ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ห อ พั ก ค น เ พี้ ย น - R e w r i t e -

    ลำดับตอนที่ #1 : วั น ที่ 1 - วั น แ ร ก ข อ ง ชี วิ ต ผู้ ดู แ ล . . จ ะ ไ ห ว มั้ ย เ นี่ ย ?

    • อัปเดตล่าสุด 7 ม.ค. 50




    ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรงของบ่ายวันอาทิตย์บนกิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรงซึ่งควรจะเป็นที่อยู่อาศัยและทำรังของเหล่านกกา   บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยร่างของเชนเด็กหนุ่มที่เนื้อตัวมอมแมมราวกับเพิ่งผ่านสมรภูมิของสงครามโลกมาหมาดๆ   จากการที่ถูกมัดห้อยหัวลงมาทำให้ผมยาวรากไทรของเขานั้นไหลลงมาปรกหน้าจนต้องใช้มือปัดออกอยู่เนืองๆ

    .

    "แดดดีจริงๆ...มันจะมาปลอดโปร่งแจ่มใสทำไมกันนักหนาวันนี้.." น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นฟังดูแล้วช่างเต็มไปด้วยความหงุดหงิด

    .

    ท้องฟ้าเบื้องบนขณะนี้สดใสจนเหลือเชื่อไม่มีแม้แต่เมฆซักก้อนที่จะลอยมาบดบังแสงแดดที่สาดส่องอย่างไม่บันยะบันยังราวกับจะแผดเผาโลกให้มอดไหม้เป็นจุล   หากแต่ว่าเวลานี้ดูจะเป็นการยากเหลือเกินที่เชนจะทำใจของตนให้แจ่มใสตามสภาพดินฟ้าอากาศ   แม้ว่าในยามปกติเด็กหนุ่มจะเป็นบุคคลตัวอย่างของแทบทุกคนที่รู้จักมักคุ้นในด้านการมองโลกในแง่ดีอย่างบ้าคลั่ง   แต่ทุกครั้งเขาก็ไม่เคยถูกนำมาห้อยหัวอยู่กลางแดดแบบนี้

    .

    "ทำไมมันต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยฟะ.." เมื่อความเบื่อหน่ายและหงุดหงิดมารวมตัวกันการบ่นกระปอดกระแปดจึงเป็นหนทางเดียวในการระบายความทุกข์ทรมาณอย่างที่คนทั่วไปยากจะได้สัมผัส   เชนหยิบเอาใบไม้ที่หลุดร่วงตามพื้นขึ้นมาฉีกเล่นก่อนจะเริ่มนึกลำดับเหตุการณ์ที่นำพาเขามาสู่เรื่องตลกร้ายที่ไม่ว่าใครโดนเข้าก็คงขำไม่ออกครั้งนี้..

     

    .
    .

    หอพักคนเพี้ยน วันที่ 01 -  วันแรกของชีวิตผู้ดูแลหอพัก..จะไหวมั้ยเนี่ย

    .
    .


    ช่วงเย็นของเมื่อวานนี้ในขณะที่เชนกำลังนอนอ่านหนังสือพลางกลิ้งเกลือกไปมาอยู่บนเตียงเล็กๆในห้องส่วนตัวซึ่งเปรียบเสมือนอาณาเขตหวงห้ามจากบุคคลภายนอก   จนเมื่อบทที่สามของหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยถูกอ่านจบลงความสงบเงียบที่มีมายาวนานก็โดนทำลายด้วยเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น   เด็กหนุ่มวางมือจากหนังสือที่กำลังอ่านพลางนึกลังเลว่าจะเดินลงไปรับสายดีหรือไม่   แต่ทว่าท้ายที่สุดนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงครู่เดียวเสียงกริ๊งกร๊างอันแสนจะหนวกหูก็กลับเปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยของแม่ไป  

    .

    ของแม่หรอกเหรอ..   เชนคิดในใจพร้อมกับล้มตัวลงนอนและหยิบหนังสือเล่มเมื่อครู่ขึ้นอ่านต่อโดยไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าโทรศัพท์สายนั้นจะนำพาความยุ่งยากมาสู่ชีวิตของเขาได้มากจนคาดไม่ถึง

    .

    "เชน..แม่มีอะไรจะบอก.."

    .

    ในช่วงมื้อค่ำจู่ๆแม่ก็พูดขึ้นกลางโต๊ะอาหาร   เชนวางช้อนส้อมในมือลงบนจานอาหารเบื้องหน้าก่อนจะหันไปรอฟังสิ่งที่แม่กำลังจะพูดอย่างใจจดใจจ่อ

    .

