ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Divine Epic (มหากาพย์เทพประยุทธ์)

    ลำดับตอนที่ #16 : อาณาจักรวูดแลนด์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 340
      0
      19 ก.ค. 53


                    เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า ต้นไม้ก็ค่อยๆ หนาทึบขึ้น มีพืชพันธุ์นานาซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งเห็ดที่ใหญ่โตพอให้คนเข้าไปอยู่ได้ ทั้งต้นไม้ที่มีดอกเรืองแสงห้อยย้อยลงมาเป็นช่อระย้าหลากสี นอกจากนั้นยังมีหิ่งห้อยส่องแสงระยิบระยับ ทำให้ภายในป่าสว่างสดใสราวกับงานเลี้ยงในห้องบอลรูม

                    ชั่วขณะนั้นผมรู้สึกราวกับตัวเองได้หลุดเข้ามายังโลกแห่งเทพนิยาย จนลืมความรู้สึกคุกคามเมื่อครู่นี้ไปหมดสิ้น (อ้าว ก็ที่นี่มันดินแดนแห่งเทพนิยายนี่นา!)

                    “กฤษณ์!” ขณะนั้นผมก็ได้ยินเสียงร้องเรียก

                    “แฟรี่! โนม!” เหล่าภูตตัวน้อยทั้งที่มีปีก ทั้งที่เดินดินต่างออกมาทักทาย

                    “เรารออยู่นานแล้ว ไปหาท่านผู้เฒ่ารัมเปลกันเถอะ”

                    ว่าแล้วเหล่าภูตตัวจิ๋วก็พาพวกเราไปหา "ผู้เฒ่ารัมเปล" ระหว่างทางพวกเขาเล่าให้ฟังว่า ผู้เฒ่ารัมเปลนั้นแม้จะไม่ได้มีตำแหน่งเป็นผู้ปกครองอาณาจักรวูดแลนด์ แต่ก็เป็นภูตที่อาวุโสที่สุดในอาณาจักรแห่งนี้ และเป็นคนส่งแฟรี่ไปเรียกผมและอลิเซียมาจากศาสนจักรจอมเวทย์

                    เกือบหนึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงที่โล่งกว้างกลางป่า ซึ่งมีต้นไม้ที่มีลำต้นใหญ่โตและสูงเทียมเมฆ จนแม้เงยหน้าขึ้นไปก็ยังมองไม่เห็นยอด บนรากอันมหึมาที่เลื้อยทบกันไปมาของต้นไม้ยักษ์นั้น มีโนมซึ่งไว้เคราสีขาวรุงรังนั่งอยู่

                    “ข้าอลิเซียและกฤษณ์จากศาสนจักรจอมเวทย์ ขอคารวะท่านผู้เฒ่า” อลิเซียโค้งศีรษะให้ท่านผู้เฒ่า ผมจึงทำตาม

                    “ขอบใจพวกท่านมากที่อุตส่าห์มากัน ข้ารัมเปลยินดีต้อนรับเหล่าจอมเวทย์แห่งศาสนจักรฯ” ท่านผู้เฒ่าซึ่งตัวสูงเพียงหัวเขายิ้มทักทาย “แล้วแม่หนูคนนั้นล่ะ”

                    “เด็กคนนี้ชื่อเอล์ม เธอเพิ่งถูกพวกพรายน้ำจู่โจมที่หน้าทะเลสาบเกรทเลค เลยพามาด้วยค่ะ”

                    “หืม ที่ทะเลสาบเกรทเลคน่ะเรอะ ทำไมข้าไม่เคยเห็นเจ้าเลยล่ะ” ผู้เฒ่าโนมจ้องเอล์มเขม็ง

                    เด็กน้อยหลบไปอยู่หลังอลิเซีย ตัวสั่นเหมือนลูกนก

                    “เด็กคนนี้ไม่มีอันตรายอะไรหรอกครับ ข้าขอรับประกันเอง” ผมเกรงว่าเธอจะขวัญกระเจิงเสียก่อนจึงรีบออกหน้ารับรอง

                    ผู้เฒ่ารัมเปลมองผมอยู่ครู่หนึ่งจึงหัวเราะ

                    “เจ้าคือกฤษณ์ใช่ไหม เข้ามานี่สิ”

