ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #85 : เล่ม 3 - ตอนที่ 36 - ไม่คาดฝัน (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 926
      0
      20 ธ.ค. 50

    ผู้ที่คว้ากระดาษใบนั้นไว้ให้ลูทกลับเป็นยอดหญิงยูกิ อาเมดะ สตรีคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้รับตำแหน่งยอดหญิงจากการประลองอาร์คาน่า
                    ยูกิอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงยาวสีเหลืองเนื้อผ้าเบาบางสองชั้น สวมรองเท้าลายปักเป็นรูปดอกไม้สีเหลืองอ่อนเข้ากับชุดเสื้อกระโปรง บนคอที่สูงระหงมองไปจะเห็นสร้อยคอที่ทำจากทองคำขาวคล้องแหวนที่สร้างจากวัสดุประเภทเดียวกันเอาไว้วงหนึ่ง แกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม นับเป็นเครื่องประดับที่ไม่ค่อยจะเห็นในยุคนี้เท่าใดนัก
    สตรีผมดำขลับนางนี้เหลือบมองกระดาษใบนั้นโดยมิได้ตั้งใจ เห็นต้นแบบดินสอของหน้าไม้อัตโนมัติจึงส่งคืนให้กับลูท พร้อมกับชวนคุยด้วยความสนใจว่า “เจ้าเป็นนักประดิษฐ์หรือ? ข้าไม่เคยเห็นภาพร่างของวัตถุเช่นนี้มาก่อน”
    ในฐานะของยอดหญิงที่มีความรู้ทั่วไปทั้งตามแนวกว้างและตามแนวลึก ยูกิเองจึงมีความรู้ในเรื่องสิ่งประดิษฐ์อยู่บ้างแม้ว่านางจะไม่สามารถลงมือประดิษฐ์สิ่งของเป็นชิ้นๆได้ด้วยตนเอง แต่อย่างน้อยก็รู้จักวิธีการร่างต้นแบบสิ่งประดิษฐ์ด้วยดินสอ พอได้เห็นรูปที่ปรากฏอยู่บนกระดาษไม่ตรงกับสิ่งใดที่เคยเห็นมาก่อน กระดาษแผ่นนี้จึงสะกิดความสงสัยของยอดหญิงขึ้น
    ลูทตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินคำว่า “นักประดิษฐ์” คำๆนี้เหมือนกับเป็นเสียงระฆังดังก้องกังวานในใจ บุรุษหนุ่มภูมิใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อมีคนเรียกเขาอย่างนี้ จึงกล่าวทันทีว่า “ใช่แล้วข้าเป็นนักประดิษฐ์ กระดาษแผ่นนั้นข้าพึ่งจะร่างขึ้นเสร็จเมื่อครู่นี้ หากมันตกน้ำไปก็คงจะแย่ ดีที่เจ้ามาช่วยคว้าเอาไว้ได้ทัน”
    ยูกิเกิดความสงสัยอยากรู้ขึ้นไปอีกจึงกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้หรือ ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่?
    ลูทยิ้มด้วยความเบิกบานที่มีคนมาขอชมผลงานของตัวเอง เกิดภูมิใจราวกับว่าเป็นนักประดิษฐ์ชั้นยอดของโลกอย่างใดอย่างนั้น กล่าวว่า “เชิญเจ้าที่ม้านั่งตรงนั้นดีไหม เอ่อจริงสิ ข้ายังไม่ได้กล่าวขอบคุณเจ้าเลย ขอบคุณมาก”
    ยูกิยิ้มให้แก่ลูทพร้อมกับเอามือป้องไรผมมิให้ยุ่งเหยิงจากลมทะเลสาบ สายลมเย็นที่พัดผ่านในยามนี้พัดเอากลิ่นหอมของเรือนผมโชยมาจางๆ นั่งลงที่เก้าอี้ยาวพร้อมกล่าวอย่างอ่อนหวานว่า “ไม่เป็นไร”
    อิริยาบถอันเป็นธรรมชาติของยูกิตรงหน้าทำให้ลูทต้องสูดลมหายใจเข้าปอดไปด้วยความหวั่นไหว อาทิตย์อัศดงที่ว่าบรรเจิดที่สุดในใต้หล้ายังไม่เท่ายิ้มเดียวของหญิงงามเบื้องหน้า
    ทั้งสองนั่งลงที่ม้านั่งยาวที่ลูทใช้เป็น “โต๊ะทำงาน” เมื่อครู่ เขาหยิบยื่นกระดาษสามสี่แผ่นที่มีภาพร่างของหน้าไม้ไฮดรารุ่นที่สองให้กับโฉมสะคราญ หลังจากนั้นกลับเกิดความกระดากใจเล็กน้อยเมื่อเอะใจขึ้นเรื่องหนึ่ง มองไปเห็นตัวหนังสือขยุกขยิกบนกระดาษ ลายมือของเขานั้นเรียกได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐาน หรือถ้าจะให้พูดตามตรงคือเข้าขั้นยอดแย่ อีกทั้งในขณะที่ร่างกระดาษพวกนี้บนม้านั่งยาวอันปราศจากโต๊ะตั้ง ลายมือที่เรียกว่ายอดแย่อยู่แล้วยังแย่กว่าเดิมลงไปอีกสองขั้น วินาทีนั้นลูทแทบจะเอาหน้าซุกลงพสุธาให้รู้แล้วรู้รอดไป