    "วันนี้คุณตาของลูกโทรมา..บอกว่าจะไปร่วมทีมทำสารคดีกับช่องแอนนิมอลแพลนเน็ท" แม่พูดก่อนจะจิบน้ำในแก้วที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

    "เห..จะไหวเหรอครับ" เชนถามกลับไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

    "แม่ว่าไม่มีปัญหา.." แม่ตอบแล้วลุกขึ้นเก็บจานเปล่าบนโต๊ะ "คุณตาน่ะเห็นแบบนั้นความจริงทนทายาด  ไม่งั้นคงอยู่ดูแลหอพักนั่นจนแก่ป่านนี้ไม่ได้หรอก"

    .

    คุณตาของเชนเป็นผู้สืบทอดกิจการหอพักต่อมาเป็นรุ่นที่สามแล้ว   อันที่จริงเมื่อแรกเริ่มเดิมทีหอพักแห่งนี้ถูกเปิดเพื่อเป็นโรงแรมแต่ด้วยปัญหาทางเศรษฐกิจจึงต้องปิดตัวลง   จนเมื่อตกทอดมาถึงมือคุณตาของเด็กหนุ่มจึงทำการปรับปรุงเป็นหอพักให้เช่าสำหรับคนทั่วไป

    .

    "ผมว่าคุณตาคงไม่ได้โทรมาบอกแค่เรื่องนี้..ใช่ไหมครับ?" ลางสังหรณ์ของเด็กหนุ่มบอกเช่นนั้น

    "แหงสิ" แม่ตอบ

    .

    เสียงจานชามกระทบกับอ่างสแตนเลสดังขึ้น   เชนรู้สึกหายใจหายคอไม่สะดวกในขณะที่แม่นิ่งเงียบไป

    .

    "พร้อมจะฟังรึยังล่ะ.." แม่ถาม

    "ครับ" เชนตอบพลางนั่งยืดตัวตรง

    "คุณตาให้ลูกไปดูแลหอพักแทนท่านตลอดระยะเวลาที่ออกทัวร์รอบโลก..เรื่องก็มีเท่านี้แหละ" แม่พูดด้วยเสียงเรียบๆ

    "เวรกรรม ! " เชนโพล่งออกมาด้วยความตกใจ "ไม่ไหวมั้งครับผมเพิ่งจะ19เองนา.."

    .

    แม่กลับมานั่งที่เก้าอี้โต๊ะกินข้าวและเอามือท้าวคางก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆ "ก็นั่นน่ะสิ "

    "แล้วทำไมแม่ไม่แนะนำคนอื่นๆไปล่ะครับพี่ชินไงเขาเรียนจบแล้วน่าจะทำตรงนี้ได้นะ " โบ้ยไปหาลูกพี่ลูกน้องคนสนิท

    "คิดว่าแม่ไม่ทำรึไงล่ะ  เสนอชื่อไปจนหมดตระกูลแล้วท่านก็ยังยืนยันจะเอาลูกคนเดียว" แม่ตอบแต่ฟังดูคล้ายจะเป็นการบ่นเสียมากกว่า "ทำตัวเป็นตาแก่เอาแต่ใจไม่เคยเปลี่ยนเลยอย่างนี้ล่ะสิลูกหลานถึงได้เข้าหน้าไม่ติดซักคน"

    .

    เชนนั่งนิ่งทำหน้าตาคิดหนักว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี   หอพักแห่งนั้นอยู่ที่ไหนเขาก็ไม่เคยไปสักครั้ง   สิ่งที่ต้องทำมีอะไรบ้างก็ยังไม่รู้   เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆของเด็กที่เพิ่งพ้นมัธยมปลายมาไม่ถึงสองปีอย่างเขาเลย

    .

    "ยังไงตอนนี้ลูกก็ยังซิ่วอยู่กว่าจะได้ที่เรียนใหม่ก็คงปีหน้า   แม่ว่าก็ไปเถอะถือว่าหาอะไรทำดีกว่าอยู่ว่างๆ" แม่พูดเกลี้ยกล่อมคล้ายจะเห็นดีเห็นงามแม้ในใจจะเป็นห่วงอยู่ลึกๆ

    .

    เมื่อบรรดาผู้ใหญ่ตัดสินใจกันเรียบร้อยและตัวเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ดีเพียงพอจะปฏิเสธเชนจึงต้องยอมรับหน้าที่นี้ไปอย่างไม่เต็มใจนัก "แล้วผมต้องไปที่นั่นเมื่อไหร่ครับ"

    .

