ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #184 : เล่ม 6 - ตอนที่ 80 - เค้นสมองกรองสถานการณ์ (3-4)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.33K
      2
      30 ก.ค. 51

    /> /> />

    การประชุมในยามเย็นก็ได้เริ่มขึ้น หลังจากที่แม่ทัพทาเรียพักผ่อนจากการทำงานเพียงสองชั่วโมงเศษ

                    แกนนำในที่ประชุมเดิมมีทั้งหมดห้าคนก็คือแม่ทัพทาเรีย แม่ทัพโจนาธาน ซิลิเซีย เจ้าเมืองจูเลียสและแม่ทัพโบลก้าแห่งเมืองโลซานนั่งอยู่บริเวณรอบโต๊ะกลมตรงกลางห้อง ส่วนรองแม่ทัพทั้งสิบสองของตึกธงมังกรซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรองแม่ทัพบาวาเรียล้วนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ล้อมผนังห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบริเวณรอบนอก แบ่งเป็นแปดนายทำหน้าที่ประจำหอคอยแปดทิศและอีกสี่นายเป็นรองแม่ทัพของกองทัพส่วนกลาง เช่นเดียวกับรองแม่ทัพอีกแปดนายที่อยู่ใต้สังกัดของเมืองโลซาน รวมเป็นทั้งหมดยี่สิบนายด้วยกัน ซึ่งในวันนี้แขกทั้งสี่คนได้แก่สตีเฟ่น ลาโทน่า ลูทและบลูต่างได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมในที่ประชุมเป็นกรณีพิเศษ นั่งอยู่รอบโต๊ะกลมตรงกลางเช่นเดียวกับแกนนำทั้งห้า เมื่อบลูกับซิลิเซียทั้งสองเดินเข้ามาในห้องประชุมเป็นชุดสุดท้าย การประชุมจึงเริ่มขึ้น

                    แม่ทัพทาเรียเปิดการประชุมด้วยการกล่าวว่า “ขอให้รองแม่ทัพอิชทัลช่วยรายงานความเสียหายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับการศึกเมื่อวานในที่ประชุม”

                    รองแม่ทัพอิชทัลเป็นบุคคลที่มีฝีมืออยู่พอตัวจนแม่ทัพทาเรียใช้สอยบ่อยครั้ง เขาทำหน้าที่ควบคุมหอคอยด้านตะวันตกที่ใกล้ชิดกับกองทัพของจักรวรรดินอร์มากที่สุด ซึ่งในครั้งนี้แม่ทัพทาเรียก็ได้เรียกให้กองกำลังสามพันคนของรองแม่ทัพอิชทัลเข้าประจำการแทนกองกำลังทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่สูญเสียไปในการศึก

                    รองแม่ทัพอิชทัลรับคำ ยืนขึ้นพร้อมกับกระดาษใบหนึ่งรายงานว่า “เรียนท่านแม่ทัพทาเรีย กองกำลังที่ประจำการอยู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือประสบกับความสูญเสียทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยสิบสี่นาย ในจำนวนนี้แบ่งเป็นผู้เสียชีวิตในสงครามหนึ่งพันหนึ่งร้อยห้านาย ส่วนอีกสองร้อยเก้านายที่เหลือเป็นทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส คงเหลือเพียงหนึ่งพันหกร้อยแปดสิบหกนายที่สามารถจับอาวุธสู้รบได้ทันที ส่วนกองกำลังทหารม้าทั้งหกพันนายประสบกับความสูญเสียสองร้อยสี่สิบหกนายกับม้าศึกอีกสามร้อยเจ็ดตัว โดยมีผู้เสียชีวิตหนึ่งร้อยแปดสิบหกนายกับผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหกสิบนาย ทหารห้าพันเจ็ดร้อยห้าสิบหกนายที่เหลือสามารถใช้ม้าศึกสำรองทดแทน อยู่ในสภาพพร้อมที่จะออกรบได้ทุกวินาที” กล่าวจบรองแม่ทัพอิชทัลก็โค้งคำนับครั้งหนึ่งแล้วจึงนั่งลง

                    แม่ทัพทาเรียถอดหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “พวกเราสูญเสียพี่น้องร่วมรบไปกว่าหนึ่งพันห้าร้อยคนด้วยกัน แม่ทัพฝ่ายศัตรูช่างร้ายกาจนักสามารถมองทะลุจุดอ่อนของป้อมปราการวอเตอร์ดีพเราได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ใช้อุบายที่เหมาะสมเกาะกุมช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเข้าตีจนทำให้พวกเรามิอาจตั้งตัวได้ติด นี่มิใช่การกล่าวยกย่องศัตรูแต่เป็นการระบุให้แน่ชัดว่าศัตรูที่เรากำลังเผชิญนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใด พวกเราในที่ประชุมนี้ถึงจะมีความเข้าใจที่ตรงกัน สามารถร่วมแรงร่วมใจกันกำจัดศัตรูที่ร้ายกาจนี้ไปให้ได้”

                    “ท่านแม่ทัพทาเรียกล่าวถูกต้อง ทหารประจำเมืองโลซานทั้งสองหมื่นนายต่างทราบถึงความร้ายกาจของกองทัพจักรวรรดิเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงดำเนินแผนการทิ้งเมืองที่มีแนวป้องกันอ่อนแอ ขนเสบียงย้ายถิ่นฐานมาร่วมรบกับพวกท่านที่ป้อมปราการวอเตอร์ดีพที่มีแนวป้องกันแข็งแกร่งเหมาะแก่การเฝ้ารักษาแห่งนี้ แต่ขออย่าให้พวกท่านเข้าใจผิดพวกเราชาวเองโลซานมิใช่มาเพื่อขอพวกท่านให้เป็นที่พักพิง แต่เป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำสงคราม ตระเตรียมจะช่วงชิงชัยชนะพร้อมกับพวกท่านในที่นี้ ตัวเลขความสูญเสียของทหารฝ่ายศัตรูนั้นอยู่ในระดับพันกว่าคนเช่นกัน มิได้น้อยไปกว่าพี่น้องของพวกเราสักนิด แสดงให้เห็นว่าแม้พวกเราจะถูกโจมตีอย่างฉุกละหุก ก็ยังสามารถปรับตัวตามสถานการณ์พลิกแพลงความเสียเปรียบมาเป็นความได้เปรียบในระยะเวลาอันสั้น ลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นแล้วให้อยู่ในขอบเขตที่น้อยที่สุด หอคอยทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่พวกมันตั้งใจจะพังทลายลงมาข่มขวัญพวกเรานั้นจึงกระทำไม่สำเร็จ นี่แสดงให้เห็นว่าป้อมวอเตอร์ดีพของเราก็มีเขี้ยวเล็บเช่นกัน” เจ้าเมืองจูเลียสที่มีนัยน์ตาสีน้ำตาลแดงกล่าวปลุกใจในมุมมองของเมืองโลซานที่เคยเพลี่ยงพล้ำมาก่อน

                    ลูทฟังคำกล่าวของเจ้าเมืองจูเลียส ฟาเดลก็เห็นว่าเขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจในการโน้มนาวใจสูงส่งคนหนึ่ง เจ้าเมืองจูเลียสมีอายุราวๆสี่สิบปลายๆไว้ผมสั้นหวีเสยขึ้นไปเก็บทั้งศีรษะ ไว้จอนยาวถึงข้างกรามแต่ไม่ไว้หนวดไว้เครา จมูกใหญ่และโด่ง ริมฝีปากเป็นรูปกระจับ มีสง่าราศีของบุคคลที่เป็นผู้นำ ใส่ชุดเกราะอกที่ทำจากโลหะมิทราลสีแดงสด ข้างในเป็นชุดลำลองสีครีมอ่อนที่ทอจากใยลาเมล่า ข้างกายพกคทาหัวหกเหลี่ยมที่ทำมาจากเหล็กกล้าคู่กับกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง ดูจากภายนอกก็ทราบว่าเป็นซันชินที่มีฝีมือสูงส่ง หากมีโอกาสได้ตะลุมบอนในสนามรบ คทาหัวหกเหลี่ยมนั้นคงสามารถแบ่งกระโหลกศีรษะให้เป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย

                    แม่ทัพทาเรียยิ้มขอบคุณเจ้าเมืองจูเลียสที่ช่วยปลอบขวัญและกำลังใจ จึงกล่าวเข้าประเด็นต่อไปว่า “ภายในวันรุ่งขึ้นหอคอยทิศตะวันตกเฉียงเหนือจะผ่านการซ่อมแซมในขั้นแรกเสร็จสิ้น มันสามารถรับน้ำหนักของมือธนูจำนวนหนึ่งได้อย่างสบาย ดังนั้นพวกเราไม่ต้องเป็นกังวลไปว่าแนวป้องกันทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือจะแตกยับเยิน ขอเพียงหอคอยทั้งแปดหลังยังไม่ถล่มลงมา ต่อให้พวกมันยกกันมาทั้งกองทัพก็ยากที่จะตีป้อมวอเตอร์ดีพให้แตก”

                    แม่ทัพโจนาธานที่ค่อยยังชั่วจากอาการบาดเจ็บสามารถเดินเหินจับอาวุธได้เหมือนปกติ จึงเริ่มกล่าวแนะนำแขกพิเศษทั้งสี่ให้กับที่ประชุมว่า “โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราได้บุคคลที่เข้มแข็งอีกสี่คนมาช่วยเราปกป้องป้อมวอเตอร์ดีพให้พ้นภัย นั่นก็คือประธานสำนักข่าวพิราบรายวันสตีเฟ่น การ์เซียกับท่านองครักษ์ลาโทน่า ท่านนายกองชั้นพิเศษลูท ออร์นิเทียที่รับคำสั่งโดยตรงจากท่านผู้ปกครองคาร์ล และท่านเอกอัครราชทูตประจำเมืองเจนีสบลู วอลทซ์ ซึ่งข้าคาดเดาว่าพวกท่านทั้งหลายในที่ประชุมคงจะพอทราบกิตติศัพท์ของบุคคลเหล่านี้มาบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะผลงานล่าสุดของท่านลูทและท่านบลูที่สร้างไว้ในเอนเซลและลาเวนดิส”

                    รองแม่ทัพทั้งยี่สิบนายพอได้ยินคำกล่าวของแม่ทัพโจนาธานก็คึกคักขึ้นอักโข เดิมทีพวกเขาเคยได้ยินแต่ชื่อเสียงเรียงนามของบุคคลเหล่านี้ว่าเป็นเช่นไร พอครั้งนี้เห็นตัวเป็นๆของบุคคลทั้งสี่และผลงานการศึกเมื่อวานจึงมีกำลังใจเพิ่มพูน อย่างน้อยพวกเขาก็มีบุคคลที่เคยสู้รบปรบมือกับเหล่าอัศวินดำมายืนอยู่เคียงข้าง

                    เจ้าเมืองจูเลียสกล่าวทักทายเป็นแนวชมเชยว่า “ท่านทั้งสี่นี้ยังอายุน้อยยิ่งนัก โดยเฉพาะยอดฝีมืออายุเยาว์ทั้งสอง ไม่น่าเชื่อว่าพวกท่านมีอายุเพียงเท่านี้กลับสร้างผลงานใหญ่ติดต่อกัน”

                    ในขณะเดียวกันแม่ทัพโบลก้าแห่งเมืองโลซานก็กล่าวทักทายว่า “ข้าโบลก้าจากเมืองโลซานอาจจะดูเป็นคนห่ามๆไปบ้าง แต่ก็ให้ความนับถือในเรื่องผลงานของท่านทั้งสี่อย่างจริงใจ”

