ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #284 : สุริยันตัดจันทรา องก์ที่ 1 - ฉากที่ 2 - นกน้อย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.35K
      2
      8 เม.ย. 52

    /> /> />

    ภาคแสงสว่างและความมืด

    ฉากที่ 2 นกน้อย

    15 มีนาคม อ.ศ. 199

     

    ช่วงเช้าในวันเดียวกัน ณ สวนพฤกษศาสตร์แห่งหนึ่ง

                    จัตุรัสอาเรส (Ares’ Square) เป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในเขตเมืองเก่า และเป็นย่านการค้าเพียงแห่งเดียวที่ไม่ถูกย้ายข้ามแม่น้ำไปยังเขตเมืองใหม่ เนื่องจากเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงบุรพกษัตริย์อาเรสเมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จสวรรคต หัวมุมทิศบูรพาของจัตุรัสอาเรสตั้งไว้ด้วยสวนพฤกษศาสตร์ อันเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ไม้หายากเพียงแห่งเดียวในนครมิสต์

                    บุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งหยุดยืนอยู่ที่หอประชุมใหญ่ในทิศประจิม ทอดสายตามองสวนพฤกษศาสตร์ที่อยู่ตรงข้ามเป็นเวลากว่าสิบนาทีแล้ว ดวงตาสีน้ำตาลมองลอดผ่านแว่นตากรอบไม้ด้วยความสงบนิ่ง เสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดจนมิอาจหลุดออกมาได้

                    สิ่งที่ดูแรนดัล เรมมิงตัน (Durandal Remmington) กำลังเฝ้าสังเกตคือปักษาตัวหนึ่ง มิใช่การสังเกตรูปร่างหน้าตาความสวยงามตลอดจนการใช้ชีวิตของวิหคน้อยตัวนั้นดั่งที่นักปักษีวิทยาใฝ่ที่จะรู้ แต่เป็นวิถีการบินอย่างอิสระกลางเวหาต่างหากที่บุรุษหนุ่มอายุยี่สิบปีผู้นี้ให้ความสนใจ

                    วิหคตัวเล็กกว่าฝ่ามือนี้ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศในขณะที่เล็มน้ำหวานจากดอกไม้ ปีกของมันกระพือเร็วกว่าสายตาของมนุษย์ที่จะมองเห็น ประคองร่างกระจ้อยร่อยให้ลอยอยู่กลางอากาศโดยที่ไม่ต้องอาศัยลม อันเป็นสิ่งที่ปักษาสายพันธุ์อื่นมิอาจกระทำได้

                    ในขณะที่ดูแรนดัลจับจ้องวิหคตัวน้อยอยู่อย่างหลงลืมตัว สิ่งมีชีวิตสีดำตัวหนึ่งพลันกระโจนออกมาจากพุ่มไม้ข้างเคียง ด้วยร่างที่หมอบราบลงต่ำกว่าความสูงของหญ้าและการเคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ ทำให้มันสามารถเข้าถึงเป้าหมายในขณะที่เหยื่อไม่รู้ตัว เพียงพริบตากงเล็บเท้าหน้าพลันตะปบเข้าใส่สีข้างของนกน้อย แม้ว่าในเสี้ยววินาทีนั้นปักษาจะทราบถึงอันตรายใหญ่หลวงก็สายเกินไปเสียแล้ว อุ้งเท้าแมวดำเกาะกุมนกน้อยอย่างอยู่หมัด เล็บแหลมจิกเข้าไปในกล้ามเนื้อปีกจนโลหิตหลั่งไหล และเมื่อเห็นเขี้ยวยาวที่มุมปากของแมวดำแล้ว ดูเหมือนว่าชะตาของวิหคน้อยจะสิ้นสุดลงด้วยการกลายเป็นอาหารของนักล่าตัวนี้

                    “ถอยไป” เสียงดุของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น การปรากฏตัวของมนุษย์เป็นเหตุให้ให้นักล่าที่ลงมือสำเร็จกลับต้องล้มเหลวในตอนท้าย จำต้องทิ้งเหยื่อวิ่งหนีเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

