ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi] ::: Love as a Sin:::

    ลำดับตอนที่ #1 : #1 Meet

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.ย. 52


     

    #1

    “ยามาชิตะคุง”

    เสียงเรียกของเพื่อนร่วมโรงเรียนทำให้เด็กหนุ่มหน้าสวยสองคนหันมาพร้อมๆ กัน หากในความสวยของใบหน้าที่ละม้ายคล้ายคลึงกันนั้น กลับพบความแตกต่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...ดวงตา...

    ยามาชิตะ โฉะองเป็นเจ้าของดวงตาเรียวเล็ก รับกับจมูกรั้นๆ แสดงให้เห็นถึงบุคลิกความเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ผิดกับ  ยามาชิตะ โทโมฮิสะที่มีดวงตากลมโต รับจับจมูกสวยได้รูป  โฉะองแทบจะสะบัดหน้ากลับทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่วิ่งตามมาเป็นใคร ... อิคุตะ โทมะ...รุ่นพี่ที่เขาแอบปลื้มมานาน แต่ในสายตารุ่นพี่มีเพียงโทโมฮิสะ ลูกของเมียน้อยพ่อเท่านั้น

    “ฉันเกลียดที่จะต้องใช้นามสกุลร่วมกับนายจริงๆ”  โฉะองกระแทกเสียงใส่โทโมฮิสะ ก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้ร่างบางยืนน้ำตาคลอ ก่อนที่จะกล้ำกลืนความเจ็บปวดนั้นแล้วหันมาคุยกับอีกคนที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

    “รุ่นพี่มีอะไรรึเปล่าครับ”

    “เห็นคาเมนาชิคุงบอกว่ายามาชิตะคุงชอบฟังดนตรี ฉันก็เลยเอาตั๋วคอนเสิร์ตมาให้ เผื่อว่าจะได้ไปดูด้วยกัน”

    “ขอบคุณครับ” ร่างบางรับตั๋วนั้นก่อนจะยิ้มเป็นการขอบคุณ...ซึ่งสำหรับโทมะแล้ว นี่เป็นคำขอบคุณที่มีค่าที่สุด

                   

     

                    โฉะองปิดประตูรถเสียงดังเพื่อระบายความคับแค้นใจ

                    ....ทำไมนะ ของที่เป็นของฉันทุกอย่าง แกถึงได้มันไป ฉันเกลียดแก โทโมฮิสะ ฉันเกลียดแก....

                    คนขับรถมองผ่านกระจกหลังมายังนายน้อยของตน ซึ่งไม่ได้ตกใจมากมายนักกับท่าทางเจ้าอารมณ์ของนายน้อยคนนี้ คนขับรถได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ หากคุณหนูโฉะองได้ความใจเย็นของคุณหนูโทโมะมาบ้างก็คงจะดี

                    “ออกรถ!

                    “แล้วคุณหนูโทโมะล่ะครับ”   คนขับรถหันมาถามด้วยความแปลกใจ

                    “ช่างมันสิ ให้มันหาทางกลับเอง ฉันบอกให้ออกรถก็ออกรถสิ อยากโดนไล่ออกรึไง”

                    คนขับรถได้ยินดังนั้นก็ตัดสินใจสตาร์ทรถทั้งที่สายตายังมองกระจกหลังอย่างเป็นห่วง

     

                    โทโมฮิสะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมายังที่ที่คนขับรถเคยเอารถมารับ แต่ก็ไม่มีวี่แววของรถคันงามคุ้นตาที่เคยมาจอดรับทุกเย็น หัวใจเริ่มเต้นแรงขึ้นเมื่อรู้สึกว่าต้องอยู่คนเดียวท่ามกลางเมืองที่ไม่เคยรู้จัก  ร่างบางเปิดกระเป๋าหาที่อยู่ที่พ่อบ้านทาคิซาว่าเคยจดให้ไว้

                    “ถ้าจำไม่ผิด ต้องขึ้นรถไฟไปสินะ” 

