ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #216 : เล่ม 8 - ตอนที่ 106 - ความหลัง (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.19K
      14
      22 ต.ค. 51

    /> /> />

    ณ บ้านพักแห่งหนึ่งบริเวณชายแดนของรัฐอิสระเจนีสและสหพันธรัฐแห่งนอร์

                    แสงจันทร์สาดส่องเปิดเผยความมืดมิดในยามรัตติกาลแก่สายตาของทหารรอบข้าง หน่วยทหารเลือดใหม่ที่มีอายุเฉลี่ยราวสิบเก้าถึงยี่สิบปีจำนวนร้อยนายเหล่านี้ล้วนขึ้นตรงกับบุรุษหนุ่มอายุสิบแปดปีคนหนึ่ง ทั้งหมดซุ่มอยู่ที่บริเวณพื้นที่รอบข้าง นอนหมอบราบกับพื้นดินวางกำลังกระจายกันออกไปเป็นรัศมีครึ่งวงกลม นอกจากยอดหญ้าที่ถูกแสงจันทร์ส่องกระทบก็มิอาจมองเห็นสิ่งอื่นใด นอกเสียจากบ้านพักที่ตั้งอยู่ตรงหน้าซึ่งถูกแสงไฟจากตะเกียงด้านในส่องสว่างให้เห็นเด่นชัดในยามค่ำคืน

                    เครื่องแบบของบุรุษหนุ่มวัยสิบแปดเป็นชุดสีดำขลิบทอง อันแสดงถึง อำนาจ และ ความรุ่งเรือง ที่เป็นที่ถวิลย์หาของเหล่าทหารที่ประจำการในกองทัพ มิใช่ว่าผู้ใดก็ได้จะหาเครื่องแบบอัศวินดำมาสวมใส่กันได้อย่างง่ายดาย หากไม่มีความสามารถอันเป็นที่ประจักษ์แล้วไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีเส้นสายใหญ่โตเพียงใด คงจะไม่มีโอกาสแม้แต่ที่จะสัมผัสของชุดเครื่องแบบอันน่าเกรงขาม ในรอบสองร้อยปีของประวัติศาสตร์ของสหพันธรัฐแห่งนอร์จวบจนกระทั่งปีที่สองร้อยห้า บุรุษหนุ่มผู้นี้เองเป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดที่ได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งอัศวินดำ และการออกรบในครั้งนี้ก็เป็นการทำสงครามครั้งแรกในชีวิตของเขา สงครามที่ไม่มีผู้ใดลืมเลือนไปตลอดชีวิตหากได้สัมผัสมันด้วยตนเอง

                    “ผ่านไปเกือบชั่วโมงหนึ่งแต่ยังไม่มีวี่แววข้าศึกแม้แต่น้อย ท่านวานเตสเห็นว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป?” ทหารผู้หนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบาท่ามกลางความมืดมิด

                    ทันใดที่ วานเตส ซอร์โด ผู้สืบทอดตระกูลซอร์โดคนล่าสุดก้าวเข้ารับตำแหน่งอัศวินดำ ก็ปรากฏเสียงร่ำลือกันอย่างหนาหูในกองทัพ ว่าบุรุษที่มีอายุเพียงเท่านี้เหมาะสมแล้วหรือที่จะได้รับตำแหน่งอันทรงอำนาจ รู้ทั้งรู้ว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งอัศวินดำมิใช่ว่าจะอาศัยเส้นสายก็สามารถได้มา แต่การที่เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้าหน่วยรบพิเศษอัศวินดำคนปัจจุบันเวอร์น่อน ซอร์โด และเป็นหลานคนเดียวของมหาอุปราชทิศตะวันตกเวน ซอร์โด ย่อมมิอาจหลีกหนีคำครหาจากบุคคลเหล่านี้ได้

                    วานเตสมิอาจไม่ใส่ใจกับการนินทารอบกาย แต่สิ่งเดียวที่เขาสามารถกระทำได้คือการแสดงให้เห็นว่าฝีไม้ลายมือนั้นเป็นของจริง พิสูจน์ให้ประจักษ์ว่าการได้มาซึ่งตำแหน่งอัศวินดำของเขาไม่ขึ้นกับชื่อเสียงและอำนาจของตระกูลซอร์โดแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นเพราะความสามารถของเขาล้วนๆที่ทำให้ได้มาซึ่งตำแหน่งอันทรงเกียรติ

    คำคืนนี้สมรภูมิเบื้องหน้าจะเป็นสิ่งพิสูจน์คำกล่าวหาทั้งหมด!

