ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #160 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 65.2 - สัมผัสมิอาจเลือน (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.02K
      0
      23 พ.ค. 51

    ณ ย่านลาเวนดิสทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง
    หลังจากที่เนรอสเดินลับสายตาไปทางทิศเหนือ บลูเห็นว่ายังคงมีเวลาอีกพอสมควรจึงยังคงความตั้งใจเดิม ออกเดินทางมุ่งไปย่านลาเวนดิส พื้นที่แถบนี้มีชาวลาเวนดิสตั้งถิ่นฐานถาวรเป็นจำนวนมาก ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงยี่สิบห้าปีจะมีชาวลาเวนดิสอาศัยอยู่หลายพันหลังคาเรือน ส่วนหนึ่งย่อมเดินทางมาเพราะเศรษฐกิจที่ดีกว่า แหล่งแร่เอลไลท์ที่ขุดขึ้นใหม่ทำรายได้ให้กับพ่อค้าวาณิชอย่างมหาศาล แรงงานทั้งระดับบนระดับล่างอีกนับพันคนที่ทำงานอยู่กับเหมืองแร่เหล่านี้ จึงมีความจูงใจที่จะย้ายถิ่นฐานบ้านเรือนมาตั้งรกรากเป็นการถาวร
    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินเห็นสังคมเช่นนี้แล้วก็เกิดความคิดขึ้นว่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชอาณาจักรลาเวนดิสจะยินยอมทิ้งพื้นที่แถบเมืองเจนีสใต้ มีหรือที่องค์ราชินีจะปล่อยให้ประชากรนับพันหรืออาจจะถึงหมื่นคนที่เป็นชาวลาเวนดิสแท้ๆบ้านแตกสาแหรกขาด กลายเป็นผู้คนไร้ถิ่นฐานหรือตกตายเป็นเหยื่อสังเวยสงคราม อีกทั้งเส้นเลือดทางเศรษฐกิจที่หล่อเลี้ยงราชอาณาจักรสายใหญ่ยังคงมีต้นตอมาจากพื้นที่แถบนี้ จึงดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ลาเวนดิสจะละทิ้งเมืองเจนีสใต้ไปโดยไม่หยิบยื่นความช่วยเหลืออันใด
    ทันใดที่บลูก้าวเข้าสู่ย่านลาเวนดิสไประยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงความวุ่นวายดังขึ้นมาจากด้านข้าง ทอดสายตามองไปเห็นคนผู้หนึ่งในชุดผ้าคลุมสีดำกำลังพลิ้วกายหนีทหารลาเวนดิสสี่ห้าคนมาทางนี้ โดยมีทหารอยู่ผู้หนึ่งมองจากวิธีการไล่ตามก็ทราบได้ว่าเป็นยอดฝีมือ
    “เกิดอะไรขึ้น?” บุรุษหนุ่มกล่าวกับตนเองด้วยความสงสัย
    ร่างที่วิ่งไล่ตามกันเข้ามาใกล้บลูเรื่อยๆ ผู้ที่อยู่ในชุดคลุมทิ้งห่างทหารเหล่านั้นอยู่สิบกว่าก้าวและไกลห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่าระยะห่างของคนในชุดคลุมกับยอดฝีมือที่ตามมามิได้ถ่างออกไปแม้แต่น้อย เช่นนี้แสดงว่าความเร็วของผู้ไล่และผู้ถูกไล่นั้นเทียบเท่ากัน ผลลัพธ์จะต้องวัดกันที่ความอดทนเสียแล้ว
