ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #259 : เล่ม 9 - ตอนที่ 121 สถานการณ์พลิกผัน (5)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.6K
      4
      16 ม.ค. 52

    /> /> />

    ปรากฏองค์ราชินีที่ทรงมีรูปโฉมงดงามปานหยาดฟ้าขึ้น พร้อมกับราชองครักษ์จำนวนแปดนายที่หยุดยั้งอยู่เพียงหน้าประตูห้องโถง พระองค์เสด็จมาบนทางเดินที่ปูด้วยพรมแดงจากพระทวารด้านหน้าตรงมายังพระราชบัลลังก์กึ่งกลางห้องโถงใหญ่ แม้ว่าบุคคลอื่นที่ตั้งแถวเรียงรายกันอยู่จะตะลึงงันกับพระโฉมที่งดงามราวกับเทพธิดา บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งกลับมิได้ละสายตาไปจากพระหัตถ์ซ้ายข้างนั้น พระธำมรงค์สีทองวงนั้นยังคงปรากฏอยู่บนพระอนามิกา

    แหวนทองคำ!? ... ไม่ผิดแน่ นั่นเป็นแหวนทองคำที่ข้าได้สวมให้กับนางเมื่อคืนก่อน แต่เมื่อความทรงจำของนางที่เกี่ยวกับข้าหายไปหมดสิ้น เพราะเหตุใดแหวนวงนั้นกลับอยู่ที่นิ้วของนางอีกเล่า?’

    องค์ราชินีเสด็จขึ้นประทับบนพระราชบัลลังก์ทอดพระเนตรลงมาสู่บรรดาขุนนางทั้งหลาย เห็นบุคคลนับร้อยที่ยืนเรียงลำดับจากยศสูงสุดในแถวหน้าไปถึงยศต่ำสุดในแถวสุดท้าย ด้วยฝีมือการออกแบบท้องพระโรงด้วยของสถาปนิกชั้นยอด ทุกผู้คนจึงได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ตรัสอย่างทั่วถึงกันว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นพวกท่านขุนนางผู้จงรักภักดีทั้งหลายทำงานเพื่อราชอาณาจักรอย่างสุดความสามารถ อาจเป็นการด่วนไปบ้างที่เราเรียกพวกท่านทั้งหลายมาพร้อมหน้า เพื่อจัดงานพิธีใหญ่โตในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ แต่จุดประสงค์และเป้าหมายหลักของงานนี้ล้วนเพื่อเป็นการให้กำลังใจทุกท่าน ประกาศให้ทั่วราชอาณาจักรทราบว่าเราในฐานะของประมุขไม่เคยละเลยหรือนิ่งเฉยต่อผลงานของชาวลาเวนดิส ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือสามัญชนก็ตาม”

    หัวแถวของผู้เข้าเฝ้าชุดแรกความจริงแล้วสมควรจะเป็นมาร์ควิสมู่แห่งโอเบอรอน แต่เมื่อท่านไม่สะดวกมาร่วมงานจากแดนไกลมาร์ควิสโรซาไลน์จึงเข้าแทนที่ บุคคลต่อมาย่อมหนีไม่พ้นมาร์ควิสลาร์กที่พึ่งได้รับการแต่งตั้ง จากนั้นก็เป็นบรรดาแขกจากรัฐพันธมิตรที่ได้รับเชิญอย่างแมกซิมิเลี่ยน ขุนศึกไกหรือไอเวอเรียส แล้วถึงจะเป็นบรรดาขุนนางที่มียศระดับเอริ์ล วิสเคานท์ บารอนตามลำดับ ส่วนกระบี่ที่หนึ่งโซโลมอนและราชหัตถเลขาออสวอลนั้นยืนอยู่เป็นหัวแถวของผู้เข้าเฝ้าชุดที่สอง เนื่องจากบุคคลทั้งสองเป็นสามัญชนมิได้รับการอวยยศให้เป็นชนชั้นสูงจึงไม่มีสิทธิ์ยืนเทียบลำดับชั้นในชุดแรก ต่อด้วยบรรดาขุนนางชั้นผู้น้อยแม่ทัพนายกองจนกระทั่งจบชุดที่สอง ส่วนบลูนั้นยืนอยู่เป็นอันดับท้ายๆรวมกับบรรดานายทหารชั้นผู้น้อย เนื่องจากเขาเป็นสามัญชนที่ไม่มีทั้งยศและตำแหน่ง ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพระราชพิธีนี้ก็ถือว่าแปลกมากแล้ว