                    หลังจากรับฟังประโยคของทหารที่อยู่ด้านข้างวานเตสก็ครุ่นคิดด้วยความสุขุม จากนั้นจึงยื่นมือออกไปบดบังสายตาของทหารผู้นั้น กลั่นกรองความคิดออกมาเป็นคำพูดว่า “รองหัวหน้าหน่วยรอสักครู่อย่าพึ่งด่วนสรุปว่าศัตรูจะไม่มาแน่แล้ว พวกเราล้วนทราบดีว่าคำสั่งของท่านแม่ทัพโจเซฟต้องมีเหตุผลสำคัญต่อการศึกของนอร์ มิฉะนั้นท่านแม่ทัพคงจะไม่ให้พวกเราทั้งร้อยนายมาเฝ้ารอในยามค่ำคืน ตากน้ำค้างเป็นเวลานานสองนานเช่นนี้”

                    แม่ทัพโจเซฟที่วานเตสกล่าวถึงคือสมาชิกสภาอาวุโสแห่งตระกูลวิลล์ ในช่วงสงครามเจนีสนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ คุมกำลังทหารกลุ่มหนึ่งทำสงครามกับเจนีสเหนือ

                    “ข้าทราบดี แต่ถ้าข้าศึกไม่ปรากฏขึ้นมาจะเป็นอย่างไร?” รองหัวหน้าหน่วยถามต่อไป

                    วานเตสส่ายหน้าครั้งหนึ่ง จ้องมองบ้านพักเบื้องหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจแล้วกล่าวว่า “พวกมันต้องมา ... ท่านโจเซฟระบุไว้อย่างชัดเจนว่าบุคคลที่อยู่ในบ้านพักหลังนั้นเป็นบุคคลที่กองทัพเจนีสต้องการตัวเป็นที่สุด ในเมื่อพวกมันได้ข่าวแล้วจะอย่างไรพวกมันต้องบุกเข้ามาอย่างแน่นอน และจังหวะที่บ้านพักเผชิญการบุกรุกจากฝ่ายตรงข้าม ข้าศึกจะเพ่งเล็งเป้าหมายในบ้านพักละเลยภัยคุกคามจากเบื้องนอกไปชั่วคราว จังหวะนั้นเป็นโอกาสชั้นยอดที่พวกเราไม่อาจหาได้จากที่ใดอีก ขอเพียงข้าศึกติดกับ ข้ามั่นใจว่าจะไม่มีผู้ใดในหมู่ศัตรูเหลือรอดไปแม้แต่คนเดียว”

                    รองหัวหน้าหน่วยได้ยินคำกล่าวและสีหน้าของผู้บังคับบัญชาคนใหม่จึงเกิดความเชื่อมั่นและคล้อยตามขึ้น บุรุษผู้นี้มิใช่เด็กวัยสิบแปดทั่วไป ทั้งความคิดความอ่านและการวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้ากระทำได้อย่างหมดจด เหลือเพียงโอกาสเท่านั้นที่จะชิงชัยมาสู่หน่วยทหารของพวกเขา รองหัวหน้าหน่วยที่มีอายุเกือบยี่สิบสี่ปีจึงพยักหน้าครั้งหนึ่งรับคำ จับจ้องสายตาไปที่บ้านพักแห่งนั้นอย่างไม่กะพริบ

                    ทันใดนั้นเองหูของวานเตสก็ได้ยินเสียงผิดปกติขึ้น เมื่อผนึกซันเข้ากับโสตประสาทซันชินระดับเขาจะสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าในระยะไกลกว่าปกติได้หลายเท่า วานเตสพลันหันหน้าไปส่งสัญญาณมือให้กับรองหัวหน้าหน่วยทันที อันหมายความว่า “ข้าศึกติดกับ พวกเราทั้งหมดเตรียมตัวรอรับคำสั่งจู่โจม”

                    จริงอย่างที่ใบหูของวานเตสได้รับสัญญาณ ผ่านไปอีกไม่ถึงนาทีหนึ่งก็ปรากฏเงาร่างสามสี่เงาเคลื่อนไหวในความมืด เข้าสู่สายตาของหน่วยซุ่มจู่โจมของสหพันธรัฐแห่งนอร์

                    สัญญาณมือของวานเตสยังคงไม่ปรากฏ ทำให้ไม่มีทหารใต้บังคับบัญชาผู้ใดกล้าเคลื่อนไหว

    สามสี่คนนี้เป็นเพียงกองลาดตระเวนเท่านั้น พวกมันล่วงหน้ามาก่อนเพื่อตรวจสอบพื้นที่รอบนอก ก่อนที่จะส่งสัญญาณให้ทหารอีกนับร้อยคนเคลื่อนไหวตามมา