                    ผ่านไปเพียงพริบตาเดียว ลมหอบหนึ่งก็พัดเข้าปะทะใบหน้าของบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงิน พาเอากลิ่นหอมจากเครื่องประทินโฉมโชยเข้าใส่นาสิกอย่างปฏิเสธมิได้ และในบัดนั้นเองบลูก็ทราบว่าผู้ที่อยู่ในผ้าคลุมเป็นสตรีนางหนึ่ง
                    สตรีที่มีความงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายอดหญิงยูกิผู้เลอโฉม
                    ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีดำปรากฏเป็นใบหน้าของโฉมสะคราญชาวลาเวนดิสผู้หนึ่ง ผมของนางมีสีทองอร่ามยาวเหยียดเป็นเส้นตรง ดวงตาสีน้ำเงินที่ลึกล้ำประดุจห้วงมหรรณพทั้งยังคงไว้ซึ่งความงดงามจากภายใน ริมฝีปากและจมูกที่ดูแล้วคมกริบราวกับแกะสลัก ผิวหน้าไร้รอยนวลเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวามิได้ขาวซีดดั่งชาวลาเวนดิสทั่วไป ดูไปกลับมีส่วนคล้ายคลึงกับสตรีงามอย่างโรซาไลน์ที่มีเชื้อชาติเดียวกันอยู่สามสี่ส่วน
                    บลูตกตะลึงกับความงามอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งได้ยินวาจาประโยคที่ว่า “โปรดช่วยข้าด้วย”
                    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินมิใช่ผู้ที่กระทำการตามอำเภอใจโดยไม่ใช้สมองคิด แม้เป็นสตรีที่มีความงามเยี่ยงไรแต่ถ้าตกอยู่ภายใต้การไล่ล่าของทหารชาวลาเวนดิสแล้วย่อมต้องมีความน่าสงสัยมิใช่น้อย โดยเฉพาะพวกคนที่ตามมาเป็นทหารลาเวนดิสใต้สังกัดกองกำลังมาร์ควิสแห่งเบริลที่พึ่งจะเดินทางมาถึง ความงามแต่เปลือกนอกอาจนำมาซึ่งความหายนะก็เป็นได้หากถูกปล่อยปละละเลยไป
                    แต่ระหว่างที่บุรุษหนุ่มกำลังอยู่ในการขบคิดนั้น สตรีใต้ชุดคลุมก็ถลันมาถึงข้างกายกล่าวว่า “ได้โปรดเถิด” พร้อมกับดึงมือเขาวิ่งออกไปด้านหน้า
                    ทันใดนั้นเองเรื่องทุกประการก็ผิดแปลกแตกต่างไป เมื่อบลูได้ยินประโยคที่ตามมาจากยอดฝีมือที่ไล่ตามมาว่า “มันมีผู้ช่วยเหลือ พวกเราตามไปจับเป็นจับตายได้ทั้งสิ้น”
                    “ขอรับท่านโฮเซ่” เสียงตอบรับดังมาจากทหารอีกสี่ห้าคนที่ไล่ตามมาด้านหลัง
                    ขณะนี้บลูถูกฉุดลากวิ่งออกมาได้สี่ห้าก้าวก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าแสนสาหัส เมื่อทราบดีว่าชื่อของโฮเซ่คือกระบี่ที่สามแห่งลาเวนดิส ในเมื่อเขาเป็นผู้ตกกระไดพลอยโจนไปด้วยอีกคนหนึ่ง แม้มีสิบปากก็ยากที่จะอธิบายให้เหล่าทหารที่ตามหลังมารับฟัง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนีทหารเหล่านี้ไปเสียก่อน ค่อยจัดการเค้นถามความจริงจากสตรีเลอโฉมก็ไม่สาย
                    เสียงกรีดของกระบี่ในมือกระบี่ที่สามโฮเซ่ดังขึ้น ได้ยินมันกล่าวว่า “หยุดให้กับข้า!
