ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #278 : เล่ม 9 - ตอนที่ 126 - พานพบ (1)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.65K
      15
      6 มี.ค. 52

    /> /> />

    ภาคสักวันหนึ่ง

    ตอนที่ 126 พานพบ

    13 เมษายน อ.ศ. 226

     

    บุคคลทั้งหกโดยสารเรือจากค่ายทหารของจักรวรรดินอร์ล่องมาตามแม่น้ำจนเข้าเทียบท่าในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น ครั้งนี้พวกเขาได้เหยียบย่างเข้าสู่เขตนครหลวงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง

                    นอร์โปลิสยังคงเป็นนอร์โปลิส ความยิ่งใหญ่ของนครหลวงแห่งนี้มิได้ลดน้อยถอยลงแม้ว่าเมืองทั้งเมืองจะถูกปกครองด้วยจักรวรรดินอร์ ยิ่งไปกว่านั้นบางส่วนของนอร์โปลิสถูกพัฒนาให้เจริญยิ่งกว่าเก่า ยกตัวอย่างเช่นส่วนของตลาดปลอดภาษีในย่านการค้าที่คึกครื้นอย่างผิดหูผิดตา

                    ไกที่เป็นเสมือนผู้นำในการเดินทางกล่าวขึ้นว่า “ตลอดช่วงเช้าของวันนี้ยังคงไม่มีภารกิจใดๆ พวกเราสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ”

                    ไอเวอเรียสเสริมว่า “วานเตาและทานาทอสรับปากว่าจะจัดการเจรจาของพวกเราและพวกตระกูลชไวน์ในเวลาหลังเที่ยง ระหว่างนี้ข้าอยากให้พวกเจ้าออกสำรวจรอบนครหลวงว่าเป็นอย่างไร ส่วนตัวข้านั้นจะหาทางติดต่อกับโลเปซเผื่อว่าจะได้ข่าวคราวคืบหน้าจากทางด้านเอเวอร์เกรซ”

                    ไกตอบขึ้นเป็นคนแรกว่า “ข้าจะออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ เผื่อว่าจะพบชาวบ้านที่เคยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ข้าต้องการทราบว่าอย่างน้อยพวกเขาก็มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข จะได้โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง”

                    “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกับพี่ไก” โรซาไลน์ถามว่า “พวกเจ้าที่เหลือจะว่าอย่างไร?

                    “ข้าขอผ่าน” บลูชี้นิ้วออกไปอีกทางหนึ่งกล่าวว่า “ข้าอยากไปดูสภาพของหมู่ตึกธงดาบและธงอาชาดูสักเล็กน้อยว่าจะมีสภาพเป็นอย่างไร บังเอิญข้าได้ทราบมาว่าพื้นที่ทั้งสองถูกปิดตายมิให้ผู้ใดเข้าออกกลายเป็นเขตหวงห้ามของที่นี่ไปเสียแล้ว”

                    “พื้นที่แถบนั้นถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา หากเจ้าจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็ขอให้ระวังตัวเป็นพิเศษ” ไกตักเตือนบุรุษที่มีความผูกผันดั่งเช่นน้องชายร่วมอุทรแล้วจึงกล่าวว่า “เวลาเที่ยงตรงขอให้พบกันในที่นี้”

                    “ขอพี่ไกไม่ต้องเป็นห่วง” บลูกล่าวด้วยความมั่นใจก่อนที่จะจากไปว่า “เรื่องการเอาตัวรอดเป็นความสามารถพิเศษของข้าอยู่แล้ว”

                    “เรื่องเวลาตกลงตามนี้” ไอเวอเรียสได้ยินเช่นนั้นจึงถามลูทกับรินะว่า “ส่วนเจ้าทั้งสองจะว่าอย่างไร?

                    “ข้าจะไปกับศิษย์พี่ใหญ่” เป็นคำตอบที่รินะคิดว่าจะกล่าวในทีแรก แต่กลับเปลี่ยนใจเมื่อนึกถึงร้านขายของเล็กๆน้อยๆในตลาดปลอดภาษีที่คึกครื้นแห่งนั้น จึงเปลี่ยนคำพูดว่า “ข้าจะลองไปสำรวจตลาดปลอดภาษีดูสักเล็กน้อย เผื่อว่าจะพบพานเบาะแสอันใด”

                    โรซาไลน์แหย่ศิษย์น้องผู้นี้ว่า “อย่างเช่นปิ่นปักผมสักอันหรือรองเท้าปักสักคู่ใช่หรือไม่?