    "พรุ่งนี้เลย" แม่ตอบ

    "บ้าไปแล้ว ! " เชนตะโกนออกไปอย่างลืมตัว "ใจคอจะไม่ให้เวลาเตรียมตัวเลยเหรอครับ "

    "ดูแลหอพักมันจะต้องเตรียมตัวอะไรมากล่ะคะคุณลูก   ไม่ได้ไปเดินป่านะ" แม่ตอบด้วยน้ำเสียงหมั่นใส้

    "ก็จู่ๆจะให้ไปเลยเหรอครับ   แล้วผมก็ไม่อยากไปด้วยนี่นา.." เชนทำเสียงกระเง้ากระงอดเหมือนลูกแมวออดอ้อน

    "เอาน่ะ..ลองดูก่อนถ้าไม่ไหวค่อยกลับมาก็ได้" แม่พูดพลางลุกเดินมาเอามือแตะไหล่เด็กหนุ่มเบาๆแล้วเดินกลับเข้าไปในครัว

    .

    ในเมื่อเหตุการณ์มันดำเนินไปอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนี้เชนก็ทำได้แค่ยอมรับและปฏิบัติตาม   เขาลุกจากโต๊ะกินข้าวแล้วเดินหมดอาลัยตายอยากขึ้นไปยังห้องของตนเองบนชั้นสองของบ้านก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างแรงจนตัวโยน

    .

    "แล้วก็มาลงที่เราอีกจนได้" เชนบ่นออกมาเบาๆก่อนจะพลิกตัวคว่ำหน้าลงซุกกับหมอนใบโปรดแล้วเตะขาขึ้นลงระบายความหงุดหงิด   แต่เหมือนเป็นวันแห่งโชคร้ายของเขาเมื่อแรงสั่นสะเทือนของเตียงทำให้กรอบรูปที่ตั้งไว้ข้างบนหล่นลงมาใส่หัวอย่างแรง

    "ว้อยย~! " โดนเข้าไปแบบนั้นก็ถึงกับคลั่งเชนรีบผลุดลุกขึ้นนั่งแล้วหยิบกรอบรูปขึ้นมาตั้งท่าจะเหวี่ยงทิ้ง   แต่ทว่าเพียงวูบเดียวที่สายตามองเห็นรูปในกรอบนั้นท่าทีของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป   เด็กหนุ่มจับจ้องบุคคลในรูปถ่ายเก่าๆสีซีดจางใบนั้นด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความเศร้าจางๆก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ "พ่อก็อยากให้ผมไปที่นั่นด้วยเหรอ.."

    .

    ตามที่แม่เล่าให้ฟังพ่อของเชนเสียไปก่อนเขาจะลืมตาออกมาดูโลกเพียงไม่กี่เดือนด้วยอุบัติเหตุ   แต่น่าแปลกที่ในบ้านกลับไม่มีเถ้ากระดูกหรือแม้แต่ใบมรณะบัตรเลย   กระทั่งรูปถ่ายสมัยที่พ่อยังมีชีวิตก็กลายเป็นของหายาก   ราวกับว่ามีใครบางคนพยายามลบหลักฐานว่าเคยมีคนผู้นี้ในโลก   เชนเคยลองถามแม่เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆของพ่อแต่ทว่าคำตอบที่ได้ก็มีเพียงความเงียบและสายตาที่ราวกับจะบอกเด็กหนุ่มว่า 'อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก'

    .

    เชนสบัดหัวแรงๆสองสามทีเพื่อไล่ความคิดกังวลและเรื่องฟุ้งซ่านที่กำลังไหลประเดประดังเข้ามาในหัวออกไป   เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนธรรมชาติปลิวไปตามแรงเหวี่ยงก่อนจะหล่นลงปรกใบหน้าของเขาเอาไว้   เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาแรงๆพร้อมกับยกมือขึ้นปัดออกแล้วเริ่มลงมือจัดเสื้อผ้าและของใช้ลงกระเป๋า   คืนนั้นกว่าเชนจะข่มตาให้นอนหลับลงได้ก็กินเวลาล่วงเลยไปจนผ่านเข้าวันใหม่

    .

    เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กๆเข้ามาในห้อง   เชนซึ่งอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วยืนมองห้องเล็กๆที่ตนเคยอยู่มานานนับปีอย่างใจหาย   ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่บนที่วางอยู่บนพื้นแล้วเปิดประตูห้องเดินลงไปยังชั้นล่าง

    .