                    “เจ้านกน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงของหญิงสาวเต็มไปด้วยความสงสาร นางรุดเข้าไปใกล้นั่งย่อเข่าลงมองสภาพปักษาตัวน้อยที่บาดเจ็บสาหัส แรงปะทะจากการตะปบและบาดแผลจากกงเล็บนั้นก็เพียงพอที่จะคร่าชีวิตของมัน

                    หญิงสาวเอื้อมมือทั้งสองประคองร่างนกน้อยขึ้นมากลางอกแล้วหลับตาลง สร้างความร้อนรนใจให้กับดูแรนดัลที่กำลังตรงเข้าไปหานกน้อยตัวนั้นทันที ความร้อนรนของบุรุษหนุ่มมิได้เกิดขึ้นโดยปราศจากสาเหตุ ตามความเชื่อของสังคมเคร่งศาสนาของชาวมิสต์ หากเกิดเหตุร้ายอันใดชาวบ้านจะสวดมนต์อ้อนวอนเทพเจ้าที่ตนเองนับถือ ให้ท่านประทานพรช่วยปัดเป่าโรคร้ายหรือภยันอันตรายออกไปสิ้น แต่ดูแรนดัลทราบว่าต่อให้ขอพรเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ขณะนี้ชีวิตของวิหคตัวน้อยแขวนอยู่บนเส้นด้ายหลงเหลือเพียงลมหายใจรวยริน หากปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกไม่นานจะต้องขาดใจตายเป็นแน่

                    ทันใดที่ดูแรนดัลรุดเข้าไปถึงที่เกิดเหตุ ก็หมายจะช่วยปฐมพยาบาลให้นกน้อยก่อนที่จะนำไปหาสัตวแพทย์ จึงกล่าวว่า “รบกวนเจ้า ...”

                    แต่แล้วคำกล่าวของดูแรนดัลพลันขาดหายไปเกินครึ่งประโยค ส่วนที่ว่า “ช่วยมอบนกน้อยตัวนั้นให้ข้าเถิด” ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก บุรุษหนุ่มพลันอุทานขึ้นมาดังอามิอาจกล่าววาจาส่วนที่เหลือออกไป เนื่องมาจากสิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

                    ทันใดที่หญิงสาวเผยมือทั้งสองข้างออก วิหคน้อยพลันบินออกมาจากอุ้งมือลอยขึ้นท้องฟ้าไป สร้างความประหลาดใจให้กับบุรุษหนุ่มเป็นอย่างมาก

                    การรักษาเมื่อครู่นี้มิใช่กระทำด้วยศาสตร์แห่งเอลหรือศาสตร์แห่งซัน ถ้าอย่างนั้นหญิงสาวผู้นี้กระทำได้อย่างไร?’

                    ขณะที่ดูแรนดัลกำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดเป็นหนที่สอง หญิงสาวชาวนอร์พลันหันมายิ้มให้กับเขา กล่าวว่า “ขออภัย เมื่อครู่นี้เจ้าต้องการกล่าวอันใดกับข้าหรือ?

                    รอยยิ้มของหญิงสาวเปรียบได้กับแสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว ฉุดรั้งความคิดบีบรัดที่บีบรัดห้วงสมองของบุรุษหนุ่มให้คลายออก ปลายผมสีแดงของนางยาวเลยแขนเสื้อลงมาจรดต้นแขน ผิวพรรณนั้นเป็นสีขาวอมชมพูที่หามิได้ในหมู่ชาวมิสต์ เพียงกวาดตามองก็ทราบแล้วว่าสตรีผู้นี้เป็นชาวนอร์ ดูแรนดัลเกรงว่าจะเสียกิริยามากเกินไปจึงยิ้มตอบแก้ขัด คิดหาเรื่องราวถามหลีกเลี่ยงไปว่า “เจ้าเป็นนักท่องเที่ยวหรือ?

