ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #213 : เล่ม 7 - ตอนที่ 98 - ก้าวเดียวล้มทั้งกระดาน (2-3-4)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.53K
      10
      12 ต.ค. 51

    /> /> />

    จริงอยู่ที่ร่างกายของบลูเคลื่อนไหวได้เชื่องช้ากว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป แต่ทว่าอนุภาคของเอลที่โคจรอยู่ในร่างกลับโต้ตอบกับสิ่งกระตุ้นภายนอกเร็วกว่าคำสั่งตรงมาจากสมองส่วนกลางเสียอีก

    ประตูบานที่หนึ่งพลันเปิดออกโดยอัตโนมัติจากจิตใต้สำนึกที่เป็นแกนกลางควบคุมศาสตร์แห่งเอลในร่าง ปลดปล่อยอนุภาคของเอลที่สามออกมาปริมาณมากในระยะเวลาชั่วพริบตาโดยใช้ปลายเท้าเป็นจุดรวบรวมอนุภาค ก่อให้เกิดแรงอัดของสายลมที่พื้นใต้ฝ่าเท้ารุนแรง ลมหมุนขนาดย่อมนี้ผลักร่างกายบลูจนกระเด็นไปด้านหลังสามสี่นิ้ว หลบรอดจากกระบี่สังหารมาได้ฉิวเฉียด

                    ข้านี่มันโง่ดักดานจริงๆเผลอไปหลงกลแผนชั้นต่ำเช่นนี้ได้ เมื่อบลูตั้งสติได้ก็อาศัยลมหมุนเมื่อครู่เว้นระยะห่างกับมือสังหารกระบี่ดำจากก้าวหนึ่งเป็นสี่ห้าก้าวเท่าเดิม ใช้มือข้างหนึ่งกุมที่ปลายตาซ้ายเอาไว้ โลหิตไหลอาบฝ่ามือเป็นสีแดงสดย้อมชโลมจนความสามารถการมองเห็นของตาซ้ายเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของปกติ

                    “ตาย!” ทานากะที่ดึงพลังจากผลึกนิลอวตารย่นระยะสี่ห้าก้าวเหลือเพียงครึ่งก้าวภายในชั่วพริบตา แทงกระบี่เข้าจากด้านซ้ายที่เป็นจุดบอดของสายตาบลูในขณะนี้

                    กระบองวิสุทธิ์ศาสตราพลันลอยมาด้วยมือที่ล่องหน ปิดกั้นทางซ้ายอันเป็นจุดอ่อนของเขาไว้ ตัวบลูเองขยับกายมาทางด้านขวาก้าวหนึ่ง ประกบนิ้วชี้และนิ้วกลางเข้าด้วยกันร่ายเอลประกายเพลิงตอบโต้

                    ตั้งสติให้มั่น ... ตั้งสติให้มั่น ศัตรูผู้นี้มิอาจประมาทได้ หาไม่แล้วครูชานอนคงจะไม่พลาดท่าด้วยน้ำมือของมัน บลูเติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมของโรงเรียนเซนต์เอลลิสตั้งแต่เล็ก เรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตได้อาศัยอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ ด้วยความที่เป็นเด็กกำพร้าจึงผูกพันกับสถานที่แห่งนี้เป็นพิเศษ ไม่ว่าครูอาจารย์ท่านใดในเซนต์เอลลิสบลูต่างเคารพรักทั้งสิ้น ความตายของครูชานอนจึงเป็นสิ่งที่กระทบกระเทือนกับจิตใจเขาอย่างใหญ่หลวง หากจะเปรียบเทียบการจากไปในครั้งนี้ส่งผลยิ่งกว่าการจากไปของจอมขมังเวทย์ราเฟริคหลายเท่านัก แม้ว่าสายเลือดของเขาจะเป็นสายเลือดของชาวอาร์คาน่าโดยกำเนิด แต่สายเลือดเส้นนี้ถูกโรงเรียนเซนต์เอลลิสปลูกฝังจนกลายเป็นสีฟ้าขาวเช่นเดียวกับสีของโรงเรียนไปแล้ว

                    ตูม!

                    ประกายเพลิงถูกปลายกระบี่ตัดออกเป็นสองส่วน เปลวเพลิงกระจายออกไปด้านข้างวูบหนึ่งแล้วหายไป ส่วนทานากะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในจุดบอดสายตา เบี่ยงร่างตามการเคลื่อนไหวของบลูจงใจให้เขาต้องใช้ตาซ้ายในการจับเป้าหมาย ระหว่างที่ขยับกายหลอกอยู่สองสามก้าวทานากะก็ได้จังหวะ เมื่อโลหิตที่ปากแผลของบลูไหลอาบลงมาอีกระลอกหนึ่ง มือสังหารกระบี่ดำขยับกายเข้าใกล้ในช่วงเสี้ยววินาที แทงกระบี่เข้าที่ซี่โครงด้านล่างเฉียงขึ้นด้านบน หมายจะให้ปลายกระบี่ทะลุผ่านช่องระหว่างซี่โครงเสียบเข้าใส่หัวใจ