                    สถานีรถไฟยามเย็นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่เลิกจากการทำงาน ร่างบางค่อยๆ แทรกตัวผ่านฝูงชนจนมายืนอยู่หน้าแผนแสดงการเดินรถ ร่างบางมองแผนที่สลับกับกระดาษในมือ

                    “นี่ ไม่เคยขึ้นรถไฟรึไง ชักช้าอยู่ได้”  เสียงเร่งจากคนด้านหลังยิ่งทำให้โทโมฮิสะลนลานเข้าไปอีก แต่เขาก็ไม่รู้จริงๆ นี่นา ตั้งแต่เกิดมา เพิ่งจะเคยขึ้นรถไฟไม่กี่ครั้งเอง เหงื่อเริ่มซึมออกมาจากไรผม โทโมฮิสะปาดเหงื่อลวกๆ ก่อนจะตัดสินใจกดสถานีที่คิดว่าน่าจะใช่ แต่ก็มีมือหนึ่งมาหยุดไว้ และกดอีกสถานีหนึ่งแทน

                    “ไม่เคยขึ้นรถไฟจริงๆ ด้วยสินะ ถ้าจะไปตามที่อยู่นี่ล่ะก้อ ต้องไปลงสถานีนี้ แล้วต่อรถเมล์ไป”  เสียงนุ่มๆ ของคนแปลกหน้าทำให้โทโมฮิสะเงยหน้ามองก่อนจะก้มหัวเป็นเชิงขอบคุณ

                    “ฉันก็จะไปลงที่นั่นเหมือนกัน ตามมาทางนี้”  แล้วร่างสูงก็ฉุดร่างบางให้เดินตามเขาไป โทโมฮิสะเดินตามไปอย่างว่าง่าย เพราะยังไงก็ดีกว่าที่จะต้องหลงทางอยู่เพียงคนเดียว

                    ร่างสูงเดินนำหน้าไปยังที่ว่างริมหน้าต่าง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบให้ร่างบางได้นั่ง  ร่างสูงทำท่าจะนั่งลงข้างๆ แต่ก็เสียสละให้หญิงชรานั่งแทน เวลานี้เองโทโมฮิสะจึงได้สังเกตชายคนนี้อย่างเต็มตา ร่างสูงอยู่ในกางเกงยีนส์สีเข้มกับเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ อยากรู้จริงๆ ว่าภายใต้แว่นกันแดดสีน้ำตาลอันนั้น แววตาของคนใจดีจะเป็นแบบไหนกันนะ  แล้วร่างบางก็เผลอหลุดยิ้ม ก่อนจะรีบหันหน้าไปทางหน้าต่าง เพราะกลัวคนโดนจ้องจะจับได้

                    “นี่นาย ลงได้แล้ว” 

                    ด้วยคำพูดเพียงแค่นั้น โทโมฮิสะก็รีบคว้ากระเป๋านักเรียนวิ่งตามร่างสูงลงรถไฟไป ร่างสูงหันมามองท่าทางลุกลี้ลุกลนของคนที่วิ่งตามมาข้างหลัง ก็อดยิ้มไม่ได้

                    “ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้”

                    “ฉันกลัวจะคลาดกับนายนี่นา ฉันไม่อยากหลงทาง”

                    “พูดเป็นเด็กๆไปได้”

                    “ก็มันจริงนี่นา ฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่เดือนเอง”

                    “งั้นหรอ”

                    “อืม เพราะงั้นการที่ฉันหลงทาง ก็ไม่ได้แสดงว่าฉันเป็นเด็กซะหน่อย แค่...ไม่รู้ทางเท่านั้นเอง”  ร่างบางพูดพลางนิ่วหน้าไม่พอใจ

                    “โอเค โอเค ไม่เห็นต้องโกรธเลย เอาเป็นว่า ฉันส่งนายแค่นี้แล้วกันนะ ฉันมีธุระที่ต้องสะสางอีกเยอะเลย” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกระด้างขึ้นในตอนท้าย  แล้วร่างสูงก็เดินจากไป  โทโมฮิสะยิ้มให้กับแผ่นหลังของคนใจดี

                                    ....ลืมถามชื่อไปเลยนะ ถึงบ้านจะได้โทรไปขอบคุณซะหน่อย....

