ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #158 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 65.2 - สัมผัสมิอาจเลือน (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      0
      19 พ.ค. 51

    เสียงเคาะประตูดังขึ้นด้วยรหัสเหมือนเคย
                    บลูหยุดรออยู่ที่หน้าบ้านของเนรอสผู้เป็นสหายคนแรกในชีวิต ด้วยความคาดหวังว่าอย่างน้อยอาการบาดเจ็บของเนรอสก็น่าจะดีขึ้นกว่าเดิม สามารถเดินเหินได้จนมาเปิดประตูให้กับเขา มิใช่ต้องนอนนิ่งอยู่บนเตียงอย่างเช่นเคย ซึ่งนี่ก็นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บลูตัดสินใจร่วมเป็นร่วมตายกับกองกำลังปลดปล่อยเจนีสถึงเพียงนี้ ในใจของบลูยังคงมีความรู้สึกผิดลึกๆที่มีส่วนร่วมกับอาการบาดเจ็บของสหาย ในวันแรกที่เรื่องราวอันซับซ้อนนี้เริ่มก่อตัวขึ้น
                    ประตูห้องของเนรอสเปิดขึ้นจริงอย่างที่คาดโดยไม่มีเสียงกล่าวให้เดินเข้าไปเองอย่างเช่นครั้งก่อน แต่สิ่งที่รอคอยบุรุษหนุ่มผมน้ำตาลอยู่กลับมิใช่รอยยิ้มของสหายสนิท
                    มันกลับเป็นคมกระบี่!
    คมกระบี่ที่แทงทะลวงใส่คอหอยของบลูทันทีที่ประตูเปิด!            บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินไม่มีเวลาขบคิดมากนัก เอลในร่างชักนำกระบองวิสุทธิ์ศาสตราที่คาดไว้กลางหลังหมุนเข้ามาปัดกระบี่เล่มนั้นออกไปด้านข้างได้ทันควันโดยไม่ต้องใช้มือจับ นับเป็นดอกผลของการฝึกในห้วงแห่งนิมิตที่เป็นก้าวแรกของการควบคุมกระบองด้วยสัมผัสที่หก
                    แต่แล้วกระบองวิสุทธิ์ศาสตราที่ควบคุมด้วยเอลล้วนๆพลันร่วงหล่นลง บลูต้องใช้สองมือจับกระบองเพื่อรับกระบี่ในท่าถัดไป สาเหตุก็เป็นเพราะความไม่ต่อเนื่องของเอลในร่าง ที่มิอาจควบคุมกระบองได้เต็มอัตรา แต่เพียงเท่านี้บุรุษหนุ่มก็พึงพอใจกับผลงานที่กระทำได้ในเวลาที่ไม่คาดฝัน
                    กระบี่เล่มเดิมกลับตวัดจากล่างขึ้นบนในระยะใกล้ ปาดเข้าใส่ต้นแขนของบลูในมุมอันแยบคายอันเป็นจุดบอดของกระบองวิสุทธิ์ศาสตรา อาวุธยาวจะอย่างไรก็เกะกะขวางมือเท้าในระยะใกล้ แต่นั่นกลับมิใช่ปัญหาของเอลลิสหนุ่มผู้นี้ เขาพลันบรรจุเอลสองชนิดเข้าที่แร่เอลไลท์ปลายกระบอง ย่อขนาดยอดศัสตราวุธลงเหลือเพียงหนึ่งในสามวา ใช้มันตั้งรับท่ากระบี่ที่แยบคายได้สำเร็จ
                    จังหวะนี้เป็นโอกาสทองของบลูที่จะตอบโต้ ปลายกระบองวิสุทธิ์ศาสตราข้างหนึ่งปรากฏแสงสีแดงเพลิงขึ้น ตระเตรียมที่จะยิงประกายเพลิงออกในระยะหวังผล
                    “หยุดมือๆ มารดาเจ้าเถอะ จะเผาบ้านข้าให้วอดวายหรืออย่างไร?” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นเบื้องหน้า
                    บลูกลับหยุดมือลงจริงๆ กล่าวด้วยเสียงที่ประหลาดใจยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าของผู้ที่ถือกระบี่ว่า “เนรอส!? เจ้าหายจากอาการบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อใด?