                    สตรีงามผู้นั้นสะบัดมีดสั้นกลับหลังโดยมิได้หันหน้าไป เมื่อศาสตราทั้งสองกระแทกกันจึงเห็นได้ชัดว่าโฮเซ่ได้เปรียบอยู่ช่วงหนึ่ง ร่างของสตรีงามรับแรงกระแทกมาจากศัสตราวุธชนเข้ากับหัวไหล่ข้างหนึ่งของเขา
                    “ดาบสุญญากาศ” ยินเสียงแหวกอากาศของคมดาบล่องหนสองสามเล่มพุ่งเข้าสกัดการจู่โจมต่อเนื่องของโฮเซ่ โฮเซ่ที่วิ่งไล่กวดมิได้นึกว่าผู้ช่วยฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเอลลิสมือดี จึงเสียจังหวะในการติดตาม ต้องหยุดตั้งรับท่าดาบสุญญากาศทั้งสอง ชะงักไปเล็กน้อย
                    ซึ่งในขณะนั้นเองบลูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาสตรีนางนี้หลบหนีไป หาไม่แล้วอาจตกเป็นคนร้ายไปด้วยอีกคนหนึ่ง จึงใช้มือข้างหนึ่งผนึกเอลว่องไวดุจสายลม อีกข้างหนึ่งใช้เอลสายลมปรารถนาเข้าเสริมกัน ฉุดรั้งร่างของเขาและสตรีผมทองวิ่งไปไกลในความเร็วที่เหนือกว่าเดิม เร่งเร้าเอลจากจุดกำเนิดทั้งสี่ปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน บรรลุความเร็วสูงสุดในชั่วพริบตา จนสามารถสลัดจากกระบี่ที่สามโฮเซ่ได้ชั่วคราว บลูทราบดีว่าหากต้องประมือกับบุรุษผู้นี้ คงเป็นการยากที่เขาจะเอาชนะได้ หรือถ้าจะเอาชนะได้จริงก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง การหนีเช่นนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด จะอย่างไรคงไม่มีเอลลิสผู้ใดในโลกใช้ประตูทั้งสี่ร่ายเอลแห่งลมพร้อมกัน ติดตามมาทันได้อีก
                    “ขอบคุณท่าน” สตรีผู้นั้นกล่าวขึ้นที่ข้างกาย
                    บลูทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง พร้อมเหงื่อที่ผุดออกมาตามใบหน้า การใช้เอลจากประตูทั้งสี่บานทำให้เขาสูญเสียกำลังไปอักโข กล่าวว่า “ถูกจับมัดมือชกอย่างนี้ มีหรือที่ต้องกล่าวคำขอบคุณ”
                    เหตุเปลี่ยนแปลงพลันเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีทหารอีกหนึ่งหน่วยอ้อมมาดักหน้าพวกเขาทั้งสองที่ทางแยกข้างหน้า แต่ถ้าหากหลุดพ้นทหารหน่วยนี้ไปก็จะออกพ้นเขตย่านลาเวนดิส ทันใดที่สิทธิสภาพนอกอาณาเขตของลาเวนดิสมิอาจใช้การได้ การไล่ล่าก็จะหยุดลง ไม่ว่าจะเป็นกระบี่ที่หนึ่งไล่ตามมาด้วยตนเองก็มิอาจทำอย่างไรได้
                    “พวกมันอยู่ทางนั้น!” ทหารอีกสามสี่คนที่วิ่งอ้อมมาตะโกนขึ้น
                    บลูไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นใบหน้าของตนเองชัดเจน หาไม่แล้วอาจส่งผลกระทบกับการเจรจาที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ จึงคลายเอลสายลมปรารถนาผนึกเอลที่สามขึ้นที่มือขวาเป็นท่าวายุพัดพา กล่าวกับสตรีข้างกายว่า “เทน้ำหนักไปทางซ้าย”
                    สตรีผู้นั้นเห็นแสงสีเขียวเรืองรองจึงกระทำตามคำบอกกล่าว เทน้ำหนักไปทางด้านซ้ายเต็มที่ มือขวาของบลูสะบัดวูบออกไปด้านข้าง กำเนิดสายลมอันแรงกล้าเพียงพอที่จะผลักดันร่างของบุคคลสองคน หากเทียบวายุพัดพาในขณะนี้กับวายุพัดพาเมื่อเดือนก่อน จะพบว่าความรุนแรงนั้นเป็นสองเท่าของกันและกัน ทั้งๆที่ใช้เอลออกจากประตูเพียงบานเดียว
                    สายลมพัดเข้าปะทะกับกองทหารที่เข้ามาสมทบ บดบังสภาพการมองเห็นและปิดโอกาสการไล่ตาม ส่งผลให้บลูและโฉมสะคราญผมทองสามารถลอยขึ้นสู่ฟ้าทางด้านซ้าย เหยียบแนวกำแพงโลดโผนไปตามหลังคาบ้านเรือนจนสามารถออกจากย่านลาเวนดิสโดยปลอดภัย
                    บลูกับสตรีผู้นั้นมาหยุดยั้งอยู่ที่ริมสวนแห่งหนึ่งอันเป็นเส้นทางเดินไปยังถนนสายหลักของเมืองเจนีสใต้ เมื่อเห้นว่าค่อนข้างเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอันตรายจึงกล่าวว่า “คราวนี้ก็ถึงเวลาที่จะถามไถ่ความเป็นมาเป็นไปของแม่นางแล้ว ไม่ทราบว่าไปก่อเรื่องอันใดไว้ทหารลาเวนดิสมากมายขนาดนั้นจึงตามล่า?