                    วานเตสคิดได้เช่นนั้นจึงอดกลั้นต่อไป ด้วยระยะห่างกว่าร้อยก้าวระหว่างพวกเขาและบ้านพักทำให้ร่องรอยของกองกำลังที่ซุ่มอยู่ถูกปิดบังอย่างมิดชิด และเป็นอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า ทหารลาดตระเวนเหล่านั้นแสดงสัญญาณมือให้กับพวกที่ตามมาทีหลังทั้งหลาย ปรากฏทหารอีกหลายสิบนายเคลื่อนไหวด้วยความระมัดระวัง ฝีเท้าเบาจนไม่เกิดเสียงเมื่อเดินผ่านยอดหญ้า สุดท้ายสามารถล้อมบ้านพักหลังนั้นได้ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา

                    เสียงของความมืดในค่ำคืนยังคงเป็นเพียงเสียงร้องของแมลง เสียงฝีเท้าเบาจนแทบมิอาจได้ยินด้วยโสตประสาทของคนปกติ ขนาดซันชินอย่างเขายังจับความรู้สึกได้ลำบาก อันเป็นที่แน่ชัดว่าทหารหน่วยเบื้องหน้าของกองทัพเจนีสมิใช่ชนชั้นปลายแถว อันสร้างความกังวลใจให้กับวานเตสอยู่ไม่น้อย เนื่องจากหากวัดกันด้วยความสามารถบุคคลต่อบุคคลแล้ว ทหารใหม่ทั้งร้อยนายภายใต้การปกครองของเขามิอาจเทียบชั้นกับมือดีฝ่ายตรงข้ามได้เลย แต่ในขณะที่ความรับผิดชอบต่อชีวิตของทหารใหม่ทั้งหมดล้วนตกอยู่กับตัวเขาที่ดำรงตำแหน่งอัศวินดำ จนปรากฏปมคำถามขึ้นมาในใจว่า เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?’

    สายตาของรองหัวหน้าหน่วยมองมาที่วานเตสอีกครั้ง เมื่อพบว่าทหารทั้งหมดติดกับพร้อมที่จะลงมือบุกรุกเข้าบ้านพัก อันเป็นจังหวะอันดีงามที่พวกเขาสมควรจะเปิดเผยตัวเองออกไป ก็ส่งสัญญาณผ่านทางสายตามาขอรหัสจู่โจม ซึ่งในขณะนั้นเองวานเตสกลับหันมาสบตารองหัวหน้าหน่วย เมื่อผ่านการครุ่นคิดอย่างรอบคอบหัวหน้าหน่วยผู้นี้จึงส่ายหน้าอย่างเชื่องช้าครั้งหนึ่ง ให้สัญญาณมือ รอคอยเป็นคำตอบ

     หากลงมือในตอนนี้ พวกเราอาจเป็นฝ่ายได้เปรียบก็จริง แต่จะนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างนับไม่ถ้วน อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของบุคคลในที่นี้จะต้องนอนจมกองโลหิต ไม่อาจเห็นแสงตะวันยามรุ่งอรุณ

    ทันใดนั้นเองสัญญาณมือของฝ่ายตรงข้ามได้ส่งออก

    โครม!

    เสียงโห่ร้องดังลั่งของกองทัพเจนีสดังขึ้นพร้อมกับเสียงพังทลายประตูบ้านพักทั้งสี่บาน เกิดเสียงตะโกนโวยวายขึ้นในบ้านพักและเสียงดาบกระบี่กระทบกันดังขึ้นไม่หยุดหย่อน

    “พวกมันลงมือแล้ว พวกเราจะทำอย่างไรท่านวานเตส?” รองหัวหน้าหน่วยอดกลั้นไม่ได้อีกต่อไปเมื่อได้ยินเสียงแผดร้องของบุคคลในบ้านพัก แสงไฟจากโคมตะเกียงกระพริบวูบวาบเนื่องจากถูกเงาของบุคคลบดบัง การต่อสู้อันชุลมุนวุ่นวายภายในบ้านพักดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

    “ไม่ พวกเรายังไม่อาจลงมือได้ในตอนนี้” วานเตสยืนยันคำตอบเดิม เสียงการสนทนานอกบ้านพักถูกเสียงการต่อสู้ทั้งหลายกลบไปสิ้น ร่องรอยของพวกเขายังไม่ถูกเปิดเผย

    “เพราะอะไรท่านวานเตส? ไม่เห็นหรือว่าพวกมันกำลังเข่นฆ่าพวกเราที่อยู่ภายใน?