                    บลูใช้ไหวพริบประสานเอลที่สามเข้ากับแขนซ้าย ใช้ทักษะเอลประสานศาสตราก่อกำเนิดกำแพงลมหมุนขึ้นบริเวณท่อนแขน สะบัดมือจากที่กดแผลบริเวณหางคิ้วลงไปด้านล่างป้องกันซี่โครงของตน ใช้มือเลือดเนื้อกระทบเข้ากับกระบี่ดำปัดมันให้เบี่ยงเบนออกไป

                    ท่าสังหารอันโหดเหี้ยม บุรุษหนุ่มหอบหายใจพลางรู้สึกว่าแขนซ้ายของตนไร้ความรู้สึกไปชั่วขณะ แรงปะทะของกระบี่เมื่อครู่ทำให้ข้อแขนชาแทบจะขยับไม่ได้ จากการผิดพลาดเพียงครั้งเดียวกลับสร้างความเสียเปรียบให้กับเขามากถึงขนาดนี้

                    บลูคิดหาวิธีตอบโต้จะยินยอมให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายรุกเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ หากปล่อยให้ตนเองมีจุดบอดจะอย่างไรก็ต้องตกเป็นฝ่ายรับอยู่วันยังค่ำ พอคิดได้เช่นนั้นบุรุษหนุ่มจึงปิดตาซ้ายลงโดยสิ้นเชิง เห็นริมฝีปากของเจสสิกาที่นั่งอยู่ด้านข้างปรากฏยิ้มขึ้นมาทันใด

                    “การสังหารเจ้าช่างเป็นอะไรที่น่าสนุกเสียปานนี้” ทานากะกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข เสมือนว่าเห็นบุคคลที่อยู่ตรงหน้าเป็นเครื่องเล่นชิ้นหนึ่ง วัดระหว่างความเป็นและความตายของตนเองกับฝ่ายตรงข้าม อัศวินดำหมายเลขหกกำลังมีความสุขอยู่กับการฆ่า หัวเราะขึ้นมาแล้วกล่าวต่อไปว่า “น่าเสียดาย ... หากเจ้าตายไปข้าคงจะต้องหาเป้าหมายใหม่เหมือนกับครูสตรีผู้นั้น ที่มิอาจสร้างความบันเทิงให้กับข้าได้อีกต่อไป”

                    บลูทราบว่ากล่าววาจาอันใดกับคนจิตวิปริตเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ การก่อการร้ายของโจรผู้ร้ายทั่วไปอาจคำนึงได้ว่าแต่ละคนมุ่งไปที่ผลประโยชน์อันใด เงินตรา อำนาจ หรือแม้แต่สตรี แต่สำหรับผู้นี้การสังหารเป็นเพียงการเสพสุขอย่างหนึ่ง สร้างความบันเทิงให้กับตนเองราวกับเป็นการละเล่น ต่อให้มันไม่มีตำแหน่งอัศวินดำก็คงต้องหาเหยื่อมาสังเวยความสุขอยู่ดี มีเพียงการจบชีวิตมันเท่านั้นที่จะหยุดยั้งการสังหารต่อเนื่องเหล่านี้ได้ ท้ายที่สุดบุรุษหนุ่มลอบตกลงใจกับตนเองว่า ข้าคนนี้จะเป็นผู้หยุดมัน

                    เอลทั่วร่างบลูถูกกระตุ้นขึ้นมาพร้อมกัน สาบานได้ว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่เริ่มการผจญภัยจนกระทั่งถึงขณะนี้ไม่มีวินาทีใดที่บุรุษหนุ่มเกิดจิตสังหารรุนแรงเท่านี้อีก จิตสังหารกระตุ้นให้ทานากะนิ่งเฉยมิได้จำต้องลงมือก่อน

                    มือสังหารกระบี่ดำประสานเอลแห่งลมเข้ากับกระบี่ กรีดผ่านมุมมืดบริเวณจุดบอดของตาซ้าย จากเดิมที่บุรุษหนุ่มสามารถมองเห็นได้เลือนราง พอปิดตาลงมิอาจมองเห็นสิ่งใดได้อีก อำนาจผลึกนิลอวตารส่งผลให้ทานากะบรรลุถึงขอบเขตเหนือเมฆาเป็นอย่างน้อย บุรุษผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวผลข้างเคียงจากผลึกต้องห้าม หยิบยืมเอาพลังของผลึกนิลมามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แทงออกเป็นบุปผากระบี่สามดอกต่อกัน

                    จริงอยู่ที่บลูมิอาจมองเห็นได้ แต่สตรีที่อยู่ข้างเคียงสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้แจ่มชัด แหวนคู่ชะตาที่ทั้งคู่สวมใส่ประสานจิตใจเป็นหนึ่งเดียว บุรุษหนุ่มอาศัยภาพจากจิตใจของหญิงสาวตอบโต้สวนกลับทันควัน