                    หญิงสาวส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง รอยยิ้มยังคงประดับไว้ข้างผิวแก้มที่ขาวนวลอยู่ไม่เสื่อมคลาย ยินเสียงของนางตอบว่า “มิใช่หรอก ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว”

                    ในขณะเดียวกันบุรุษหนุ่มที่เต็มไปด้วยความใฝ่รู้อย่างดูแรนดัลก็เก็บกักความอยากรู้อยากเห็นนั้นไว้ไม่อยู่ จึงถามตรงๆว่า “ขออภัย หากมิได้เป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเจ้า ข้าอยากทราบว่าเมื่อครู่นี้เจ้าทำได้อย่างไร?

                    “เมื่อครู่นี้?” ใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นงุนงงสงสัย ถามกลับมาว่า “เมื่อครู่นี้ข้าทำอะไรอย่างนั้นหรือ? ขออภัยที่ข้าไม่เข้าใจในคำถามของเจ้า”

                    “ก็เมื่อครู่นี้ที่เจ้ารักษานกตัวนั้นให้บินได้อีกครั้งหนึ่งอย่างไรเล่า”

                    หญิงสาวผมแดงร้องออครั้งหนึ่ง ตอบตามตรงด้วยความใสซื่อว่า “เจ้าหมายถึงการภาวนาอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่นึกว่าเจ้าที่เป็นชาวมิสต์จะไม่ทราบว่าการภาวนาถึงเทพเจ้ากระทำอย่างไร ท่านอาบาทหลวงได้สอนข้าว่าหากพบเหตุร้ายเมื่อใดก็ให้รวมจิตอธิษฐานภาวนา จากนั้นแล้วเรื่องเลวร้ายที่พบพานจะผ่านพ้นไป ดั่งเมื่อครู่ที่ข้าช่วยภาวนาขอพรให้อาการบาดเจ็บของเจ้านกน้อยตัวนั้นได้หายไป”

                    บุรุษหนุ่มได้ยินคำตอบเช่นนั้นถึงกับงุนงงยิ่งกว่าเดิม จากทั้งแววตาและกิริยาของฝ่ายตรงข้ามชี้ชัดว่านางไม่มีวี่แววที่จะโกหกแม้แต่น้อย แต่ทว่าคำอธิบายที่อิงศาสนาหรือปาฏิหาริย์จากเทพเจ้านั้นยากที่จะทำให้คนที่เชื่อในโลกแห่งความเป็นจริงอย่างดูแรนดัลคล้อยตามได้ บุรุษหนุ่มจึงไม่ทราบว่าจะกล่าวอันใดต่อไปดี

                    แต่แล้วเสียงของหญิงสาวพลันดังขึ้นว่า “เจ้าอาศัยอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?

                    บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลพยักหน้าครั้งหนึ่ง ตอบว่า “บ้านของข้าอยู่ทางตอนเหนือของนครมิสต์แห่งนี้”

                    หญิงสาวลูบผมสีแดงของตนเองพลางจ้องมองบุรุษหนุ่มที่พึ่งเคยพบพานเป็นครั้งแรก ถามตามตรงว่า “เจ้าไม่รังเกียจที่จะสนทนากับข้าหรือ?

                    “ข้าจะรังเกียจเจ้าได้อย่างไร?” ดูแรนดัลตอบสวนกลับไปในทันที

                    หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหดหู่เล็กน้อยว่า “ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าข้าเป็นชาวนอร์มักจะพยายามตีตัวออกห่าง ไม่ค่อยต้อนรับข้าเท่าใดนักผิดกับเจ้าที่สนทนากับข้าเช่นนี้”

