ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #178 : เล่ม 6 - ตอนที่ 78 มุ่งสู่ป้อมปราการ (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.94K
      0
      11 ก.ค. 51

    ภาคสะบัดดาบอาบแสงจันทร์
    ตอนที่ 78 มุ่งสู่ป้อมปราการ
    4 มีนาคม อ.ศ. 226
     
    บุรุษหนุ่มสองคนพร้อมกับประธานสำนักข่าวรายวันและองครักษ์ส่วนตัวเดินทางผ่านจุดเคลื่อนย้ายที่เมืองเจนีสเหนือข้ามมายังเอเวอร์เกรซโดยอาศัยเอลลิสแห่งมิติจากกองกำลังกริฟฟอน
                    ทันใดที่ทั้งสี่เดินทางไปถึงก็บังเอิญพบพานกับผู้ตรวจการภาคตะวันออกโลเปซบริเวณรอบตัวเมืองพอดิบพอดี ลูทสังเกตพบเป็นคนแรกจึงกล่าวทักทายว่า “ท่านผู้ตรวจการโลเปซ”
                    โลเปซที่เปรียบเสมือนขุนพลคู่ใจของผู้ปกครองคาร์ลเห็นบุคคลทั้งสี่ก็มีสีหน้ายินดี รีบตรงดิ่งเข้ามาหาพลางกล่าวว่า “ท่านสตีเฟ่นและท่านองครักษ์เคยกล่าวว่าจะกลับไปบริหารงานสำนักข่าวพิราบรายวันที่เมืองออรอนมิใช่หรือ พวกท่านปลีกตัวมาเยือนเอเวอร์เกรซได้อย่างไร?
                    สตีเฟ่นตอบขึ้นก่อนว่า “ข้าได้วางระบบงานที่เกี่ยวข้องกับการโยงใยเครือข่าวของเมืองเจนีสและเมืองเอเวอร์เกรซไว้หมดแล้ว ปัจจุบันได้มอบหมายให้ท่านพ่อบ้านช่วยบริหารงานอยู่ที่เมืองออรอนแทน ส่วนเรื่องราวที่เมืองเจนีสนั้นก็มีสายสืบชั้นยอดของกลุ่มปลดปล่อยเจนีสคอยประสานงานอยู่อีกคนหนึ่ง ข้ากับลาโทน่าจึงจะมาประจำอยู่ที่แนวรบฝั่งตะวันออกนี้แทน หวังว่าท่านผู้ตรวจการคงจะไม่ปฏิเสธ”
                    “ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไรท่านสตีเฟ่นกลับยินดีอย่างยิ่งเสียอีก” ผู้ตรวจการโลเปซหันไปกล่าวกับบุรุษหนุ่มทั้งสองว่า “พวกเจ้าทั้งสองสมควรจะประจำการอยู่ที่แนวรบฝั่งตะวันตกมิใช่หรือ?
                    บลูได้ยินคำถามดังนั้นจึงแปลกใจที่ผู้ตรวจการโลเปซไม่ทราบเรื่องจดหมายขอความช่วยเหลือของซิลิเซีย จึงเล่าเรื่องคร่าวๆให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง แล้วกล่าวว่า “พวกเราทั้งสองจึงตัดสินใจมาช่วยเหลือการศึกที่ป้อมวอเตอร์ดีพ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับแนวรบฝั่งตะวันออกบ้าง”
                    ผู้ตรวจการโลเปซรับฟังเรื่องราวแล้วกล่าวด้วยความยินดีว่า “การที่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเจ้าทั้งสองก็เปรียบเสมือนว่าป้อมวอเตอร์ดีพได้ขุนพลผู้เก่งกาจมาเพิ่มอีกสองคน ข้าได้รับฟังกิตติศัพท์เรื่องฝีมือของนายกองชั้นพิเศษลูทจากบาวาเรียและพวกพ้อง ทั้งหมดล้วนยกย่องการกระทำของเจ้าที่เมืองเอนเซลเลียร์เป็นอย่างยิ่ง ส่วนผลงานการชักนำให้ราชอาณาจักรลาเวนดิสเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรกับเราคงจะทราบกันดีอยู่แล้ว ว่าเป็นผลงานของเอกอัครราชทูตที่มีอายุน้อยที่สุดของประวัติศาสตร์เมืองเจนีสอย่างบลู”
                    บุรุษหนุ่มทั้งสองเกิดมาพึ่งเคยมีคนชมเชยในความสามารถอย่างจริงจังตรงหน้าก็ไม่ทราบจะวางตัวอย่างไร ยิ่งคนชมนั้นเป็นหนึ่งในชนชั้นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งทางการเมืองสูงส่งอย่างผู้ตรวจการโลเปซ