                    มือซ้ายขวาของบลูเปล่งแสงสีแดงและเขียวอย่างละข้าง กำหนดอาคมแปรผันร่ายฉับพลันปล่อยเอลแห่งลมและเอลแห่งไฟ หยุดยั้งบุปผากระบี่ไว้อย่างละดอก เมื่อการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามถูกหยุดยั้งลงไปชั่วขณะ บลูจึงมีเวลาเบนเท้าข้างหนึ่งใช้ส้นเท้าเป็นจุดหมุน พาตนเองออกมาจากจุดอับสามารถมองเห็นศัตรูด้วยตาขวาที่แจ่มชัด กระบองวิสุทธิ์ศาสตราลอยเข้ามาอยู่ในมือทั้งสองข้างในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ เพิ่มพูนพลังของเอลสีฟ้าที่บรรจุลงไปบริเวณปลายกระบองทั้งสองอีกหกส่วน บลูควงกระบองหมุนเป็นวงกลมด้วยท่าพายุใหญ่ ก่อกำเนิดเป็นเอลแห่งน้ำตามการหมุนของวิสุทธิ์ศาสตรา กระแสน้ำขนาดใหญ่พุ่งออกไปกระแทกหน้าอกและช่องท้องของอัศวินดำผู้นี้อย่างจัง

                    “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีวาระสุดท้ายดั่งเช่นคนอื่นเขาใช่หรือไม่?” บุรุษหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “บอกตามตรงว่าเจ้าเป็นมนุษย์คนเดียวที่ข้าลงมือสังหารแล้วไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด”

                    ตูม!

                    กระแสน้ำป่นกระดูกซี่โครงบริเวณหน้าอกของอัศวินดำหมายเลขหก ใบหน้าของมันในช่วงวาระสุดท้ายยังคงไม่เชื่อถือว่าตนเองพลาดท่าเสียทีได้อย่างไร ทั้งๆที่ฝ่ายตรงข้ามหลบตาไม่อาจมองเห็นอยู่ชัดๆ เหตุใดจึงสามารถหลบกระบวนท่าโจมตีที่รุนแรงที่สุดแล้วสวนกลับมาเช่นนี้ได้?

    อย่างไรก็ตามทานากะคงต้องพกคำถามที่ค้างคงใจนี้ลงไปในปรภพ เนื่องจากคนตายไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีก ขณะนั้นเองบลูควงกระบองวิสุทธิ์ศาสตรากลับด้าน เปลี่ยนจากการใช้เอลที่สองเป็นเอลที่สาม ผลึกเอลไลท์เปล่งแสงสีเขียวสดใสแทนที่สีฟ้า พายุน้ำจึงกลับกลายเป็นพายุลมจากต้นกำเนิดของประตูบานที่สี่ ทันใดที่เอลระดับหนึ่งสองชนิดพบกัน ก็เกิดการผสมกลายเป็นเอลน้ำแข็งระดับสอง กัดกร่อนสภาพร่างกายของทานากะจนสิ้นลมหายใจ

    อัศวินดำหมายเลขหกสิ้นสุดลงที่ตรงนี้

    โลหิตบริเวณหางคิ้วของบลูถูกไอเย็นเมื่อครู่ช่วยปิดปากแผลมิให้ไหลลงมาอีก ตาซ้ายที่ถูกโลหิตบดบังจึงมองเห็นได้แจ่มชัดอีกครั้ง ปรากฏเป็นภาพของทานากะที่นอนจมกองโลหิตอยู่กับเหล่าองครักษ์อีกสี่ห้าคน บุรุษหนุ่มมองดูด้วยสายตาที่เปล่าเปลี่ยวปนอ้างว้าง นึกย้อนไปถึงภาพเก่าๆในอดีตที่เคยอาศัยอยู่ในโรงเรียนเซนต์เอลลิสกล่าวว่า “ครูชานอนหลับให้เป็นสุขเถิด หนี้โลหิตของท่านข้าได้ชำระให้เรียบร้อยแล้ว”

    ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง เหตุเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติขึ้นอีกครั้ง!

    “เจ้าเองก็เช่นกัน! เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากบริเวณข้างเคียง กระแสน้ำวนที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะพุ่งเข้าใส่หน้าอกของอัศวินดำหมายเลขหก กลับมีเป้าหมายเป็นบุรุษหนุ่มผมน้ำเงิน!

    ขอเพียงบลูยังคงมีชีวิตอยู่ก็จะไม่มีวันลืมเลือนเสียงนี้ได้ เสียงของบุรุษที่ทำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก นึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะวางหมากซ้อนกันสองชั้น และหมากชั้นที่สองนั้นยิ่งเข้มแข็งกว่าชั้นแรกเป็นเท่าตัว เพราะมันคือบารอนมาร์คัสที่ลงมือด้วยตนเอง!