    "นี่จะออกไปแต่เช้าเลยเหรอลูก" แม่ที่กำลังสาละวนกับการทำอาหารในครัวหันมาถามเมื่อเห็นเชนเดินเข้ามาเปิดตู้เย็น

    "ครับ  ออกสายก็กลัวรถติด  แดดร้อนด้วย" เชนตอบพร้อมกับหยิบขนมที่เหลือจากเมื่อวานเข้าปาก

    .

    แม่หันมามองเชนด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินตามออกไปส่งเขาที่ประตูบ้าน "ไม่ลืมอะไรที่จำเป็นแล้วนะ"

    .

    เชนที่กำลังนั่งใส่รองเท้าผ้าใบพยักหน้าหงึกหงักแทนคำตอบ   แม่ถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วจึงพูดต่อ "ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรหาแม่แล้วกัน  แล้วว่างๆแม่จะไปเยี่ยมนะ"

    .

    "คร้าบ..แม่ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกครับ" เชนลุกขึ้นยืนจ้องหน้าแม่แล้วยิ้มให้ "มันคงไม่หนักหนามากนักหรอก"

    "จ๊ะ..เดินทางดีๆนะ" แม่ดูสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเชนพูดเช่นนั้น

    .

    หลังจากร่ำลากันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเชินออกเดินทางไปยังหอพักของคุณตาตามเส้นทางในแผนที่ๆแม่ให้มา   การจราจรบนท้องถนนไม่ติดขัดเท่าไรนักเนื่องจากยังเป็นเวลาเช้าของวันอาทิตย์ที่เป็นวันพักผ่อนของบรรดาคนทำงาน   ไม่นานนักเชนก็มาหยุดยืนอยู่หน้าปากซอยเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้รกและแทบจะไม่เห็นเงาบ้านพักอาศัยของคนเลย   เด็กหนุ่มมองดูชื่อซอยบนป้ายที่เอียงกระเท่เร่ดูเหมือนจะพังมิพังแหล่จนเมื่อเห็นว่าตรงกับในแผนที่จึงตัดสินใจเดินเข้าไป

    .

    เสียงรถรามากมายที่วิ่งวุ่นวายอยู่ถนนใหญ่ด้านนอกเงียบหายไปทันทีที่ก้าวขาเดินเข้ามาในซอย   บรรยากาศรอบกายขณะนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเด็กหนุ่มกำลังอยู่ในอีกมิติหนึ่ง   ที่ซึ่งเวลาหยุดหมุนมานานแสนนาน   หลังจากที่เดินผ่านซอยที่สลับซับซ้อนราวกับเขาวงกตมาตามแผนที่แล้วในที่สุดเชนก็มาถึงที่หมาย

    .

    "ที่นี่เองน่ะเหรอ.."

    .

    ภาพหอพักของคุณตาที่เชนจินตนาการไว้ - ตึกสูงสี่ถึงห้าชั้นทั่วๆไปตามแบบที่พบเจอได้ปกติแถวมหาวิทยาลัยต่างๆ   คราคร่ำไปด้วยบรรดานิสิตนักศึกษามากมาย...สวรรค์แต้ๆ

    ภาพหอพักของคุณตาในความเป็นจริง - ตึกปูนสูง6ชั้นออกอาการแตกร้าวลายงาเป็นบางส่วน   สีผนังลอกเป็นจุดๆ   ดูไกลๆเหมือนไซต์งานก่อสร้างที่บริษัตรับเหมาล้มละลายเลยเสร็จแค่ครึ่งๆกลางๆ   ซ้ำร้ายยังไร้วี่แววผู้อยู่อาศัยจนเหมือนตึกร้างไม่มีผิด

    .

    "เหอะ..เหอะๆ..นี่มันอะไรฟะเนี่ย.." ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

    .

    หลังจากยืนนิ่งอึ้งตะลึงงันในรูปแบบสถาปัตยกรรมอันแสนร่วมสมัยของหอพักอยู่ครู่ใหญ่จึงตัดสินใจเปิดประตูเหล็กที่แง้มค้างเอาไว้แล้วเดินเข้าไปข้างใน   เชนมองดูสภาพแวดล้อมภายในของหอพักก็พบว่ารูปแบบของตัวอาคารเป็นตึกล้อมรอบมีสวนและสระน้ำเล็กๆอยู่ตรงกลาง  

    .

