ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #89 : เล่ม 4 - ตอนที่ 46 - สิบสองปีแห่งความหลัง (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 943
      0
      29 ธ.ค. 50

    นกกระจิบสองตัวโผบินอยู่บนท้องนภา ท้องฟ้าอันสดใสปราศจากเมฆหมอกบดบัง
                    ดูเหมือนว่านกสองตัวนั้นจะเป็นคู่รักกันถึงได้บินฉวัดเฉวียนเคียงคู่เช่นนี้สายตาคู่หนึ่งจับจ้องนกทั้งสองนั้นจากระยะไกล สตรีสาววัยสิบหกกิริยาสุภาพเรียบร้อยสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าขาวยิ้มออกมาด้วยความประทับใจ นกกระจิบสีเทาที่มิได้มีความสวยงามอันใดก็มีความรักอันน่าจดจำ
                    แต่ฉากอันชื่นมื่นแสนหวานเช่นนี้กลับต้องพังทลายลง
                    “ยิงมัน!
                    นางได้ยินเสียงของเด็กชายอายุสิบสองสิบสามกลุ่มหนึ่ง ด้วยความคึกคะนองและซุกซน ต่างคนต่างถือไม้สลิงรูปสามง่ามอันหนึ่ง บรรจุก้อนหินที่ใช้เป็นกระสุนแล้วปล่อยออกไป ก้อนหินสิบกว่าลูกเปรียบเสมือนฝนดาวตกขนาดย่อม ที่คุกคามมาถึงชีวิตโดยที่นกทั้งสองมิได้รู้ตัว
                    ภาพที่นางเห็นช่างน่าสลดใจยิ่งกว่า นกตัวหนึ่งช่วยบดบังก้อนหินให้นกอีกตัวหนึ่ง ถูกยิงจนเสียงการทรงตัว ปีกปรากฏโลหิตหลั่งไหล ร่วงหล่นลงมายังพื้นดิน ในขณะที่นกอีกตัวหนึ่งบินหนีไปได้ด้วยความปลอดภัย จิตใจของนางเต้นระทึกดุจรัวกลอง วิ่งเข้าไปดูอาการของวิหคตัวนั้นทันที
                    “พวกเจ้าทำอะไรกัน!? เสียงตวาดของบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น
                    “รีบหนีเร็ว รุ่นพี่มาแล้ว” เด็กวัยซนทั้งหลายที่พึ่งจะทำลายครอบครัวอันแสนอบอุ่นครอบครัวหนึ่งพากันวิ่งหนีแตกกระเจิงออกไป ต่างคนต่างเสียดายที่มิอาจยิงนกอีกตัวหนึ่งให้ตกลงมา มิได้รู้สึกว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นการพลัดพรากคู่รักจนหัวใจของอีกฝ่ายแทบจะแตกสลาย รู้เพียงแต่ว่าการละเล่นในครั้งนี้ให้ความสนุกและตื่นเต้นดีแท้
                    นี่หรือความสุขของมนุษย์?
                    ปรากฏเป็นร่างของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้หนึ่ง เขาเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ที่วิหคสองตัวนั้นบินเคียงคู่ จนกระทั้งตัวหนึ่งตกจากฟ้าอย่างชัดเจน รูปร่างอันสูงโปร่งนั้นเห็นได้ชัดว่าโดดเด่นกว่าบุรุษหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีทั่วไป โผเข้าไปทางทิศของนกที่ร่วงหล่นด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า ด้วยความหวังที่จะให้มันยังมีชีวิตอยู่
                    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ามิใช่ภาพของวิหคที่บาดเจ็บ แต่กลับเป็นภาพของหญิงสาวชาวนอร์ผมสีแดงยาวสลวย ผิวขาวปานหิมะนางหนึ่ง กำลังปฐมพยาบาลนกตัวนั้นด้วยความทนุถนอม บุรุษหนุ่มมิได้รู้หรอกว่าภาพตรงหน้านี้จะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาตลอดไป
                    “มันเป็นอย่างไรบ้าง?” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากขึ้นด้วยความเป็นห่วง