    เนรอสเก็บกระบี่เข้าฝักรับสหายเข้ามาในห้อง พลางกล่าวว่า “ข้าเพียงแต่จะทดสอบฝีมือเจ้าสักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะรุดหน้าขึ้นถึงเพียงนี้ ทีแรกข้าคิดว่าจะสร้างความประหลาดใจให้เจ้าสักหน่อย แต่ที่ไหนได้มิเพียงเจ้าสามารถตีโต้กลับมาแล้วยังแทบจะเผาบ้านข้าไปเสีย”
    “มารดาเจ้าเถอะ ใครให้ใช้วิธีต้อนรับอย่างสิ้นคิดเช่นนี้ บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงวุ่นวายข้าจะคิดได้อย่างไรว่าเป็นเจ้าที่เหลืออยู่ครึ่งชีวิตลงมือทดสอบฝีมือข้า ... ว่าแต่เจ้ายังไม่ตอบคำถามเมื่อครู่”
    เนรอสยิ้มพลางผายมือให้สหายนั่งลงที่โต๊ะกลมกลางห้อง กล่าวว่า “อย่าพึ่งหัวเสียไป ... นั่งลงก่อน ข้าที่ฟื้นคืนฝีมือเป็นปกติแล้วพร้อมจะช่วยเหลือเจ้าในการศึกที่กำลังจะปะทุขึ้นทุกเมื่อ ที่เจ้าเห็นเป็นเช่นนี้ได้ก็เพราะได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์เดินทางผู้หนึ่งเมื่อไม่กี่วันหลังจากพบกับพวกเจ้า เป็นที่น่าแปลกที่ข้าเองก็ยังไม่ทราบว่าแพทย์ผู้นั้นมีนามว่าอะไร แต่วิชาการแพทย์นั้นจัดได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกับหมอเทวดา เพียงตรวจอาการโดยข้าไม่เอ่ยปากก็คาดเดาได้ว่าอาการบาดเจ็บมีสาเหตุมาจากอะไร หลังจากนั้นข้าก็รักษาร่างกายกินยาบำรุงตามที่แพทย์พเนจรระบุไว้ ผ่านไปราวสองอาทิตย์อาการก็ดีขึ้นจนแทบจะหายเป็นปกติเช่นนี้”
    บลูขบคิดถึงหมอวีแล้วกล่าวว่า “มีแพทย์เช่นนี้ด้วยหรือ เป็นจอมแพทย์วัยชราที่ดูแล้วมีสง่าราศีหรือไม่? เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้ามิได้ถามชื่อเขาไว้”
    เนรอสส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “มิใช่วัยชราแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มแน่น ข้าถามชื่อของเขาแล้วแต่ดูเหมือนแพทย์ผู้นั้นจะเร่งรีบไปทำอะไรสักอย่าง จึงเร่งรีบรักษาแล้วก็จากไปโดยมิได้บอกกล่าว อนาคตถ้ามีโอกาสอีกครั้งข้าคงต้องตอบแทนเขาอย่างงาม ... ว่าแต่ กระบองพิสดารนั่นเจ้าไปได้จากที่ใดมา แทนที่หอกยืดหดด้ามเก่าไปแล้วอย่างนั้นหรือ?