     

     

     

                    “โฉะอง! ลูกปล่อยให้โทโมะกลับคนเดียวได้ยังไง เค้ายังไม่รู้ทางแถวนี้ด้วยซ้ำไป”  ยามาชิตะ เคย์สุเกะตวาดลูกชายด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด

                    “...”   โฉะองได้แต่นั่งเงียบระงับอารมณ์น้อยใจ ...ตั้งแต่เกิดมาพ่อไม่เคยตะโกนใส่เขาเลยสักครั้ง

                    “ถ้าโทโมะเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบ”

                    “ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา พ่อก็ฆ่าผมเลยสิ โทษฐานทำให้ลูกสุดที่รักของพ่อเจ็บไง”  โฉะองตะโกนออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก

                    “โฉะอง... ทำไมลูกไม่มีเหตุผลแบบนี้ เขาเป็นน้องของลูกนะ”

                    “ผมไม่ยอมรับมันหรอก มันก็ลูกของผู้หญิงใจแตกที่พ่อเผลอไปมีอะไรด้วยเท่านั้นเอง”

                    เพี๊ยยยะ....

                    เคย์สุเกะมองมือตัวเองที่สั่นระริกด้วยความโกรธ แล้วหันกลับไปมองหน้าลูก โฉะองจับแก้มที่บิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด น้ำตาที่ไหลอาบออกมาเต็มสองข้างแยกไม่ออกว่าเจ็บตรงไหนมากกว่ากัน ที่หน้า..หรือที่ใจ

                    “ผมเกลียดพ่อ !!~” แล้วร่างบางก็วิ่งขึ้นบันไดไป

                    เคย์สุเกะมองตามลูกชายที่วิ่งหายขึ้นบันไดไป ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาอย่างอ่อนล้า  ลูกชายที่เขารักมากไม่เคยทำให้เจ็บแม้แต่ปลายก้อย แต่วันนี้เขากลับเป็นคนฟาดฝ่ามือด้านๆ ลงบนแก้มนั้น โฉะองคงเสียความรู้สึกไม่น้อย แต่เขาก็ทนไม่ได้อีกเหมือนกันที่โฉะองจะคิดว่าโทโมฮิสะเกิดมาจากอารมณ์ชั่ววูบ

                    “พ่อครับ ผมกลับมาแล้วครับ”  เคย์สุเกะหันไปตามเสียงเรียกก่อนจะเห็นลูกชายอีกคนยืนอยู่

                    “กลับมาแล้วหรอ ทีหลังอย่ากลับคนเดียวแบบนี้อีกนะ”  น้ำเสียงดุแต่เจือไว้ด้วยความห่วงใย โทโมฮิสะพยักหน้ารับ

                    “พอดีผมคลาดกับรถที่ไปรับ ก็เลยลองกลับรถไฟดูครับ ที่อยู่ที่คุณทาคิซาว่าให้ไว้ ช่วยได้มากเลย”  โทโมฮิสะยิ้มให้ผู้เป็นพ่อ เคย์สุเกะวางมือไว้บนหัวลูกชายก่อนจะโยกเบาๆ

                    “ไปหาอะไรกิน แล้วก็อาบน้ำนอนนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