    องค์ราชินีเจสสิกาตรัสสืบเนื่องว่า “ในวันนี้เรามีเรื่องสำคัญสองเรื่องที่ตั้งใจจะบอกกล่าวกับพวกท่านทั้งหลาย เรื่องแรกเป็นเรื่องของอาการเจ็บป่วยของเรา ในฐานะของประมุขปกครองแผ่นดินเราต้องขอโทษและขอบใจพวกท่านทั้งหลายที่ในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา รวมไปถึงต้องแสดงความขอบคุณต่อบรรดาแขกผู้มีเกียรติจากรัฐพันธมิตรเป็นพิเศษ เนื่องเพราะอาการเจ็บป่วยทำให้เรามิอาจปฏิบัติงานได้สมดังใจ เรื่องราวทุกประการต้องพึ่งพาพวกท่านกระทำแทนทั้งสิ้นซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เราไม่สบายใจและเป็นกังวล ในสงครามครั้งที่ผ่านมาเราเพียงสามารถเป็นกำลังใจให้กับพวกท่านมิอาจจับดาบกระบี่เข้าช่วยพวกท่านต่อสู้อริราชศัตรู จนเป็นสาเหตุให้สูญเสียขุนนางที่เปรียบเสมือนเสาหลักของราชอาณาจักรไปผู้หนึ่ง เรายอมรับว่าเสียใจเป็นอย่างมากที่ต้องมาสูญเสียผู้จงรักภักดีอย่างท่านมาร์ควิสลูเชียสไป แต่การที่จะมัวแต่เสียใจอยู่นั้นก็มิได้ทำให้เรื่องราวดีขึ้น และเราก็ทราบว่าวิญญาณของท่านมาร์ควิสลูเชียสบนสรวงสวรรค์คงจะไม่ยินดีเช่นกัน ในวันนี้สุขภาพของเราได้หายดีจนสมบูรณ์แล้ว จึงจะขอทำงานรับใช้ราชอาณาจักรร่วมกับพวกท่านอย่างสุดความสามารถ เพื่อมิให้พระมารดาและท่านมาร์ควิสลูเชียสทั้งสองที่ล่วงลับไปก่อนก้าวหนึ่งต้องพบกับความผิดหวัง”

    “ทรงพระเจริญ” เสียงกล่าวของขุนนางทั้งห้องโถงดังขึ้นจากใจ

    คำกล่าวเช่นนี้จะซื้อใจขุนนางใหญ่น้อยได้อีกมากหลาย เจ้ากระทำหน้าที่องค์ราชินีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ข้าเองก็ดีใจไปกับเจ้า ความคิดนี้ทำให้บลูยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก แต่ในขณะเดียวกันสายตาของเขายังมิได้ละออกไปจากแหวนทองคำวงนั้น กับคำถามที่วนไปเวียนมาว่า เพราะเหตุใดนางจึงใส่แหวนต่อไป?’

    พระสุรเสียงขององค์ราชินีดังขึ้นต่อว่า “ส่วนเรื่องที่สองเป็นหัวใจหลักของพิธีในวันนี้ นั่นคือพิธีมอบเหรียญตราเกียรติยศที่เราแจ้งต่อพวกท่านไว้ล่วงหน้า เราเชื่อว่าพวกท่านทุกคนคงจะเห็นตรงกันว่าผู้ที่ถวายชีวิตปกป้องกรุงเดว่าแห่งนี้สมควรได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ แม้ว่าร่างกายของเขาจะล่วงลับคงเหลือแต่เพียงวิญญาณพวกเราทั้งหลายก็จะไม่มีวันลืมเลือนบุญคุณของเขาไปตลอดชีวิต”

    ผู้คนในท้องพระโรงต่างเงียบกริบเมื่อทราบว่าบุคคลที่พระองค์กล่าวถึงเป็นผู้ใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาร์ควิสลาร์กผู้เป็นบุตรชายที่ดวงตาชุ่มไปด้วยหยาดน้ำสุกใสคล้ายกับจะหลั่งออกมา

    “ในนามของเจสสิกา เทล เดวารอส เราขอมอบเหรียญตราเกียรติยศที่แสดงถึงเกียรติยศอันสูงสุดแก่มาร์ควิสลูเชียสผู้ล่วงลับ และขอประกาศว่านับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ชื่อของมาร์ควิสลูเชียส ซิลเวอร์แซนด์จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ในฐานะของวีรบุรุษแห่งลาเวนดิส” สิ้นสุดพระสุรเสียงพระองค์ทรงชูเหรียญตรานั้นขึ้นสูง วางลงบนพานที่สลักตราของตระกูลซิลเวอร์แซนด์ที่จัดเตรียมไว้