    บลูเห็นว่าเนรอสเป็นสหายสนิทที่ไม่จำเป็นต้องปิดบัง จึงเล่าเรื่องกระบองวิสุทธิ์ศาสตราให้โดยหมดสิ้น เว้นเสียแต่เรื่องราวที่เกี่ยวกับลัทธิแห่งฮัสการ์กับทายาทแห่งอาร์คาน่า เปลี่ยนเป็นเล่าเรื่องถึงเหตุการณ์ปัจจุบันและภารกิจที่เขาได้รับมอบหมายจากผู้นำการาดอสทดแทน พลางป้อนคำถามขอคำปรึกษาว่า “อีกไม่ถึงชั่วโมงหนึ่งจะมีการเจรจากับมาร์ควิสแห่งเบริลที่ตึกบัญชาการใหญ่ เจ้าพอจะรู้จักคนผู้นี้หรือมีข่าวอันใดเกี่ยวกับตัวเขาหรือไม่?
    “มาร์ควิสแห่งเบริล?” สื่อกลางข่าวสารแห่งกองกำลังปลดปล่อยเจนีสทวนคำ นิ่งขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “มาร์เวอริค เทล เบริลเลียเป็นนักคิดและนักวางแผนที่มีฝีมือสูงคนหนึ่งในราชอาณาจักรลาเวนดิส ตามศักดิ์โดยกำเนิดแล้วเขาเป็นถึงพระเครือญาติขององค์ราชินีมากาเร็ต ดังนั้นเรื่องนิสัยใจคอย่อมต้องติดกับความเป็นบุคคลชั้นสูง ที่ถือเรื่องเกียรติและมารยาทเป็นอันมากอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยอายุของเจ้ากับเขาสมควรที่จะเป็นอย่างน้อยก็พ่อลูกกัน ดังนั้นการเจรจาในครั้งนี้เจ้าต้องอ่อนน้อมเข้าไว้ ค่อยๆเจรจาในเชิงผลประโยชน์มากกว่าสิ่งอื่นใด สิงห์เฒ่าผู้นี้ชั้นเชิงทางการเมืองอยู่มากโข หาไม่แล้วคงไม่ได้รับความไว้วางใจจากองค์ราชินีจนได้รับพระราชทานตำแหน่งมาร์ควิส ปกครองสถานบันการศึกษาทรานซิลเบเรียที่โด่งดัง”
    บลูพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ข่าวจากนายกองบาลินว่า มาร์ควิสผู้นี้เพียงเป็นรองจากองค์ราชินีผู้เดียวสินะ”
    “หากเป็นบัดนี้ก็ใช่” เนรอสอธิบายต่อไปว่า “ในสมัยก่อนที่ดยุคเทเนอร์ เทล เดวารอสยังมีชีวิตอยู่นั้น ตำแหน่งมาร์ควิสย่อมต้องจัดเป็นอันดับสาม แต่หลังจากที่พระสวามีขององค์ราชินีมากาเร็ตตายไป ตำแหน่งดยุคที่มีอยู่คนเดียวจึงถูกเว้นว่างลงและมิอาจมีผู้ใดทดแทนได้”
    “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ายังมีคำแนะนำอื่นใดในการเจรจาครั้งนี้อีกหรือไม่?