     

    เปลวเพลิงกระจายออก เสียงระเบิดดังลั่นจากภายนอกอุโมงค์

    เอลแสงดาวตกของโรซาไลน์พุ่งเข้าปะทะกับธนูอัคคีดอกหนึ่งที่อัดมาด้วยเปลวอัคคี ก่อให้เกิดเปลวไฟลามเลียพื้นหญ้าแถวนั้นไปแถบหนึ่ง สตรีสาวเคลื่อนกายไปโดยรอบใช้สิ่งกีดขวางในโกดังให้เป็นประโยชน์ ใช้ธนูมุกทะลวงเมฆายิงสวนกลับไปยังจุดที่น่าจะเป็นตำแหน่งของศรพิฆาตเอริค

                    ลมพัดผ่านต้นคอของสตรีสาววูบหนึ่ง บุรุษร่างยักษ์ผิวดำสนิทลอยข้ามศีรษะของนางมาจากเบื้องบน ขวานเล่มยักษ์นามว่าพิฆาตอาชาจามลงมาจากท้องฟ้า

                    มาได้อย่างไร!?’ โรซาไลน์คำนึงขึ้นพร้อมกับโน้มตัวไปเบื้องหน้า ม้วนร่างอันพลิ้วไหวครั้งหนึ่งหลบรอดจากท่าจู่โจมจากเบื้องบน

    ขณะนั้นเองเอลแสงของโรสสว่างวูบแยกออกเป็นสี่ร่าง ดาบกลีบเมฆและดาบลายเมฆทั้งแปดผลัดกันโจมตีจากแปดทิศแปดทาง สวนกลับเข้าใส่บุรุษร่างยักษ์ในทันใด

    เอริคยืนนิ่งมิได้หลบเลี่ยง มันตั้งขวานขนานกับลำตัวที่ใหญ่โต ระเบิดเอลแห่งเพลิงออกรอบข้างกดดันให้โรสหยุดยั้งการโจมตี หาไม่แล้วจะถูกเปลวเพลิงที่แผ่ออกมาเผาผลาญ

    โรซาไลน์มิอาจฝืนโจมตีต่อไป ร่างเงาทั้งสี่วกกลับมารวมกันอีกครั้งในตำแหน่งห่างไกล ยืนน้าวศรจากธนูมุกทะลวงเมฆาเล็งเป้าไปที่อัศวินดำหมายเลขสาม พร้อมที่จะปล่อยออกได้ทุกเมื่อ

    “กองทัพแปดพันภายใต้การควบคุมของข้ากำลังจะมาถึงในอีกห้านาที เจ้าคิดว่าเพียงตัวคนเดียวจะสามารถหยุดยั้งจำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้หรือ? เจ้ามีศักดิ์เป็นถึงมาร์คีสแห่งลาเวนดิส หากยินยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีรับรองว่าทางฝ่ายจักรวรรดิจะไม่ทำอันตรายต่อเจ้า แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันขัดขืน ก็อย่าหาว่าขวานพิฆาตอาชาเล่มนี้ไร้ความปราณี” เอริคกล่าวด้วยเสียงอันดังก้องแจ่มชัด เฉกเช่นนิสัยของมัน

    สตรีผมทองตีฝีปากกลับไปว่า “ข้าเพียงคนเดียวคงจะไม่บังอาจไปหยุดยั้งกองทัพจำนวนมหาศาลขนาดนั้นได้ แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อว่ากองทัพนั้นจะหยุดข้าเพียงลำพังได้เช่นกัน”

    ควับ! ธนูมุกทะลวงเมฆาปล่อยศรออก ปลายศรมีแสงสีขาวระยิบระยับพุ่งเข้าใส่ศรพิฆาตเอริค

                    เอริคแค่นเสียงครั้งหนึ่งกล่าวว่า “เอลเพียงเท่านี้มิอาจสะกิดผิวของข้าได้”

                    “ใครต้องการที่จะสะกิดผิวของเจ้า?” เสียงของโรซาไลน์ยังดังไม่จบสิ้น แสงสีขาวระยิบนั้นพลันสว่างขึ้นเจิดจ้าบดบังสายตาของอัศวินดำหมายเลขสามไป โรซาไลน์ได้โอกาสจึงเคลื่อนตัวเข้าประชิดในระยะใกล้ด้วยความเร็วสูง จ่อปลายดาบลายเมฆและดาบกลีบเมฆเสียบเข้าที่หน้าอกและสีข้างของฝ่ายตรงข้าม ในตำแหน่งที่คมดาบจะเข้าไปตัดกันที่ขั้วหัวใจ

                    เคร้ง! ดาบลายเมฆและดาบกลีบเมฆถูกขวานยักษ์ปัดไปด้านข้าง เอริคใช้มืออันใหญ่โตรวบข้อมือทั้งสองของโรซาไลน์เอาไว้มิให้ขยับไปไหน

                    “บอกแล้วใช่หรือไม่ว่าเอลเด็กเล่นเช่นนี้มิอาจทำอะไรข้าได้?” ไม่น่าเชื่อว่าเอริคไม่ได้รับผลกระทบจากเอลเจิดจ้าดั่งสุริยัน ขวานยักษ์ปรากฏเป็นเพลิงสถิตร้อนแรงเตรียมตอบโต้เข้าใส่โรซาไลน์ ยินเสียงอัศวินดำหมายเลขสามกล่าวว่า “เห็นแก่เจ้าที่จะต้องตายอย่างงมงาย ก่อนตายข้าจะบอกให้ว่าเอาบุญว่าขอเพียงมีความร้อนที่แตกต่าง ประสาทสัมผัสของข้าสามารถแยกแยะได้เสมอ”

                    ทันใดที่คำพูดกล่าวจบเอริคก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งยกขวานพิฆาตอาชาอันหนักอึ้ง จามลงใส่ศีรษะของนางหมายจะสังหารในขวานเดียว

                    โรสมิได้กรีดร้องเพราะทราบว่าร้องไปก็เปล่าประโยชน์ นางพยายามหาทางเอาตัวรอดดึงมือทั้งสองออกจากการจับกุมของเอริค แต่กลับมิอาจสู้แรงบุรุษได้ ในเสี้ยววินาทีคับขันสตรีผมทองพลันคิดได้ถึงหนทางเอาตัวรอดอีกสายหนึ่ง นางรวบรวมเอลแห่งแสงทั่วร่างเอาไว้ที่สองฝ่ามือ ประกบใจกลางฝ่ามือเข้าหากันระเบิดออกเป็นเอลแสงดาวตกในพริบตา ประกายสว่างเจิดจ้าจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง

                    ตูม!