                    สตรีสาวชาวลาเวนดิสใช้นิ้วมือที่ปราศจากริ้วรอยปลดหมวกคลุมศีรษะลงไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าที่เยาวว์วัยไม่สมควรจะมีอายุเกินยี่สิบปี ประกอบกับทิวทัศน์ที่ดวงตะวันกำลังจะตกดิน แสงสีส้มส่องผ่านเงาไม้มากระทบผมสีทองจนเป็นประกาย ยิ่งขับเน้นความงามของนางขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
                    ยินเสียงของสตรีผู้เลอโฉมกล่าวว่า “เรื่องราวนี้ทั้งยืดยาวและน่าเบื่อยิ่งนัก หากจะเล่าให้ท่านฟังย่อมต้องใช้เวลาสามวันสามคืนกว่าจะเสร็จสิ้น แต่จะบอกความจริงกับท่านเรื่องหนึ่งว่าข้านั้นมิได้กระทำอะไรที่เป็นความผิดต่อจรรยาบรรณแม้แต่น้อย บัดนี้ท่านยินยอมช่วยเหลือออกมาข้าก็ต้องขอขอบคุณจากใจจริง เวลานี้ข้าขออำลาหากแม้นมีโอกาสหน้าที่พวกเราได้พบพานอีกครั้ง ข้าขอให้คำมั่นว่าจะตอบแทนท่านเป็นอย่างงาม”
                    “ช้าก่อ ...”
                    คำกล่าวประโยคนี้ของบลูยังมิทันได้กล่าวจนจบ เสียงของเขากลับขาดหายไปอย่างสิ้นเชิง ที่ขาดหายไปนั้นมิใช่ว่าถูกทำร้ายหรืออย่างไร
                    แต่เป็นเพราะว่านาสิกของสตรีผู้นี้กระทบเข้าที่ปรางค์แก้มของบุรุษหนุ่มส่งสัมผัสที่รัญจวนจิตแผ่ซ่านไปทั่วจนมิอาจกล่าววาจา
                    สตรีผมทองโน้มใบหน้าที่มีสีแดงเปล่งปลั่งออกจากแก้มของเขาด้วยท่าทีเขินอายเล็กน้อย กล่าวพร้อมรอยยิ้มที่เปล่งปลั่งว่า “ท่านเรียกข้าว่าว่าเจสเถิด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลืออีกครั้ง ... แล้วพบกันใหม่”
                    บลูตกอยู่ในสภาพตะลึงตกลานวาจาที่อยากจะเอ่ยกลับไม่มีเสียงจะเอ่ย จำต้องปล่อยให้สตรีที่มีความงามล่มเมืองพลิ้วกายจากไปในลักษณะนี้ ทิ้งเอาไว้แต่สัมผัสเบาบางที่ยังคงรู้สึกอยู่บริเวณข้างแก้ม และกลิ่นหอมจางๆจากเครื่องประทินผิวเท่านั้น
                    ‘แล้วพบกันใหม่?’ ประโยคนี้มีความหมายอันใดกันแน่
     
    สายตาของผู้นำการาดอสเบิกโพลง ทราบทันทีว่าซันภายในร่างกระทำปฏิกิริยากับสุดยอดศัสตราวุธเล่มนี้
                    เมื่อคนผู้หนึ่งสำเร็จวิชาสามดาบแห่งพิภพซึ่งเป็นวิชาสุดยอดของราชวงศ์เจนีสที่ใช้คู่กับกุญแจแห่งพิภพเท่านั้น ย่อมมีความสัมพันธ์กับศาสตราคู่กู้แผ่นดินเล่มนี้อย่างหาที่เปรียบมิได้ พลังงานที่สะสมในดาบและในตัวบุคคลจึงประสานเสริมกันก่อกำเนิดซันใหม่ขึ้นมาทดแทนซันเก่าที่สูญสลายไป ในที่สุดอาการบาดเจ็บบอบช้ำของผู้นำแห่งรัฐอิสระเจนีสผู้ที่ใกล้จะสิ้นลมจึงมีหนทางเยียวยาอันปาฏิหาริย์
                    แก้วตาของการาดอสเบิกโพลง จนกุนซือราเมสสังเกตเห็นความผิดปกติต้องเอ่ยปากถามด้วยความตกใจว่า “เป็นอะไรไปหรือไม่ท่านผู้นำ?