                    “พี่โรส” เป็นคำตอบของรินะที่ถูกจับได้ ใบหน้าและท่าทางของหญิงสาวแรกรุ่นเรียกเสียงหัวเราะของไอเวอเรียส ไก ลูทและโรซาไลน์ได้เป็นอย่างดี

                    สิ้นเสียงหัวเราะลูทจึงกล่าวว่า “ข้าจะไปในส่วนของเมืองชั้นกลางก็แล้วกัน พื้นที่ที่มีบรรดาสมาชิกสภาและผู้ทรงอิทธิพลอยู่เป็นจำนวนมากเช่นนี้อาจนำมาซึ่งเบาะแสบางอย่าง และอีกอย่างหนึ่งข้าอยากจะไปชมหอน้อยกลางน้ำอีกครั้ง ทำจิตใจให้สงบก่อนที่จะถึงการเจรจาครั้งสำคัญ”

                    ไกส่งเสียงอืมครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้นพวกเราจะปล่อยให้เจ้าไปเพียงลำพัง”

                    “ตกลงตามนี้ พบกันในเวลาเที่ยงตรง” ไอเวอเรียสกล่าวสรุปก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันออกไปรอบนครหลวง เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงการเจรจาการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญจะมาถึง

     

    กำแพงขาวกว้างใหญ่ที่เคยสลักเป็นรูปดาบตั้งตระหง่านอยู่ ณ ใจกลางนอร์โปลิส ปัจจุบันหลงเหลือเพียงซากปรักหักพังแถบหนึ่ง

                    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินเล็ดรอดสายตาของฝ่ายตรงข้ามเร้นกายเข้าไปถึงพื้นที่ส่วนกลางของตึกธงดาบโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น เมื่อแหงนหน้าขึ้นสูงมองออกไปก็รู้สึกว่าน้ำลายแห้งผาก หมู่ตึกธงดาบอันยิ่งใหญ่ไม่หลงเหลือเค้าโครงของเดิมอยู่อีกเลย นอกจากของมีค่าที่ถูกกวาดออกไปจนหมดสิ้น เศษอิฐเศษปูนหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่พังทลายยังคงกองอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมในคืนที่เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ

                    บลูเก็บเศษหินขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พบว่ามีตะไคร่สีเขียวขึ้นอยู่ตามของเศษหิน คราบโลหิตสีแดงสดที่เคยพบเห็นตามผนังกลับกลายเป็นสีดำไม่หลงเหลือกลิ่นคาวฉุนเฉียวอีก ตามซอกพื้นที่กระเทาะออกมาเป็นเศษอิฐเศษปูนก็พบวัชพืชเจริญงอกงาม หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปสถานที่เช่นนี้คงจะไม่ต่างอะไรกับบ้านร้างกลางป่าแห่งหนึ่ง ทั้งๆที่หมู่ตึกธงดาบตั้งอยู่ใจกลางเมืองแท้ๆ

                    อำนาจใดก็ไม่จีรัง บุรุษหนุ่มครุ่นคิดพลางโยนเศษหินนั้นกลับคืนสู่ตำแหน่งเดิม

                    ทันใดนั้นเองเสียงก้อนหินกลับสร้างความตื่นตัวให้กับบุคคลอีกผู้หนึ่งเกิดเป็นเสียงฝีเท้าบางเบา เอลลิสหนุ่มสัมผัสถึงอนุภาคเอลในร่างกายของฝ่ายตรงข้ามได้ทันที จึงร่ายเอลที่สามนามว่าว่องไวดุจสายลม ก้าวเท้ารุดตรงเข้าไปหาต้นเสียงฝีเท้าอย่างไม่รีรอ

                    ทันทีที่บุคคลทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงสามก้าว ปลายกระบี่แหลมคมพลันแทงเข้าสู่ใบหน้าของบุรุษหนุ่ม ซึ่งเขาก็ใช้สัมผัสที่หกบังคับกระบองวิสุทธิ์ศาสตราเข้าต้านรับ ผลักปลายกระบี่ให้ลอยขึ้นสูง สองมือเปล่งเป็นแสงสีเขียวและเหลืองเรืองรองเมื่อพบว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังร่ายเอลเช่นกัน

                    “เจ้า!?” เสียงของบุรุษหนุ่มดังขึ้นในขณะที่กำลังจะปลดปล่อยดาบสุญญากาศออก จากนั้นพลันสลายแสงจากอนุภาคเอลในมือทั้งสองไป เปลี่ยนจากท่าจู่โจมเป็นปัดป้องตั้งรับ คว้านิ้วมือทั้งสี่จับเข้าที่ข้อมือของฝ่ายตรงข้าม เห็นเป็นสตรีผมแดงที่มีรูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง

                    “ซิลิเซีย”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×