                    แม่ทัพโบลก้าเป็นบุรุษรูปร่างใหญ่โตสามารถยกขึ้นเปรียบกับอดีตอัศวินดำหมายเลขห้าแจ๊ค ไดร์เนอร์ แม่ทัพโบลก้าโกนศีรษะล้านเลี่ยนไม่มีแม้แต่เส้นผมสักเส้น แต่ในขณะเดียวกันก็ไว้หนวดเคราดกล้อมรอบริมฝีปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม สวมเกราะมิทราลสีดำเต็มยศเพียงถอดหมวกวางไว้ด้านข้าง ใต้แผ่นโลหะเหล่านั้นพบกล้ามเนื้อเป็นมัดๆเต็มไปหมด อาวุธที่เขาใช้ก็คือขวานสองเล่มที่เหน็บไว้ข้างเอว เช่นเดียวกันกับคทาหัวหกเหลี่ยมกับกระบี่ยาวของเจ้าเมืองจูเลียส

                    สตีเฟ่นกล่าวทักทายกลับว่า “ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าสตีเฟ่น การ์เซียได้ยินกิตติศัพท์ของท่านเจ้าเมืองและท่านแม่ทัพมานาน จนถึงวันนี้ถึงจะได้มีโอกาสมาพบกับตัวเป็นๆสักครั้งหนึ่ง ในเมื่อมีพวกท่านทั้งสองการสู้รบกับกองกำลังของสองพ่อลูกตระกูลชไวน์ก็จะง่ายขึ้นไปอีกลำดับ ส่วนข้านั้นมาเพื่อสร้างโครงข่ายข่าวสารพิราบรายวันที่ป้อมวอเตอร์ดีพแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดที่เกิดขึ้น เมื่อมีข้าอยู่ที่นี่ก็จะมั่นใจได้ว่าพวกเราจะได้รับข่าวล่าสุดจากสำนักข่าวพิราบรายวันก่อนผู้ใดในแผ่นดิน”

                    แม่ทัพทาเรียมองไปรอบห้องสบสายตากับบรรดารองแม่ทัพทั้งยี่สิบกล่าวว่า “พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นักการข่าวอย่างท่านสตีเฟ่นมาช่วยเหลือด้วยตนเอง แต่ปัญหาเบื้องหน้าของเราก็ยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านี้ การประชุมในเย็นวันนี้มีจุดประสงค์ในการแก้ปัญหาที่ว่า พวกเราจะทำอย่างไรถึงจะรับมือการบุกระลอกต่อไปของทางฝ่ายจักรวรรดิได้ดีที่สุด ข้าจึงอยากให้พวกท่านทั้งหลายระดมสมองช่วยกันคิดหาหนทางที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นวิธีการป้องกันในพื้นที่ที่พวกท่านเป็นผู้รับผิดชอบด้วยตนเอง หรือเขตการป้องกันนอกเหนือจากพื้นที่ดังกล่าวก็ได้”

                    ทั้งบลูและซิลิเซียสบตากันทราบในความคิดของฝ่ายตรงข้าม ทั้งสองเห็นว่าแม่ทัพทาเรียต้องการให้รองแม่ทัพทั้งยี่สิบนายแสดงออกบ้าง เพื่อเป็นการลับคมของพวกเขาให้อยู่ในสภาพพร้อมรบที่สุดอยู่เสมอ จึงนั่งรับฟังความคิดเห็นของรองแม่ทัพแต่ละคน ทั้งยังนำเอาความคิดเห็นของรองแม่ทัพหลายๆคนมาปรับปรุงวิธีการป้องกันที่ทั้งสองร่วมกันคิดค้นขึ้นมาตลอดวัน แผนการป้องกันของบลูจึงสมบูรณ์ขึ้นอีกในระดับหนึ่ง

                    เวลาผ่านไปอีกราวชั่วโมงหนึ่ง บรรยากาศของห้องประชุมก็แปรเปลี่ยนไปในแนวทางที่ดีขึ้นมากนัก ทั้งเหล่าแม่ทัพและรองแม่ทัพต่างขบคิดถึงวิธีป้องกันที่ดีที่สุด บ้างก็เป็นความคิดที่ดี บ้างก็เป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้ แต่แม่ทัพทาเรียก็ไม่เคยละเลยความคิดเห็นของผู้ใด การสนทนาถกเถียงกันจึงแปรเปลี่ยนไปในแนวทางที่เป็นบวกตลอดเวลา ปัญหาของการแนวป้องกันที่บกพร่องจึงค่อยๆถูกรื้อขึ้นมาทีละจุดๆ จนตีแผ่ในที่ประชุมเกือบหมดสิ้น