                    “ข้าไม่เป็นไร” การาดอสกล่าวพลางส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง จากนั้นผู้นำแห่งรัฐอิสระเจนีสบรรจงสูดหายใจเข้าไปลึกๆ สีหน้าที่ดูเหมือนจะอยู่ในอาการบาดเจ็บตลอดเวลาก็คลายลงมาก เวลาผ่านไปพักหนึ่งจึงกล่าวว่า “ยอดศัสตราวุธเล่มนี้มีคุณสมบัติโดดเด่นนัก ทำปฏิกิริยากับซันในกายข้าที่เป็นแนวทางเดียวกัน บางทีมันอาจสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่มิอาจเยียวยานี้ก็เป็นได้”
                    กุนซือราเมสกล่าวด้วยความยินดีว่า “หากท่านผู้นำสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้จริง ประเทศเจนีสของเราคงจะมีหนทางรอดเสียแน่แล้ว”
                    มือปราบไกได้ยินดังนั้นก็รู้สึกมีกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นอีกเล็กน้อย อย่างน้อยการเสียสละของมารดาสามารถดึงเอาชีวิตที่ใกล้จะหลุดลอยของบุคคลสำคัญผู้หนึ่งกลับคืนมา
                    ผู้นำการาดอสหลับตาผนึกกำลังเข้ากับกุญแจแห่งพิภพต่อไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “เห็นทีเรื่องนี้อาจมีปัญหาสักเล็กน้อยแล้วท่านกุนซือ”
                    “ไม่ทราบว่าเป็นปัญหาที่พวกเราทั้งสามสามารถช่วยกันแก้ไขได้หรือไม่?
                    ผู้นำการาดอสพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าไม่ทราบว่าจะต้องใช้เวลามากน้อยเพียงใดในการฟื้นคืนซันที่สูญสิ้น และระหว่างที่ทำการรักษาตัวเองอยู่นี้ข้ามิอาจพบผู้ใดหรือกระทำการใดๆได้ การที่จะอาศัยซันที่เข้ากันได้ของดาบเล่มนี้มาประสานเสริมหล่อเลี้ยงพลังชีวิตในตัวข้า จำต้องอาศัยสมาธิและความต่อเนื่องที่มิอาจติดขัด หาไม่แล้วโอกาสที่ได้มาอาจก่อกำเนิดวิกฤตขึ้นได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่?