    วานเตสกัดฟันดังกรอด กล่าววาจาว่า “เจ้าไม่เห็นหรือว่าพวกมันมีฝีมือสูงกว่าพวกเจ้าทั้งนั้น หากบุกเข้าไปตอนที่พวกมันยังไม่ตายใจ เท่ากับส่งพวกเจ้ากว่าครึ่งไปตาย”

    “แต่ว่าท่านวาน ” วาจาของรองหัวหน้าหน่วยหยุดยั้งเพียงครึ่งทางเมื่อพบเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้ง

    ตูม!

    แสงไฟสีแดงสาดสองขึ้นบนท้องฟ้า บ้านพักทั้งหลังถูกเปลวอัคคีลามเลีย เริ่มลุกไหม้ขึ้น

    วานเตสคว้าคาทานะเหล็กกล้าคู่กายขึ้นมาในทันใด ผนึกศาสตร์แห่งซันเข้ากับร่างกายชี้ปลายดาบออกไปเบื้องหน้า อันเป็นสัญญาณของการบุก

    ทหารหนุ่มทั้งร้อยนายเห็นว่าจังหวะนี้โอกาสที่เหมาะสมที่สุด ประกอบกับความต้องการที่จะช่วยเหลือบรรดาสหายร่วมรบที่อยู่ในบ้านพัก บุรุษหนุ่มทั้งหลายต่างชักดาบชักกระบี่ออกจากฟัก โห่ร้องบุกเข้าไปในบ้านพักที่เกือบจะกลับกลายเป็นกองเพลิง

    “บุก!

    วานเตสสั่งการเสียงดังลั่นบุกเข้าไปเป็นคนแรก สะบัดดาบหนึ่งสังหารศัตรูผู้หนึ่ง เพียงพริบตาเดียวทหารเจนีสห้ารายกลับทอดร่างกลายเป็นซากศพ สร้างขวัญและกำลังใจให้กับกองทัพนอร์เป็นอย่างมาก

    “เหลือเชื่อ ... นี่หรือคือฝีมือที่แท้จริงของท่านวานเตส!?” รองหัวหน้าหน่วยเมื่อครู่กล่าว พร้อมกับกระชับกระบี่ในมือบุกเข้าพัวพันกับศัตรูคนหนึ่ง จนกระทั่งแทงกระบี่ออกทะลุท้องน้อยของฝ่ายตรงข้ามสังหารศัตรูได้คนหนึ่งเช่นกัน

    เสียงดาบกระบี่ปะทะกันพร้อมกับเสียงร้องตะโกนโวยวายด้านในยังไม่สงบ วานเตสทราบดีว่าในบ้านพักมีบุคคลของนอร์ระดับยอดฝีมืออยู่คนหนึ่ง จึงสามารถยันทหารฝ่ายตรงข้ามได้นานขนาดนี้ ในใจของเขาลอบภาวนาให้บุคคลผู้นั้นสามารถยันได้อีกสักพัก จนกว่าเขาจะบุกฝ่าเส้นทางสายโลหิตเข้าไปช่วย

    “พวกนอร์ซุ่มโจมตี!

    “พวกเราติดกับ!?” ยินเสียงของทหารเจนีสร้องตะโกนโวยวายไม่หยุดหย่อน แต่ด้วยความที่เป็นมือดีจึงหันเข้าต่อต้านโดยไม่เสียขวัญและกระบวน บางคนกระโจนออกมาทางหน้าต่างบางคนฝ่าฟันออกมาทางประตู จับอาวุธต้านรับทหารหนุ่มร้อยนายเบื้องนอก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ชุลมุนวุ่นวายและการใช้จังหวะโอกาสที่เหมาะสม ทำให้ทหารหนุ่มเหล่านั้นยึดพื้นที่ที่ได้เปรียบไว้ก่อนหน้า จับกุมอาวุธเพ่งเล็งเส้นทางของฝ่ายเจนีสที่จะทะลวงออกมานอกบ้านพัก ใช้ความได้เปรียบบดขยี้กองกำลังเจนีสอย่างต่อเนื่อง