    ยูกิกลับไม่คิดเช่นนั้น นางทอดสายตามองดูลายเส้นสิ่งประดิษฐ์อย่างชื่นชม ภาพร่างต้นแบบไม่ใช่เรียงความร้อยแก้วที่จะต้องดื่มด่ำกับตัวอักษร หากแต่มีตัวอักษรย่อและเครื่องหมายเขียนกำกับรูปภาพเสียเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้จะเป็นลายมือแย่ขนาดไหนยูกิเองก็ยังพอจะคาดเดาเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ออก รูปภาพที่ลูทวาดขึ้นจัดว่าดูง่ายเป็นระบบระเบียบไม่ย่ำแย่เหมือนลายมือ ยอดหญิงที่มีพื้นฐานความรู้ทางด้านสิ่งประดิษฐ์อยู่แล้วมองปราดเดียวก็รู้ว่าภาพร่างพวกนี้หมายถึงอะไร ยิ่งมองดูก็ยิ่งเกิดความน่าสนใจ จากสิ่งประดิษฐ์ที่ตนไม่เคยเห็นมาก่อน
    ยูกิถามทั้งๆที่สายตายังไม่ละจากกระดาษแผ่นที่สามว่า “เจ้าใช้เวลานานไหมกว่าจะร่างภาพต้นแบบของอาวุธชิ้นนี้ขึ้นมาได้?
    ลูทตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “น่าจะประมาณชั่วโมงหนึ่ง”
    ยูกิหันขวับมาทันทีถามเน้นว่า “ชั่วโมงหนึ่ง!?
    พอลูทได้ยินยูกิถามย้ำจึงต้องเค้นสมองหาเวลาที่แน่นอน ไม่แน่ใจว่านางจะอยากรู้เวลาที่ใช้ในการทำงานไปทำไม จึงได้แต่ตอบตามจริงว่า “น่าจะประมาณนั้น เพราะก่อนที่ข้าจะเริ่มตั้งหน้าตั้งตาทำงานยังเห็นดวงตะวันลอยอยู่เหนือน้ำประมาณคืบหนึ่ง หากให้คาดเดาอย่างพอสังเขป เวลาที่ใช้สมควรจะอยู่ราวชั่วโมงหนึ่งขาดเหลือนิดหน่อย”
    ยูกิได้ยินคำตอบเมื่อครู่ไปถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ จากนั้นจึงถามต่อไปว่า “เจ้าคำนวณตัวเลขพวกนี้เอาไว้ก่อนแล้วหรือ รวมทั้งพวกกลไกเอลเทคเหล่านี้ด้วย?
    ลูทส่ายศีรษะกล่าวว่า “เปล่าหรอก ทั้งหมดนี้ข้าพึ่งทำเมื่อครู่เอง”
    ยูกิคำนึงในใจแต่มิได้กล่าวออกมาว่า นี่เป็นไปได้อย่างไร? การคำนวณในระดับนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งวัน เขาคนนี้กลับทำได้ในชั่วโมงเดียว ... ไม่สิ ... ต้องเรียกว่าน้อยกว่าชั่วโมงหนึ่ง เพราะเวลาชั่วโมงหนึ่งที่ใช้นั้นนับรวมการร่างภาพต้นแบบด้วย
    ลูทเข้าใจไปเองว่ายูกิท่าทางจะชื่นชอบในผลงานการคำนวณมากจึงเริ่มอธิบายว่า “การคำนวณพวกนี้ต้องใช้กฏของเอลเทคข้อที่หนึ่งถึงห้าเข้าช่วย ในการถอดสมการพวกนี้ก็เช่นกัน ...” จากนั้นก็กล่าวยืดยาวไปอีกสักพักอธิบายวิธีการคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยที่ไม่รู้ว่ายูกิมิได้สนใจรายละเอียดมากมายปานนั้น
    ยูกิรับฟังเป็นเวลานานจึงหัวเราะเบาๆขึ้นมาครั้งหนึ่ง
    ลูทไม่เข้าใจจึงได้แต่ถามว่า “หัวเราะอันใดหรือ ข้าคำนวณตรงไหนผิดไปหรือเปล่า เจ้าช่วยแก้ไขให้ข้าก็ได้ ข้าไม่โกรธหรอกกลับเป็นการดีเสียอีก”
    ยูกิยิ้มมุมปากมิได้หัวเราะอีก กล่าวว่า “มิใช่อย่างนั้น ... ข้าพอจะรู้แล้วว่าทำไมเจ้าถึงเขียนภาพต้นแบบพร้อมทำการคำนวณพวกนี้ได้ในเวลาชั่วโมงเดียวก็เท่านั้น”
    ลูทยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ถามว่า “ทำไมหรอกหรือ?