                    แม่ทัพทาเรียที่ได้นัดแนะกับซิลิเซียเมื่อครู่นี้จึงเปิดโอกาสให้หลังจากที่บรรดารองแม่ทัพแสดงความคิดเห็นของตนออกมาหมดสิ้น โดยกล่าวว่า “พวกเราทราบปัญหาและวิธีการแก้ไขแนวป้องกันของเราหลายๆจุดโดยคร่าวๆแล้ว แต่ในวันนี้ท่านซิลิเซียกับท่านบลูทั้งสองได้ออกทำการสำรวจป้อมปราการของเราอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจากข้อเสนอแนะที่พวกท่านบ่งชี้มาเมื่อครู่ ก็ทำให้ทั้งสองรวบรวมขึ้นมาเป็นแผนการรบแผนหนึ่ง จึงอยากให้ท่านซิลีเซียและท่านบลูทั้งสองช่วยออกมาชี้แจงให้พวกเรารับฟังโดยทั่วกัน”

                    แม่ทัพโจนาธานสบตากับซิลิเซียที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะกลมครั้งหนึ่ง มีความหมายในการชมเชยและภาคภูมิใจที่มีบุตรสาวเช่นนี้ จึงผายมือขวาออกในท่าเชื้อเชิญให้ซิลิเซียแสดงออกอย่างเต็มที่ ทั้งยังมองไปสบตากับบุรุษหนุ่มผมน้ำเงิน ชื่นชมในการเตรียมตัวล่วงหน้าของเขา

                    ซิลิเซียยืนขึ้นพร้อมกางแผนที่ที่ทำขึ้นมาพร้อมกับบลู กล่าวว่า “ข้านั้นร่วมเดินทางไปกับท่านบลูเพื่อสำรวจพื้นที่รอบป้อมวอเตอร์ดีพก็จริงอยู่ แต่ผู้ที่เป็นคนกำหนดแผนการทั้งหมดกลับเป็นท่านบลูเพียงผู้เดียว ตัวข้าเองทำหน้าที่ให้ข้อมูลไปตามความจริงเท่านั้นจึงไม่อยากที่จะกล่าวเหมือนกับว่าตนเองเป็นผู้คิดค้นแผนการนี้ เอาความดีความชอบในที่ประชุมไปทั้งสิ้น”

                    เสียงคลี่แผนที่ดังขึ้นที่กลางห้องประชุมพร้อมเสียงฮือฮาของบรรดาแม่ทัพและรองแม่ทัพทั้งหลาย ซิลิเซียกล่าวต่อไปว่า “แผนที่ฉบับนี้ได้ความกรุณามาจากสำนักข่าวพิราบรายวัน ที่จัดทำขึ้นโดยละเอียดสามารถมองเห็นภูมิประเทศของป้อมวอเตอร์ดีพในทุกส่วน ซึ่งมีส่วนช่วยเหลืออย่างมากกับการทำงานของพวกเรา”

                    ซิลิเซียกล่าวจบก็หันหน้าไปทางบลูลอบพยักหน้าครั้งหนึ่งให้เขาเป็นผู้กล่าวต่อ จะอย่างไรซิลิเซียก็ยังยืนกรานไม่กล่าววาจาแย่งความดีความชอบในที่ประชุมจึงกระทำเช่นนี้ แต่ในทางตรงกันข้ามบลูกับไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรายงานผลการศึกษาของตนเองสักเท่าใด เขาเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการจะทำอยู่แล้วและซิลิเซียเองก็เป็นหนึ่งในผู้ช่วยที่สำคัญ หากไม่มีซิลิเซียช่วยบ่งชี้ข้อเท็จจริงของพื้นที่หลายๆส่วนแผนการป้องกันก็คงจะไม่มีวันสำเร็จ ดังนั้นเขาจึงคิดว่าแม้ให้ซิลิเซียเป็นผู้ช่วยอธิบายก็มิได้แตกต่างกับเขาอธิบายเองในที่ใด