                    โทโมฮิสะพยักหน้ารับก่อนจะเดินตามพ่อบ้านทาคิซาว่าเข้าไปในครัว เคย์สุเกะมองตามหลังลูกชายด้วยแววตาอ่อนโยน เขาไม่ได้รักโทโมฮิสะมากกว่าโฉะองแต่อย่างใด สิ่งที่มีมากกว่าน่าจะเป็นความสงสาร เพราะโฉะองโตขึ้นมาพร้อมความสะดวกสบายในขณะที่โทโมฮิสะต้องทนความลำบากมากมายและอยู่กับแม่เพียงสองคน นี่เป็นความผิดพลาดของเขาเอง เขารักชิโยริแม่ของโทโมฮิสะก่อนที่จะต้องแต่งงานกับอายาโกะแม่ของโฉะองเพื่อฐานะทางสังคม  เมื่อชิโยริรู้เรื่องนี้ เธอก็ออกไปจากชีวิตเขาโดยที่ไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดๆ เลย ไม่ได้บอกเขาแม้กระทั่งว่าเธอมีลูกของเขาติดท้องไปด้วย...จนกระทั่งเมื่อปลายปีก่อน เขาก็ได้รับจดหมายจากชิโยริ ในจดหมายบอกว่าเธอกำลังป่วยหนักและคงจะอยู่ได้ไม่นาน เธอฝากฝังลูกชายคนเดียวให้เคย์สุเกะช่วยดูแล และเมื่อชิโยริจากโลกนี้ไป โทโมฮิสะจึงตกเข้ามาอยู่ในความดูแลของเขา ...เขาทึ่งในตัวชิโยริที่สามารถเลี้ยงดูลูกมาเพียงลำพังและสามารถอบรมสั่งสอนให้ลูกเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดีได้ขนาดนี้...นี่เป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจ

                    .................................................................

     

                    เสียงออดดังซ้ำขึ้นหลายครั้ง จนเจ้าของห้องต้องรีบวิ่งมาเปิดประตู ทันทีที่ประตูเปิดออกร่างสูงที่รออยู่ก็แทรกตัวเข้าห้องไปโดยไม่ต้องรอคำเชื้อเชิญ

                    “อะไรกันนะจิน นายไม่มีมารยาทเหมือนเดิมเลยนะ”  ยูอิจิลูกพี่ลูกน้องแกล้งแขวะผู้มาเยือนอย่างไม่จริงจังนัก ร่างสูงแสร้งทำไม่ได้ยิน ก่อนจะทิ้งกระเป๋าลงบนโซฟา แล้วเข้าไปล้างมือล้างเท้าในห้องน้ำอย่างถือวิสาสะ

                    “ทำไมฉันต้องมีมารยาทกับคนอย่างนาย ยูอิจิ”  จินพูดจบก็เช็ดมือก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างๆ ยูอิจิ

                    “ขึ้นมาคราวนี้มีธุระอะไรอีกล่ะ”

                    “เรื่องเดิม เป็นไงบ้าง” 

                    “ยามาชิตะเพิ่งเลิกกับฮาเสกาว่า เห็นว่าแอบปลื้มรุ่นพี่อิคุตะอยู่  แต่ยังไม่ได้เป็นแฟนนะ”  ยูอิจิเล่าความคืบหน้าของเรื่องที่จินอยากรู้

                    “อิคุตะ....อิคุตะ โทมะน่ะหรอ”  จินคุ้นชื่อนี้เหลือเกิน

                    “อืม นายรู้จักหรอ”

                    “เคยเรียนม.ต้นด้วยกันน่ะ ก่อนที่ฉันจะย้ายโรงเรียน”

                    “อืม สงสารฮาเสะจุนเหมือนกันนะ เพ้อแทบเป็นบ้าเลย”

                    “นายเองก็ระวังตัวไว้ล่ะ อย่าได้ยุ่งกับคนบ้านนี้”

                    “อยากยุ่งอยู่เหมือนกันแหละ แต่โฉะองขี้วีนเกินไป อีกอย่างคาเมะจังของฉันน่ารักกว่าเป็นไหนๆ” 

                    “อืม ก็ดีแล้วล่ะ ถ้านายเกิดไปตกหลุมรักศัตรูของฉันเข้าล่ะก้อ เรื่องใหญ่แน่”

                    “ศัตรูอะไร จิน... นี่นายยังแบกรับความรู้สึกอยากแก้แค้นของพ่อนายไว้อีกหรอ”

                    “ฉันแค่อยากทำให้คนที่ทำให้แม่ต้องตาย รู้สึกเจ็บปวดจนไม่อยากหายใจเท่านั้นแหละ”

                    “จิน”  เสียงเรียกของยูอิจิไม่อาจฉุดรั้งเรียวเฮขึ้นมาจากความแค้นได้

     