                    ร่างของโรซาไลน์ลอยละลิ่วออกมาจากจุดระเบิด กระแทกเข้ากับผนังได้รับความบอบช้ำอย่างยิ่งยวด ผิวที่แขนทั้งสองถูกไฟคลอกไปหมดสิ้น ตกอยู่ในอาการปวดแสบปวดร้อน แต่โชคยังที่ดีนางควบคุมเอลไว้ได้ในระดับหนึ่งทำให้ไม่ส่งผลกระทบถึงกระดูกเส้นเอ็น อาการบาดเจ็บในลักษณะนี้นางยังสามารถใช้เอลที่ห้าฟื้นฟูสภาพผิวขึ้นมาได้ เชื่อว่าภายในวันสองวันคงจะหายกลับมาเป็นปกติ

                    แต่การต่อสู้ตรงหน้านี้กลับมิอาจรอคอยเป็นเวลาวันสองวันได้ โรซาไลน์จำต้องรักษาอาการบาดเจ็บเฉพาะหน้าให้เร็วที่สุด ตระเตรียมรับมือฝ่ายตรงข้ามในทันใด เพราะว่านางยังคงสัมผัสได้ถึงเอลอันรุนแรงจากมัน

                    เอริคแทบไม่เชื่อสายตาตนเองว่าต้องปลดผลึกนิลอวตารออกมาใช้ในลักษณะนี้ แรงปะทะจากเอลแสงดาวตกทั้งสองรุนแรงเกินกว่าที่มันในสภาพปกติจะตั้งรับเอาไว้ได้ และต้องยอมรับว่าเมื่อครู่มันเห็นฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ จึงประมาทเห็นว่าเป็นลูกไก่ในกำมือเมื่อตนเองชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบ โชคดีที่อาศัยเอลจากผลึกนิลอวตารส่งผลให้เปลวอัคคีลดความรุนแรงของระเบิดเมื่อครู่ไปได้แปดส่วน

                    โรซาไลน์ฝืนกายค่อยๆพิงผนังด้านหลังยืดตัวขึ้น มองไปเบื้องหน้าเห็นเอริคยังคงมิได้รับบาดเจ็บเท่าที่ควร เทียบกับอาการบอบช้ำถึงหกเจ็ดส่วนที่ตนเองได้รับ ก็ทราบว่าการต่อสู้นี้รู้ผลแพ้ชนะกันแล้ว หางตาของนางเหลือบมองไปที่ประตูหน้าโกดัง เห็นบุรุษคนรักกำลังพัวพันอยู่กับอัศวินดำหมายเลขสองและศัตรูอีกนับร้อยนับพัน ความคิดที่จะร้องขอความช่วยเหลือจึงมลายหายไป

                    เอริคสำรวจตนเองพบว่ายังอยู่ครบสามสิบสองประการ มีเพียงเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นและผิวกายบางส่วนถูกความร้อนแผดเผาเล็กน้อย จึงใช้สองมือจับขวานพิฆาตอาชาวาดออกเบื้องหน้า กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ายอมรับว่าประมาทสตรีอย่างเจ้าอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้คงจะไม่มีเหตุการณ์อย่างเมื่อครู่เกิดขึ้นอีก เจ้าจะต้องตายในขวานเดียว”

                    กล่าวจบร่างยักษ์สีดำทะมึนพลันเคลื่อนไหววูบหนึ่ง ร่นระยะห่างระหว่างทั้งสองเหลือเพียงครึ่งเดียว โรซาไลน์แทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวนั้น หรือต่อให้มองเห็นก็มิอาจกระทำอย่างไรได้ เอริคที่เปิดผลึกนิลอวตารแข็งแกร่งขึ้นราวกับว่าเป็นคนละคน จัดอยู่ในชั้นเหนือเมฆาเป็นอย่างน้อย ขวานยักษ์นั้นฟาดเข้ามาในแนวตรงมิได้เบี่ยงเบนแต่ประการ ใด แต่ด้วยความเร็วและความรุนแรงในระดับนี้ โรซาไลน์มิอาจหลบเลี่ยงได้เลย

                    เคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น

                    สองแขนที่เล็กเรียวของสตรีผมทองถือดาบวิเศษสองเล่มไขว้กัน ดาบลายเมฆและดาบกลีบเมฆขัดกันเป็นรูปกากบาทรับคมขวานยักษ์ที่หนักแน่นเอาไว้ มือของนางทั้งสองสั่นไหว ปลายขวานกดเข้ามาผลักดาบคู่ทั้งสองลงเรื่อยๆ หลังของโรสที่พิงผนังด้านหลังถูกแรงกดดันให้ร่างทรุดลงไปกับพื้น เหลือระยะห่างระวห่างปลายขวานกับศีรษะของนางเพียงสองนิ้ว

