ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #94 : เล่ม 4 - ตอนที่ 49 - กลีบเมฆ (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 855
      0
      8 ม.ค. 51

    ภาคปฏิวัติ!
    ตอนที่ 49 กลีบเมฆ
    15 กุมภาพันธ์ อศ. 226
     
    กุนซือราเมสเสร็จงานลาดตระเวนในยามเช้าจึงเข้ามานั่งในห้องประชุมเพื่อสะสางงานเอกสารและจดหมายต่างๆ
                    ห้องประชุมแห่งนี้หลงเหลือเพียงเขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ที่จะเข้ามาใช้โดยอิสระ ผู้นำการาดอส แม่ทัพมอริแกนและรองแม่ทัพซันโจต่างก็ออกไปปฏิบัติงานที่เมืองเจนีสใต้กันหมด
                    กุนซือราเมสใช้เวลาในยามเช้าหลังลาดตระเวนอ่านจดหมายจากพิราบสื่อสารสิบกว่าตัวทุกวัน รับรายงานข่าวสารจากทุกทิศทาง ในการเตรียมการเรื่องกองทัพข่าวสารนับเป็นสิ่งที่มีมูลค่ามหาศาล บางคนถึงกับยินยอมจ่ายเงินเป็นร้อยเป็นพันเหรียญทองเพื่อแลกมากับข่าวสารที่แม่นยำ รวดเร็วและเชื่อถือได้ หากปัจจัยทั้งสามผิดพลาดไปแม้แต่ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งอาจทำให้กองทัพที่สั่งสมกันมาเป็นแรมปีล่มสลายได้ภายในชั่วข้ามคืน
                    กุนซือราเมสอ่านจดหมายของโรสยาวนานเป็นพิเศษ ซึ่งในจดหมายระบุถึงเรื่องในที่ประชุมเมื่อวาน พออ่านจบใบหน้าก็เกิดอาการบัดเดี๋ยวหมองคล้ำบัดเดี๋ยวซีดขาว ด้วยปัญญาของกุนซือราเมสสามารถคำนวณได้ด้วยความว่องไวว่าหากจดหมายฉบับนี้มาถึงช้ากว่านี้เพียงวันหนึ่ง พวกเขาจะถูกยัดเยียดความปราชัยให้ตั้งแต่ยังไม่ทันสู้รบ จึงร้องเรียกทหารคนสนิทที่ประจำการอยู่นอกห้องทั้งสองคนมาทันที
                    สั่งการทหารคนหนึ่งกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องด่วนที่สุด เจ้าจงไปแจ้งข่าวให้พี่น้องทั้งหลายที่ยังอยู่ในเมืองรวมพลในบ้านช่องเป็นกลุ่มย่อยๆตามที่ผังระบุไว้ บอกนายกองที่คุมหน่วยทหารทุกหน่วยให้จัดการลูกน้องของตนให้อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมถึงขีดสุด ยกเลิกคำสั่งพักผ่อนและสังเกตการณ์ทั้งหมด เตรียมรับการศึกที่จะเปิดฉากขึ้นในเวลาไม่เกินยี่สิบสี่ชั่วโมง”
                    จากนั้นจึงหันหน้าไปกล่าวกับทหารอีกคนหนึ่งว่า “ส่วนเจ้าให้ไปแจ้งข่าวถึงทหารสามพันที่อยู่บริเวณชายป่า ให้จุดไฟส่งสัญญาณบอกให้แม่ทัพมอริแกนและผู้นำการาดอสเคลื่อนทัพ ทันใดที่พวกเราเห็นกองกำลังของผู้นำการาดอสพวกเราจะเปิดฉากรุกในทันที”
                    ในขณะที่ทหารทั้งสองกำลังจะออกไปปฏิบัติตามคำสั่งพลันมีทหารอีกคนหนึ่งถือจดหมายเข้ามารายงานว่า “เรียนท่านกุนซือ จากการซุ่มสังเกตของพี่น้องพบว่าอัศวินดำหมายเลขสามนามว่าเอริคขึ้นรถม้าย้ายไปประจำการที่เมืองโอดินเช้านี้ มันได้ส่งมอบกองกำลังรักษาเมืองเจนีสเหนือให้อยู่ภายใต้การควบคุมของรองหัวหน้าอัศวินดำคอร์เนเลียที่พึ่งจะเดินทางมาถึง พร้อมกับชายชราผมขาวไว้เครายาวจรดอกหน้าตาชั่วร้ายอีกคนหนึ่ง”
