮ์รุงนีร์ นักรบสาวก็ชิงลงมือก่อน ด้วยการชาร์จลูกไฟไว้ที่มือขวาจนมีขนาดใหญ่กว่าร่างของเธอเกือบสามเท่า แล้วซัดใส่เจ้ายักษ์นั่น

                    "เอาไปกินซะ!"



                    “ตูม!”



                    ลูกไฟยักษ์ปะทะกับร่างของรุงนีร์เกิดเป็นเสียงอึกทึก ร่างของซีกขวาของรุงนีร์แหว่งไปส่วนหนึ่ง แต่เจ้ายักษ์กลับทำหน้าเฉย

                    “หึ... แค่นี้เองเรอะ”

                    เพียงครู่เดียวร่างของรุงนีร์ก็ซ่อมแซมตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิม

                    “ไม่ได้ผลหรอก! ร่างของฮ์รุงนีร์เป็นหินและดิน มันสามารถดูดกลืนวัตถุต่างๆ เพื่อซ่อมแซมตัวเองได้” ผมร้องบอกฟริกก้า

                    “งั้นก็ทำลายมันอย่าให้เหลือซากก็สิ้นเรื่อง”

                    ว่าแล้วฟริกก้าก็ลุยต่อทันที โดยไม่ทันฟังผมอธิบายให้จบ

                    “ย้าก!”

                    เธอชาร์จลูกไฟขนาดพอๆ กับเมื่อครู่นี้ที่มือทั้งสองข้าง แล้วระดมยิงใส่รุงนีร์เป็นชุดแบบไม่พักหายใจ ลูกไฟลูกแล้วลูกเล่าพุ่งเข้าปะทะเจ้ายักษ์นั่น เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วท้องฟ้า

                    จากนั้นเธอก็หยุดรวบรวมพลัง สร้างลูกไฟขนาดยักษ์ลูกสุดท้าย แล้วทุ่มใส่รุงนีร์เป็นการปิดฉากการโจมตี



                   
    “บึ้มมม!!”



                    แรงระเบิดทำให้เกิดฝุ่นควันคละคลุ้งไปทั่วบริเวณจนมองไม่เห็นร่างรุงนีร์

                    “หึๆ เป็นไงล่ะ”

                    ฟริกก้าหัวเราะ แต่ขณะที่เธอกำลังชล่าใจอยู่นั่นเอง จู่ๆ ก็มีหินลับมีดก้อนยักษ์พุ่งออกมาจากฝุ่นควันนั่น!

                    “โครม!”

                    หินลับมีดก้อนนั้นโดนฟริกก้าเต็มๆ จนกระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตร ก่อนจะร่วงลงไปกระแทกพื้นพร้อมๆ กันทั้งคนและหิน

                    “ฟริกก้า!” อลิเซียร้องเรียก แต่ก็ไม่มีเสียงขานรับ ร่างของฟริกก้ากระเด็นไปไกลเกินกว่าจะมองเห็นจากจุดที่พวกเราอยู่

                    เมื่อฝุ่นควันจางลงผมก็เห็นเจ้ายักษ์นั่นยืนอยู่โดยที่ไม่มีส่วนใดบุบสลาย มันยืนตระหง่านอยู่กับโล่อันใหญ่โต

                    นั่นมันโล่หินแห่งรุงนีร์... โล่อันแข็งแกร่งที่ทนการโจมตีได้ทุกประเภท!

                    “หึๆ เจ้าพวกมดปลวก จงรับรู้ถึงความไร้พลังของพวกเจ้า แล้วดับดิ้นไปซะ” เจ้ายักษ์คำราม

                    รุงนีร์ซัดก้อนหินใส่ผมและพวกอลิเซีย ทั้งเศษอิฐ เศษหิน และคอนกรีตมากมายถูกโยนใส่ราวกับพายุ นามิกระโดดออกมายืนเบื้องหน้าพวกเรา เธอชักดาบฟันเศษหินเหล่านั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เพื่อปกป้องพวกผม

                    “หึๆ ดิ้นรนกันเข้าไป อย่างพวกเจ้าก็ทำได้แค่นี้แหละ ดูซิว่าจะทนได้ซักกี่น้ำ” เจ้ายักษ์หัวเราะอย่างสะใจ ในขณะที่ระดมขว้างหินติดต่อกันเป็นชุดๆ

                    “โขรกๆ!” ในตอนนั้นอ.ฉัตรชัยก็ไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง

                    “ครูครับ!”

