ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #194 : เล่ม 7 - ตอนที่ 93 - กระท่อมกลางหิมะ (2)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.91K
      2
      21 ส.ค. 51

    /> /> />

    “ข้าไม่รักเจ้า” ทั้งข้อความประโยคนี้และน้ำตาหยดนั้นยังไม่เคยเลือนรางไปจากห้วงสมองของบุรุษหนุ่ม เงาหลังครั้งสุดท้ายของนางยังประทับอยู่ในใจประดุจดั่งเหตุการณ์พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่

                    เบื้องหน้าของลูทคืออาณาจักรมิสต์นครที่เป็นศูนย์กลางของศาสนจักร ทอดสายตามองจากพื้นที่บนเนินเขาเข้าไปเห็นสะพานขนาดใหญ่สามแห่ง อันเป็นเส้นทางเชื่อมต่อสายหลักระหว่างมหานครฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ทั้งสองฟากฝั่งของนครมิสต์กั้นไว้ด้วยแม่น้ำสายสั้นๆที่ไหลผ่านใจกลาง ส่วนที่อยู่ฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่มหาวิหารแห่งเทพเจ้าทั้งหก หมู่ตึกคณะปกครอง เรือนสุขาวดีของเอลมาสเตอร์และป้อมปราการของกองกำลังรักษาเมือง สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอายุตั้งแต่ห้าสิบถึงร้อยปีขึ้นไป อันเป็นเขตที่อยู่อาศัยดั้งเดิมของชาวมิสต์ตั้งแต่สมัยบุรพกษัตริย์

    เนื่องจากห้าสิบปีที่ผ่านมาประชากรของนครมิสต์มีการขยายตัวมากขึ้น แหล่งที่อยู่อาศัยแออัดไม่เพียงพอกับความต้องการขั้นพื้นฐาน ทางคณะปกครองได้มีนโยบายให้ทำการขยายเมืองข้ามไปยังฝั่งตะวันตกของแม่น้ำ โดยมีจุดประสงค์ให้ใช้พื้นที่ฝั่งนั้นเป็นเขตที่อยู่อาศัยหลัก พอสะพานข้ามแม่น้ำทั้งสามแห่งถูกสร้างขึ้นเสร็จสิ้นผู้คนก็พากันย้ายจากฝั่งตะวันตกที่แออัดไปยังฝั่งตะวันออกที่มีอาณาบริเวณกว้างขวาง คณะปกครองต้องการให้การขยายตัวนั้นเป็นไปด้วยความรวดเร็วจึงดำเนินนโยบายลดภาษีการค้าของฝั่งตะวันตกลงครึ่งหนึ่ง ทำให้เศรษฐกิจของฝั่งตะวันตกเติบโตอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบปีจำนวนประชากรและบ้านเรือนของฝั่งตะวันตก ได้เพิ่มพูนจนเทียบเท่ากับฝั่งตะวันออกที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปี หลังจากการสร้างเมืองครั้งใหญ่เห็นได้ชัดว่าตึกรามบ้านช่องของฝั่งตะวันตกมีความเป็นสมัยใหม่มากกว่าฝั่งตะวันออก ความเจริญต่างๆถูกโยกย้ายข้ามฝั่งแม่น้ำไปสิ้น ขนเป็นที่มาของการเรียกขานจนติดปากของบรรดาชาวเมืองที่อาศัยอยู่ที่นี่ ว่าฝั่งตะวันตกคือเมืองใหม่และฝั่งตะวันออกคือเมืองเก่า

                    ลูทตัดสินใจว่าตนเองยังไม่ควรที่จะเข้าไปในนครมิสต์ทันที การที่จะเดินบุ่มบ่ามเข้าไปในนครมิสต์อาจทำให้สายสืบของทางจักรวรรดิทราบร่องรอยของเขาได้ ดังนั้นการเคลื่อนไหวจะต้องมีการกลบเกลื่อนร่องรอยให้ดี คาดว่าจะอาศัยจังหวะเวลายามเย็น ที่ขบวนพ่อค้านครมิสต์กำลังเดินทางกลับจากการค้าต่างเมือง ประชาชญที่สัญจรเข้าเมืองจะหนาแน่นขึ้นถนัดตา ทันใดที่แทรกตัวเข้าไปร่องรอยของเขาจะเลือนหายไปตามฝูงชน ยามนี้ลูทจึงอยู่ว่างนั่งพักอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆห่างจากนครมิสต์เพียงห้าร้อยกว่าก้าว รอคอยขบวนพ่อค้าที่จะเดินทางผ่านเข้ามา