    "จะว่าไปถ้าซ่อมแซมให้ดูใหม่หน่อยก็จะดีมากเลยนะ" เชนพูดพลางนึกถึงคำบอกเล่าของแม่ว่าที่นี่เคยเป็นโรงแรมมาก่อนแล้วก็เริ่มรู้สึกเห็นด้วย "เอ๋..นั่นอะไรน่ะ"

    .

    เมื่อมองออกไปตรงกลางสวนด้านนอกเชนเห็นยกทรงสีชมพูอ่อนไซส์มินิสำหรับเด็กสาววัยรุ่นวางอยู่บนพื้น   'ใครทำหล่นน่ะ' เชนคิดในใจพร้อมกับเรื่องทำหน้าที่ผู้ดูแลครั้งแรกด้วยการเดินออกไปเก็บยกทรงตัวนั้น   แต่ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มก้าวขาออกพ้นทางเดินด้านในก็พลันสะดุดเข้ากับเส้นเอ็นเล็กๆที่ขึงไว้ข้างล่างทันที

    .

    หวอ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นไปทั่วราวกับตำรวจทั้งประเทศบุกมาจับกุมบินลาดินในหอพัก   เชนยืนตกใจทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้นจนเมื่อรู้ตัวอีกทีก็ถูกส่องเล็งด้วยอาวุธปืนจากทุกทิศทาง   สภาพของเด็กหนุ่มตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับเป้านิ่งในเกมงานวัดที่พร้อมจะพรุนไปทั้งตัวในวินาทีไหนก็ได้   ในช่วงเวลานั้นเองเชนรู้สึกถึงแสงของพระเจ้าที่ส่องลงมานำทางสู่สรวงสวรรค์พร้อมกับภาพความทรงจำในวันวานที่วิ่งผ่านเข้ามาในหัวเป็นฉากๆก่อนจะมาจบที่ภาพงานศพของตนเองที่มีแม่นั่งกอดโลงร้องให้อยู่ในศาลาวัด

    .

    "คุณ..เอามือวางไว้บนหัวแล้วคุกเข่าลงกับพื้น" เสียงของผู้ชายร้องสั่งมาจากทางข้างหลัง "เดี๋ยวนี้ !"

    .

    เชนรีบทำตามคำสั่งจนพลาดล้มลงไปคลุกฝุ่นดินเบื้องล่าง   แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นกองกำลังก่อการร้ายของชาติไหน   แต่วินาทีนี้อะไรที่ทำแล้วรอดตายเชนยอมทำตามสุดชีวิต

    .

    บรรดามือปืนที่จ่อประทับเล็งอยู่รอบบริเวณพากันกรูเข้ามาค้นตัวเด็กหนุ่ม   ก่อนจะช่วยกันจับมัดขาห้อยหัวไว้กับกิ่งของต้นไม้ใหญ่กลางสวน   และนี่ก็คือเรื่องราวในช่วงที่ผ่านมาทั้งหมด..

    .

    "ชีวิตชั้นทำไมมันต้องมาจบลงไม่ต่างกับหมูในโรงเชือดอย่างนี้เนี่ย.." เริ่มปลงตก "หิวก็หิว ร้อนก็ร้อน ไอ้ฝูงเมื่อกี้มันกรูมามัดแล้วก็หายไปไหนกันหมด"

    .

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนดังขึ้นเชนรีบหันไปมองอย่างหวาดระแวง   แต่ในใจก็ยังแอบหวังภาวนาอยู่ลึกๆว่าอาจจะเป็นคนที่พาเขาออกไปจากวิกฤติเลวร้ายในชีวิตครั้งนี้ได้   แต่เมื่อได้เห็นว่าเป็นใครเชนก็ถอนหายใจออกมาอย่างปลงตกและหมดหวัง   เมื่อเขาคนนั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงมัธยมปลายตัวเล็กๆที่ดูประหม่า ขี้อาย และกำลังสั่นเป็นลูกนกด้วยความกลัว

    .

    "เอ่อ.." เด็กสาวหยุดยืนอยู่ห่างจากเชนจนแทบจะพูดกันไม่ได้ยิน "คือหนูเอาน้ำมาให้คุณคงหิวน้ำแล้ว"

    .

    เด็กสาวพูดพลางยื่นขวดน้ำดื่มที่เย็นจัดจนเห็นไอสีขาวลอยออกมาส่งให้เชนที่ห้อยหัวอยู่   เด็กหนุ่มส่ายหัวก่อนจะเอ่ยปากขอร้องส่งสายตาอ้อนวอนสุดชีวิต "เปลี่ยนเป็นปล่อยผมไปได้มั้ย..ผมไม่แจ้งรัฐบาลเกี่ยวกับที่อยู่ของพวกคุณหรอก"

    .