    เนรอสกล่าวตามการวิเคราะห์ของตนว่า “คงจะไม่มีข้อเท็จจริงเป็นนัยสำคัญ สำหรับข้อคิดเห็นนั้นพอมีอยู่บ้าง ฟังจากที่เจ้าเล่ามาก็ทราบได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีทีท่าที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับพวกเรา ทหารห้าร้อยนายที่ส่งมานั้นดูยิบย่อยมากหากจะเทียบกับกองกำลังสองหมื่นเศษที่เรามี และเมื่อเทียบกับกองกำลังห้าหมื่นของฝ่ายตรงข้ามที่กำลังจะบุกเข้ามาถล่มประเทศเราเสียให้ราบ ยิ่งเรียกได้ว่าไร้นัยสำคัญเลยทีเดียว มารดามันเถอะ ประเทศลาเวนดิสย่อมต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความรุ่งเรืองของประเทศตนเองเป็นสำคัญ การที่จะประกาศสงครามนำทหารเข้าปะทะกับนอร์นั้นเป็นเรื่องโง่เขลายิ่ง โดยเฉพาะกับประเทศที่ไม่มีพรมแดนติดกันอย่างลาเวนดิสกับนอร์ รัฐอิสระเจนีสเราที่เป็นรัฐกันชนย่อมต้องรับความเสียหายเป็นอันดับแรก ดังนั้นทางลาเวนดิสยังคงมีเวลาอีกพักหนึ่งในการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมสงครามหรือไม่ เป็นหน้าที่ของเจ้าที่จะต้องหาหนทางระบุให้ได้ว่าการที่ยังคงมีรัฐเจนีสอยู่นั้นเป็นผลดีต่อราชอาณาจักรลาเวนดิสเพียงใด หาไม่แล้วหากทางลาเวนดิสต้องสูญเสียเจนีสอันเป็นรัฐกันชนไป ก็จะถือเป็นการสูญเสียทรัพยากรอันล้ำค่าอย่างเหมืองแร่เอลไลท์ให้กับฝ่ายศัตรูด้วย ในขณะที่ลาเวนดิสจะไม่มีโอกาสเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้อย่างที่เคยเป็น นับเป็นการสูญเสียสองขั้นจากมีเป็นไม่มีและจากไม่มีเป็นหยิบยื่นให้กับศัตรู และเมื่อถึงเวลานั้น เวอร์น่อนก็จะทำลายเมืองเจนีสเหนือใต้จนสิ้นซากแล้วประกาศสงครามกับลาเวนดิสอย่างเต็มตัว ทุกประการก็จะสายเกินไป”
    “คำกล่าวของเจ้ามีเหตุผลเหมาะสมยิ่งข้าคงจะใช้มันในการเจรจาได้ไม่มากก็น้อย สำหรับเรื่องของเจ้าต่อไปจะทำอย่างไร?” บลูถาม
    เนรอสใช้มือข้างหนึ่งตบอกของตนเอง ลุกขึ้นยืนพร้อมตอบว่า “เห็นทีสถานการณ์ของกองกำลังปลดปล่อยเราจะคับขันยิ่ง ข้าคงจะรุดไปยังเจนีสเหนือหาทางช่วยแม่ทัพมอริแกนและกุนซือราเมสรับมือฝ่ายตรงข้าม ส่วนเจ้ามีนายกองบาลินเป็นผู้ช่วยเหลือสมควรจะไม่มีปัญหาอันใด บุรุษผู้นี้จัดเป็นมือดีคนหนึ่งที่พึ่งพาได้”
    บลูลุกขึ้นตามถามว่า “จะไปเลยอย่างนั้นหรือ?
    เนรอสเตี้ยกว่าบลูอยู่เล็กน้อย เมื่อยืนสนทนากันจึงต้องแหงนหน้าคุยกัน พลันพยักหน้ากล่าวว่า “ข้าทนอุดอู้อยู่ในห้องนี้มาสามอาทิตย์กว่า บัดนี้ต้องออกไปยืดเส้นยืดสายเสียที ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนหากจะแตะต้องเมืองเจนีสแม้แต่ปลายคันนาข้าก็จะขับไล่มันให้กระเจิง”
    “เดี๋ยวก่อน” บลูฉุกคิดขึ้นมาได้ กล่าวว่า “ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง เมื่อครู่นายกองบาลินกล่าวถึงเรื่องของกระบี่ที่หนึ่งและสามของลาเวนดิส เจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าทั้งหมดนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร?