                    บุรุษหนุ่มหยิบห่อผ้าของกุญแจแห่งพิภพออกมาเปิดดูเป็นครั้งแรก ตลอดการเดินทางที่ผ่านมาหากมีการต่อสู้ใดๆเกิดขึ้นอาศัยเพียงชมิททาร์ของแจ๊คควบคู่กับหน้าไม้ไฮดราก็เพียงพอแล้ว แต่การประสานวงจรซันเอลของอาวุธระยะใกล้และไกลทำได้ลำบาก หากพบศัตรูเข้มแข็งฝีมือจะลดทอนลงไปกว่าครึ่ง บุรุษหนุ่มจึงเกิดความคิดทดลองกวัดแกว่งกุญแจแห่งพิภพดูสักครั้งสองครั้ง เหตุผลหลักจะได้สร้างความคุ้นเคยในการต่อสู้ ทั้งเรื่องของน้ำหนักและระยะ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นเป็นตายในสมรภูมิ

    หากกะน้ำหนักหรือคำนวณระยะผิดไปสักเล็กน้อยช่องโหว่จะปรากฎ และบรรดายอดฝีมือที่ต่างเอาชัยกันด้วยช่องโหว่เพียงส่วนเสี้ยวจะอาศัยจุดนั้นเป็นโอกาสอันดี จู่โจมสอดเข้าใส่ช่องโหว่จนกระทั่งไม่ทันตั้งตัวติดและพ่ายแพ้ไปในที่สุด

                    ลูทค่อยๆแกะห่อผ้าออกเห็นคมดาบสีทองอร่าม รูปร่างเหมือนจะหนักอึ้งแต่พอยกขึ้นมาแล้วกลับเบายิ่งกว่ากระบี่เขี้ยวราชสีห์อีกเท่าตัว บุรุษหนุ่มพยายามเลี่ยงแสงอาทิตย์ที่อาจทำให้คมดาบส่องประกาย เดินเข้าไปในบริเวณที่มีเงาไม้ค่อนข้างจะหนาแน่น ใช้มือขวาจับด้ามดาบยกขึ้นมาชม พบว่าเป็นคมศาสตราที่ปราศจากร่องรอยขีดข่วนแม้สักร่องรอยหนึ่ง บุรุษหนุ่มกระชับชมิทท่าร์ด้วยมือซ้ายกุมกุญแจแห่งพิภพด้วยมือขวา พบว่ากุญแจแห่งพิภพมีน้ำหนักเบากว่าชมิทท่าร์อีกเช่นกัน ในขณะที่สั้นกว่าชมิทท่าร์เล็กน้อย จึงค่อยๆทดลองร่ายรำเป็นท่าต่อเนื่องออก

                    ควับ ควับ ควับ!

                    จากการร่ายรำธรรมดาบุรุษหนุ่มเห็นว่ากุญแจแห่งพิภพนั้นมิได้แตกต่างจากศัสตราวุธทั่วไป ยกเว้นแต่ความคมกล้าถึงขีดสุด เพียงกรีดผ่านอากาศเบาๆกิ่งไม้ที่ห่างจากคมดาบพลันเกิดรอยขึ้น

    ผ่านไประยะหนึ่งเมื่อลูทชินกับน้ำหนักและระยะของกุญแจแห่งพิภพ จึงเปิดวงจรซันเอลในวิถีแห่งเอล กวัดแกว่งชมิทท่าร์ในมือซ้ายด้วยศาสตราไร้สภาพ ฟันฝ่าอากาศออกไปเบื้องหน้า

                    ลูทนึกถึงข้อความที่ผู้อำนวยการทอริอุสเขียนไว้ให้ในกระดาษ ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเคล็ดวิชาศาสตราไร้สภาพ บุรุษหนุ่มไม่สามารถหาหนทางใดๆในการตีความให้กระจ่างได้ เนื่องจากข้อความพวกนั้นล้วนเป็น “ผล” ของการใช้วิชาศาสตราไร้สภาพ มิใช่ “เหตุ” ในการบังคับศาสตราไร้สภาพให้กระทำเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น ในกระดาษระบุว่าศาสตราไร้สภาพสามารถฟันเอลชนิดอื่นจนขาดเป็นสองท่อน แต่กลับไม่มีสาเหตุว่าจะกระทำอย่างไรให้ศาสตราไร้สภาพมีอานุภาพดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ต่อให้ลูทขบคิดจนสมองแตกก็มิอาจตีความเคล็ดวิชาที่แท้จริง คาดเดาได้ว่าการที่ผู้อำนวยการทอริอุสให้เขานำข้อความเหล่านี้ไปปรึกษากับอาจารย์ดาธ แสดงว่าต้องการให้อาจารย์ดาธช่วยจำลองสถานการณ์ที่ระบุไว้ทั้งหลาย เผื่อว่าเขาอาจพลิกแพลงศาสตราไร้สภาพรับมือกับเหตุการณ์จำลองจนได้ผลลัพธ์อย่างที่ระบุไว้ในกระดาษ

                    ฉัวะ!