    "ไม่ได้หรอกค่ะ   เราต้องรอคำตัดสินจากคุณหัวหน้าว่าจะเอายังไงกับคุณดี" เด็กสาวปฏิเสธพร้อมกับชี้แจงเหตุผล

    "หัวหน้าอะไรครับ ?" 'หัวหน้าอะไรฟะ'..คำถามออกเสียงกับข้อสงสัยในใจคือเรื่องเดียวกันแต่เด็กหนุ่มเลือกจะพูดออกไปให้รื่นหูคนฟังมากที่สุด

    "ก็คุณผู้ดูแลคนใหม่ที่จะมาแทนคุณตาไง" เด็กสาวตอบ

    .

    เมื่อโอกาสทองในการรอดตายลอยมาอยู่ตรงหน้าเชนไม่รีรอที่จะเปิดเผยสถานะทันที  "ผมไง..ผมเองผู้ดูแลคนใหม่ แอ๊ก!"

    .

    ขวดน้ำดื่ม(ที่มีน้ำเต็ม)ฟาดเข้าที่หน้าของเชนอย่างแรง   เด็กสาวรีบวิ่งถอยกลับมายืนที่เดิมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงบ่งบอกถึงความโมโห "โกหก ! อย่ามาหลอกหนูเลยค่ะ"

    .

    "หน้าอ่อนๆแบบคุณแก่กว่าหนูไม่กี่ปีหรอกจะมาเป็นผู้ดูแลได้ยังไง"

    .

    ใช่สิ..หน้าแบบชั้นมันจะไปเป็นผู้ดูแลได้ยังไง  เชนคิดในใจอย่างหงุดหงิดและเริ่มพาลไปโทษคุณตาที่มอบหมายหน้าที่อันตราย(?)ขนาดนี้มาให้   จนเมื่อเงยหน้ามองขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเด็กสาวกำลังหันหลังเดินกลับออกไป

    .

    "วินาทีนี้เอาตัวรอดออกไปจากที่นี่ก่อน..เรื่องเป็นผู้ดูแลค่อยมาว่ากันอีกทีวันหลัง" เชนบอกกับตัวเองเบาๆคล้ายกับจะเรียกสติกลับมา   แผนร้ายเริ่มก่อตัวขึ้นในหัว   เด็กหนุ่มส่งเสียงตะโกนเรียกเด็กสาวที่กำลังเดินออกไปให้กลับมาทันที

    "คุณ ! " เด็กสาวหันกลับมามองอย่างเบื่อหน่ายเชนดำเนินการตามแผนทันที "น้ำน่ะ..ขอผมกินน้ำก่อนนะ"

    .

    เด็กสาวเดินกลับมาก่อนจะหยุดยืนอยู่ที่เดิมเมื่อสักครู่แล้วยื่นขวดน้ำส่งให้   เชนทำหน้าตาน่าสงสารพร้อมกับพูดอ้อนวอนซ้ำ "ผมโดนมัดขาห้อยไว้แบบนี้ไปกินไม่ถึงหรอกครับ   เข้ามาใกล้ๆหน่อยได้มั้ย.."

    .

    "น่าน..แบบนั้นแหละครับ ดีมากๆเลย" หัวใจของเชนแทบจะเด้งออกมานอกอกเมื่อแผนการกำลังจะสำเร็จในไม่ช้า

    .

    เมื่อเด็กสาวก้าวเข้ามาในระยะแขนเอื้อมถึง   เชนใช้มือสองข้างที่ไม่ได้ถูกพันธนาการตะกุยคว้าตัวเธอเอาไว้ทันที   เด็กสาวกระหน่ำขวดน้ำฟาดลงบนตัวของเขาเป็นพัลวันแต่ด้วยอารมณ์ฮึดสู้และต้องการเอาตัวรอดทำให้เชนไม่รู้สึกเจ็บ   ไม่ถึงนาทีเด็กหนุ่มก็เอามือข้างหนึ่งปิดปากเธอเอาไว้ได้เป็นผลสำเร็จ

    .

    "คุณฟังผมนะ  ห้ามร้อง ห้ามโวยวาย ห้ามตีห้ามทำอะไรทั้งนั้น "เชนกระซิบที่ข้างหู "แล้วเอื้อมมือขึ้นไปแก้มัดให้ผมเดี๋ยวนี้"

    .