                    ผมเดินเข้าไปใกล้ๆ ท่านผู้เฒ่าซึ่งนั่งอยู่บนรากไม้ใหญ่ รู้สึกได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในนั้น เป็นพลังอันศักดิ์สิทธิ์คล้ายๆ กับที่พวยพุ่งออกมาจากคริสตัลแห่งชีวิตที่อยู่ในศาสนจักรจอมเวทย์

                    “ลองสัมผัสดูสิ” ท่านผู้เฒ่าชี้ไปที่รากของมัน

                    ผมยกมือขึ้นแตะรากสีน้ำตาลเข้มอันใหญ่โต พริบตานั้นใจของผมก็เปิดออกกว้าง ราวกับได้รู้เห็นผืนป่าทั้งหมดในอาณาจักรวูดแลนด์ แต่ว่านั่นมัน...!

                    “ป่า... ผืนป่าแห่งนี้กำลังจะตาย... หรือครับ” ผมเอ่ยออกมาไม่ค่อยเต็มเสียงนัก

                    “ใช่... ต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าคือ ‘พฤกษชาติแห่งชีวิต’ มันเป็นแหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในป่าแห่งนี้ เช่นเดียวกับที่ ‘คริสตัลแห่งชีวิต’ ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงสรรพสิ่งในศาสนจักรจอมเวทย์ และตอนนี้มันกำลังอ่อนแรงลงทุกวัน”

    [พฤกษชาติแห่งชีวิตของอาณาจักวูดแลนด์กับ อิกดราซิลแห่งอาณาจักรนอร์สการ์ดเป็นคนละต้นกัน]

                    ขณะที่ใจของผมเชื่อมต่อกับพฤกษชาติแห่งชีวิตนั้น ผมมองเห็นอะไรมากกว่านั้น และความจริงนั้นก็ทำให้ผมใจหายวาบ

                    “ที่มันอ่อนแรงลงทุกวันก็เพราะฝีมือมนุษย์... อย่างนั้นสินะครับ”

                    ผมเห็นนิมิตเป็นภาพไม้ใหญ่มากมายถูกหักโค่น ถูกเผาทำลาย และทุกครั้งที่ธรรมชาติถูกทำลายพลังงานของพฤกษชาติแห่งชีวิตก็จะลดลงฮวบฮาบ

                    ผู้เฒ่ารัมเปลยิ้มปลอบผม “ถูกแล้วล่ะ พฤกษชาติแห่งชีวิตกำลังอ่อนแอลงเพราะธรรมชาติถูกทำลาย... เจ้าคิดว่าดินแดนแห่งเทพปกรณัมนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ... แท้จริงมันก็คือมิติที่ซ้อนทับอยู่กับโลกมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ควานหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาด้วยกล้องโทรทัศน์ ด้วยยานอวกาศ โดยไม่เคยนึกเอะใจเลยว่า พวกเราอยู่ใกล้แค่นี้เอง หากแต่ต้องสัมผัสด้วยจิตใจที่ละเอียดอ่อนและสะอาดบริสุทธิ์จึงจะมองเห็น”

                    “โลกมนุษย์และดินแดนแห่งเทพปกรณัมนั้นเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งมานับแต่ โบราณกาล ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยเคารพบูชาเทพเจ้าที่สิงสถิตอยู่ตามธรรมชาติ ทั้งในป่าเขาและท้องทะเล จึงแบ่งผืนดินผืนน้ำอาศัยร่วมกันกับสรรพชีวิตอย่างกลมกลืน เทพเจ้าเองก็คอยอำนวยพรคุ้มครองมนุษย์จากภยันตรายนานัปการ

                    "แต่บัดนี้มนุษย์กลับลืมเลือนเทพเจ้าเหล่านั้น แล้วอหังการตั้งตนเองเป็นพระเจ้า จัดการกับโลกเสียเอง สมดุลแห่งธรรมชาติจึงพังทลาย พวกเราที่ดินแดนแห่งเทพปกรณัต่างอ่อนพลังลง แม้อยากจะช่วยมนุษย์เพียงไร ก็ไม่อาจฝืนต้านธรรมชาติกำลังพังพินาศนี้ได้ เจ้าเองก็คงจะเห็นแล้วว่าช่วงสิบกว่าปีมานี้ธรรมชาติวิปริตเพียงใด ทั้งแผ่นดินไหว พายุไต้ฝุ่น ภูเขาไฟระเบิด และคลื่นยักษ์”

                    ผมได้แต่ก้มหน้า เพราะไม่อาจหนีความรับผิดชอบในฐานะที่เป็น “มนุษย์” คนหนึ่งได้

                    “แต่ว่านะกฤษณ์ นั่นไม่ใช่ภาระของเจ้าในตอนนี้หรอก” ท่านผู้เฒ่าพูดกับผมอย่างอ่อนโยน “พวกเราเพียงแต่อ่อนแอลงชั่วคราวเท่านั้น ทั้งธรรมชาติและดินแดนแห่งเทพปกรณัมยังไม่ถึงคราวล่มสลายหรอก มนุษย์อาจอยู่ไม่ได้หากธรรมชาติวิปริต แต่ธรรมชาติจะดำรงอยู่ต่อไปแม้มนุษย์จะสูญพันธุ์ก็ตาม พวกเราเพียงแต่รู้สึกสมเพชที่เห็นมนุษย์กำลังพาตัวเองไปสู่หายนะเพราะความ ไม่รู้ก็เท่านั้นเอง” ผู้เฒ่ารัมเปลว่า ก่อนจะพาผมเดินเข้าไปในโพรงใต้พฤกษชาติแห่งชีวิต

                    ภายในโพรงนั้นผมก็เห็นผลึกคริสตัลขนาดใหญ่ ในนั้นมีหญิงชาวเอลฟ์ผู้หนึ่ง เธอมีใบหน้างดงามดูอ่อนเยาว์ราวกับภาพวาด มีผมสีทองเรืองรองยาวลงมาถึงกลางหลัง  ผิวพรรณนวลผ่องภายใต้ชุดสีเขียวอ่อนนั้นเปล่งประกายดุจไข่มุก

                    “ท่านผู้นี้คือ 'ไททาเนีย' ราชินีของพวกเราเหล่าภูตแห่งวูดแลนด์" ผู้เฒ่าโนมเอ่ยขึ้น "ท่านต้องพิษร้ายของมังกรบาซิลิสก์ในมหาสงครามเมื่อแปดปีก่อน และไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลยตราบจนบัดนี้ น่าเสียดายที่พลังของพฤกษชาติแห่งชีวิตที่คอยค้ำจุนท่านไททาเนียนั้นมีแต่จะอ่อนลงทุกวัน จึงไม่รู้ว่าจะสามารถยื้อชีวิตไว้ได้อีกนานแค่ไหน”

                    ผมมองดูใบหน้าของราชินีไททาเนียซึ่งงามประดุจเทพธิดา แม้จะเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกก็ยังรู้สึกใจหาย เมื่อคิดว่าจะไมมีโอกาสได้เห็นเจ้าของใบหน้านี้ยามมีชีวิตอีกสักครั้ง

                    “พวกเจ้าเป็นใคร! เข้ามาในนี้ได้ยังไง!” ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโดนดังมาจากข้างหลัง

                    เมื่อผมหันไปก็เห็นเหล่าเอลฟ์ห้าคนในชุดอัศวินเต็มยศเดินเข้ามา

                    “พวกเราเป็นจอมเวทย์จากศาสนจักรฯ มาที่วูดแลนด์ตามคำขอของเหล่าแฟรี่และโนม” อลิเซียชี้แจง

                    “เชอะ! ยุ่งไม่เข้าเรื่อง พวกเจ้าจงออกไปจากที่นี่ซะ” ชายอัศวินคนเดิมตวาดพร้อมยกมือไล่

                    “พอแค่นั้นแหละ ไลแซนเดอร์! ข้าเป็นคนเรียกพวกเขามาเอง” ผู้เฒ่ารัมเปลออกหน้า

                    ไลแซนเดอร์ชะงักไปครู่หนึ่ง

                    “ต... ต่อให้เป็นแขกของท่านผู้เฒ่าก็เถอะ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าออกไปจากวูดแลนด์เดี๋ยวนี้!” เอล์ฟหนุ่มทำท่าจะพูดต่อ แต่แล้วก็มีเสียงกรีดร้องของเหล่าภูต

                    “นักรบมฤตยูมาแล้ว!”

