ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #29 : รุทร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 174
      0
      9 ต.ค. 53


                    "แกเป็นใคร!" ไลแซนเดอร์ชักดาบออกมา

                    “ชื่อของข้าคือรุทร”

                    ชายคนนั้นไม่ได้สนใจไลแซนเดอร์ นัยน์ตาอันคมกริบของเขามองมาที่ผม

                    ความรู้สึกบางอย่างบอกกับผมว่าผมรู้จักชายคนนี้ดี ใช่แล้ว เขาคือคนที่ปรากฏตัวในความฝันคืนแรกที่ผมมาเยือนดินแดนแห่งเทพปกรณัม

                    ทันใดนั้นก็มีเสียงคล้ายแก้วแตกดังอยู่ในอกผม ก่อนที่ศรซึ่งเสียบอยู่ที่อกผมจะสลายไป

                    “ถ้าข้าไม่ทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งความมืดในตัวเจ้าละก็ อีกสักพักมันคงกลืนกินตัวเจ้าแน่”

                    ศรเวทย์ของรุทรไม่ได้ทำอันตรายร่างเนื้อ แต่ทำลายเฉพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความมืดในตัวผมงั้นเหรอ...

                    ถ้างั้น...

                    ผมหันไปทางราชาโอบีรอน ศรเวทย์ที่เสียบร่างโอบีรอนสลายไปแล้วก็จริง แต่ท่าทางเขาดูแปลกๆ

                    ดูเหมือนร่างกายของโอบีรอนจะดูเลือนลางลง

                    “เวลาของข้ามาถึงแล้วสินะ” โอบีรอนเอ่ยขึ้น

                    “ไม่นะโอบีรอน!” ไททาเนียโผเข้ากอดร่างของราชาแห่งเอลฟ์ซึ่งค่อยๆ โปร่งแสงขึ้นทีละน้อย

                    “ขอโทษด้วยนะไททาเนีย ข้าช่างเป็นราชาที่แย่จริงๆ จึงไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้เลย”

                    ราชินีเอลฟ์ส่ายหน้า

                    “ไม่หรอก ท่านเสียสละเพื่อข้ามาตลอด หากไม่ได้ท่านข้าคงไม่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้หรอก” สองมือที่จับชายเสื้อของโอบีรอนไว้สั่นเทา

                    ร่างที่เกือบจะโปร่งใสของโอบีรอนหลุดจากพันธนาการของรากไม้ เขาลูบหัวไททาเนียแล้วยิ้ม

                    “ดีใจจริงๆ ที่ได้เห็นหน้าเจ้าอีกเป็นครั้งสุดท้าย”

                    จากนั้นราชาเอลฟ์ก็หันมาทางพวกเรา

                    “พวกเจ้าคือรุทรกับกฤษณ์ใช่ไหม ขอบคุณนะที่ช่วยให้ข้าได้ตายในฐานะเอลฟ์ ไม่ใช่ในฐานะปีศาจ”

                    ว่าแล้วร่างของเขาก็ปริร้าว ก่อนจะแตกสลายกลายเป็นแสงเล็กๆ คล้ายสะเก็ดดาวบนฟ้า

                    “ท่านโอบีรอน!” ไลแซนเดอร์ร้องเรียก

                    "ขอบโทษด้วยนะไลแซนเดอร์ที่ต้องให้เจ้าแบกรับภาระอันหนักอึ้ง เจ้าทำได้ดีมาก"

                    เสียงสุดท้ายของราชาโอบีรอนดังก้องอยู่ในห้อง ก่อนจะจากไปโดยไม่ทิ้งอะไรไว้แม้แต่ผมสักเส้น

                    ท่ามกลางความโศกเศร้าของเหล่าภูต แม้ผมจะไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ที่อกกลับร้อนวูบขึ้นมาทันที

                    ผมตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อรุทร

                    “นี่มันหมายความว่าไง เจ้าทำอะไรกับราชาโอบีรอน!”

                    ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร แต่กลับยิ้มที่มุมปาก ซึ่งทำให้ผมรู้สึกเดือดดาลยิ่งขึ้น

                    “ใจเย็นไว้กฤษณ์ นี่ไม่ใช่ความผิดของชายผู้นั้นหรอก” เสียงนั้นมาจากท่านผู้เฒ่ารัมเปล

                    "กายของพวกเราที่อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งเทพปกรณัมนั้นเกิดจากวิญญาณล้วนๆ ซึ่งไม่เหมือนกายของมนุษย์อย่างเจ้า ซึ่งเป็นกายหยาบที่เกิดจากธาตุสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ"

                    "ท่านโอบีอรนถูกความมืดครอบงำมานาน ทำให้สมดุลของวิญญาณพังทลาย และยังคงร่างอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากเมล็ดพันธุ์แห่งความมืด เมื่อแหล่งพลังงานถูกทำลายจึงไม่สภาคงสภาพไว้ได้อีกต่อไป"

                    "แม้ท่านจะได้สติขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งเพราะเจ้าช่วยเป็นสื่อ ทำให้ท่านโอบีรอนได้ยินเสียงเรียกของท่านไททาเนียก็จริง แต่ถ้าไม่ทำลายเมล็ดพันธุ์ฯละก็ อีกสักพักมันก็จะกลับมาครอบงำร่างกายและจิตใจของท่านโอบีรอนอีกอยู่ดี" ผู้เฒ่ารัมเปลอธิบาย

                    “ถ้างั้นมันอาจจะมีวิธีอื่นที่จะช่วยราชาโอบีรอนโดยไม่ต้องทำลายเมล็ดพันธุ์แห่งความมืดก็ได้” ผมแย้ง

                    เมื่อพูดเสร็จผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะ มันมาจากชายชุดดำนั่นเอง

                    “อ่อนหัดจริงๆ นะกฤษณ์ เจ้าคิดว่าตัวเองจะช่วยทุกคนได้โดยที่ไม่มีการสูญเสียอย่างงั้นเหรอ” แววตาของเขายิ้มหยันเหมือนเวลาผู้ใหญ่ได้ยินเด็กถามคำถามแบบเด็กๆ

                    “มันก็...”