                    มุมปากของดูแรนดัลปรากฏรอยยิ้มที่เต็มฝืน หากจะอธิบายเรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ที่นครมิสต์ได้รับเลือกให้เป็นศูนย์กลางของศาสนจักร ผู้คนที่นี่เคร่งศาสนากันเป็นจำนวนมาก บางคนอาจเรียกได้ว่าคลั่งไคล้เข้าไปในสายโลหิตเลยทีเดียว จนเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกระหว่างผู้ที่นับถือเทพเจ้าองค์ต่างๆ นานเข้าจึงกลายเป็นกำแพงศาสนาที่มิอาจมองเห็น เมื่อชาวมิสต์เหล่านั้นพบพานชาวต่างชาติที่มิได้นับถือเทพเจ้าราเมียเช่นเดียวกับตน พวกเขาก็จะไม่ใคร่เต็มใจที่จะสนทนาพาทีด้วยนัก บ้างอาจกีดกันมิให้ยุ่งเกี่ยวกับตนด้วยซ้ำไป แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีชาวมิสต์จำนวนหนึ่งที่พยายามจะละทิ้งค่านิยมอันเลวร้ายเช่นนี้ หนึ่งในจำนวนนั้นคือท่านหัวหน้าคณะปกครองคาเทจ วอน บิลไฮม์ (Chairman Cathage von Bilhiem) ผู้ผลักดันนโยบายเทพเจ้าทุกองค์ล้วนเท่าเทียม และเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ที่เกิดและเติบโตขึ้นมาหลังยุคที่ท่านคาเทจปกครองบ้านเมือง แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อสังคมส่วนใหญ่ยังมิอาจปรับตัวตามนโยบายนั้น แม้การกีดกันต่างๆจะลดน้อยลงกว่าเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนมาก ขนาดที่เพียงพอให้หญิงสาวผู้นี้ใช้ชีวิตอยู่ในนครมิสต์ได้อย่างอิสระและปลอดภัย ทว่าการกีดกันทั้งหลายก็มิได้หมดไปเสียทีเดียว

                    บุรุษหนุ่มถอดแว่นตากรอบไม้ออก เผยให้เห็นแววตาสีน้ำตาลสดใสและจริงใจ เขากล่าวตอบด้วยความนิ่มนวลว่า “ข้าไม่รังเกียจเจ้าแม้แต่ส่วนเสี้ยว พวกเรามาเป็นสหายกันดีหรือไม่?

                    “จริงหรือ!?” น้ำเสียงของหญิงสาวแสดงออกถึงความแตกตื่นยินดีหาที่เปรียบมิได้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางกำลังจะมีสหายตั้งแต่ที่นางย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่

                    “เป็นความจริงไม่ผิดเพี้ยน” รอยยิ้มแห่งความจริงใจบังเกิดขึ้น

                    พร้อมๆกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความปลื้มปิติของหญิงสาว “ตกลง”

                    ทันใดนั้นเองเครื่องรางเอลเทคที่บรรจุผลึกเอลไลท์สีแดงสดอยู่กึ่งกลางพลันสว่างวาบ ดูแรนดัลทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวกับสหายที่พึ่งจะพบพานว่า “น่าเสียดายที่พวกเรามีเวลาสนทนากันเพียงน้อยนิด”

                    “เจ้าจะต้องไปแล้วหรือ?” คิ้วของหญิงสาวห้อยต่ำลงด้วยความผิดหวัง

                    “พอดีข้ามีเรื่องราวด่วนจำต้องรีบไป” บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลพยักหน้าครั้งหนึ่ง สวมแว่นตากรอบไม้เข้าที่ใบหน้าดังเดิม กล่าวต่อไปว่า “ข้าอยากจะขอเตือนเจ้าในฐานะของสหายว่า อย่าได้ใช้การภาวนาเมื่อครู่ในที่สาธารณะเช่นนี้อีก หาไม่แล้วมันอาจชักนำความยุ่งยากมาให้กับเจ้าได้ ... วันนี้ข้าคงจะต้องขอตัวก่อน วันหน้าเราสองค่อยพบกันใหม่”

                    หญิงสาวยังมิทันได้ตอบคำบุรุษหนุ่มที่กล่าวประโยคอำลาพลันจากไป แม้ว่าประโยคสุดท้ายจะสร้างความงุนงงให้กับนางอยู่เล็กน้อย หญิงสาวกลับมิได้จดจำใส่ใจเมื่อความรู้สึกปิติยินดีกับการได้มีสหายคนแรกเข้ามาแทนที่

                    ในขณะเดียวกันรอยยิ้มอันลึกลับของบุคคลอีกคนหนึ่งที่อยู่ในมุมมืดพลันปรากฏ พร้อมกับคำกล่าวว่า “ความสามารถของหญิงสาวผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×