ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #14 : แยกแยะสถานการณ์ศึก (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.05K
      0
      10 ก.ค. 50

    แม่ทัพมอริแกนนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินกุนซือราเมสกล่าว เธอรู้อยู่แก่ใจว่าภัยจากภายในนั้นร้ายกาจกว่าภัยจากภายนอกหลายเท่านัก

    จากนั้นกุนซือราเมสหยุดกล่าวพักหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ใช้ความคิดชั่วขณะ เมื่อเขาเห็นทุกคนในที่ประชุมกำลังขบคิดอย่างหน้าดำคร่ำเครียดเขาจึงกล่าวต่อไปว่า "ดังนั้นเราจะต้องใช้แผนซ้อนแผน เพื่อทำการจับกุมเวอร์น่อนให้จงได้ ด้วยเงื่อนไขที่ว่าถ้าผู้ปกครองจอห์นและคาร์ลให้ความร่วมมือกับเรา ด้วยกำลังของพวกเขาทั้งสองจะวางแผนตั้งรับเวอร์น่อนได้ในนครหลวงนอร์โปลิสโดยไม่หนักหนากินแรง ภัยจากภายในที่ข้ากล่าวถึงจะแปรเปลี่ยนเป็นภัยจากภายนอกแทน จากการไม่ทันระวังตั้งตัวจะเปลี่ยนเป็นการเฝ้าระวังอย่างรัดกุม เช่นนี้โอกาสสำเร็จของเวอร์น่อนก็จะมีน้อยลงไปกว่าครึ่ง หรือถึงจะสำเร็จก็จะต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง ในขณะเดียวกันนั้นพวกเราก็ก่อการขึ้นที่เมืองเจนีสเหนือแห่งนี้ดั่งที่ท่านผู้นำการาดอสได้กล่าวไว้ ตัวเมืองที่เวอร์น่อนจะยึดจากสี่แห่งจะเหลือเพียงสองแห่ง เมื่อนอร์โปลิสและเจนีสเหนือต่างมีกองกำลังต่อต้านกำลังสนับสนุนของเวอร์น่อนก็จะเหลือเพียงเมืองแองเจลและเมืองโอดิน ซึ่งถ้าเทียบกับกองกำลังของเมืองนอร์โปลิสและเอเวอร์เกรซแล้วกำลังจากสองเมืองนี้ก็ไม่น่ากลัวอีกต่อไป จากนั้นกองกำลังของเราก็จะส่งสารขอเป็นพันธมิตรร่วมศึกไปหาผู้ปกครองจอห์นและคาร์ล เสนอถึงการเป็นพันธมิตรสามฝ่าย ใช้สามทัพโจมตีทั้งสองเมืองโดยพร้อมกัน กองทัพของเราโจมตีจากทางทิศใต้ กองทัพของท่านจอห์นโจมตีจากทางเหนือและกองทัพของท่านคาร์ลจากทางทิศตะวันออก ตัดการเชื่อมต่อระหว่างเมืองโอดินและเมืองแองเจลมิให้สนันสนุนซึ่งกันและกัน ตั้งค่ายปิดล้อมเมืองโอดินและแองเจลทั้งสองไว้ไม่ต้องสู้รบ ปล่อยให้เวลาผ่านไปหกเดือนหนึ่งปีเสบียงอาหารของทั้งสองเมืองก็จะหมดไป พวกเราก็จะสามารถยึดเมืองทั้งสองคืนมาได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด"

     แม่ทัพมอริแกนกล่าวว่า "แผนของกุนซือนั้นล้ำลึกยิ่งนัก แต่ข้ายังมีข้อกริ่งเกรงที่ว่าพวกเรากับผู้ปกครองจอห์นและคาร์ลต่างไม่มีความสัมพันธ์และการติดต่อใดๆต่อกัน ถ้าหากพวกเราส่งข่าวเช่นนี้ไปใครเขาจะยอมเชื่อ ทั้งว่าจะถือว่าเป็นข่าวปลอมคิดสร้างกระแสให้อาณาจักรนอร์ภายในแตกแยก อีกทั้งพวกเราก็เปรียบเสมือนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ในสายตาของพวกเขาคงจะคิดว่านี่เป็นแผนการที่พวกเราคิดขึ้นมาเพื่อหาโอกาสและจังหวะในการจู่โจมอาณาจักรนอร์"