    เนรอสพยักหน้ากล่าวว่า “หากข้าไม่ทราบก็นับว่าโง่ดักดานเหมือนใครบางคนแถวนี้ กระบี่ทั้งสามของลาเวนดิสมีชื่อเสียงขจรไกลเทียบเท่ากับอัศวินดำของนอร์ ทั้งสามนั้นอยู่ภายใต้สังกัดของกองกำลังกริฟฟอนที่เป็นกองกำลังที่เข้มแข็งที่สุด กล่าวกันว่าอาศัยหนึ่งต้านรับสิบได้อย่างสบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองของมาร์ควิสมาร์เวอริคและบุตรชาย บารอนมาร์คัส เทล เบริลเลีย แต่ทั้งสองคนมิอาจสั่งการกองกำลังกริฟฟอนทั้งห้าพันนี้ได้ด้วยตนเอง ทุกประการต้องสั่งการผ่านกระบี่ที่หนึ่ง ผู้เป็นแม่ทัพของกองกำลังกริฟฟอนนี้มาตั้งแต่สมัยที่กองกำลังนี้ยังมิได้อยู่ใต้สังกัดของมาร์ควิสมาร์เวอริค”
    บลูถามต่อไปว่า “กระบี่ที่หนึ่งผู้นี้เป็นผู้ใด น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”
    “กระบี่ที่หนึ่งมีนามว่าโซโลมอน เซโอดอร์ จัดเป็นยอดฝีมือที่อย่างน้อยก็น่าจะมีฝีมือเทียบเท่ากับกุนซือราเมสหรือมือปราบไก บุคคลผู้นี้เติบโตมาจากชนชั้นรากหญ้าทั้งมีจิตใจดีงามและซื่อสัตย์สุจริต อาศัยฝีมือที่โดดเด่นสร้างผลงานมากมายจนกระทั่งได้รับตำแหน่งกระบี่ที่หนึ่งแห่งลาเวนดิส” เนรอสตอบเสร็จสิ้น พอเห็นบลูกำลังอ้าปากก็พลันกล่าวต่อไปว่า “เจ้าอ้าปากข้าก็เห็นลิ้นไก่แล้วว่าเจ้าจะถามถึงกระบี่ที่สองและสามใช่หรือไม่? กระบี่ที่สองมีนามว่าออสวอล โอเรล ปัจจุบันได้ถอนตัวออกจากตำแหน่ง เข้าไปอยู่ภายใต้สังกัดขององค์ราชินีในตำแหน่งราชหัตถเลขา กระบี่ทั้งสามแห่งลาเวนดิสจึงหลงเหลือเพียงสองคน คือกระบี่ที่หนึ่งโซโลมอนและกระบี่ที่สามโฮเซ่ เซอร์คอฟ กระบี่ที่สามนี้ดูเหมือนจะมีความจงรักภักดีต่อมาร์ควิสมาร์เวอริคและบารอนมาร์คัสเป็นพิเศษ รับหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ภัยตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่เคยห่างไกลจากสองพ่อลูกคู่นี้ หากไม่คุ้มกันคนหนึ่งก็ต้องอยู่คุ้มกันอีกคนหนึ่ง”
    “ข้าเชื่อแล้วว่าเจ้าเป็นนักการข่าวชั้นยอด หากสงครามเสร็จสิ้นข้าจะสร้างห้องสมุดหลังหนึ่งจับเจ้าใส่เข้าไปในนั้น ขนย้ายหนังสือออกมาให้หมด ตั้งชื่อว่าห้องสมุดพูดได้แห่งแรกในแผ่นดิน”
    “มารดาเจ้าเถอะ มีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ ไม่เช่นนั้นบิดาจะจากไปแล้ว” เนรอโวยวายเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำหยอกล้อของสหาย
    “ข้าคงไม่ต้องถามกระมังว่าเจ้าจะเข้าร่วมการประชุมในคืนนี้กับข้าหรือไม่?
    เนรอสส่ายศีรษะยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมื่อมีเจ้าเป็นตัวแทนในการเจรจาแล้วข้าจะอยู่ไปทำไม? เรื่องการสืบเสาะข้อมูลนั้นเป็นจุดเด่นของข้า แต่เรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นเป็นจุดเด่นของเจ้า” จากนั้นเนรอสก็ยื่นมือไปตบบ่าบลูครั้งหนึ่ง กล่าวว่า“ถนอมตัวด้วยสหาย อย่าตายง่ายๆล่ะ”
    “ข้านั้นกระดูกแข็งอยู่แล้ว เจ้าดูแลตัวเองให้ดีจะดีกว่า”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×