                    “ว๊าก! อัศวินดำหมายเลขสามตะโกนเสียงดังลั่น กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งขึ้นมารวบรวมเอลแห่งเพลิงบรรจุเป็นเพลิงสถิตบนคมขวานพิฆาตอาชา ก่อกำเนิดเพลิงร้อนแรงลุกท่วมปลายขวานพร้อมกับเรี่ยวแรงอันมหาศาลในชั่วอึดใจ กดลงสู่ร่างของสตรีสาวที่ไร้หนทางหลบหนี

                    เคร้ง! เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่กลับมิใช่เสียงจากศัสตราวุธชิ้นเดิม

                    เอริคมิอาจไม่ยกขวานออกจากร่างของโรซาไลน์เพื่อต้านรับกระบี่ตัดจันทรา ในมือของนักรบหมายเลขหนึ่งแห่งราชอาณาจักรลาเวนดิสนามว่าโซโลมอน

                    ยินเสียงอันคุ้นเคยกล่าวว่า “ลำบากท่านมาร์คีสมากแล้ว ต่อจากนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าและกองกำลังกริฟฟอนทั้งห้าพันเถิด”

                    โรซาไลน์ยิ้มด้วยสายตาอันอ่อนโยนที่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย กล่าวว่า “รบกวนแล้วท่านโซโลมอน” จากนั้นจึงทรุดกายลงกับพื้นโคจรเอลที่ห้ารักษาอาการบาดเจ็บ

     

    กับดักที่น่ากลัวเป็นกับดักที่ไม่มีผู้ใดทราบ ทำงานในยามที่เหยื่อคิดว่าปลอดภัยที่สุด จะมีโอกาสที่สามารถประสบผลมากที่สุด

                    บลูไม่ทราบว่าบารอนมาร์คัสจะดักซุ่มอยู่ ขณะที่สังหารอัศวินดำทานากะลงจิตใจของเขาก็ผ่อนคลาย ทำให้การระวังตัวจากภัยร้ายแรงลดหย่อนลงไปด้วย จนเป็นเหตุให้บารอนมาร์คัสสบโอกาสเหมาะ เกาะกุมช่องว่างที่เหยื่อปราศจากการป้องกันตัว ลงมือจู่โจมสังหารในกระบวนท่าเดียว

                    บารอนมาร์คัสคุมเชิงอยู่ก่อนตั้งแต่แรกแล้ว มีอย่างที่ไหนบุคคลระดับมันและมาร์เวอริคจะปล่อยให้ภารกิจลอบสังหารองค์ราชินีตกอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของอัศวินดำผู้หนึ่ง หากมันทั้งสองมิอาจยืนยันได้อย่างแน่ชัดว่าองค์ราชินีสวรรคตแล้วจริง พวกมันก็ไม่สามารถตั้งตนเป็นใหญ่สถาปนาราชวงศ์เบริลเลียขึ้นได้ ในเมื่อพวกมันยินยอมทุ่มเทหมดหน้าตักใช้เมืองเบริลทั้งเมืองเพื่อช่วยเปิดโอกาสของการลอบสังหาร จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกมันสองพ่อลูกจะไม่อยู่ดูความสำเร็จจากแผนการของตน?

                    ใช่แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกมันสองพ่อลูกจะไม่ลงมือด้วยตนเอง?

                    ตูม!

                    สายนทีหมุนวนเมื่อครู่มิอาจสร้างความเสียหายใดๆให้กับบุรุษหนุ่ม แม้ว่าจะเป็นช่วงที่เขาเปิดช่องว่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บลูพลิกกระบองวิสุทธิ์ศาสตราจ่อปลายข้างหนึ่งเข้าหากระแสน้ำ เปิดประตูบานที่หนึ่ง สองและสามสลับกันอย่างต่อเนื่อง ปล่อยอนุภาคของเอลแห่งน้ำที่ทัดเทียมโดยใช้ปลายกระบองวิสุทธิ์ศาสตราเป็นศูนย์รวม สายนทีหมุนวนทั้งสองสายจึงปะทะกันอย่างจัง ส่งผลให้บุรุษหนุ่มต้องถอยหลังไปด้วยแรงกระแทกเกือบสามก้าวเต็ม เห็นเป็นร่างของบารอนมาร์คัสปรากฏออกมาจากมุมมืด ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยว่าเหตุใดคู่มือคนนี้จึงเก่งกาจราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