                    กุนซือราเมสเห็นฝ่ายตรงข้ามย้ายขุนพลผู้ชำนาญศึกเข้ามาประจำการ จึงทำให้การศึกครั้งนี้ตึงมือยิ่งนัก เมื่อผู้ปกครองทั้งสามเดินทางมาถึงนครหลวงนอร์โปลิสก่อนกำหนด เพื่อจัดพิธีมอบตำแหน่งมือปราบชั้นหนึ่งนับเป็นโอกาสอันดีของพวกเวอร์น่อน ยิ่งพวกมันรู้ว่าพวกเราทราบเรื่องระแคะระคายเกี่ยวกับปฏิบัติการพวกมันคงไม่อยู่นิ่งเฉย ย่อมต้องปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์เฉพาะหน้า
                    เขาหยิบกระดาษปากกาขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งสอดใส่กระบอกที่ขาพิราบสื่อสารไปให้ผู้นำการาดอสโดยพลัน ในเนื้อความระบุว่าคืนนี้พวกเขาจะลงมือขอให้เคลื่อนพลทันทีที่ได้รับจดหมาย
                    กุนซือราเมสรู้ทันทีว่าตนเองแทบไม่มีเวลาเหลืออีก ต้องทำงานแข่งกับสถานการณ์เฉพาะหน้า รุดออกไปนอกห้องสั่งการนายกองทุกคนเป็นพัลวัน เตรียมเรียกประชุมเพื่ออธิบายกลยุทธ์ในทุกขั้นตอนทุกรายละเอียด
                    คอร์เนเลีย ... ในที่สุดก็มีวันที่เราต้องเผชิญหน้ากันในสมรภูมิ
     
    โรสก้าวเท้าลงจากรถม้า รองเท้าลายปักสีเขียวใบไม้เข้าชุดกับเสื้อผ้าสีเขียวที่นางสวมใส่
                    รถม้าที่บลูขับยังคงไม่แล่นไปไหน เขากับรินะตกลงว่าจะรอคอยอยู่ที่นี่สักครู่หนึ่งจนกว่าโรสจะเข้าไปในตึกธงดาบได้โดยปลอดภัย
                    เวลาผ่านไปพักหนึ่ง ปรากฏเป็นร่างของซิลิเซียหญิงสาวผู้เป็นธิดาคนเล็กของสมาชิกสภาโจนาธานออกมาต้อนรับสาวงามผมทองชาวลาเวนดิสผู้นี้ ทั้งสองคนเดินหายเข้าไปในตึกธงดาบอย่างเป็นกันเองทำให้บลูและรินะวางใจในระดับหนึ่ง บลูจึงกระตุ้นม้ามุ่งหน้าต่อไปที่หอน้อยกลางน้ำ
                    นี่เป็นครั้งแรกของโรซาไลน์ที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศภายในตึกธงดาบ นางมีความรู้สึกว่าตึกหลังนี้ช่างโอ่อ่าโอ่โถงยิ่งนัก เปรียบกับที่พักของลุงกอร์ดอนที่เป็นนักล่าสมบัติชื่อดังยังห่างกันอยู่ช่วงใหญ่ มองร่างของซิลิเซียที่ลดตัวลงมาเป็นผู้นำทาง ไม่ว่าทวงท่าการเดินหรืออิริยาบถการสนทนาล้วนกอปรด้วยราศีของราชนิกูลชั้นสูง
                    โรสมิได้ถูกนำทางไปยังศาลาสีขาวในสวนดั่งเช่นที่พวกลูทเคยไปมาครั้งหนึ่ง ซิลิเซียพานางไปที่ห้องหนังสือของโจนาธานผู้เป็นบิดา ภายในห้องมีชั้นหนังสือวางเรียงรายกันหลายสิบชั้นแต่ละชั้นล้วนมีหนังสือหลายสิบเล่ม แต่ปราศจากฝุ่นผงแสดงว่ามีผู้คนดูแลเป็นอย่างดี
                    โจนาธานผู้เป็นหนึ่งในสมาชิกสภาแห่งสหพันธรัฐนอร์กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่ เมื่อเห็นธิดานำโรซาไลน์เข้ามาพบจึงเอ่ยปากเชื้อเชิญให้นั่งลงก่อน
                    โจนาธานกล่าวแนะนำเป็นพิธีว่า “นี่คือซิลิเซียผู้เป็นธิดาคนรองของข้า ส่วนนี่คือธิดาของเพื่อนสนิทพ่อชื่อโรซาไลน์ ข้าอยากจะให้พวกเจ้าทั้งสองทำความรู้จักกันไว้เผื่อวันหน้ามีเรื่องอันใดจะได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ในฐานะที่บิดามารดาของพวกเจ้าทั้งสองเป็นสหายที่รู้จักกันมานาน”
                    ซิลิเซียกล่าวว่า “ข้าได้สนทนากับโรสมาบ้างแล้ว นางเป็นสตรีที่น่ารักเชื่อว่าจะเป็นสหายที่ดีของข้า”
                    โรสกล่าวสนับสนุนว่า “ซิลิเซียเจ้าอายุเท่าไรหรือ?