                    ครั้งนี้อาการของอาจารย์หนักกว่าทีแรก เพราะมีเลือดสีดำทะลักออกมากลบปาก ซ้ำดวงตายังเบิกโพลง ไม่ตอบสนองต่อเสียงเรียกของผม

                    ผมจับมืออาจารย์ไว้แน่น ในขณะที่อลิเซียเองได้แต่ก้มหน้ามองด้วยสีหน้าหนักใจ

                    ทันใดนั้นเอง! แรงบีบที่มือของอ.ฉัตรชัยก็หายไป แขนของอาจารย์หมดแรงอ่อนยวบ ดวงตาที่อยู่หลังเลนส์นั้นปิดลงสนิท

                    “ครูครับบบ!!”

                    ผมร้องเรียก แต่ร่างที่เปื้อนเลือดนั้นก็แน่นิ่ง ไม่ตอบอะไรผมทั้งสิ้น

                    หัวผมตื้อไปหมด... รู้สึกตีบตันที่ลำคอและหน้าอก... ไม่จริง! ทำไม!? ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่! ทั้งหมดเป็นแค่ความฝันใช่ไหม! เป็นแค่ฝันร้าย... ใช่! เหมือนกับวันนั้นที่จู่ๆ คุณพ่อก็เดินมาบอกผมว่าแม่ได้จากเราไปแล้ว... ทุกคนกำลังรวมหัวกันหลอกผมอยู่ใช่ไหม! ผมกำลังถูกหลอก... ใช่แล้ว! ทั้งหมดคือฝันร้าย! ถ้าอย่างงั้นก็รีบตื่นซะทีสิ!!

                    “งั้นก็รีบตื่นได้แล้ว เจ้างั่ง!”

                    ในความสับสนและสิ้นหวัง ผมได้ยินเสียงๆ หนึ่ง... เสียงนี้มัน..เจ้าเขียว!

                    ผมหันมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นเจ้าเขียว

                    “เจ้าเขียว... นี่แกอยู่ไหน”

                    “เจ้าโง่! ไม่ต้องมามองหาข้า หลับตาซะ!”

                    ผมหลับตาตามที่เจ้าเขียวบอก

                    “เจ้าเห็นอะไรไหม”

                    จะเห็นได้ไง... หลับตาแล้วก็มีแต่ความมืดมิด แต่เอ๊ะ..เดี๋ยวก่อน นั่นมันเด็กนี่นา มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องเพียงลำพัง...

                    “เห็นแล้วใช่ไหม... วันนั้นเมื่อแปดปีก่อน เด็กคนหนึ่งได้ขังตัวเองอยู่ในห้องอันมืดมิด และยังไม่ตื่นจากฝันร้ายจวบจนทุกวันนี้”

                    เด็กคนนั้นคือ... ฉัน!?

                    “ใช่.. และนับจากวันนั้นเขาได้สูญเสียอะไรไปอีกมากมาย...”

                    สูญเสียเหรอ... จริงสินะ..ทั้งความฝัน... ทั้งเทพปรณัม... เหล่าภูตตัวน้อยๆ แฟรี่... โนม...

                    ต่อมาผมก็เห็นภาพเด็กคนนั้นเดินก้มหน้าด้วยแววตาที่ปราศจากชีวิตชีวา มีเพื่อนๆ ในวัยเดียวกันเข้ามารุมรังแก จากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาปกป้องผม อลิสานั่นเอง...

                    อลิสา... เธอพยายามปกป้องผมมาตลอด 8 ปี แต่ผมกลับเอาแต่ก้มหน้า ยอมแพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่คิดที่จะต่อสู้กับอะไรเลย ไม่คิดที่จะลุกขึ้นยืนหยัดและทำอะไรเพื่อตัวเองหรือใครสักคน...