                    ความจริงแล้วหากเมื่อครู่มีเพียงบลู ทุกสิ่งทุกอย่างคงไม่พ้นการคำนวณของบารอนมาร์คัส แผนการที่ทับซ้อนและแยบยลสมควรจะสังหารเขาไปกับกระบวนท่าเมื่อครู่ ไม่ว่าบลูจะพัฒนาฝีมือขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงใด หากถูกลอบทำร้ายจะสูญเสียโอกาสในการต่อสู้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่งไปในทันที แต่บลูมิได้อยู่เพียงตัวคนเดียว เจสสิกาที่นั่งอยู่ด้านข้างมิได้ตั้งอยู่ในสภาวะประมาทอย่างเขา นางใช้ความคิดทบทวนว่าเพราะเหตุใดจึงไม่มีทหารองครักษ์ชุดอื่นเข้ามาช่วยเหลือเลย หากมิใช่เพราะพวกเขาถูกซื้อตัวไปก็ต้องเป็นเพราะว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เหตุการณ์ผิดปกติ ด้วยเหตุนี้จึงย้อนคิดไปถึงแผนการโดยรวมว่าจะสองพ่อลูกมาร์เวอริคจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ และแน่นอนการที่ส่งคนมาลอบสังหารตนโดยใช้เมืองทั้งเมืองเป็นเหยื่อล่อ จะพลาดหนึ่งในสองพ่อลูกคู่นี้ได้อย่างไร ในเมื่อเจสสิกาตั้งมั่นอยู่ในสติที่สมบูรณ์พร้อม คอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงและสภาพแวดล้อมรอบด้านอยู่โดยตลอด พอพบเห็นสิ่งผิดปกติก็ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดนั้นไปให้บุรุษหนุ่มผ่านแหวนคู่ชะตา บลูจึงได้รับการเตือนภัยล่วงหน้าชั่วขณะสามารถรับมือได้ทันท่วงที นี่ก็ต้องขอบคุณประสบการณ์พิสดารที่ถ้ำไอหยก อันทำให้บลูสามารถรีดเอาอนุภาคแห่งเอลจำนวนมหาศาลมาใช้ได้ในระยะเวลาอันสั้น หากปราศจากแหวนคู่ชะตาหรือตัวหนังสือจารึกของท่านเนอร์ฟารูห์อย่างใดอย่างหนึ่งไป แผนการของบารอนมาร์คัสคงจะประสบความสำเร็จไปแล้ว

                    แต่สิ่งที่เป็นไปมิได้กลับเป็นไปได้ แผนการที่เรียบเนียนไร้รอยต่อกลับถูกสร้างช่องโหว่ขึ้นมา มิใช่ช่องโหว่จากความผิดพลาดหรือการคำนวณของฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นช่องโหว่ที่สวรรค์ประทานมาให้ ที่มนุษย์ไม่ว่าจะฉลาดปานใดกลับมิอาจนึกถึง ว่าจิตใจของคนสองคนจะเชื่อมต่อกันได้อย่างน่าอัศจรรย์!

                    ขอบใจเจ้า

                    ไม่เป็นไร อย่าให้มันทราบระแคะระคายได้ว่าพวกเราสามารถสื่อสารถึงกัน หญิงสาวคำนึงตอบ พลางเล่นละครทำสีหน้าเหมือนตกใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่ทราบอยู่ก่อนหน้าแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่มาร์คัสจะปรากฏตัว

                    ข้าทราบดี แต่จะอย่างไรเมื่อครู่ถือว่าข้าติดหนี้เจ้าเพิ่มอีกหนหนึ่งก็แล้วกัน บุรุษหนุ่มมิได้หันไปมองเจสเพื่อมิให้ผิดสังเกต

                    “มาร์คัส” บลูเย็นสันหลังวาบเมื่อพบว่าตนเองประมาทเมื่อครู่ กระบองวิสุทธิ์ศาสตราในมือยังคงสั่นไหวจากแรงปะทะ บุรุษหนุ่มกลองตาวูบหนึ่งใช้สมองที่ปราดเปรียวนึกคิดแผนการเฉพาะหน้า ชี้มือไปที่ร่างของอัศวินดำหมายเลขหกกล่าวว่า “นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับคนตาย ที่มันยอมขายเจ้าเมื่อถึงวาระสุดท้าย”

                    บุรุษหนุ่มผมทองได้ยินดังนั้นจึงยิ้มที่มุมปาก กล่าวตอบโต้ว่า “อย่าได้กล่าวเหลวไหลไปเลยท่านเอกอัครราชทูต มันผู้นี้ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าข้าแฝงกายอยู่รอบข้าง มันเป็นเพียงตัวหมากตัวหนึ่งที่ถูกวางไว้และพร้อมที่จะสละได้ทุกเมื่อ”

                    ทายาทแห่งอาร์คาน่าตอบโต้กลับไปว่า “น่าขันนัก เรื่องทำนองนี้หากไม่รู้รับรองได้ว่าพรรคพวกของเจ้าจะต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปเสียแล้ว บุคคลที่มีตำแหน่งบารอนค้ำคออย่างเจ้าคิดว่ามือสังหารกระบี่ดำผู้นี้เป็นคนปัญญาอ่อนหรอกหรือ? ทราบหรือไม่ว่าก่อนตายมันเหลือบไปมองที่ซ่อนของเจ้าอยู่วูบหนึ่งเปิดเผยร่องรอยให้ข้าทราบล่วงหน้า แต่เจ้าที่เป็นพวกเดียวกับมันกลับนิ่งเฉยมิยอมช่วยเหลือ เพียงคิดว่าตนเองฉลาดรอคอยโอกาสเหมาะจู่โจม แต่ที่ไหนได้ท่าดีกลับทีเหลว แผนการของเจ้าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงต้องสูญเสียเมืองเบริลโดยเปล่าประโยชน์ แต่กลับต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่”