                    “อา” เสียงอุทานของสตรีผมแดงดังขึ้น เงยหน้าขึ้นมามองบุรุษหนุ่ม พลางกล่าวด้วยความรู้ความสามารถทางการแพทย์ว่า “มันได้รับบาดเจ็บ คาดว่ากระดูกบางส่วนอาจหัก ถ้าได้รับการพยาบาลนับแต่วันนี้ อีกไม่นานมันจะคืนสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง”
                    ความงามของสตรีตรงหน้ามิอาจเปรียบกับสตรีใดๆที่เคยพบพาน นัยน์ตาที่บ่งบอกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึก อากัปกิริยาที่อ่อนหวานและทวงท่าอันน่าทนุถนอม น้ำเสียงการพูดที่มีเอกลักษณ์และมีเสน่ห์ของสตรีแฝงอยู่ภายใน ดึงดูดเอาสติของบุรุษหนุ่มไปชั่วขณะ
                    “เมื่อมีเจ้าที่ทราบวิชาแพทย์เช่นนี้ ข้าก็วางใจ” บุรุษหนุ่มไม่ชมชอบสนทนาสักเท่าใด แม้จะประทับใจในอิสตรีตรงหน้า แต่เมื่อพบว่าวิหคตัวนั้นมีหนทางกลับคืนสู่ท้องนภา ก็ตระเตรียมจะจากไป
                    “รอสักครู่” เสียงกล่าวทัดทานของสตรีนางนั้นดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนหวาน กล่าวว่า “ต้องขอขอบคุณที่ท่านช่วยปรามเด็กพวกนั้น”
                    บุรุษหนุ่มหันกลับมายิ้มให้กับนางครั้งหนึ่ง มิได้กล่าวอะไรแล้วจากไป
     
    รินะเดินเข้ามาหาลูทมอบยาให้เขาเม็ดหนึ่งกล่าวว่า “ยาเม็ดนี้เป็นยาบรรเทาอาการปวดของพิษผีเสื้อสีคราม เมื่อใดที่พิษกำเริบขอให้พี่รับประทานเข้าไปเม็ดหนึ่งอาการปวดจะเบาบางลง”
                    ลูทรับยาเม็ดนั้นมากล่าวขอบคุณครั้งหนึ่ง
                    รินะพลางกล่าวต่อไปว่า “แต่นั่นมิได้หมายความว่าพิษจะถูกขจัดออกไปกับตัวยา พิษที่กำเริบก็ยังคงกำเริบอยู่เช่นนั้นจนกว่าร่างกายของพี่จะขจัดฤทธิ์ของมันไปได้เอง เพียงแต่จะช่วยให้ความทรมานระหว่างนั้นลดน้อยลง”
                    “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจเจ้ามาก” ลูทเห็นว่าศิษย์น้องผู้นี้ก็มีความรู้เรื่องตัวยาพอสมควร สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่ายาชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างไร เป็นที่แน่นอนว่าพึ่งพาได้อีกคนหนึ่ง
                    ทันใดนั้นทั้งสองพลันได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้น เสียงอันคุ้นเคยของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาว่า “ฟื้นแล้วใช่หรือไม่ เป็นอย่างไรบ้างลูท พิษระดับนี้ไม่คณาฝีมืออาจารย์กับศิษย์น้องของเจ้าหรอก”
                    ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่มีใบหน้าอ่อนราวกับคนอายุเพียงสามสิบปลายๆเดินเข้ามาในห้องพัก ซึ่งความจริงนั้นปีนี้เขาอายุสี่สิบเจ็ดแล้ว ร่างกายสมส่วนสูงกว่าลูทไม่เกินหนึ่งนิ้ว ไว้ผมสีน้ำตาลเข้มค่อนข้างยาวจนต้องผูกปมไว้ด้านหลังมิให้เกะกะ มีผิวสีขาวอมแทนและใบหน้ารูปไข่ที่บ่งบอกความเป็นชาวมิสต์เต็มตัว ใส่ชุดเดินทางสีน้ำตาลเข้มดูไปเหมือนกับชาวบ้านที่มีฐานะปานกลางแต่มีรสนิยมคนหนึ่ง แต่ในทางกลับกันไม่มีส่วนใดในร่างที่บ่งบอกความเป็นยอดฝีมือแม้แต่น้อย ใบหน้าที่ดูแล้วใจดีประดับไปด้วยรอยยิ้มตลอดเวลา ดวงตาที่บ่งบอกความจริงใจหลังแว่นตากรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีไม้โอ๊ค ข้างเอวพกกระบี่สั้นทำจากเหล็กเก่าเกือบขึ้นสนิมเล่มหนึ่ง จะเรียกว่าเป็นกระบี่ยังเรียกได้ลำบากเนื่องจากมันเหมือนกับเศษเหล็กแท่งหนึ่งเสียมากกว่า ชายผู้นี้กล่าวขึ้นพร้อมก้าวเข้ามาดูสภาพของลูทบนเตียง