                    จริงสินะ... เทพปกรณัมไม่ได้ทอดทิ้งผม ผมต่างหากที่ทอดทิ้งเทพปกรณัม ทอดทิ้งความฝัน และความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อต่อสู้กับชะตากรรมของตัวเอง...!



                    ในตอนนั้นเอง.. ภาพเด็กน้อยที่ขังตัวเองอยู่ในห้องมืดๆ นั้นก็เปลี่ยนไป ประตูห้องเปิดออก โลกของเด็กคนนั้นพลันสว่างจ้าจนแสบตา...

                    เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งสีสันของทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมเห็นก็ดูสดใสเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงราวกับว่าโลกก่อนหน้านี้ถูกย้อมด้วยสีเทามาตลอด

                    ผมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง ก็เห็นนามิยังคงปัดป้องการโจมตีของรุงนีร์อย่างตึงมือโดยไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว ส่วนอลิเซียก็กางข่ายมนต์ไว้เพื่อปกป้องเมือง ในขณะที่ฟริกก้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรไม่มีใครรู้

                    ในสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ยังพอขยับได้ก็มีแต่ผมเท่านั้น... แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะ

                    “ต้องการให้เราช่วยไหม" เสียงเล็กๆ ดังขึ้น

                    ทันใดนั้นเหล่านางฟ้าตัวน้อยๆ ก็ปรากฏกายขึ้นรอบๆ ตัวผม และเหล่าภูตตัวจิ๋วก็กระโดดออกมาจากพื้นดิน

                    “พวกฉันคือแฟรี่”

                    "ส่วนพวกเราคือโนม"

                    “แฟรี่! โนม! พวกนายไม่ได้ทิ้งฉันไปแล้วเรอะ”

                    “พวกเราอยู่ข้างๆ เธอมาตลอด เพียงแต่เธอเลือกที่จะปิดใจของตัวเอง เราจึงไม่สามารถติดต่อกับเธอได้”

                    “บัดนี้พวกเราต้องการพลังของเธอ... และเราก็จะเป็นพลังให้เธอเช่นกัน ก่อนอื่นเธอลองจินตนาการถึงรูปร่างอาวุธที่อยู่ในใจเธอดูสิ”

                    ผมทำตามที่พวกภูตบอก พอหลับตาลง ผมก็เห็นภาพตัวเองกระชับคันธนูที่เรียวยาว...

                    ทันใดนั้นก็ที่มือซ้ายของผมก็ปรากฏคันศรสีไม้โอ๊ค เป็นคันศรที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่น มีพลังงานศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านออกมา

                    “พวกเราแฟรี่ขอมอบคันศรอันแข็งแกร่งที่ทำจากกิ่งของพฤษชาติแห่งชีวิตแก่เธอ”

                    และในมือขวาก็ปรากฏลูกศรสีทองที่มีประกายวาววับ

                    “พวกเราโนมขอมอบลูกศรทองคำที่ทำจากสินแร่ทองคำที่ดีที่สุดแก่เจ้า”

                    ผมไม่เคยหัดยิงธนูมาก่อนในชีวิต และไม่รู้ว่าทำไมผมจึงนึกถึงมันได้ แต่เมื่อมีลูกธนูอยู่ในมือ ร่างกายของผมกลับลุกขึ้นยืนตรงและง้างคันศรได้เองโดยอัตโนมัติ ราวกับว่าผมเคยทำเช่นนี้มาก่อน

                    ในเมื่อมีธนูอยู่ในมือ ผมก็รู้ว่าจะต้องเล็งไปที่ไหน

                    ตามเทพปกรณัมยุโรปเหนือ จุดอ่อนของฮ์รุงนีร์คือหัวใจแห่งรุงนีร์... มันคือก้อนหินที่มีสัญลักษณ์สามง่ามซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพลังชีวิตทั้งหมดของยักษ์ตนนี้ หากทำลายมันได้รุงนีร์ก็จะไม่สามารถฟื้นตัวได้อีก!

    ... ... ...

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×