                    ภาพความทรงจำที่แสนเจ็บปวดเมื่อสิบกว่าปีก่อนยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่เติบโตขึ้นตามกาลเวลา พร้อมๆ กับความแค้นที่ค่อยๆ สั่งสมมากขึ้นเรื่อยๆ  ภาพแม่ของเขากอดขาชายคนหนึ่งร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ

                “ยามาชิตะซังจะให้ฉันทำยังไงกับเด็กคนนี้ ถ้าสามีฉันรู้เรื่องเขาจะต้องฆ่าฉันแน่ๆ”  

                “ไปเอาเด็กออกซะ แล้วอย่ามาทำให้ฉันวุ่นวายใจอีก”

                “ยามาชิตะซัง เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณนะ”

                “อย่ามาพล่ามให้เสียเวลา ผมไม่อยากมีปัญหากับอายาโกะเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้นะ”

                “ไหนคุณบอกว่าจะเลี้ยงดูฉันให้มีความสุข ฉุดฉันจากสามีแย่ๆ เลี้ยงฉันให้มีหน้ามีตาทางสังคม”  เลขาสาวร้องไห้พร้อมกับกระชากเสื้อของเจ้านายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแบบลับๆ

                “นั่นมันเมื่อตอนที่คุณยังไม่มีครอบครัวต่างหาก แล้วตอนนี้จะปล่อยให้เด็กนั่นมันมาประจานความผิดของเราสองคนได้ยังไง ผมให้เงินคุณก้อนหนึ่ง ไปเอาเด็กออกซะ”

                ...เพี๊ยยยยะ....

                “ฉันเสียใจมากที่คุณเป็นคนแบบนี้ ฉันจะทำให้คุณรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”  พูดจบหญิงสาวคนนั้นก็วิ่งหุนหันออกมา โดยไม่ได้มองว่ามีเด็กชายตัวน้อยๆ คนหนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงาน

                    “แม่ฮะ”

    เสียงเรียกแผ่วเบาของเด็กชายคนนั้นไม่อาจยื้อชีวิตของหญิงสาวผู้นั้นได้ เช้าวันต่อมาก็มีข่าวหน้าหนึ่งว่าพนักงานสาวของบริษัทแห่งหนึ่งโดดตึกตายเพื่อหนีปัญหาคบชู้

     

                    จินนอนลืมตาในความมืด ภาพความทรงจำที่แสนเลวร้ายยังคงวนเวียนกลับมาเหมือนม้วนวิดีโอที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า จินถอนหายใจยาวก่อนจะเปิดไฟหัวเตียงและหยิบรูปครอบครัวเพียงรูปเดียวขึ้นมาดู ความอบอุ่นของครอบครัวที่เขาถวิลหาถูกทำลายไปในชั่วพริบตา เพราะผู้ชายคนนั้น ...ยามาชิตะ เคย์สุเกะ...

                    .........................................................................................

     

                    โทโมฮิสะวิ่งกระหืดกระหอบมายังรถที่จอดคอยอยู่ โฉะองซึ่งนั่งอยู่รถปรายตามองเล็กน้อยก่อนจะเบะปากและหันไปสนใจกับเครื่องเล่นเพลงในมือ โทโมฮิสะได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ

                    “ยามาชิตะคุง” 

                    “รุ่นพี่อิคุตะ”  ร่างบางหันมายิ้มให้

                    “พรุ่งนี้หนึ่งทุ่ม ฉันจะมารอที่สถานีรถไฟนะ”

                    “ครับ”

                    ร่างบางก้มศีรษะให้รุ่นพี่ในเชิงร่ำลา ก้าวขึ้นรถไป โดยไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนมองเหตุการณ์นั้นอยู่ตลอดเวลา

                    “เด็กคนนั้นเองหรอเนี่ย” 

    ..................................................................