    กุนซือราเมสยิ้มอย่างเต็มฝืนกล่าวตอบว่า "นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เราเป็นห่วงอยู่ในขณะนี้" พอเขากล่าวจบก็มองมาทางบลู ลูทและโรซาไลน์แล้วก็กล่าวต่อไปว่า "แต่พวกเรายังมีความหวังเหลืออยู่อีกสิ่งหนึ่ง"

    ผู้นำการาดอสเข้าใจทันทีจึงกล่าวว่า "ข้าเข้าใจความหมายที่ท่านกุนซือกล่าว สิ่งที่จะช่วยพวกเราได้ในตอนนี้เหลืออยู่เพียงหน่วยงานเดียว มิใช่สิ ถ้าจะกล่าวให้ถูกคือ คนๆเดียว"

    บลูจึงถามขึ้นมาว่า "ใครหรือท่านผู้นำ"

    การาดอสกล่าวตอบว่า "คนๆนั้นก็คือมือปราบไก มีเพียงแต่มีอปราบไกที่เป็นหน่วยงานอิสระสามารถเข้าถึงชนชั้นระดับผู้ปกครองและผู้ตรวจการได้ อีกทั้งเขายังมีอำนาจในการสืบสาวเรื่องทั้งหมดนี้ ถ้ามือปราบไกมิใช่คนบ้าปัญญาอ่อนเมื่อเห็นสมุดหลักฐานเล่มนี้จะอย่างไรก็ต้องระแคะระคายอยู่บ้าง ในเหล่ามือปราบชั้นหนึ่งทั้งสามมีแต่ไกเพียงคนเดียวที่อยู่ไม่ไกลจึงสามารถช่วยเหลือพวกเราได้ทันท่วงที โดยส่วนตัวข้าเองกับไกก็มีความรู้จักกันอยู่บ้าง ข้าเคยช่วยเหลือเขาทั้งทางตรงและทางอ้อมในการปราบปรามโจรผู้ร้ายทางภาคตะวันตกอยู่บ่อยครั้ง"

    กุนซือราเมสกล่าวเสริมว่า "แต่พวกเราไม่สามารถทำงานนี้ได้เอง"

    ลูทถามตัดบทว่า "ทำไมละท่านกุนซือ"

    กุนซือราเมสตอบว่า "เพราะพวกเราต้องเตรียมกำลังก่อการที่นี่ กองทัพมิสามารถขาดแม่ทัพได้ โดยเฉพาะกองทัพของพวกเราที่ต้องประสานงานใต้ดินข้ามเมือง ข้าถึงได้บอกว่าพวกเรามีความหวังเหลืออยู่เพียงสิ่งหนึ่ง นั่นคือน้องทั้งสาม"

    ทั้งสามได้ยินดังนั้นเลยตกใจอุทานขึ้นมาเป็นเสียงเดียวกัน

    กุนซือราเมสกล่าวต่อไปว่า "ทางกองกำลังปลดปล่อยเจนีสเราคงจะต้องไหว้วานน้องทั้งสาม ให้เป็นคนนกลางติดต่อกับมือปราบไก เพื่อให้มือปราบไกส่งข่าวถึงผู้ปกครองจอห์นและคาร์ล มิฉะนั้นทุกอย่างจะตกอยู่ในกำมือของเวอร์น่อน"

    การาดอสกล่าวเสริมว่า "แผนของท่านกุนซือถือว่าดียิ่ง ตัวข้าเองไม่อยากให้บุคคลที่กระหายสงครามครองอำนาจ เวอร์น่อนนับเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น ข้าไม่สามารถให้กุนซือราเมสและแม่ทัพมอริแกนจากไป งานดูแลกองทัพและเตรียมการฝึกทหารยังเหลืออีกมากเมื่อเทียบกับเวลาสิบห้าวันที่เหลือ ถ้าข้าจะใช้คนอื่นไปก็กลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายไปถึงหูคนอื่นหรือไม่ก็อาจจะเป็นไส้ศึกที่แฝงตัวเข้ามา ข้าคิดว่าคงจะไม่มีผู้ใดเหมาะกว่าพวกเจ้าทั้งสามอีกแล้ว พวกเจ้าทั้งสามเห็นว่าเป็นอย่างไร"