                    แต่ในเมื่อซิลิเซียโยนเผือกเผามาให้แล้วเขาก็จำเป็นที่จะต้องรับไว้ บลูยืนขึ้นกลางที่ประชุมพร้อมกล่าวว่า  “จากการระดมสมองที่ผ่านมาเมื่อครู่ พวกท่านทั้งหลายคงจะพอทราบจุดอ่อนจุดแข็งของป้อมวอเตอร์ดีพกันบ้างแล้ว สิ่งที่ข้าวงเป็นตัวแดงเอาไว้ในแผนที่นั้นก็คือแนวการป้องกันที่เป็นจุดอ่อน จะเห็นได้ว่าแนวการป้องกันทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือที่ถูกข้าศึกจู่โจมเมื่อวานนั้นเป็นแนวการป้องกันที่มีสีแดงวงมากที่สุด และเมื่อผ่านการบุกจู่โจมเมื่อวานไปแล้ว วงกลมสีแดงที่เกิดขึ้นจากพื้นที่แถบนั้นก็ขยายกว้างขึ้นเป็นเท่านี้” บลูกล่าวจบก็นำปากกาสีแดงวงไปอีกหลายจุด แต่ละจุดมีขนาดใหญ่กว่าของเก่ามากนัก จนเห็นว่าแนวการป้องกันทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือแทบจะใช้ไม่ได้ถึงเจ็ดส่วน

                    เสียงอื้ออึงของบรรดารองแม่ทัพที่นั่งอยู่รอบข้างดังขึ้นอีกครั้ง ต่างกับความเงียบสงบที่มาจากบรรดาแกนนำที่นั่งอยู่รอบโต๊ะกลมด้านใน จะอย่างไรบุคคลทั้งสองกลุ่มนี้ก็มีความคิดที่แตกต่างกัน

                    บลูมองไปรอบๆเห็นพวกรองแม่ทัพพร้อมที่จะรับฟังอีกครั้งจึงกล่าวว่า “ส่วนวงกลมสีน้ำเงินเหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เป็นชัยภูมิอันได้เปรียบของพวกเรา ที่เห็นๆกันอยู่ก็คือพื้นที่รอบหอคอยที่ยังสมบูรณ์ทั้งเจ็ด ตัวป้อมวอเตอร์ดีพใจกลาง พื้นที่ตามไหล่เขาหรือส่วนที่เป็นป่าไม้ตามสภาพภูมิประเทศ ส่วนพื้นที่รอบแนวการป้องกันที่ไม่ค่อยคงทนถาวรเช่น พื้นที่ที่สร้างด้วยกำแพงไม้ หรือหอรบที่อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสมนั้นล้วนไม่ถูกจัดเป็นพื้นที่ในเขตวงกลามสีน้ำเงินทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแนวป้องกันเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่พวกท่านระบุว่าเป็นข้อบกพร่องที่สมควรแก้ไขซ่อมแซม”

                    บรรดารองแม่ทัพพยักหน้าเห็นด้วย พลางรับฟังต่อไปด้วยความตั้งใจ

                    บลูจึงถามคำถามว่า “ในเมื่อพวกท่านเห็นด้วยกับข้าว่าแนวการป้องกันสีน้ำเงินเหล่านี้เป็นที่น่าเกรงขามของข้าศึก และแนวการป้องกันสีแดงที่เป็นจุดที่ข้าศึกสมควรจะบุกตี แล้วมีหรือว่าข้าศึกจะไม่ทราบสิ่งที่พวกเราทราบนี้เช่นกัน?

