ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #59 : เล่ม 2 - ตอนที่ 19 - ทะเลสาบมรกต (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 906
      0
      4 พ.ย. 50

     
    เสียงหอบหายใจของโรสดังไปทั่วห้องฝึกสอน นางทรุดลงนั่งกับพื้นด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ส่วนชานอนที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด
    เหงื่อขอโรซาไลน์ไหลท่วมเต็มตัว บางหยดเมื่อหยดลงกระทบพื้นก็ระเหยกลายเป็นไอร้อนในอากาศ ตามร่างกายของนางมีรอยบาดแผลจากการถูกลูกศรบาดแต่ไม่มีแผลที่ถูกศรยิงทะลุเลยสักแห่ง โรสนั่งพักเหนื่อยพลางใช้เอลแห่งแสงสมานปากแผลทั้งหมดของตนจนไม่มีโลหิตหลั่งไหลออกมาอีก ตั้งแต่ออกเดินทางมาโรซาไลน์ไม่เคยพบเห็นผู้หญิงคนไหนมีฝีมือเทียบเท่าชานอนเลย หากแม้นคอร์เนเลียมาเองด้วยความสามารถของชานอนก็สมควรที่จะท้าประลองได้ครั้งหนึ่ง การต่อสู้เมื่อครู่โรสใช้ทุกอย่างที่ร่ำเรียนมาออกไปทั้งหมดแต่ไม่สามารถทำให้ชานอนหอบหายใจได้แม้แต่น้อย
    ความจริงต้นแขนของชานอนถูกลวดของของโรสเฉี่ยวเข้าครั้งหนึ่ง แต่ชานอนฝึกปรือเอลแห่งแสงในร่างกายของจนถึงขั้นสมานแผลให้กับตนเองตลอดเวลาจึงไม่เห็นรอยแผลใดๆ
    ชานอนนึกขึ้นในใจว่าเด็กคนนี้เป็นเพชรที่ยังมิได้ผ่านการเจียระไน ความคล่องแคล่วของนางเป็นคุณสมบัติชั้นยอดของผู้ใช้เอลแห่งแสง นางสามารถหลบลูกธนูทั้งหมดที่ยิงออกไปได้นับว่าไม่ธรรมดา มีดบีนที่ขว้างก็แม่นยำและมีลูกเล่นแพรวพราว ถ้าหากได้รับการชี้แนะและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ใช้หลักการประยุกต์เอาวิชาทั้งหมดมาเชื่อมโยงกัน อีกเพียงไม่กี่ปีโรสจะต้องก้าวข้ามเข้าสู่ขอบเขตของจอมปราชญ์คนหนึ่ง
    ชานอนก้มหน้าไปมองโรสที่กำลังรักษาบาดแผลแห่งสุดท้ายของตนเองอยู่ นางกล่าวว่า เจ้าทำได้ดีทีเดียว แต่เจ้ายังมีจุดอ่อนถึงสามจุดใหญ่ๆ เจ้ารู้ไหมว่ามันคืออะไรบ้าง
    โรซาไลน์ที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัวพยายามใช้สติปัญญาคิดจากนั้นจึงกล่าวขึ้นว่า ข้าคิดออกเพียงจุดเดียวนั่นคือการป้องกันตัว ถ้าหากข้าอยู่ในพื้นที่จำกัดไม่สามารถเคลื่อนไหวได้สะดวก จะไม่มีทางหลบลูกศรของครูได้เลย กำลังของข้าก็ยังมีไม่พอที่จะต้านรับลูกศรของครูโดยตรง ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้ายังบกพร่องทางด้านการป้องกันตัวอยู่
    ชานอนกล่าวชมเชยโรสจากนั้นจึงอธิบายต่อไปว่า ถูกแล้วนั่นเป็นหนึ่งในสามจุดอ่อนของเจ้า ถ้าหากเจ้าสามารถใช้ศาสตราอาคมได้คล่องกว่านี้เจ้าก็จะสามารถซัดมีดบินออกมาได้ไม่จำกัด ถ้าเป็นเช่นนั้นจุดอ่อนในการป้องกันตัวของเจ้าก็จะหมดไป
    โรสกล่าวถามชานอนว่า ข้าจะพยายามมุ่งมั่นฝึกศาสตราอาคมอย่างเต็มที่ จุดอ่อนอีกสองจุดคืออะไร
    ชานอนกล่าวตอบว่า จุดอ่อนอีกสองแห่งเจ้าก็ไม่ควรที่จะละเลยมันไป นั่นคือระยะและความต่อเนื่อง
    โรสถามชานอนว่า ระยะหมายความว่าอะไร ข้าก็สามารถโจมตีจากระยะไกลได้ไม่ใช่หรือ