                    ผู้ตรวจการโลเปซเห็นว่าการยืนสนทนาเรื่องราวของบ้านเมืองกันในที่สาธารณะเช่นนี้ไม่เหมาะสม จึงกล่าวกับบุคคลทั้งสี่ว่า “พวกท่านตามข้าไปสนทนาที่บ้านพักของข้าตรงหัวมุมนั่นจะดีกว่า”
                    “ด้วยความยินดี” ทั้งสี่เห็นพ้องต้องกันจึงพยักหน้ารับคำแล้วเดินตามผู้ตรวจการโลเปซไป
                    นับตั้งแต่เมื่อสองร้อยยี่สิบหกปีก่อนในสมัยผู้กล้าอาเรส เมืองเอเวอร์เกรซยังไม่เคยได้รับความเสียหายจากสงครามใดๆมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นสงครามเจนีสเมื่อครั้งยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา หรือว่าจะเป็นการรุกรานจากจักรวรรดินอร์ในปัจจุบัน เปลวสงครามยังคงคุกรุ่นอยู่ทางทิศตะวันตกมิอาจลามข้ามป้อมวอเตอร์ดีพมาลามเลียชายแดนเมืองเอเวอร์เกรซได้เลย ถึงแม้บรรดาผู้คนที่อยู่อาศัยในเมืองนี้จะทราบว่าอาจมีภาวะสงครามเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของสภาวะลำบากยากเข็ญเหล่านั้นโดยตรงชาวบ้านมากหลายจึงเสมือนไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ ตามตลาดและย่านการค้าบริเวณใจกลางเมืองยังคงความคึกคักพบเห็นผู้คนนับร้อยเดินสวนกันไปมาจับจ่ายใช้สอยกันอย่างมือเติบ บรรดาพ่อค้าแม้ขายยังคงทำมาค้าคล่องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความเป็นสุข
                    บุรุษหนุ่มทั้งสองเคยเห็นภาพเช่นนี้ที่เมืองเจนีสเหนือใต้ก่อนที่เรื่องราวจะบังเกิด แต่พอเวลาผ่านไปไม่ถึงเดือนหนึ่งภาพแห่งความสุขพลันมลายหายไปสิ้น ความหวาดกลัวแพร่สะพัดเข้ามาแทนที่ เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้งหนึ่งจึงสะทกสะท้อนใจ ไม่อยากจินตนาการไปถึงอนาคตอันหมองมัวที่จะปรากฏขึ้นในเมืองอันแสนงดงามแห่งนี้
                    ผู้ตรวจการโลเปซเชื้อเชิญบุคคลทั้งสี่เข้าไปนั่งในห้องรับแขก บ้านพักส่วนตัวของบุรุษหมายเลขสองแห่งภาคตะวันออกกลับดูเหมือนบ้านพักของชาวบ้านธรรดาทั่วไป ตัวบ้านทำด้วยไม้สองชั้นตกแต่งอย่างสมถะ เพียงพอให้บุคคลผู้นี้อยู่กินกับภรรยาอายุน้อยและบุตรชายวัยเยาว์สามชีวิตอย่างมีความสุข บุตรชายวัยหกปีหัดยกถาดน้ำชาออกมารับแขกโดยมีภรรยาวัยสามสิบต้นๆเดินประกบตามมาด้านข้าง ค่อยๆช่วยบุตรชายวางป้านและแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะรับแขก เด็กชายวัยแสนซนยิ้มร่าเริงกล่าวทักทายกับบุรุษหนุ่มทั้งสองคำหนึ่งแล้วจึงวิ่งกลับเข้าตัวบ้านไปเล่นตามประสา มารดาจึงต้องรีบกล่าวขอตัววิ่งตามไปคอยดูแล เมื่อทั้งสี่เห็นความเป็นอยู่อันเรียบง่ายเช่นนี้ก็สามารถทำความเข้าใจเบื้องต้นได้ว่าคนอย่างผู้ตรวจการโลเปซเป็นเช่นไร
                    “พวกท่านทั้งสี่คงจะพอทราบความเคลื่อนไหวของป้อมวอเตอร์ดีพจากซิลิเซียแล้ว ช่วงนี้กองทัพจักรวรรดิพยายามบุกตีหน่วยลาดตระเวณที่อยู่นอกป้อมกันไม่เว้นแต่ละวัน ส่วนท่านคาร์ลพอทราบเรื่องราวของเอนเซลจากบาวาเรียก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง จึงเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองให้หาทางตั้งรับกองทัพจากทิศใต้เป็นการด่วน คาดเดาได้ทันทีว่าฝ่ายจักรวรรดิจะต้องดำเนินแผนการเปิดศึกสองด้าน กองทัพฝ่ายจักรวรรดิที่นำโดยจอมพลทาลอสและบุตรชายจะบุกตีป้อมวอเตอร์ดีพทันทีที่กองทัพของประธานาธิบดีราชิตจ่อประชิดเมืองเอเวอร์เกรซ” ผู้ตรวจการโลเปซกล่าวด้วยความวิตก