    ทันใดที่กล่าวคำถามออกไปรองแม่ทัพแต่ละคนก็มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ไม่เว้นแม้แต่แกนนำบางคนเว้นเสียแต่ซิลิเซีย สตีเฟ่น ลาโทน่าและลูทที่ยังคงมีสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลง ที่ซิลิเซียมีสีหน้าปกติก็เป็นเพราะว่านางทราบแล้วว่าบลูมีข้อสรุปเช่นไร ที่สตีเฟ่นมีสีหน้าปกติก็เป็นเพราะว่าเขามองบางสิ่งบางอย่างออกเช่นกัน ที่ลาโทน่ามีสีหน้าปกติก็เพราะสตีเฟ่นยังคงปลอดภัยไร้อันตราย และสุดท้ายที่ลูทมีสีหน้าปกติก็เป็นเพราะว่าเขาเชื่อใจในสหายสนิทว่าจะต้องมีทางออกที่ดีพร้อมอย่างแน่นอน

    แม้คนหลายคนจะแสดงออกในทีท่าที่เหมือนกัน แต่นั่นก็มิใช่แปลว่าพวกเขาทั้งหลายมีเหตุผลสนับสนุนเหมือนๆกัน

    บลูเห็นว่าคำถามเมื่อครู่สร้างความสับสนและความสนใจเพียงพอแล้วจึงกล่าวต่อไปว่า “ดูอย่างเหตุการณ์เมื่อวานแสดงให้เห็นว่าข้าศึกทราบกระจ่างเช่นเดียวกับแผนที่ฉบับนี้ พวกมันทราบในพื้นที่สีน้ำเงินจึงพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปใกล้พื้นที่เหล่านั้น พวกมันทราบในพื้นที่สีแดงจึงพยายามเจาะที่พื้นที่เหล่านั้น ดังนั้นข้าจึงมีข้อเสนอว่าพวกเราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งก่อสร้างและแนวการป้องกันเหล่านี้ ใช้ข้อดีของความเป็นป้อมวอเตอร์ดีพให้เป็นประโยชน์ พวกเราถึงจะมีสิทธิ์ในการกุมชัยชนะ”

    จบคำกล่าวเช่นนี้บรรดาแกนนำก็ทราบแล้วว่าบลูต้องการจะสื่อสารถึงอะไร ถึงขนาดที่เจ้าเมืองจูเลียสและแม่ทัพโบลก้ากล่าวชมเชยว่ายอดเยี่ยม

    ซึ่งในขณะเดียวกันรองแม่ทัพหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ติดผนังกลับไม่ทราบว่าบลูต้องการจะสื่อถึงอะไร จึงถามว่า “ขออภัยที่ข้าอาจโง่เขลาเบาปัญญา แต่จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่อาจทราบได้ว่าท่านบลูต้องการสื่ออะไรกับพวกเรา การไม่ยึดติดกับแนวป้องกันคืออะไรและการใช้ขอดีของความเป็นป้อมวอเตอร์ดีพคืออะไร?