                    “ถ้างั้นทำไมตอนนั้นเจ้าถึงแผลงศรใส่รุงนีร์ล่ะ”

                    คำพูดนั้นทำเอาผมสะอึก เหมือนมีก้อนตะกั่วอยู่ที่คอ

                    “ความคิดอันสวยหรูของเจ้ามันก็เป็นได้แค่อุดมคติ... แท้จริงแล้วเมื่อเจ้าเลือกจะปกป้องใครคนหนึ่ง เจ้าก็อาจจะต้องทำร้ายใครอีกมากมาย นี่ต่างหากคือสัจธรรมของโลกใบนี้”

                    “ธรรมะและอธรรมมันมีอยู่แต่ในเทพนิยายของมนุษย์เท่านั้น เจ้าคิดว่าปีศาจคือสิ่งชั่วร้าย และการฆ่าปีศาจไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายอย่างงั้นหรือ”

                    ผมอ้ำอึ้ง ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าความคิดเหล่านั้นมาจากการฟังเทพนิยายที่มีคนแต่งขึ้น โดยไม่เคยพิจารณาว่าตนเห็นด้วยจากใจจริงหรือเปล่า

                    "ความดีและความชั่วเป็นสิ่งที่มนุษย์สมมุติเรียกขึ้น ใครกันที่กำหนดว่าสีดำคือความชั่วและสีขาวคือความดี"

                    เมื่อเห็นผมเงียบ รุทรก็ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

                    “หึๆ และที่สำคัญเจ้าไม่ควรจะต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้วด้วย... นี่เจ้าไม่ห่วงแม่สาวที่มากับเจ้าเลยเรอะ”

                    หรือว่า... อลิเซีย!

                    "จริงด้วย อลิเซียกำลังอยู่ในอันตราย!" ไลแซนเดอร์ว่า

                    “รับนี่ไว้ซะ” รุทรโยนคันธนูสีทองอร่ามให้ผม “แล้วพบกัน”

                    “เดี๋ยก่อนสิ เจ้าเป็นใครกันแน่” ผมถาม

                    รุทรหันมา ความรู้สึกบางอย่างอัดแน่นอยู่ในสีหน้าที่เรียบเฉยของเขา

                    “ข้าคือผู้ที่มีชะตาเกี่ยวพันกับเจ้าอย่างลึกซึ้งและยาวนานเกินกว่าที่เจ้าจะคิดจินตนการได้”

                    พูดเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องแล้วหายตัวไป

                    “กฤษณ์ เราต้องรีบไปช่วยอลิเซีย!” ไลแซนเดอร์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

     

                    หลังจากนั้นไลแซนเดอร์ก็เล่าสถานการณ์ให้ฟังโดยย่อ และพาพวกเราออกมาหน้าปราสาทอลัเบอร์ทาร์

                    “เราจะไปกับท่านด้วย” ไททาเนียเอ่ยขึ้น สีหน้าของราชินีเอลฟ์ในตอนนี้ดูเด็ดเดี่ยว ไม่เหลือคราบความโศกเศร้าเมื่อครู่ให้เห็น

                    เมื่อออกมานอกปราสาทผมก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดของดินแดนแห่งภูต

                    ต้นไม้ทุกต้นในป่าเปล่งประกายเจิดจ้ากว่าที่เคย แสงสีทองเล็กๆ นับอนันต์ระยับพราว เริงระบำไปทั่วทุกแห่งหน ดูราวกับป่าทั้งป่ากำลังต้อนรับการกลับมาของราชินีด้วยความยินดียิ่ง

                    ไททาเนียคือร่างแยกของพฤกษชาติแห่งชีวิต เมื่อนางกลับมาแข็งแรงพื้นป่าแห่งอาณาจักรวูดแลนด์ก็เลยกลับฟื้นขึ้นมาอีกครั้งอย่างงั้นหรือ...



                    แล้วจู่ๆ ก็มีสายลมแรงพัดวูบ จนกิ่งไม้โค้งงอ เมื่อผมเงยหน้าขึ้น จึงเห็นเงาสีดำทะมึนอยู่บนท้องฟ้า

                    “แฟรี่ดราก้อน!” ไลแซนเดอร์อุทาน “ไม่น่าเชื่อ ข้านึกว่ามันตายหมดสิ้นไปแล้ว”

                    เจ้ามังกรยักษ์นั้นมีเกล็ดและปีกเป็นสีรุ้ง เขาทั้งสองบนหัวม้วนงอ มันบินลงมาหมอบตรงหน้าราชินีไททาเนีย

                    “ไปกันเถอะ” ไททาเนียว่า

                    และขณะที่ผมเดินตามหลังไลแซนเดอร์ขึ้นไปบนหลังของแฟรี่ดราก้อนนั้นเองก็มีเสียงห้าวๆ ดังขึ้น

                    “นี่พวกเจ้าจะไปไหนกัน!”

                    เมื่อผมหันไปก็เห็นสาวน้อยสองคนที่ตนรู้จักดี

                    ฟริกก้ากับนามิ!

                    "งานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่อย่างงี้จะขาดข้าไปได้ยังไง!"

                    จอมเวทย์สาวในชุดเกราะสีเงินยิ้มร่า

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอต่อไปครับ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×