                    ทันทีที่รถจอดโฉะองก็ลงรถไปทันทีโดยที่ไม่ได้พูดอะไรกับโทโมฮิสะแม้แต่คำเดียว ร่างบางมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายด้วยสายตาเศร้าระคนน้อยใจ หากแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ร่างบางกำลังจะเดินขึ้นไปชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของตน กำลังจะก้าวพ้นขั้นสุดท้ายแต่ก็ต้องตกใจเมื่อโฉะองโผล่มาจากไหนไม่รู้ แรงปะทะทำให้ร่างบางเซถลาตกบันไดลงมา ร่างบางลงไปกองกับพื้น ก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับบีบนวดแขนขาให้คลายความเจ็บปวด

                    “เจ็บมั้ยล่ะ”  โฉะองที่เดินตามลงมา ถามโทโมฮิสะ

                    “เจ็บสิ”  ร่างบางพูดทั้งที่น้ำตาคลอ แล้วน้ำตาที่คลอเอ่อก็ไหลรินออกมาเมื่อคางมนถูกมือของโฉะองบีบราวกับอยากให้มันแหลกละเอียดคามือ

                    “แต่นั่นยังเจ็บเท่าใจฉันเลย นายแย่งทุกอย่างไปจากฉัน... ทั้งความรักจากพ่อ ทั้งรุ่นพี่อิคุตะ อยากได้อะไรอีกล่ะ ลูกเมียน้อยอย่างนาย คงต้องการความอบอุ่นมากสินะ”

                    ร่างบางไม่ตอบอะไร มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาบ่งบอกถึงความเจ็บปวด

                    “เจ็บมากล่ะสิ ฉันจะทำให้นายเจ็บปวดมากกว่านี้อีก เด็กที่เกิดมาเป็นกาฝากอย่างนาย จะได้รู้จักเจียมตัวซะบ้าง”

                    โฉะองยิ้มหยันก่อนจะเดินจากไปทิ้งให้โทโมฮิสะนั่งกอดตัวเองร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

    .......................................................................

                   

                    ก้นบุหรี่ที่กระจายอยู่เต็มพื้นแสดงให้เห็นว่าคนที่สูบนั่งอยู่นานแค่ไหน ร่างสูงยังคงสูบบุหรี่อย่างใจเย็นเพื่อรอคอยใครบางคน และแล้วคนที่เขารอคอยก็เข้ามาในสายตา ภาพเด็กหนุ่มที่เขาเจอเมื่อหลายวันก่อนในอ้อมกอดของเพื่อนเก่าสมัยมัธยมทำให้เขาหงุดหงิดอย่างประหลาด

                    .... รู้สึกสะอิดสะเอียนในความมากรักของยามาชิตะคนลูก....

    นั่นเป็นสิ่งที่จินบอกตัวเอง

     

                    “ขอบใจนะ ยามาชิตะคุงทั้งที่ข้อเท้าแพลงแต่ก็ยังอุตส่าห์มา”  อิคุตะยิ้มอ่อนโยน

                    “ครับ ผมชอบดนตรีแล้วอีกอย่างผมก็ไม่เป็นอะไรมากด้วย”  โทโมฮิสะยิ้ม

                    “อืม ก็ดี ถ้างั้นวันหลัง เราไป...เดทกันนะ”

                    “....”

                    “ขอโทษนะ ที่ทำให้ตกใจ มันคงเร็วไปใช่มั้ยล่ะ แต่ฉันน่ะ ชอบยามาชิตะคุงนะ ตั้งแต่แรกเห็นเลย”

                    “ผมคงคบรุ่นพี่ไม่ได้หรอกครับ มีคนที่รักรุ่นพี่มากกว่าผมนะครับ”

                    “อ้อ...งั้นหรอ”

                    “ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”  แล้วโทโมฮิสะก็หันหลังกลับเดินไปยังสถานีรถไฟ เพราะไม่ต้องการรบกวนคนขับรถ และเคยขึ้นรถไฟมาแล้ว โทโมฮิสะจึงโทรกลับไปบอกที่บ้านว่าจะกลับเอง ร่างบางดูนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มเศษๆ ความรู้สึกเหมือนมีฝีเท้าตามมาจากด้านหลัง แต่เมื่อหันกลับไปมองก็ถูกชายแปลกหน้ารุกเข้าถึงตัว แล้วสติของโทโมฮิสะก็ดับวูบลง...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×