                    ลูทปาดชมิทท่าร์ออกด้วยกำลังเล็กน้อยเล็งไปที่กิ่งไม้หนาเท่าข้อแขนของเขา ความคมของศาสตราไร้สภาพหกส่วนสามารถทำให้กิ่งไม้ขาดเป็นสองท่อนทั้งที่มิได้ออกแรงมากมายอะไร จนกระทั่งวงจรเอลสิ้นสุดวงจรซันก่อกำเนิด ลูทใช้ศาสตร์แห่งซันออกด้วยมือขวา ฟาดฟันกุญแจแห่งพิภพออกไปเบื้องหน้าสามดาบ

                    นี่มันอะไรกัน!?’ ลูทตะลึงกับความรู้สึกของตนในขณะนั้น กุญแจแห่งพิภพดึงดูดซันในร่างที่เรียงร้อยเป็นเส้นสาย กลายเป็นการเรียงร้อยซันผ่านคมของกุญแจแห่งพิภพประดุจส่วนหนึ่งของร่างกาย ทำให้ขั้นตอนการบรรจุกระทำได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่าที่ควรจะเป็น สอดคล้องกับเคล็ด เรียงร้อยตลอดเวลาบรรจุในพริบตา ส่งผลให้ซันมีอานุภาพมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

                    ควับ ควับ ควับ!

                    กุญแจแห่งพิภพในมือถูกฟันออกอีกสามดาบ เหงื่อที่บริเวณหน้าผากพลันหยดลงมาด้วยความตื่นเต้น บุรุษหนุ่มรู้สึกว่าซันในร่างกายเรียงร้อยผ่านกุญแจแห่งพิภพด้วยความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีความแตกต่างระหว่างส่วนหนึ่งของร่ายกายกับกุญแจแห่งพิภพในดาบที่ห้า และรู้สึกได้ถึงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีในดาบที่หก

                    ไม่น่าเชื่อ!?’

                    บุรุษหนุ่มฟันออกอีกสามดาบ ดาบที่เจ็ด แปดและเก้าล้วนมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดฝัน จนกระทั่งวงจรซันในร่างโคจรมาจนถึงจุดสิ้นสุด

                    “ข้าไม่รักเจ้า”

                    !?!

    ลูทไม่ทราบว่าตนเองเป็นอะไร ขณะร่ายรำอาวุธภาพของยูกิที่กำลังเดินจากไปพลันปรากฏขึ้นมาในห้วงสมองอีกครั้ง มือขวาที่ใช้กุญแจแห่งพิภพพลันมิอาจหยุดได้ ฟันออกติดต่อกันอีกสามดาบจนถึงดาบที่สิบสอง

                    ลำคอของลูทหวานวูบโลหิตสดๆไหลออกมาจากมุมปาก ปราณโลหิตกระแทกเข้าสู่ชีพจรหัวใจโครมคราม อันเป็นผลมาจากความไม่สมดุลย์ของซันและเอลภายในร่าง พอถึงจุดนี้บุรุษหนุ่มจึงสำนึกตัวว่าเหยียบย่างมาถึงจุดอันตราย ที่ชี้ความเป็นตายของชีวิต แต่ขณะเดียวกันมือขวาที่ร่ายรำกุญแจแห่งพิภพกลับไม่อาจหยุดยั้งได้

                    ด้วยสาเหตุประการใดก็ไม่ทราบ ตัวเขาถูกสุดยอดศัสตราวุธเล่มนี้ควบคุมจนมิอาจหยุดยั้งได้แล้ว!

                    ลูทสะบัดดาบที่สิบสามออกไปเบื้องหน้า พร้อมกับโลหิตที่กระอักออกมาจากปากลงบนพื้นดิน หัวเข่าซ้ายแทบจะทรุดลงกับพื้น บุรุษหนุ่มพยายามอย่างยิ่งยวดกลั้นลมหายใจดึงศาสตร์แห่งเอลในมือซ้ายออกมา ปักกุญแจแห่งพิภพลงที่พื้นดินเบื้องล่างยันกายมิให้ร่วงหล่น ในที่สุดคมดาบสีทองจึงแปดเปื้อนโลหิตเป็นครั้งแรก มิใช่โลหิตของศัตรูแต่กลับเป็นโลหิตของเขาเอง

                    วาบ! วงจรเอลเคลื่อนไหวแล้ว!

                    แต่ทว่าศาสตราไร้สภาพมิได้ก่อกำเนิด เอลที่สว่างวาบออกมากลับเป็นเอลสีทอง! สีทองเช่นเดียวกับกุญแจแห่งพิภพในมือขวา!