                    บลูกล่าววาจาเหลวไหลที่พึ่งคิดได้เมื่อครู่จบก็ไม่เปิดโอกาสให้บารอนมาร์คัสกล่าววาจา ชิงเป็นฝ่ายรุกในทันทีโดยการใช้บัญญัติอาคมลวง เปลี่ยนสีของเอลจากแดงเป็นฟ้า ยิงเอลที่สี่ออกไปเบื้องหน้า

                    บารอนมาร์คัสเห็นเอลสีฟ้าจึงใช้เอลแห่งน้ำที่เชี่ยวชาญเข้าต่อต้าน แต่พอเห็นสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามยิงออกมาเป็นเพลิงจึงอุทานว่า “ผิดท่า!

                    ตูม!

                    เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อเอลตรงกันข้ามปะทะกัน แรงระเบิดผลักให้มาร์คัสถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ในขณะที่บลูอาศัยฝุ่นฟุ้งพลิกกายไปอยู่ในมุมเฉียงจากจุดเดิม ร่ายเอลแถบกระบี่สุญญากาศออกเป็นขีดเส้น ผ่าจากบนลงล่างเข้าหาบารอนมาร์คัส

                    จะอย่างไรยอดฝีมือระดับวิถีแห่งฟ้ามิอาจดูแคลนได้โดยง่าย บุคคลผู้นี้มีความสามารถเหนือว่าทานากะในขณะที่ดึงผลังจากผลึกนิลอวตารออกมาเต็มที่ บารอนมาร์คัสเป็นเอลลิสผู้ศึกษาเอลที่สองอย่างแตกฉาน แรงระเบิดจากธาตุตรงข้ามส่งผลต่อเขาน้อยยิ่งกว่าน้อย เนื่องจากเอลที่สองของเขามีความแข็งแกร่งเหนือกว่าเอลที่สี่ของบลูมากนัก พอพบว่าแถบกระบี่สุญญากาศกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ บุรุษผู้นี้จึงวาดนิ้วข้างหนึ่งก่อกำเนิดหอกวารี เข้ายันกับแถบกระบี่สุญญากาศได้อย่างคู่คี่ก้ำกึ่งโดยมิได้ขยับเท้าเคลื่อนกายจากจุดเดิม

                    “ลวดลายไม่เลว” ยินเสียงบารอนมาร์คัสกล่าวต่อไปว่า “แต่ยังเร็วเกินไปที่จะวัดฝีมือกับข้า”

                    ลูกราชสีห์จะอย่างไรก็เป็นราชสีห์ บารอนมาร์คัสสืบทอดศาสตร์แห่งเอลจากบิดามาครบถ้วน ทั้งยังศึกษาต่อจนอาจเรียกได้ว่ามีความสำเร็จเหนือบิดาในด้านการใช้เอล ในขณะที่มาร์เวอริคทุ่มเทเวลาไปฝึกบัญญัติเพลงยุทธของตรีบัญชาสมุทร มาร์คัสยกมือขึ้นสองข้างประสานกันแผ่อนุภาคของเอลแห่งน้ำไปโดยรอบ ปริมาณของเอลที่ส่งออกมานั้นเป็นจำนวนมหาศาลระดับที่ต่อให้บลูเปิดประตูทั้งสี่บานออกยังมิอาจสร้างเอลที่สองได้มากมายขนาดนี้ “นับว่าเจ้าเป็นบุคคลที่สองรองจากบิดา ที่ทำให้ข้าต้องลงมือโดยสุดแรง”

                    บลูหยีตามองอนุภาคเอลอันหนาแน่นจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โลหิตในกายคุกรุ่นกระหายการต่อสู้ระหว่างเอลลิสระดับยอดฝีมือ ทายาทแห่งอาร์คาน่าคำนึงขึ้นว่า ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามเป็นของจริง ... หากสามารถพิชิตบุคคลผู้นี้ลงได้ การที่จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดของระดับแห่งฟ้าจะมิใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป

                    ก่อนที่บารอนมาร์คัสจะเปิดการต่อสู้กับบุรุษหนุ่มตรงหน้า พลันหันไปมองเจสสิกาแล้วกล่าวว่า “กระหม่อมคงมิอาจเอื้อมดำรงตำแหน่งดยุคตามพันธะหมั้นหมายในอดีต เพราะหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตในอีกไม่ช้าบิดาของกระหม่อมคงจะดำรงตำแหน่งราชันย์แห่งลาเวนดิสแทนที่ และสักวันใดวันหนึ่งตำแหน่งนั้นคงจะต้องตกมาถึงคราวของกระหม่อมจริงหรือไม่ องค์ราชินีเจสสิกา?

                    เสียงหัวเราะดังลั่นของบารอนมาร์คัสดังขึ้น พร้อมกับอนุภาคของเอลสีฟ้าที่แออัดอยู่ในกระโจม การต่อสู้ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเปิดฉากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×