                    บลูตอบกลับไปว่า “นี่เป็นสาเหตุหลักที่พวกเราทั้งสองเดินทางมาที่นี่ แม้ว่ากำลังของพวกเราสองคนจะมิอาจนับเป็นอย่างไรได้เมื่อเทียบกับกองทัพของจักรวรรดิจำนวนนับหมื่น แต่พวกเราก็พร้อมที่จะเดินทางไปยังป้อมวอเตอร์ดีพรักษาป้อมปราการให้ถึงที่สุด”
                    ผู้ตรวจการโลเปซส่ายหน้ากล่าวว่า “ปัจจุบันพวกเรามีกองกำลังทหารที่เรียกได้ว่าพอสูสีกับฝ่ายตรงข้าม พวกท่านอาจยังมองไม่เห็นภาพ ข้าจะค่อยๆอธิบายให้พวกท่านฟัง กองกำลังที่กำลังจะรุกรานรัฐตะวันออกของเรานั้นมีด้วยกันทั้งหมดหนึ่งแสนสี่หมื่นนาย แบ่งเป็นสองกองก็คือกองกำลังแปดหมื่นนายของสองพ่อลูกชไวน์และอีกหกหมื่นนายของประธานาธิบดีราชิต ส่วนพวกเรามีอยู่ทั้งหมดหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นนาย แบ่งเป็นกองกำลังของท่านแม่ทัพทาเรียที่ป้อมวอเตอร์ดีพสามหมื่นห้าพันนาย ท่านจูเลียสที่ย้ายจากโลซานมาที่ป้อมวอเตอร์ดีพสองหมื่นนาย และท่านคาร์ลที่เมืองแห่งนี้ห้าหมื่นห้าพันนาย พวกท่านเห็นได้ว่ากองกำลังในระดับนี้เรียกว่าพอสูสีคู่คี่กันสามารถวัดกำลังกันได้สักตั้งหนึ่ง จะเสียเปรียบก็เรื่องกำลังพลที่ป้อมวอเตอร์ดีพที่สามารถชดเชยได้ด้วยชัยภูมิอันเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่ท่านคาร์ลวิตกอยู่ในขณะนี้มิใช่จำนวนทหาร แต่เป็นฝีมือการนำทัพของฝ่ายตรงข้าม จอมพลทาลอสจัดเป็นขุนศึกที่น่าเกรงขาม มีเพียบพร้อมทั้งปัญญาและฝีมือเชิงยุทธ โดยที่พวกเราจำต้องยอมรับโดยสดุดีว่าไม่มีแม่ทัพนายกองคนใดในเอเวอร์เกรซสามารถเทียบชั้นกับขุนศึกผู้นี้ได้ ส่วนประธานาธิบดีราชิตนั้นแม้ว่าจะไม่เก่งกาจเท่าจอมพลทาลอสแต่ข้าก็เชื่อได้ว่าฝีมือมิได้ด้อยไปกว่ากันมากมายนัก ในความคิดเห็นส่วนตัวของข้าท่านคาร์ลและบรรดาแม่ทัพนายกองคงจะพอยับยั้งกองทัพของประธานาธิบดีราชิตได้ ดังนั้นจุดชี้ชะตาเป็นตายของเมืองเอเวอร์เกรซเราก็คือป้อมวอเตอร์ดีพ ถ้าหากพวกท่านโจนาธาน ท่านจูเลียสและแม่ทัพทาเรียมิอาจยันการบุกของทาลอสได้ ทันใดที่ป้อมวอร์เตอร์ดีพแตกกองทัพของจักรวรรดินอร์และเอนเซลก็จะเชื่อมถึงกัน และเมื่อนั้นก็จะเป็นจุดอวสานของรัฐตะวันออกเอเวอร์เกรซ”
                    บลูพยักหน้ารับคำพลางยื่นแผ่นกระดาษออกไปแผ่นหนึ่งพร้อมกล่าวว่า “ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจมาที่นี่ก็ได้ศึกษาชัยภูมิของป้อมวอเตอร์ดีพไว้ก่อนแล้ว กระดาษแผ่นนี้คือภาพวาดมุมสูงของพื้นที่รอบตัวป้อมวอเตอร์ดีพที่ข้าขอร้องให้ท่านสตีเฟ่นช่วยจัดหาให้ จุดที่ข้าวงกลมสีแดงเอาไว้เป็นจุดที่ล่อแหลมสมควรสร้างหอยิงธนูและเสริมการป้องกันเพิ่มเติม ส่วนจุดที่วงกลมสีเขียวคือจุดที่เป็นชัยภูมิได้เปรียบจำเป็นต้องรักษาให้มั่น โดยส่วนตัวข้าเชื่อว่ากองทัพของท่านแม่ทัพทาเรียและท่านจูเลียสจำนวนห้าหมื่นห้าพันนายก็เพียงพอที่จะครอบคลุมจุดสำคัญที่ข้าแยกแยะออกมาได้ทั้งหมด บางจุดที่ไม่จำเป็นต้องมีทหารประจำการก็ไม่ควรแบ่งปันทหารไปเฝ้ารักษาโดยเปล่าประโยชน์ และข้าเชื่อว่าหากเป็นการรบในรูปแบบมหภาคที่ไม่มีผลของฝีมือยุทธส่วนตัวของแม่ทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อให้ทหารจักรวรรดิทั้งแปดหมื่นบุกเข้ามาพร้อมเพรียงกัน ก็มิอาจทำลายการป้องกันป้อมวอเตอร์ดีพในภาพนี้ได้”
