ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #190 : เล่ม 7 - ตอนที่ 92 - สัญญาตราบสิ้นลม (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      2
      14 ส.ค. 51

    /> /> />

    ณ ค่ายทหารของลาเวนดิส ห่างจากเมืองเบริลราวพันวา

    ค่ายทหารแห่งนี้สร้างอยู่บริเวณทุ่งราบนอกเมือง จากการศึกที่ยืดเยื้อมาพักใหญ่ทำให้มาร์ควิสลูเชียสตัดสินใจสร้างค่ายทหารถาวรขึ้น เพียงพอที่จะให้ทหารสี่ห้าหมื่นนายพักอยู่อย่างไม่แออัด กำแพงรอบนอกค่ายปลูกสร้างด้วยไม้เนื้อแข็ง หากเดินเลาะกำแพงทุกร้อยวาจะพบหอยิงธนูสูงราวสี่ห้าวาแห่งหนึ่ง สามารถเป็นทั้งหอสังเกตการณ์และหอรบสำหรับมือแม่นธนู โดยแต่ละหอมาร์ควิสลูเชียสได้วางตัวนักรบตระกูลโลหะไว้คนหนึ่ง เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินนักรบผู้นี้จะสามารถรับมือข้าศึกไว้ก่อนที่กำลังเสริมจะรุดมาตามพลุสัญญาณที่ยิงออก เว้นเสียแต่ว่าผู้มาจะเป็นบารอนมาร์คัสหรือมาร์ควิสมาร์เวอริค

    “เข้ามาได้” มาร์ควิสลูเชียสแห่งซิลเวอร์แซนด์อนุญาตให้บุรุษหนุ่มที่พึ่งมาถึงเดินทางเข้ามาในกระโจมของตน กระโจมที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจากที่พำนักขององค์ราชินีเจสสิกาเพียงผู้เดียว

    เนื่องจากวิสเคานท์ลาร์กแยกตัวจากบลูไปดูแลแนบรบหน้าสุด บุรุษหนุ่มจึงเดินเข้ามาในกระโจมตามลำพัง กล่าวว่า “บลูจากกองกำลังเจนีสเคารพท่านมาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์”

    มาร์ควิสลูเชียสใช้สายตาพิจารณาบุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกที่ทั้งสองพบกันเป็นการพบพานโดยผิวเผินหลังจากเกิดเหตุสวรรคตขององค์ราชินีมากาเร็ต มาร์ควิสชราทรุดนั่งลงที่ชุดโต๊ะเก้าอี้รับแขก ผายมือออกไปยังเก้าอี้ตรงข้ามกล่าวว่า “เชิญนั่งก่อนบุรุษหนุ่ม”

    พอบลูกล่าวคำขอบคุณตามมารยาทแล้วนั่งลง ยินเสียงมาร์ควิสลูเชียสกล่าวต่อไปว่า “ข้าเป็นคนที่กล่าววาจาตรงประเด็นไม่มีอ้อมค้อมจึงอยากให้เจ้าปฏิบัติตนเช่นเดียวกัน จากจดหมายของลาร์กระบุว่าเจ้าตัดสินใจบุกเดี่ยวเข้าไปในเมืองข้าศึกเพื่อจะเปิดทางให้กับกองทัพของเราอย่างนั้นใช่หรือไม่? ในจดหมายมิได้ระบุถึงแผนการโดยละเอียดข้าจึงอยากจะให้เจ้าโน้มน้าวข้าสักนิดว่ามีเหตุผลอันใดที่อยู่ภายใต้ความมั่นใจที่จะปฏิบัติภารกิจ ด้วยสติปัญญาของคนที่เคยเป็นถึงเอกอัครราชทูตแห่งเจนีสทำให้ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่มีแผนการที่ถูกกำหนดไว้เป็นมั่นเหมาะ หากภารกิจนี้ปราศจากความสำเร็จเกินครึ่งบุคคลอย่างเจ้าคงจะไม่พาตนเองเข้าจุดอับหาความตายในถิ่นของศัตรูแบบนี้”