    เด็กสาวทำตามคำสั่งด้วยมือที่สั่นเทาจนแทบควบคุมไม่อยู่   กว่าที่เธอจะแก้ปมเชือกนั้นได้ก็กินเวลาไปหลายนาทีแต่สุดท้ายแล้วเท้าทั้งสองข้างของเชนก็กลับมายืนบนพื้นโลกได้อีกครั้ง   มือทั้งสองข้างของเขายังคงล๊อกคอและปิดปากของเด็กสาวเอาไว้เป็นตัวประกันหากมีอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้น   วินาทีนั้นเด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนโจรปล้นธนาคารในหนังซึ่งกำลังหาทางหนีจากกองกำลังตำรวจที่ปิดล้อมเอาไว้โดยมีพนักงานสาวร่างบอบบางเป็นตัวประกัน

    .

    "กรุณาปล่อยน้องมิ้นด้วยครับ" เสียงพูด'ขอร้อง'ของใครบางคนดังขึ้น

    "ใครน่ะ !" เชนทำหน้าตาเลิ่กลั่กด้วยความตกใจ

    .

    ชายร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากมุมเสาของทางเดินหอพัก   เชนจ้องมองสังเกตุดูรูปพรรณสันฐานอย่างละเอียดและรู้สึกขึ้นมาว่าคนๆนี้น่าจะอายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี   ผมสีดำสนิทของเขาสะท้อนกับแสงแดดยามบ่ายเป็นเงางาม   ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาเชนที่จับมิ้นเป็นตัวประกันอยู่ในสวนก่อนจะหยุดยืนจ้องตาเด็กหนุ่มด้วยใบหน้าที่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

    .

    "ปล่อยเธอด้วยครับ" เขาย้ำคำพูดเดิม

    "ไม่ปล่อยเฟ้ย !" ถ้าปล่อยตอนนี้ก็ไม่พ้นโดนจับไปมัดอย่างเดิม เมื่อคิดได้อย่างนั้นเชนก็สู้ขาดใจ

    "จะปล่อยมั้ย?" หน้ายังยิ้มอยู่

    "ไม่ !" เชนยืนยันเจตนารมณ์เดิมอย่างหนักแน่น

    "ได้.." เขาพูดพลางหยิบบางอย่างออกมาจากข้างหลัง   ยังไม่ทันที่เชนจะได้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรพลันโลกทั้งใบก็มืดสนิทพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่ดับวูบไป

    .

    แสงไฟสีขาวจากหลอดฟลูออเรสเซนท์บนเพดานส่องลงมาแยงตาของเชนจนความรู้สึกต่างๆตลอดจนสติสตังเริ่มกลับมาเข้าร่างอีกครั้ง   เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่งและมองไปรอบตัวอย่างมึนงงก่อนจะมาสะดุดเข้ากับชายคนเมื่อครู่ที่กำลังนอนฟุบหลับอยู่ข้างๆเตียง   พร้อมกับโซ่ซึ่งพันรัดข้อมือของคนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน   เชนยกแขนขึ้นแล้วสบัดมือแรงๆสองสามครั้งจนชายคนนั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นและยืดตัวบิดขี้เกียจไปมา

    .

    "ตื่นแล้วเหรอครับ" ชายคนนั้นทำตาปรือๆเหมือนคนสะลึมสะลือยังไม่ตื่นเต็มที่

    "นี่มันคืออะไรกันเนี่ย" เชนสบัดโซ่ที่ล่ามเอาไว้ให้ดู

    "อ๋อ ! " เอากำปั้นทุบมือผาง "ถ้านายตื่นผมจะได้รู้ยังไงล่ะครับ"

    "ไม่ใช่โว้ย ! หมายถึงทำไมชั้นมานอนอยู่ในห้องนี้ได้ไม่ทราบ" เด็กหนุ่มแทบคลั่ง

    "เรื่องนั้นไม่ยากเลยครับ" พูดพลางยื่นมือไปหยิบอะไรบางอย่างจากข้างล่างขึ้นมา "แค่มีปืนยาสลบกระบอกนี้เท่านั้นเอง"

    .