                    ซิลิเซียยิ้มให้กับโรสกล่าวว่า “ข้าอายุยี่สิบปีพอดี แล้วเจ้าล่ะ”
                    โรสยิ้มตอบกล่าวว่า “ข้าเองก็เช่นกัน”
                    โจนาธานเห็นสองสาวสนทนากันด้วยดีจึงเกิดความพึงพอใจ กล่าวกับซิลิเซียว่า “พี่สาวของเจ้าไปไหนเสียแล้ว ข้าอยากจะให้นางทำความรู้จักโรซาไลน์เอาไว้ด้วยเหมือนกัน”
                    “พี่โซเฟียออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้า คาดว่าคงไปหาซื้อของเล็กๆน้อยๆ”
                    โจนาธานพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร” จากนั้นหันไปกล่าวกับโรสว่า “พ่อแม่ของเจ้าทั้งสองคนล้วนเป็นสหายสนิทของข้า พ่อของเจ้าวินสตัน คอรันดัมเป็นขุนพลอันดับหนึ่งของราชอาณาจักรลาเวนดิส ส่วนแม่ของเจ้าลอร่าเคยเป็นอาจารย์สอนศาสตร์แห่งเอลอยู่ที่โรงเรียนเซนต์เอลลิสสาขากรุงเดว่า เจ้ารู้เรื่องราวพวกนี้หรือไม่?
                    โรซาไลน์ส่ายหน้ากล่าวว่า “ข้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าแม่ของข้าเป็นอาจารย์ของโรงเรียนเซนต์เอลลิส”
                    โจนาธานเอนหลังพิงพนักโดยมีหญิงสาวสองคนกำลังรอฟังคำบอกเล่า กล่าวว่า “แม่ของเจ้าเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั้งด้านฝีมือและความงามในสมัยนั้นจนมีบุรุษหลายคนต่างหมายปอง ข้าเองในฐานะทูตของสหพันธรัฐนอร์ประจำกรุงเดว่าและบิดาของเจ้าขุนพลวินสตันต่างก็หลงรักนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ข้าจะกลับมาทำงานในฐานะของสมาชิกรัฐสภาจนพบกับภรรยาที่ล่วงลับไป”
                    ซิลิเซียพลันกล่าวว่า “ข้าไม่เห็นรู้มาก่อนว่าพ่อเคยรักผู้หญิงคนอื่นด้วย”
                    โจนาธานส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ตั้งแต่ข้าพบกับแม่ของเจ้าก็ตกลงใจกับตนเองว่าจะไม่กล่าวถึงผู้หญิงคนอื่นอีก จวบจนกระทั่งข้าได้พบกับโรซาไลน์จึงจำต้องเล่าเรื่องของลอร่าให้นางฟัง”
                    “มิใช่เช่นนั้น ข้าไม่เคยคิดว่าพ่อจะแปรใจเป็นอื่นจากแม่แม้แต่น้อย เพียงแต่ข้าสงสัยเกี่ยวกับความรักของพ่อในวัยหนุ่มเท่านั้น”         
    โรซาไลน์ก้มศรีษะกล่าวเป็นเชิงขอร้องว่า “ได้โปรดเล่าเรื่องของพ่อแม่ข้าให้ฟังด้วยเถิด ตั้งแต่ที่พ่อแม่จากไปเมื่อสิบสี่ปีก่อนก็ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงเรื่องของพวกเขาให้ข้าฟังอีก รวมทั้งลุงกอร์ดอนที่เลี้ยงข้ามาด้วย หลายปีที่ผ่านมาข้าใช้ชีวิตทุกวินาทีอยู่กับการเฝ้ารอคอยด้วยความหวังที่ว่าพ่อแม่จะกลับมาสักวันหนึ่ง”
    โจนาธานกล่าวด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “เจ้าอาศัยอยู่กับนักล่าสมบัติกอร์ดอนเองหรือนี่? ข้าไม่รู้จักเขาโดยตรงหรอกเพียงแต่ได้ยินกิตติศัพท์มาบ้าง”
    จากนั้นพลันถอนหายใจ เงยหน้ามองเพดานรำลึกความหลังที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำไม่เลือนราง กล่าวว่า “กลางดึกของวันหนึ่งเมื่อสิบสี่ปีก่อน ในคืนนั้นฝนตกหนักและหมอกลงจัดจนแทบมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมในระยะห้าก้าว ขณะที่ข้ากำลังจะกลับเข้าตึกธงดาบหลังจากที่ทำงานจนดึกดื่นพลันสังเกตเห็นบุรุษหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนรอข้าอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ก่อนจะถึงตึกแห่งนี้”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×