    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินตอบว่า “สมกับเป็นมาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์ตามคำร่ำลือ เพียงพบหน้าสนทนาก็มุ่งเข้าสู่ประเด็นอย่างตรงไปตรงมา ... เมืองเบริลเป็นเมืองที่มีสองทิศติดทะเลกับหน้าผา อันแนวป้องกันทางธรรมชาติที่ไม่สามารถเคลื่อนกองทัพบกบุกฝ่าเข้าไปได้ เมืองซิลเวอร์แซนด์มีกองทัพเรือก็จริงอยู่แต่การจะยกกองทัพล่องเรืออ้อมแหลมลาเวนดิสนั้นทั้งเสียเวลาและมีความเสี่ยงสูง คลื่นลมใต้แหลมลาเวนดิสเป็นจุดอับปางของเรือล่องทะเลหลายต่อหลายลำ ทั้งไม่แน่ว่าจะฝ่าแนวป้องกันตามชายฝั่งได้หรือไม่การกระทำเช่นนี้จึงไม่คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ส่วนแนวหน้าผานั้นข้าเคยเร้นกายผ่านเข้าไปยังจวนมินสเตรลด้วยเส้นทางนั้นครั้งหนึ่ง บอกได้ตามตรงว่าในที่แห่งนี้คงจะมีเพียงบุคคลจำนวนหยิบมือเดียวที่มีฝีมือเพียงพอในการทำเช่นนั้น เส้นทางทั้งสองจึงถูกตัดออกจากแผนการที่เป็นไปได้คงเหลือเพียงแนวกำแพงทิศตะวันออกและทิศใต้ทั้งสอง อันประกอบไปด้วยแนวป้องกันที่เป็นสิ่งก่อสร้างสามสิ่ง สิ่งแรกคือแนวคูคลองรอบเมืองกว้างสี่วาลึกสองวา ไม่ว่าผู้ใดหากจะเข้าประชิดกำแพงเมืองจะต้องข้ามสิ่งนี้ไปก่อน สิ่งที่สองคือแนวกำแพงเมืองสูงที่สี่วาเช่นกัน กำแพงเมืองเบริลสร้างจากหินแข็งแกร่งต่อให้ใช้เครื่องดีดก้อนหินขนาดยักษ์ยังต้องยิงซ้ำในจุดเดียวกันหลายครั้งถึงจะถล่มกำแพงเมืองได้ และสิ่งที่สามคือหอรบที่สูงสิบสองวาตั้งอยู่ห่างจากมุมกำแพงเมืองทั้งสองทิศเข้าไปด้านในราวห้าสิบวา หอคอยโดดๆแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีพิษภัยเท่าใดนักเนื่องจากมิได้ติดตั้งอาวุธใดๆเอาไว้ แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้เมืองเบริลรอดพ้นจากอันตรายได้มากที่สุด ที่ชั้นบนสุดของหอคอยมีการติดตั้งกล้องส่องทางไกลขนาดใหญ่เอาไว้ หน่วยสังเกตการณ์ที่ประจำการอยู่ด้านบนสามารถมองสำรวจออกไปได้ไกลถึงสองพันสามพันวาเป็นอย่างน้อย การเคลื่อนไหวของพวกเราทุกก้าวในค่ายทหารแห่งนี้ล้วนถูกพวกมันจับตามอง หากกองทหารของพวกเรามีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวพวกมันจะรับรู้ และดำเนินแผนการรับมือได้ทันที”

    มาร์ควิสลูเชียสพยักหน้าสองสามครั้ง กล่าวชมเชยว่า “ข้าคิดไม่ผิดว่าบุคคลอย่างเจ้าต้องเตรียมการมาอย่างดี การที่พวกเราจะบุกยึดเมืองเบริลได้จำต้องทำลายแนวป้องกันทั้งสามสิ่งนี้ก่อน”