    เชนเริ่มออกอาการสับสนว่าที่นี่คือหอพักหรือศูนย์บำบัดผู้ป่วยทางจิต   หอพักในจินตนาการหรือในความเป็นจริงที่เด็กหนุ่มรับรู้และถูกปลูกฝังมาไม่ใช่สถานที่ๆคนจะเดินพกปืนยาสลบยิงคนตามใจชอบแบบนี้   ชายคนนั้นเก็บปืนเข้าที่ก่อนจะจ้องหน้าเชนและพูดออกมา "ยินดีต้อนรับนะครับคุณผู้ดูแลคนใหม่"

    .

    เชนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่ถูกเรียกเขาด้วยพูดคำนั้น   เด็กหนุ่มทำตาโตก่อนจะถามกลับไป "นายรู้แล้วงั้นเหรอ.."

    .

    "ครับ.." ชายหนุ่มพยักหน้า "พอนายหลับไปผมก็จัดแจงตรวจกระเป๋าสัมภาระส่วนตัว กระเป๋าสตางค์ เสื้อผ้า อันเดอร์แวร์ จนหมดเลยล่ะครับเลยได้รู้ว่าคุณนามสกุลเดียวกับคุณตาผู้ดูแลคนเก่า"

    "แล้วพวกนายต้อนรับผู้ดูแลกันแบบเมื่อเช้าหรือไงหา" เชนกัดฟันพูดพร้อมกระชากคอเสื้ออย่างแค้นจัด

    "ฮ่า ฮ่า ฮ่า .. อันนั้นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อยน่ะครับ" เขาหัวเราะพร้อมกับแกะมือของเชนออก "พักนี้โจรโรคจิตขโมยชุดชั้นในมันชุมซะเหลือเกินเลยต้องมีการดักจับกันหน่อย"

    .

    'เชื่อเค้าเลย..ขอโทษซักคำก็ไม่มี  ยังจะพูดได้หน้าระรื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ' เชนคิดในใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่   ชายคนนั้นไขกุญแจที่โซ่ออกเพื่อปล่อยเชนเป็นอิสระ   เด็กหนุ่มรีบดึงมือออกมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปพูดแนะนำตัว "ชั้นเชนนะ..จะมาดูแลที่นี่แทนคุณตาตั้งแต่วันนี้ไป"

    .

    "คร้าบ..ผมแม๊กครับผู้ช่วยผู้ดูแลคนเก่า.." แม๊กส่งมือให้กับเชน "ยินดีที่ได้ร่วมงานนะครับ"

    "อืม.." เชนพูดยินดีไม่เต็มปากเท่าไหร่นักแต่ก็ยื่นมือไปจับตอบ

    .

    เมื่อฤทธิ์ยาสลบเจือจางหายไปจนหมดสิ้นเชนลุกเดินออกจากห้องนั้นแล้วขึ้นไปยังห้องของผู้ดูแลโดยมีแม๊กเดินถือกระเป๋าตามมาติดๆ

    .

    "แล้วที่นี่มีคนอยู่ทั้งหมดกี่คนเหรอ" เชนถาม

    .

    แม๊กทำท่านับในใจก่อนจะตอบกลับมา "ไม่เยอะครับ.. ถ้าคนที่อยู่ประจำก็14คนส่วนที่จ่ายค่าเช่าไว้ล่วงหน้าเป็นรายปีแล้วแวะเวียนมาก็มี4คนครับ"

    .

    "น้อยจังนะ.." เชนพูดออกมาเบาๆ

    "ทำเลแถวนี้มันไม่สะดวกครับ..แถมยังตั้งอยู่ในซอยลึกขนาดนี้คนจะหาเจอก็คงยาก" แม๊กตอบแล้วยิ้มตาหยี

    .

    เชนหลบสายตาจากรอยยิ้มนั้นของชายหนุ่มด้วยความรู้สึกแปลกๆก่อนที่จะไขกุญแจห้องผู้ดูแลเข้าไปข้างใน "ขอบใจที่ช่วยถือกระเป๋า..นายกลับห้องไปได้แล้วล่ะ"

    .

    "ครับ..หลับให้สบายนะครับ" แม๊กส่งกระเป๋าคืนให้แล้วเดินลงบันใดกลับไปยังห้องของตนเอง

    .

    เชนปิดประตูห้องก่อนจะนั่งลงเอาหลังพิงประตูพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างอ่อนเพลียร่างกายระคนหนักใจในภาระ   ความเงียบในห้องทำให้จิตใจที่คิดฟุ้งซ่านวุ่นวายของเขาสงบลงได้บ้างเล็กน้อย   เด็กหนุ่มยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วเริ่มลงมือจัดของจากในกระเป๋าเข้าตู้ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนและหลับไปในที่สุด..

    .
    .

    To Be Continued . .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×