    ชานอนส่ายหน้ากล่าวว่า ข้ามิได้หมายถึงระยะการโจมตีของเจ้า นางชี้นิ้วไปที่หุ่นฟางด้านข้างกล่าวอธิบายว่า ถ้าหากว่าหุ่นตัวนั้นคือเพื่อนของเจ้าและเกิดถูกจู่โจมเช่นนี้เจ้าจะทำอย่างไร ชานอนพูดจบก็น้าวธนูมุกทะลวงเมฆายิงออกไปถูกขาของหุ่นตัวนั้นล้มลง
    โรสตอบว่า ข้าก็ต้องเข้าไปรักษาเขาน่ะสิ
    ชานอนกล่าวต่อว่า เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าจะฝ่าลูกศรของข้าไปรักษาเพื่อนของเจ้าได้
    โรสส่ายหน้าคราหนึ่งตอบว่า “ไม่แน่ใจแม้แต่น้อย”
    ชานอนจึงอธิบายต่อว่า นี่แหละคือจุดอ่อนเรื่องระยะของเจ้า เจ้าลองดูข้าเป็นตัวอย่าง ถ้าหากข้าตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวข้าจะทำเช่นนี้ ชานอนยืนมือออกไปทางหุ่นฟางตัวนั้นใช้เอลแห่งแสงประสานขาของหุ่นฟางที่ถูกยิงให้กลับเป็นสภาพดังเดิม
    โรสมองดูชานอนอย่างเหลือเชื่อจากนั้นนางก็ยิ้มที่มุมปากคราหนึ่ง เมื่อโรสตัดสินใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามนางจะต้องฝึกวิชานี้ให้สำเร็จจงได้
    โรสตาเป็นประกายถามต่อไปว่า จุดอ่อนเรื่องความต่อเนื่องหมายความว่าอะไรครูชานอน
    ชานอนตอบว่า เรื่องนี้อธิบายได้ง่ายมากแต่ว่ากระทำได้ยากที่สุด เจ้าลองดูสภาพของเจ้าในตอนนี้เทียบกับข้า ข้ายังไม่มีเหงื่อแม้แต่น้อยแต่ท่าทางเจ้าเหมือนกับตะเกียงที่กำลังจะสิ้นแสง ความอึดหรือความต่อเนื่องนี้เจ้าจะต้องค่อยๆฝึกไปทุกวันๆ ข้าไม่สามารถสอนให้กับเจ้าภายในระยะเวลาวันเดียวได้
    โรสพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ จากนั้นชานอนจึงกล่าวว่า นี่ก็เที่ยงแล้วเจ้าไปอาบน้ำแล้วก็หาอะไรรับประทานเสียเถิด พอช่วงบ่ายเจ้าจะต้องฝึกหนักอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต
    โรสกลั้นใจทนความเมื่อยล้าทั้งมวลลุกขึ้นยืนรับคำครูชานอนครั้งหนึ่งเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำหลังโรงฝึก นางไม่รู้หรอกว่าการพัฒนาฝีมือในครั้งนี้เป็นการวางรากฐานสู่จอมปราชญ์ในอนาคต
     
    พริบตาที่เสียงพิณบรรเลงขึ้นลูทก็รู้สึกเหมือนกับหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง
    ตั้งแต่ที่เขาลืมตาดูโลกมาเขายังไม่เคยได้ยินเสียงเพลงใดไพเราะน่าฟังเท่ากับเพลงที่มารดาเขาบรรเลง  แต่เสียงพิณที่ดังลงมาจากชั้นสองของบ้านพักสีขาวเป็นบทเพลงที่แสดงถึงความสดใสของโลกใบนี้อีกแนวหนึ่ง ซึ่งมีความไพเราะเทียบเท่ากับบทเพลงสายลมแห่งความรักของมารดาที่เขาบรรเลงเมื่อครู่
    สายลมแห่งความรักแสดงถึงความอบอุ่นของผู้คนที่อยู่ร่วมกัน แต่บทเพลงนี้แสดงถึงความสดใสและสีสันของธรรมชาติ ทำให้ลูทเกิดความรู้สึกว่าโลกใบนี้มีความน่าอยู่มากขึ้นเป็นสิบเท่า ตัวโน้ตที่ถูกประพันธ์บรรจงเรียงร้อยกันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนละมุนของต้นไม้ใบหญ้าและความสวยงามของเหล่าวิหคที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า เขาไม่คิดคิดมาก่อนว่าจะได้ฟังบทเพลงนี้มีท่วงทำนองที่สราญรมย์ถึงเพียงนี้