    บลูใช้เวลาห้าวันหลังจากการประชุมค้นคว้าหาข้อมูลของเมืองเบริลอย่างละเอียด นำแผนที่และข้อมูลจากวิสเคานท์ลาร์กมาวิเคราะห์กลั่นกรองออกมาเป็นแผนการแต่ละขั้นตอน ตั้งสมมุติฐานว่าหากตนเองเป็นฝ่ายตรงข้ามแล้วจะดำเนินการป้องกันการบุกของมาร์ควิสลูเชียสอย่างไร จากนั้นนำแผนการป้องกันที่ตนเองสร้างขึ้นมาหาช่องโหว่อีกทีหนึ่ง ว่าถ้าตนสามารถเล็ดรอดเข้าไปในเมืองโดยที่ไม่มีผู้ใดพบเห็นแล้วจะสามารถทำลายแผนการป้องกันนี้ได้อย่างไร อันเป็นการคิดวิเคราะห์ซ้อนสองชั้นที่ยากจะมีคนทำได้

    “แผนการของข้านั้นมีทั้งหมดห้าขั้นตอนด้วยกัน ขั้นตอนแรกคือการเร้นกายเข้าไปในเมืองเบริลอีกครั้ง ในครั้งก่อนข้าได้ใช้ความสามารถเฉพาะตัวลัดเลาะตามแนวผาเข้าไปยังเขตจวนมินสเตรลได้สำเร็จ หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นคาดว่าบารอนมาร์คัสคงจะสั่งทหารให้ตรวจตราเข้มงวดยิ่งกว่าเดิม” บลูอธิบายถึงขั้นตอนแรก

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะเร้นกายเข้าไปอย่างไร?

    “ยังคงเป็นหนทางเดิม ข้าจะใช้เส้นทางหน้าผานั้น” บลูเห็นสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัยของมาร์ควิสลูเชียส จึงอธิบายต่อไปว่า “โอกาสที่ข้าจะเร้นกายผ่านสายตาของทหารที่อยู่ชั้นบนสุดของหอคอยสูงลิบเข้าไปนั้นนับว่าเป็นไปได้น้อยมาก แม้ว่าการลอบเข้าเมืองจากทางหน้าผาจะมีความเสี่ยงมากกว่าเดิม แต่อย่างไรก็ตามข้าเห็นว่ายังมีช่องว่างในความเสี่ยงนั้นๆอยู่ จากเหตุผลทางจิตวิทยาที่มนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่าคงไม่มีผู้ใดปัญญาอ่อนใช้เส้นทางเดิมอีกเป็นครั้งที่สอง ข้าจะใช้ช่องว่างในความคิดนี้ฝ่าเข้าไปข้างใน” บลูกล่าวอย่างมั่นใจ “ส่วนจะเข้าไปอย่างไรนั้น ข้าต้องปรับตัวตามสถานการณ์จริงอีกครั้ง”

    มาร์ควิสลูเชียสตั้งคำถามว่า “แต่ข้ายังมีข้อกริ่งเกรงอยู่เรื่องหนึ่ง บุคคลเช่นเจ้าเดินเหินล้วนเปล่งประกายของความเป็นยอดฝีมือ แม้แต่ข้าเองยังสามารถรู้สึกถึงการคงอยู่ของเจ้าได้ก่อนที่เจ้าจะเดินเข้ามาในกระโจมแห่งนี้ รับรองได้ว่ามาร์ควิสมาร์เวอริคที่เคยสนทนากับเจ้าครั้งหนึ่ง และบารอนมาร์คัสที่เคยประมือกับเจ้าครั้งหนึ่งต้องทราบการคงอยู่ของเจ้า ปัญหาเช่นนี้เจ้าจะแก้ไขได้อย่างไร”

    บลูพลันซุกงำประกายตา ปรับเปลี่ยนการโคจรเอลในร่างให้เป็นไปอย่างเชื่องช้าด้วยเคล็ดวิชาในถ้ำไอหยก จนเห็นมาร์ควิสลูเชียสพยักหน้าสองสามครั้ง กล่าวชมเชยว่า “ข้าได้รับคำตอบที่พึงพอใจจากคำถามเมื่อครู่แล้ว เชิญเจ้าบ่งบอกรายละเอียดของขั้นตอนที่สอง”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×