    ยูกิไม่ตอบคำยื่นกระดาษสี่แผ่นคืนให้กับลูท พลางหันเหหัวเรื่องสนทนากล่าวว่า “ไม่ต้องใส่ใจหรอก เจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนหรือถึงได้มานั่งอยู่แถวท่าเรือนอร์ซาน”
    “ข้าจะไปนครหลวงนอร์โปลิส”
    “อย่างนั้นหรอกหรือ ข้าจะไปชมทะเลสาบ” พลันมองกลับไปอีกครั้งเห็นแสงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าลงไปกับตาจึงชี้มือให้ลูทดู กล่าวว่า “ดูนั่นสิ สวยจัง”
    ลูทเบือนหน้าไปด้านข้างมองดูตามทิศที่นิ้วยูกิชี้เห็นภาพของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าทอแสงสีส้มสดส่องไปกระทบกับดวงจันทร์ที่ลอยขนานกันอยู่เบื้องบนจึงกล่าวว่า “ตะวันกับจันทรา ... เมื่อข้าเห็นสองสิ่งนี้พร้อมกันทีไรช่างเกิดความรู้สึกขัดกันอย่างบอกไม่ถูก และในเวลาเดียวกันก็เกิดความรู้สึกเข้ากันอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน”
    ยูกิกล่าวชวนให้ลูทคิดว่า “ที่เจ้าคิดว่ามันขัดกันอย่างบอกไม่ถูกนั้น เป็นเพราะว่าโดยปกติแล้วคนเราทั่วไปจะเห็นอาทิตย์หรือจันทร์อย่างใดอย่างหนึ่งโดยที่ไม่รู้ว่าทั้งสองสิ่งนั้นอยู่เคียงคู่กันมาโดยตลอด หากมิใช่คืนเดือนมืดจะอย่างไรพระจันทร์ก็ปรากฏอยู่บนฟากฟ้าเสมอ เพียงแต่ในเวลากลางวันแสงของดวงอาทิตย์มาบดบังแสงของมันไปเท่านั้น ส่วนที่เจ้าบอกว่าเกิดความรู้สึกเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก เป็นเพราะว่าพระจันทร์กับดวงอาทิตย์ต่างก็มีช่วงเวลาหนึ่งที่อยู่ร่วมกันได้และยังดูดีเสียด้วย เจ้าว่าจริงไหม?
    “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ข้าเองเพียงรู้สึกได้แต่มิอาจถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดที่ชัดเจนอย่างเจ้าได้ ข้าขอชมเชย”
    หากลูทล่วงรู้ว่าโฉมสะคราญตรงหน้าดำรงตำแหน่งยอดหญิง คงจะทึ่งยิ่งไปกว่านี้
    ยูกิพยักหน้าให้กับลูทครั้งหนึ่งกล่าวคำว่า “ขอบคุณ” จากนั้นนางพลันผุดลุกขึ้นกล่าวว่า “ในเมื่ออาทิตย์กำลังจะตกก็ถึงเวลาอันสมควรของข้าที่จะต้องจากไป หากเรามีวาสนาพบพานคงจะได้พบกันใหม่” จากนั้นจึงส่งยิ้มให้กับลูทเป็นความหมายแห่งการอำลา
    ลูทถูกความสวยปนงามสง่าของยูกิสะกดไว้อีกครา ได้แต่กล่าวอย่างเลื่อนลอยว่า “ขอให้ได้พบกันใหม่”
    ไม่ว่าลูทหรือยูกิต่างก็ไม่นึกว่าคนหนึ่งเคยพบพานอีกคนหนึ่งมาก่อน ทั้งสองคนมิเคยเห็นหน้าซึ่งกันและกันนอกจากได้บรรเลงบทเพลงร่วมกันครั้งหนึ่ง ยูกิเองไม่คิดว่าลูทจะเป็นทั้งนักประดิษฐ์และนักดนตรี ส่วนลูทเองก็ไม่คิดว่ายูกิจะมาเดินเล่นคนเดียวอยู่ริมทะเลสาบนอร์ซาน ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่เห็นพิณหยกอ่อนและกุหลาบขาวประกอบกับบทสนทนาเมื่อครู่ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องดนตรีแม้แต่น้อย ทั้งสองคนจึงไม่สะกิดใจว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนที่เคยพบมาแล้วครั้งหนึ่ง
    กว่าลูทจะรู้สึกตัวอีกทีร่างของยูกิก็จากไปไกลแล้ว เขาคิดออกว่ายังมิได้ถามชื่อของนางเลยจึงลุกขึ้นยืนโบกมือ ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “ข้าชื่อลูท ยินดีที่ได้รู้จัก”
    ยูกิหันหน้ากลับมาตามเสียงเรียกเอาสองมือป้องปากตะโกนกลับมาว่า “ข้าชื่อยูกิ ยินดีที่ได้รู้จัก”
    ทั้งสองคนหารู้ไม่ว่า หากพวกเขากล่าวคำพูดประโยคนี้ตั้งแต่ครั้งก่อน การพบพาน ณ ทะเลสาบนอร์ซานคงจะเปลี่ยนเป็นการวิพากษ์เชิงดนตรีดั่งเช่นที่ทะเลสาบมรกตอีกครา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×