    อีกทางหนึ่งวานเตสสังหารทหารฝ่ายตรงข้ามไปอีกสามสี่คน จนกระทั่งเข้ามาถึงห้องด้านในสุดที่เป็นต้นเพลิงและจุดกำเนิดของแสงจากเอลที่สี่เมื่อครู่ กลิ่นคาวโลหิตปนกับกลิ่นเหม็นไหม้ของท่อนไม้เมื่อถูกอัคคีโชยเข้าสู่นาสิกตั้งแต่ที่ยังอยู่ด้านนอก พบว่าประตูห้องลุกท่วมไปด้วยเปลวอัคคีเสียแล้ว

    กรี๊ด! เสียงกรีดร้องของสตรีพลันดังขึ้นในขณะที่วานเตสลังเลใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป บุรุษหนุ่มไม่ต้องตัดสินใจอีก พลันยกเท้าถีบประตูที่ลุกไหม้ทันที

    เมื่อประตูเพลิงเปิดออก บุรุษหนุ่มจึงเห็นภาพของสตรีนางหนึ่งถูกกระบี่กรีดเข้าที่ช่องท้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ในขณะที่กระบี่ของนางปาดเข้าที่ลำคอของฝ่ายตรงข้ามจนสิ้นใจ ตามพื้นมีซากศพของกองกำลังเจนีสกว่าสิบนายล้มตายจมกองโลหิต ทั้งหมดเป็นฝีมือของสตรีนางนี้เพียงนางเดียว

    ภาพนี้เอง ... เป็นภาพที่ตรึงอยู่ในความทรงจำของวานเตสอย่างไม่ลืมเลือน

    เสียงของสตรีชาวนอร์ผู้นั้นดังขึ้นเมื่อเห็นวานเตสทลายประตูอัคคีออก “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องมา การได้มาซึ่งตำแหน่งของอัศวินดำไม่มีทางที่จะอาศัยเส้นสายใดๆ หาไม่แล้วเจ้าคงมิอาจฝ่าเข้ามาถึงห้องในสุดเพื่อช่วยข้าก่อนสิ้นลมหายใจได้ ... ใช่หรือไม่?

    ดวงตาทั้งสองของวานเตสเบิกออกกว้างจนแทบจะฉีกขาด เสียงตะโกนดั่งลั่นท้องนภาในยามราตรีดังขึ้นอย่างโหยหวน

    “ท่านแม่!

    ภาพตรงหน้าของวานเตสทำให้เขาแทบจะคุ้มคลั่ง ระเบิดโทสะสะบัดคาทานะสังหารผู้คนรอบข้างสิ้น ผนึกศาสตร์แห่งซันเต็มร่างรุดเข้าไปโอบกอดมารดาของตนทะลวงออกไปนอกบ้านพัก สายตาทั้งสี่ข้างจับจ้องกันส่งความรู้สึกที่มิอาจบรรยายได้ในวาระสุดท้ายก่อนจะสิ้นลม

    วานเตสกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า “ท่าน ... ท่านแม่ ... ท่านแม่มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!?

    แทนที่สตรีชาวนอร์ผู้นี้จะตอบคำถาม กลับยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจ พร้อมทั้งโลหิตที่ไหลออกมาจากมุมปาก กล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจได้อย่างยอดเยี่ยม ... การศึกครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายกุมชัยชนะอย่างเด็ดขาด ... จะไม่มี ... จะไม่มีผู้ใดตั้งข้อครหากับเจ้าอีกแล้ว ... ว่าตำแหน่งอัศวินดำของเจ้านั้น ... เป็นสิ่งปลอมแปลง”

    “ท่านแม่ ท่าน ... ท่านแม่! นางไม่ได้ยินเสียงของเขาอีก สตรีเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นบุคคลที่ดีต่อเขาตลอดชีวิตกลับมาจากไปในอ้อมกอดของตน เพราะการตัดสินใจของตน

    หากข้ามิได้รออีกพักหนึ่ง ชีวิตของท่านแม่คงจะไม่ต้องสูญเสียไปแต่ไม่ว่าวานเตสรู้สึกผิดกับการตัดสินใจของตนเองอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอดีตได้

    เสียงกู่ร้องของบุรุษหนุ่มอายุสิบแปดปีดังก้องฟ้า พร้อมกับจิตใจและความมุ่งมั่นที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด กับความแค้นอันลึกล้ำที่เพาะขึ้นกับตระกูลวิลล์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้

    นับตั้งแต่บัดนี้ไป แผ่นดินทั้งแผ่นดินจะต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้า สงครามและความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้นอีก หากข้าเป็นผู้ปกครองของคนทั้งแผ่นดิน!’

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×