                    ไม่เพียงแต่ผู้ตรวจการโลเปซที่อ้าปากตาค้างเมื่อเห็นแผนที่บอกจุดอ่อนจุดแข็งโดยละเอียดเช่นนี้ สตีเฟ่นและลาโทน่าที่เป็นผู้จัดหาแผนที่ให้ก็ยังทึ่งตามไปด้วย มีเพียงแต่สหายสนิทลูทเท่านั้นที่รู้อยู่ก่อนหน้าแล้วว่าบลูจะทำอะไร จึงไม่ประหลาดใจกับผลที่เห็น
                    “ยอดเยี่ยม” ผู้ตรวจการโลเปซหยิบแผนที่แผ่นนั้นขึ้นมาตรวจสอบทุกตารางนิ้ว กล่าวชมเชยออกมาถี่ๆ แล้วจึงกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้รัฐตะวันออกของเราก็พอจะมีทางรอดอยู่สายหนึ่ง หากพวกเราสามารถต้านการจู่โจมของจอมพลทาลอสได้จริง”
                    บลูฝืนยิ้มพลางกล่าวต่อไปว่า “ข้าเข้าใจว่าคำพูดประโยคต่อไปนี้อาจดูเกินเลยไปบ้าง แต่ก็ขอให้ท่านผู้ตรวจการทราบว่าทั้งข้าและลูททั้งสองตั้งใจจะมาวัดฝีมือกับจอมพลทาลอสหรือไม่ก็ซิฟเฟอร์บุตรของมันสักครั้งหนึ่ง พวกเราทั้งสองทราบอยู่แก่ใจว่าโอกาสชนะนั้นแทนไม่มีและพวกเราก็มิได้หวังว่าจะเอาชัยบุคคลในระดับนี้ แต่ขอเพียงพวกเราทั้งสองยันยอดฝีมือผู้นี้ให้ได้อยู่สักระยะเวลาหนึ่ง ให้การป้องกันที่เข้มแข็งของป้อมวอเตอร์ดีพขับไล่ทหารนอร์กลับไป ป้อมวอเตอร์ดีพก็มีโอกาสที่จะอยู่รอดได้บ้าง”
                    “สักสามส่วนก็ยังดี” ลูทผู้เป็นสหายสนิทกล่าวเสริม
                    ผู้ตรวจการโลเปซพยักหน้าเข้าใจ กล่าวว่า “ข้าต้องขอบใจพวกเจ้าทั้งสองมากที่เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับพวกเราชาวนอร์ถึงเพียงนี้ ทั้งๆที่พวกเจ้าทั้งสองนั้นมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผ่นดินนอร์เลยสักนิด”
                    ลูทส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เกี่ยวได้อย่างไร? ในเมื่อพวกเราเป็นมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนแผ่นดินเดียวกัน”
                    สตีเฟ่นหันไปสบตาลาโทน่าครั้งหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้ากล่าวว่า “กล่าวได้ดีบุรุษหนุ่ม ข้าและลาโทน่าทั้งสองก็ตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าต้านรับจอมพลทาลอสอีกแรงหนึ่ง จะอย่างไรสี่คนก็ดีกว่าสองคนใช่หรือไม่? การประจำการข่าวอยู่ที่เอเวอร์เกรซหรือป้อมวอเตอร์ดีพก็มิได้แตกต่างกัน”
                    ผู้ตรวจการโลเปซจึงกล่าวว่า “ปล่อยสมรภูมิที่ชายแดนให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด พวกเจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะเห็นทหารเอนเซลมีโอกาสเหยียบแม้แต่ประตูเมืองแห่งนี้”
                    บุคคลทั้งห้าต่างสบตากันด้วยความจริงใจ ด้วยใจจริงที่จะดิ้นรนในหนทางรอดสุดท้ายเช่นนี้ ก่อนที่จะแยกทางกันไปปฏิบัติภารกิจของตน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×