    บลูส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “ท่านรองแม่ทัพมิใช่ผู้โง่เขลาเบาปัญญาหรอก เพียงแต่ท่านรองแม่ทัพประจำการอยู่ในพื้นที่เพียงส่วนเดียวไม่สามารถเห็นภาพของป้อมวอเตอร์ดีพทั้งหมดจึงไม่เข้าใจในคำกล่าวของข้า ที่ข้าบอกว่าอย่ายึดติดกับแนวการป้องกันนั้นก็แปลว่า พวกเราไม่ควรยึดถือค่ายคูประตูหอรบเป็นหลักมากเกินไป ของเหล่านี้เป็นสิ่งตายตัวที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พวกมันตั้งอยู่เพื่อเป็นเป้าของฝ่ายตรงข้ามให้บุกมาพังทลายลง แทนที่พวกเราจะใช้กองทัพจำนวนมากประจำการอยู่ตามสิ่งปลูกสร้างที่เป็นแนวป้องกันที่เรามี พวกเราก็สมควรจัดเวรยามเพียงจำนวนหนึ่งให้เหมาะสมกับสิ่งปลูกสร้างนั้นๆ ใช้ในการระวังภัยมิให้ข้าศึกบุกเข้าประชิดแนวป้องกัน แต่ในขณะเดียวกันจากข้อเท็จจริงที่ว่าแนวการป้องกันเหล่านี้ง่ายต่อการรักษายากต่อการบุกตี จะมีข้าศึกคนใดหรือไม่ที่อยู่ๆก็บุกเข้ามาหาที่ตายตามแนวป้องกันของพวกเรา พวกมันย่อมหาเส้นทางสายอื่นเพื่อบุกเข้าโจมตีตัวป้อมปราการวอเตอร์ดีพที่อยู่ใจกลาง หาทางทำให้กองทัพของเราแตกไม่เป็นขบวนไม่อาจเชื่อมต่อกันติด หากเป็นเช่นนั้นถึงแม้ว่าพวกเราจะเฝ้าค่ายคูประตูหอรบอยู่อย่างแข็งกัน แต่ก็คงไม่อาจทำอะไรได้เมื่อพบการจู่โจมในเส้นทางที่แปลกพิสดาร ที่ข้ากล้าระบุเช่นนี้ด้วยสาเหตุที่ว่าป้อมวอเตอร์ดีพของเราสร้างต่อเติมมาจากเขื่อนเก็บน้ำเก่ากินพื้นที่มหาศาล เพื่อที่จะใช้ป้องกันน่านน้ำเป็นวงกว้าง สามารถเรียกได้ว่าเป็นเมืองๆหนึ่งกันเลยทีเดียว การที่จะนำทหารสองสามพันคนไปหลบซ่อนตามที่ต่างๆนั้นมิได้เป็นเรื่องยากเย็นจริงหรือไม่? ดังนั้นจุดนี้ก็คือจุดที่พวกศัตรูอาจฉกฉวยให้เป็นประโยชน์ และในขณะเดียวกันเมื่อพวกเรารู้ข้อเท็จจริงเช่นนี้แล้ว เพราะเหตุใดพวกเราจึงไม่ใช้มันให้เป็นประโยชน์เสียเองเล่า?

    กล่าวถึงประโยคนี้รองแม่ทัพแต่ละคนก็ร้องออขึ้นมาพร้อมกัน โดยเฉพาะลูทที่ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ ที่สหายของตนสามารถแสดงออกโดดเด่นถึงเพียงนี้ เช่นเดียวกับสตรีชาวนอร์ที่มีความงดงามไม่แพ้พี่สาวที่เสียชีวิตไป นางกำลังมองดูบุรุษผมน้ำเงินผู้นี้ด้วยความชื่นชม

    บลูจึงชี้มือไปที่บริเวณชายป่าทั้งหมด เขตลำน้ำที่มีพืชน้ำขึ้นมาเป็นดง หรือบริเวณไหล่เขาอันเป็นพื้นที่บดบังสายตา พร้อมกับกล่าวว่า “พวกเราจะต้องเปลี่ยนมาทำสงครามแบบกองโจร ใช้พื้นที่ที่เป็นเขตธรรมชาติอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด โดยไม่ละทิ้งแนวการป้องกันเขตสีน้ำเงินทั้งหลาย เชื่อมต่อการรบแบบหน่วยย่อยเข้ากับการรบแบบเป็นกองทัพใหญ่ ใช้การตัดกำลังโจมตีแล้วหนี รุกแล้วถอยให้ดีที่สุด แทนที่จะเป็นการป้องกันมิให้ศัตรูไม่อาจบุกเข้าป้อมวอเตอร์ดีพได้ จะเปลี่ยนเป็นการล่อลวงพวกมันให้เข้ามาในเส้นทางที่พวกเราจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี ต้อนรับพวกมันด้วยการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว จนคว้าชัยชนะสุดท้ายมาในที่สุด กลยุทธ์ที่ข้าเสนอนี้มีใจความสั้นๆเพียงประโยคเดียวว่า ประยุกต์เอาสงครามแบบกองโจรมาใช้ในพื้นที่ของเราเอง

                    ในวันนี้เองบุรุษหนุ่มผมน้ำเงินก็พึ่งจะทราบว่า ประสบการณ์กับการที่ตัวเขาได้อาสาทำงานเป็นผู้คุ้มกันภัย สู้รบปรบมือกับกองโจรสุนัขป่าอยู่หลายครั้งหลายหน สามารถนำมาใช้ประโยชน์อย่างจริงจังก็เป็นคราวนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×