    เมื่อเห็นเช่นนั้นขุนนางใหญ่น้อยล้วนก้มศีรษะลงต่ำโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อแสดงความเคารพต่อวิญญาณที่ล่วงลับ มาร์ควิสลาร์กผู้เป็นทายาทโดยตรงทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระราชทานพานทองคำแทนบิดา

    “ขอวิญญาณของท่านลูเชียสจงหลับอย่างเป็นสุขด้วยเถิด” หลังจากที่มาร์ควิสลาร์กกลับเข้าที่ก็มีการยืนไว้อาลัยประมาณนาทีหนึ่ง

    ในขณะที่พระราชพิธีดูเหมือนจะสิ้นสุดลง องค์ราชินีเจสสิกากลับตรัสว่า “นอกจากท่านลูเชียสที่ล่วงลับไปแล้ว ในวันนี้เราอยากจะขอเชิญวีรบุรุษผู้ปกป้องราชอาณาจักรอีกผู้หนึ่ง และอยากที่จะกล่าววาจากับเขาเพื่อเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนชาวลาเวนดิสทั้งแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือสามัญชน หากกระทำความดีความชอบต่อราชอาณาจักร เราล้วนรับทราบและยกย่องเชิดชูทั้งสิ้น หากไม่มีเขาผู้นี้กรุงเดว่าคงจะประสบกับความเสียหายใหญ่หลวง ราษฎรนับพันนับหมื่นอาจต้องล้มตาย”

    ขุนนางชั้นผู้น้อยที่เป็นผู้ประกาศกล่าวด้วยเสียงอันดังว่า “ขอเชิญท่านบลู วอลทซ์เข้ารับตำแหน่งวีรบุรุษแห่งลาเวนดิส”

    เสียงปรบมือดังขึ้นสนั่นห้องโถงใหญ่ บุรุษหนุ่มผู้ที่ยืนอยู่ตำแหน่งรั้งท้ายได้รับเกียรติให้เดินบนพรมแดง เข้าเฝ้าองค์ราชินีเป็นการใกล้ชิด บลูนึกไม่ถึงว่าพระราชพิธีในวันนี้จะจัดตั้งเพื่อตน และยิ่งไปกว่านั้นนึกไม่ถึงว่าจะได้มีโอกาสสนทนากับเจสอีกครั้ง

    “บลู วอลทซ์ถวายบังคมองค์ราชินี” ขณะที่บลูกำลังจะคุกเข่าลงพระองค์ทรงพลันลุกขึ้นจากที่ประทับ ทรงยื่นพระหัตถ์มาประคองร่างของเขาด้วยพระองค์เอง สายตาของบุรุษหนุ่มประสานสบกับสายพระเนตรที่ทอดลงมาด้วยความเมตตาในระยะประชิด พร้อมกับได้ยินพระสุรเสียงตรัสว่า “ผู้ที่ดำรงตำแหน่งวีรบุรุษแห่งลาเวนดิสนี้ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเรา โปรดลุกขึ้นตามสบายเถิด”

    “เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างสูง” เสียงตอบราบเรียบของบุรุษหนุ่มดังขึ้น

    คำกล่าวยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บดูเหมือนจะเป็นความจริง ตำแหน่งวีรบุรุษที่ทุกคนต่างหมายปองกลับไม่มีคุณค่าในสายตาของบุรุษหนุ่มแม้แต่น้อย

    ทั้งๆที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับคนรักเช่นนี้แต่กลับรู้สึกเหมือนอยู่ห่างไกลกันคนละภพ ดวงตาคู่ที่เขามองลึกเข้าไปเมื่อครู่เป็นดวงตาที่ห่างเหิน ราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้บุรุษหนุ่มรู้สึกเจ็บช้ำมากขึ้นไปอีกเท่าตัว หากจะให้ยอมรับตรงๆ สิ่งที่เขากระทำลงไปในครั้งนั้นสาเหตุหลักมิใช่เพื่อปกป้องชาวลาเวนดิส แต่เพื่อปกป้องสตรีที่ตัวเองรัก อาจฟังดูแล้วเห็นแก่ตัวไปบ้างแต่นั่นเป็นสาเหตุที่แท้จริง

    ทุกปาฏิหาริย์ล้วนเกี่ยวพันกับคำว่า รัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×