                    ก่อนที่ผมจะได้เห็นนักรบมฤตยูด้วยตาเปล่า ความรู้สึกเสียดแทงก็แล่นจับขั้วหัวใจทันที เป็นแรงเสียดแทงที่เข้มข้นกว่าครั้งก่อนนับร้อยเท่า ไม่ผิดแน่! ต้นกำเนิดของความรู้สึกนี้มาจากนักรบมฤตยูนั่นเอง

                    พริบตานั้นชายผู้ปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำก็กระโดดออกมาจากแนวป่าพร้อมกับ อัศวินที่มีร่างเป็นโครงกระดูกหลายสิบตน เหล่าแฟรี่และโนมต่างวิ่งหนีกันอย่างอลหม่าน บางตนที่หนีไม่ทันก็ถูกอัศวินโครงกระดูกไล่เข่นฆ่า

                    “อลิเซีย! เล็งไปที่นักรบชุดดำ” ผมรู้สึกได้ว่าอัศวินโครงกระดูกเหล่านั้นไม่มีความนึกคิดเป็นของตนเอง เพียงแต่ถูกนักรบมฤตยูบงการอีกที

                    อลิเซียเรียกคทาออกมาทันที แล้วตั้งท่าพร้อมยิงเฟเธอร์ช็อตใส่อมนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้า!

                    “หยุดนะ!” ไลแซนเดอร์พุ่งเข้ามาขวาง ทำให้อลิเซียเสียจังหวะ พริบตานั้นนักรบมฤตยูก็หลบหนีไปพร้อมกับเหล่าทหารโครงกระดูก

                    “ทั้งที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยแท้ๆ ก็เอาแต่จะลงมือท่าเดียว เพราะอย่างงี้ข้าถึงได้เกลียดพวกมนุษย์นัก” ไลแซนเดอร์ว่า

                    “หมายความว่ายังไง ท่านรู้อะไรเรอะ” ผมถาม

                    ไลแซนเดอร์ชักสีหน้า “ชิ! อย่างพวกเจ้าไม่ต้องรู้หรอก รีบๆ กลับไปซะ อย่าให้ข้าเห็นหน้าพวกเจ้าอีก” แล้วเอลฟ์หนุ่มก็หันหลังเดินจากไปพร้อมกับทหารอีกสี่คน

                    ผมหน้าจะโมโหกับท่าทีของเขา แต่เอาเข้าจริงกลับงงไปหมด จนไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังรู้สึกยังไงกันแน่

                    “ท่านผู้เฒ่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผมหันไปถามผู้เฒ่ารัมเปล

                    “หึๆ เมื่อกี้นี้ ตอนที่นักรบมฤตยูปรากฏตัว เจ้าเห็นอะไรบ้างล่ะ” ท่านย้อนถามผม

                    เมื่อกี้นี้เหรอ... ขณะที่ชายชุดดำปรากฏตัวนั้น ผมเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งงดงามเหมือนนางฟ้าแวบขึ้นมา ไม่จริง! นี่นักรบมฤตยูกำลังคิดถึงราชินีไททาเนียอยู่เรอะเนี่ย!

                    “หน้าที่ของข้าคือการพาพวกเจ้ามาที่นี่เท่านั้น ที่เหลือก็ต้องฝากพวกเจ้าแล้วล่ะนะ” ท่านผู้เฒ่าพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมซักถามอะไรอีก

                    นักรบมฤตยูเป็นใครถึงได้รู้จักราชินีไททาเนีย... ที่สำคัญดูเหมือนไลแซนเดอร์จะรู้ตัวจริงของนักรบมฤตยูเสียด้วย แต่ท่าทางเขาคงไม่ยอมให้ความร่วมมือ

                    ผมนึกถึงคำสั่งของอูรานอสที่ว่า “ให้ปกป้องวูดแลนด์จากนักรบมฤตยู” ซึ่งท่านไม่ได้ใช้คำว่า “ให้ 'กำจัด' นักรบมฤตยู” เสียด้วย ชักสังหรณ์ใจว่าภารกิจนี้อาจมีอะไรไม่ชอบมาพากลซะแล้วสิ

    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------

    โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ^^


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×