                    สายตาของลูทเบิกโพลงด้วยความไม่เชื่อสายตาตนเอง โลหิตสีแดงสดที่อยู่บริเวณมุมปากกลับค่อยๆหยดลง เคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างเชื่องช้า ด้วยเหตุเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ลูทลืมเลือนความบาดเจ็บไปชั่วคราว เงยหน้าขึ้นมองดูใบไม้ที่พลิ้วไหวบนต้น บางใบร่วงหล่นจากเบื้องบนลงสู่พื้นดิน แต่การเคลื่อนไหวเหล่านั้นกลับช้ากว่าปกติเกือบสิบเท่า เป็นไปได้อย่างไร?’

                    สมมุติฐานที่เคยตั้งไว้สามารถยืนยันได้ในวินาทีนี้ มิใช่วินาทีนี้ เวลาในขณะนี้จะเรียกเป็นวินาทีได้อย่างไร? อย่างไรก็ช่าง เอลสีทองมีความสามารถในการควบคุมมิติแห่งกาลเวลาจริงๆ!’

    ทันใดที่ความคิดสิ้นสุดลูทพลันกวาดสายตามองออกไปที่ประตูเมืองของนครมิสต์ พบว่าชาวบ้านที่กำลังเดินเข้าสู่นครมิสต์กำลังเดินด้วยความเร็วปกติ มิใช่ความเร็วที่เชื่องช้าลง แต่เมื่อเขาหันกลับมามองโลหิตหยดเมื่อครู่ พบว่ามันพึ่งจะหยดลงไปได้ครึ่งทางเท่านั้น จากมุมปากยังคงลงไปไม่ถึงพื้นดิน สร้างความสับสนให้กับบุรุษหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง

    แปะ

    ทันใดที่บุรุษหนุ่มเกิดความสับสนเอลสีทองได้คลายออก โลหิตหยดนั้นพลันกระทบพื้นดินเบื้องล่าง เสียงโครมจากหัวเข่าทั้งสองกระทบพื้นดินดังตามมา ศัสตราวุธทั้งสองเล่มปักลงที่พื้นดินเบื้องหน้ายันร่างกายมิให้กระแทกพื้น ลูทผ่านห้วงแห่งความเป็นตายมาได้อย่างฉิวเฉียด เหลือบสายตามองคมดาบสีทองด้วยความน่าสะพรึงกลัว หากเมื่อครู่เอลสีทองมิได้ถูกปลดปล่อยออกมา สิ่งที่เขาพบอาจเป็นใบหน้าของพญายมก็เป็นได้

    ตึก ตึก

    หัวใจของลูทเต้นแรงเป็นรัวกลอง ความเหน็ดเหนื่อยประสมความเจ็บปวดประดังเข้ามาจนแยกแยะไม่ออก หยาดเหงื่อบนใบหน้าและโลหิตที่มุมปากสลับกันหยดลงสู่พื้น เจือจางโลหิตด้วยเหงื่อจนกระทั่งกลายเป็นสีแดงอ่อน ดวงตาทั้งสองมองภาพเบื้องหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ เวลานี้การไหลเวียนของอนุภาคในร่างกายค่อยๆฟื้นฟู ปรับความสมดุลย์ระหว่างวงจรซันเอลและปราณโลหิตให้เข้ากันตามธรรมชาติ

    ในขณะที่บุรุษหนุ่มยังมิอาจฟื้นฟูร่างกายให้ดีดังเดิม เสียงฝีเท้าพลันดังขึ้น ใบหูทั้งสองแยกแยะได้ว่าเป็นเสียงที่ดังขึ้นด้วยความจงใจ เนื่องจากต้นกำเนิดเสียงนั้นอยู่ห่างจากร่างเขาไม่ถึงสิบห้าก้าว ลูทฝืนใจกระชากอาวุธทั้งสองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้ากลับเป็นภาพของสตรีผมสีน้ำตาลตาสีน้ำตาลวัยไล่เลี่ยกัน สวมชุดผ้าที่บุด้วยเกราะอ่อนสีเงิน ในมือไม่ปรากฏอาวุธใดๆ

    “เจ้าเป็นใคร?” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของบุรุษหนุ่ม

    “ข้าชื่อเนธิเซีย” เป็นประโยคแรกที่หลุดออกจากปากของหญิงสาว ตามด้วยประโยคที่สองว่า “ปล่อยมือจากกุญแจแห่งพิภพเสีย”

    ผัวะ!

    ร่างของหญิงสาวหายวูบไปจากเงาจักษุประดุจเงาที่มองไม่เห็น รู้ตัวอีกทีเมื่อข้อแขนของนางได้กระแทกมือขวาของเขา จนกระทั่งกุญแจแห่งพิภพร่วงหล่นกระทบพื้นดิน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×