                    ตามมาด้วยเสียงของชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดี นั่นคือบลูกับโรสผู้เป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เมื่อทั้งสองเห็นลูทบาดเจ็บต้องนอนอยู่บนเตียงจึงพากันมาดูอาการด้วยความเป็นห่วง คนทั้งสามเจอกันอีกครั้งหลังจากศึกกลางแม่น้ำนอร์ริชก็ยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่งกอดกันกลมอยู่บนเตียงผู้ป่วย จนอาจารย์ต้องรุดเข้ามากั้นเอาไว้มิฉะนั้นลูทคงหายใจไม่ออกตายด้วยแรงกอดของทั้งบลูและโรซาไลน์
                    อาจารย์ดาธใช้ฝ่ามือทาบที่หน้าผากของลูท ส่งผ่านเอลไปทั่วร่างตรวจสอบอาการ ระหว่างนั้นลูทรู้สึกว่ามีพลังอบอุ่นขุมหนึ่งแทรกตัวเข้ามา เวลาผ่านไปพักหนึ่งอาจารย์ก็กล่าวว่า “เจ้าไม่เป็นไรแล้วลงจากเตียงมาได้”
                    บลูกล่าวขึ้นด้วยความยินดีที่เห็นเพื่อนตัวเองหายว่า “เจ้ามันอึดยิ่งกว่าควายป่าเสียอีก มีที่ไหนถูกพิษขนาดนี้แล้วไม่รู้สึกรู้สาอันใด”
                    ลูทร้องเพ้ยขึ้นมาทันที กล่าวว่า “ข้ามิใช่คางคกที่จะไม่รู้สึกอะไรกับพิษเหล่านี้ ต้องขอบคุณศิษย์น้องที่น่ารักของเจ้าที่กำนัลมีดอาบยาพิษให้ข้า”
                    บลูไม่เข้าใจจึงกล่าวว่า “เจ้าหมายถึงใคร?
                    “จะมีใครเสียได้อีกนอกจากพริม ข้าจะบอกให้เอาบุญว่านางเป็นอัศวินดำหมายเลขเก้า ที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่ของพวกเราโดยใช้ตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ของรินะ”
                    คราวนี้ทั้งบลู โรสและรินะสามคนอุทานขึ้นมาพร้อมกันว่า “ว่ากระไร!?
                    ลูทกล่าวอย่างจริงจังต่อไปว่า “เรื่องนี้ไม่ผิดแน่นอน ไม่ว่าครูชานอนหรือยูกิต่างเป็นพยานปากสำคัญที่เชื่อถือได้ และถ้าหากพวกเจ้าต้องการหลักฐาน ยอดหญิงยูกิได้เก็บตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ของรินะ ที่ตกจากข้อมือของพริมเอาไว้บนหอน้อยกลางน้ำ นี่ต้องขอบคุณนางเหมือนกันที่ช่วยชีวิตน้อยๆของข้าเอาไว้ได้”
                    ความรู้สึกเจ็บปวดใจอันเกิดจากความรักเมื่อเอ่ยถึงยูกิพลันลดลง แผลใจของเขาดูเหมือนจะตื้นขึ้นเมื่ออยู่ท่ามกลางหมู่มิตรสหายที่รักและไว้ใจ
                    บลูขบเคี้ยวเขี้ยวฟันกล่าวว่า “ข้าคิดไว้แล้วไม่ผิดว่ามันต้องมีพิรุธอะไรบางอย่าง เมื่อครั้งที่สู้กับคิเมร่าพริมปรากฏตัวได้เหมาะเจาะเกินไป หลังจากนั้นวันหนึ่งข้าลากนางออกไปเค้นความจริงถามไถ่ให้รู้เรื่องแต่กลับถูกมารยาหญิงหลอกซ้ำอีกครั้งหนึ่ง นึกแล้วมันน่าแค้นยิ่งนัก ข้าช่างโง่เสียจริง”
                    ลูทถอนหายใจครั้งหนึ่งกล่าวว่า “ยิ่งไปกว่านั้นความตายของพี่สตาร์ก็มีสาเหตุมาจากนาง”
                    บลูและโรสทั้งสองอุทานขึ้นอีกครั้งว่า “ว่ากระไร!?
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×