    พอบทเพลงถูกบรรเลงจนจบ ลูทก็แหงนหน้ามองขึ้นไปด้านบนตั้งใจจะดูว่าผู้ที่บรรเลงเพลงไพเราะเช่นนี้มีหน้าตาเป็นเช่นไร เขากลับเมื่อไม่เห็นผู้บรรเลงพิณปรากฏตัว อย่างไรก็ตามลูทตกกำลังอยู่ในภวังค์อันซาบซึ้งต่อสังคีตการ เมื่อไม่เห็นเจ้าของบ้านท่านนี้แสดงตนจึงไม่ติดใจอันใด เพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้ที่เล่นดนตรีให้เขาฟังลูทจึงเป่าขลุ่ยหินอ่อนขึ้นอีกครา การเป่าขลุ่ยหินอ่อนครั้งนี้เขาได้ใช้ความสามารถในเชิงดนตรีมากกว่าในขณะที่บรรเลงเพลงสายลมแห่งความรักเสียอีก
    ลูทใช้ทั้งจิตและวิญญาณบรรเลงบทเพลงที่เขาได้ยินเมื่อครู่ บทเพลงอันแสดงถึงสีสันของธรรมชาติ อีกทั้งเขาตั้งใจแต่งแต้มท่วงทำนองให้ผิดแผกแตกต่างกันออกไปกับสิ่งที่ได้ยิน ลูทบรรจงใช้สร้างสรรค์ทำนองขึ้นมาใหม่ด้วยความสามารถเฉพาะบุคคล เขาผสานอารมณ์และความรู้สึกถึงความรักที่มีต่อบุพการีจากเพลงสายลมแห่งความรักลงไปในบทเพลงอันสดใส ความสามารถของลูทในด้านการดนตรีนี้มีความสำเร็จเฉกเช่นปรมจารย์คนหนึ่ง เขาสามารถเล่นเพลงที่เขาได้ยินเพียงครั้งเดียวได้ด้วยเครื่องดนตรีที่แตกต่างกัน มิหนำซ้ำเขายังสามารถใส่ท่วงทำนองความรู้สึกที่ต้องการลงไปในเพลงที่บรรเลงขึ้นมาใหม่อีกด้วย
    เรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดฝันก็อุบัติขึ้นอีกครั้ง ต่อให้เป็นปรมจารย์ทางด้านการดนตรีมานั่งฟังอยู่ก็ยังต้องอ้าปากตาค้าง พอเสียงขลุ่ยของลูทดังไปสักประมาณครึ่งเพลง เสียงพิณก็ดังขึ้นอีกครา เครื่องดนตรีทั้งสองบรรเลงประสานกันในทำนองเดียวกันเสริมจังหวะกันได้อย่างดี แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ดีดพิณตัวนี้ก็มีความสามารถไม่ด้อยกว่าลูทแม้แต่น้อย ทั้งเสียงพิณและเสียงขลุ่ยยิ่งบรรเลงยิ่งไพเราะ จังหวะที่ผสานและสอดคล้องกันมากขึ้นเรื่อยๆเสมือนวงดนตรีที่ซักซ้อมกันมาเป็นเวลานาน
    เสียงดุริยางศ์ไพเราะเสนาะโสตย่นระยะเวลาสามนาทีให้เหลือเพียงชั่วลัดนิ้วมือ
    เสียงขลุ่ยพลันหยุดลง...
    แต่เสียงพิณกลับไม่หยุด...
    เสียงพิณชักนำตัวโน้ตของเพลงสายลมแห่งความรักที่ลูทบรรเลงไปเมื่อครู่ขึ้นมาใหม่ ลูทเองก็น้อมสนองด้วยการเป่าขลุ่ยรับเสียงพิณในบทเพลงที่เขาคุ้นเคย เบื้องลึกในจิตใจมีความรู้สึกว่าผู้ที่บรรเลงพิณอยู่เบื้องบนจะต้องเป็นอัจฉริยะทางการดนตรีคนหนึ่ง หนึ่งพิณหนึ่งขลุ่ยดีดและเป่าบทเพลงสายลมแห่งความรักขึ้นเป็นครั้งที่สอง
    ในครั้งนี้ทำนองของสายลมแห่งความรักกลับเปลี่ยนไป เสียงเพลงที่แสดงออกถึงความรักและความอบอุ่นถูกเสียงพิณชักนำให้กอปรไปด้วยความสดใสสวยงามของท้องฟ้าและทะเลสาบ ลูทเองถึงกลับเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงที่ไม่นึกไม่ฝันว่าตนเองจะบรรเลงได้ไพเราะขนาดนี้ ต้องขอบคุณผู้ดีดพิณบนบ้านพักสีขาวที่ทำให้ความสามารถในเชิงดนตรีการของเขาก้าวล้ำไปอีกขั้นหนึ่ง
    นับเป็นการประสบกันของสองสุดยอดวาทินในบริเวณที่เงียบสงัดปราศจากร่องรอยปุถุชน ดั่งมีบุพนิมิตดลใจให้ทั้งสองมาพบพาน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×