                    กุนซือราเมสขบคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักว่า “เช่นนี้ท่านผู้นำมิอาจทำงานบริหารเรื่องราวไปจนกว่าจะฟื้นคืนเป็นปกติ สำหรับเรื่องงานอาจเป็นเรื่องเล็กแต่สำหรับขวัญและกำลังใจอาจเป็นเรื่องใหญ่ ที่ผู้นำของตนมิอาจออกมาพบหน้าประชาชนได้ บัดนี้ข่าวคราวเรื่องอาการบาดเจ็บของท่านผู้นำแพร่สะพัดออกไปถึงหูประชาชนทั่วไป มีบ้างส่วนหนึ่งก็เชื่อแต่อีกส่วนหนึ่งก็ยังคงเห็นว่าเป็นข่าวลือ พวกเขาทั้งหลายล้วนรอคอยการปรากฏตัวของท่านผู้นำเพื่อที่จะลบเลือนข่าวที่ไม่เป็นมงคลเช่นนี้ไปเสีย แต่ถ้าท่านผู้นำมิอาจปรากฏตัวได้ในเร็ววันข่าวลือเช่นนี้จะมีผลร้ายมากกว่าผลเสีย ดีไม่ดีอาจข่าวอาจบิดเบือนไปในทางเลวร้ายถึงที่ว่าท่านผู้นำสิ้นชีพไปแล้ว ในเมื่อวีรบุรุษที่สามารถกอบกู้เมืองเจนีสเหนือกลับคืนมาได้ต้องมีอันเป็นไปแบบคลุมเครือ ประกอบกับกองทัพของฝ่ายศัตรูที่เคลื่อนลงมาประชิดกำแพงเมือง ร้อยทั้งร้อยเมืองเจนีสเหนือต้องแตกสิ้น”
                    “ข้าเข้าใจในความหมายของเจ้า” การาดอสกล่าวตอบพร้อมใช้ปัญญาหาหนทางออกต่อไป
                    มือปราบไกขบคิดในอีกแง่มุมหนึ่งจึงกล่าวว่า “หากท่านผู้นำปล่อยข่าวลวง ประกาศตนว่าตายไปแล้วจะมีผลเป็นอย่างไร?
                    “นี่จะได้อย่างไร?” กุนซือราเมสกล่าวทัดทาน
                    ในขณะที่ผู้นำการาดอสได้ยินคำพูดของไกก็จุดประกายความคิดอันล้ำลึกพิสดารขึ้น หัวเราะฮาๆพร้อมกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นเรื่องราวจะดีกว่าเหตุการณ์ที่ท่านกุนซือบ่งบอกอย่างน้อยก็ขั้นหนึ่ง ตรงที่ข่าวออกมาชัดแจ้งแล้วไม่มีการคลุมเครือ แต่จะต่างออกไปหากข้าสามารถตั้งบุคคลขึ้นมาบริหารงานแทนอย่างเป็นทางการ ให้รับตำแหน่งผู้นำกองกำลังปลดปล่อยเจนีสแทนข้า อย่างน้อยขวัญและกำลังใจของประชาชนก็จะไม่ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ส่วนตัวข้านั้นก็สามารถใช้ช่วงเวลานี้พักงานราชการสักพักหนึ่ง ฟื้นสภาพร่างกายจนสามารถเข้าร่วมรบในสมรภูมิอีกครั้ง เป็นเสมือนไพ่ตายของกองกำลังปลดปล่อยเจนีสเรา”
                    กุนซือราเมสที่ทัดทานในระลอกแรกกลับมีท่าทีเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำกล่าวของผู้นำที่ปราดเปรื่อง ปัญญาของนักกลยุทธ์จึงปะทุขึ้นอีกบุคคลหนึ่ง วิเคราะห์เหตุการณ์อย่างชัดแจ้งพร้อมกล่าวว่า “แผนการนี้มีข้อดีอยู่มากแต่ก็มีข้อด้อยอยู่ไม่น้อยไปกว่ากัน ประการที่สำคัญที่สุดคือผู้ที่จะมาเป็นผู้นำในกองกำลังปลดปล่อยเจนีสเรา ต้องมีความสามารถในระดับที่ทัดเทียมกับท่านผู้นำหรืออย่างน้อยก็ต้องมิได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าใด ประการที่สองบุคคลนั้นจำเป็นต้องเป็นชาวเจนีสโดยสัญชาติ หากไม่มีคุณสมบัติข้อนี้ชาวเจนีสที่ยอมตายถวายชีวิตเพื่อประเทศเจนีสก็มิอาจเชื่อใจในผู้นำของตนได้สนิทใจ ประการที่สามบุคคลผู้น้ำจำเป็นต้องมีบารมีสูงถึงระดับหนึ่ง สามารถเข้าไปนั่งอยู่ในใจของเหล่าทหารในกองทัพหรือชาวบ้านเมืองเจนีสเหนือ เพื่อเป็นการปลุกปลอบขวัญและกำลังใจให้ประชาชนเชื่อในผู้นำของตน แต่ปัญหาทั้งมวลอยู่ที่ว่า พวกเราจะไปหาบุคคลในลักษณะนี้มาได้อย่างไรในระยะเวลาอันสั้น? ทอดสายตาดูแม่ทัพนายกองทั้งหลายก็ไม่เห็นจะมีผู้ในมีคุณสมบัตินี้ครบถ้วนทุกประการ จะมีใกล้เคียงก็แค่แม่ทัพมอริแกนแต่นางก็ไม่มีบารมีสูงถึงเพียงนั้น โดยเฉพาะวิชาฝีมือที่ยังเป็นรองผู้นำของฝ่ายตรงข้ามอยู่หลายช่วงตัว”
                    ขณะที่กล่าววาจาเหล่านี้กุนซือราเมสก็รู้ตัวเองดีว่าตนเองมิอาจผ่านข้อกำหนดทั้งสามได้เช่นกัน เนื่องจากวิชาฝีมือที่มีถูกทำลายไปหมดสิ้น หาไม่แล้วคงจะยอมถวายชีวิตอาสาก้าวขึ้นเป็นแกนนำจนกว่าผู้นำการาดอสจะหายดี
                    ผู้นำการาดอสยิ้มพลางกล่าวขึ้นว่า “จริงอยู่ที่บุคคลเช่นนี้มิอาจหาได้ในกองกำลังของเรา แต่ตัวข้านั้นทราบว่ามีบุคคลหนึ่งสามารถกระทำเรื่องราวเหล่านี้ได้โดยไม่มีปัญหาและเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง”
                    “เป็นผู้ใดหรือ?
                    “นี่เรียกว่าเส้นผมบังภูเขาจริงๆท่านกุนซือ บุคคลที่ข้าเอ่ยถึงก็ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเรานี่แล้วมิใช่หรือไร”
                    “ข้านี่โง่เสียจริง” กุนซือราเมสหัวเราะฮาๆ จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย มองไปทางมือปราบไกพร้อมกล่าวว่า “ดูเหมือนเรื่องนี้คงจะไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปยิ่งกว่าเจ้า ที่มีคุณสมบัติข้างต้นครบถ้วนทั้งสามประการ อีกทั้งตัวข้าเองนั้นก็ไว้วางใจในตัวเจ้าจากการกระทำของท่านมินดาเทียผู้ล่วงลับและความคุ้นเคยกับเจ้าเป็นส่วนบุคคล”
    มือปราบไกยังคงอยู่ในสภาวะไม่เชื่อหูตนเอง จึงกล่าวขึ้นว่า “ข้าอย่างนั้นหรือ?
                    ผู้นำการาดอสกล่าวสนับสนุนต่อไปว่า “เจ้านั้นมีทั้งชาติกำเนิด ฝีมือและบารมีโดยสมบูรณ์แบบ แม้แต่ท่านกุนซือผู้ยากที่จะยอมรับนับถือใครก็ให้การสนับสนุนเจ้า ดังนั้นระหว่างที่ข้า ตาย ไปนั้น เรื่องราวในเมืองเจนีสเหนือทุกประการขอให้อยู่ในการตัดสินใจของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ... ทั้งนี้ทั้งนั้นขอให้เจ้าคิดว่ากระทำเพื่อมารดาบนสรวงสวรรค์ก็แล้วกัน”
                    มือปราบไกโค้งกายคำนับผู้นำกองกำลังปลดปล่อยเจนีสคนปัจจุบัน กล่าวว่า “ข้า ไก คาร์เดลจะขอใช้ชีวิตตนเองปกป้องอิสรภาพของเมืองเจนีส ต่อกรกับอริราชทั้งปวงให้ถึงที่สุด”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×