    บลูกล่าวว่า "เหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วจะให้พวกเรางอมืองอเท้าไม่ยอมช่วยเหลือได้อย่างไร แต่พวกเราไม่ทราบว่ามือปราบไกนั้นเป็นคนอย่างไรและในขณะนี้อยู่ที่ไหน เพียงแต่เคยเห็นภาพเหมือนครั้งหนึ่งเท่านั้น เกรงว่าถ้าไม่สามารถหาเขาให้พบภายในเวลาห้าวันจะไม่ทันการณ์ แล้วก็อีกอย่างหนึ่งข้าต้องการจดหมายจากท่านผู้นำเพื่อระบุถึงเรื่องนี้ หากพวกข้าทั้งสามไปแต่ตัวโดยที่ไม่มีหลักฐานจากบุคคลที่เชื่อถือได้ แทนที่มือปราบไกจะดำเนินการช่วยเหลือพวกเรา คงจะจับพวกเราเข้าคุกเข้าตารางเสียเป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นสถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่าที่คิด"

                    ผู้นำการาดอสกล่าวว่า "ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ ในเมื่อเจ้าสามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ถึงขนาดนี้ข้าก็วางใจ ข้ารับรองว่าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้เจ้า ในจดหมายจะกล่าวถึงเรื่องราวทั้งหมด โดยให้เจ้าส่งให้ถึงมือของมือปราบไกแต่เพียงผู้เดียว"

    แม่ทัพมอริแกนนึกอะไรได้จึงกล่าวว่า "เมื่อวันก่อนหน่วยลาดตระเวนของเราพึ่งจะพบร่องรอยของมือปราบไกที่เมืองเจนีสเหนือแห่งนี้ เขาเดินทางกลับมาจากภารกิจกวาดล้างกลุ่มโจรสุนัขป่าเพื่อเฉลิมฉลองกับกองมือปราบท้องถิ่นอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็เดินทางขึ้นเหนือไป ข้าคาดว่าเขาคงจะไปที่เมืองโอดิน หน่วยสอดแนมของเราเคยทำแผนที่ของเมืองโอดินเอาไว้อย่างละเอียด ข้าจะมอบแผนที่ซึ่งระบุที่พักของมือปราบไกที่เมืองโอดินให้แก่พวกเจ้า และจะนำทางให้พวกเจ้าไปสักพักหนึ่งจนถึงเมืองโอดิน เพื่อความปลอดภัยของพวกเจ้า แต่หลังจากนั้นข้าคงจะต้องกลับมาปฏิบัติภารกิจฝึกซ้อมการจู่โจมอยู่ที่นี่ ไม่สามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้"

    ลูทนึกถึงเรื่องรังโจรราเกซที่พวกเขาจะไปค้นหาอาวุธวิเศษที่ชื่อว่าวิสุทธิ์ศาสตรา เขาจึงกลัวว่าถ้าแม่ทัพมอริแกนไปด้วยแผนการนี้คงจะต้องล้มเลิกเสียเป็นแน่ จึงกล่าวว่า "ไม่เป็นไรหรอกท่านแม่ทัพ เพียงแค่วาดแผนที่ให้พวกเราก็เป็นอันใช้ได้แล้ว พวกเรามีความสามารถในการป้องกันตนเอง ขนาดอัศวินดำพวกเรายังเผชิญมาแล้ว ถ้าหากให้แม่ทัพเดินทางไปด้วย ก็จะมีโอกาสที่ฝ่ายตรงข้ามจะสังเกตออก แต่ถ้าเป็นพวกเราที่ไม่มีชื่อเสียงเรียงนามแล้ว ข้ารับรองว่าฝั่งตรงข้ามคงจะไม่ทันระวังตัวเป็นแน่"

    โรสกล่าวแย้งขึ้นว่า "แต่พวกเราก็เคยประมือกับอัศวินดำแล้วมิใช่หรือ ฝั่งนั้นก็อาจจะจำรูปพรรณสัณฐานของพวกเราได้เช่นกัน โดยเฉพาะบลูที่พวกมันเคยตามล่ามาก่อน"

    กุนซือราเมสกล่าวขึ้นว่า "เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง ทหารที่เฝ้าเมืองเป็นคนละกลุ่มกับทางอัศวินดำ พวกมันไม่สามารถจะนำรูปของพวกเจ้ามาประกาศจับได้ง่ายๆ เพราะเรื่องนี้เป็นการปฏิบัติการอย่างลับๆ ถ้าหากพวกมันสร้างเรื่องให้ลุกลามใหญ่โต อาจจะสะกิดความสงสัยของคนของผู้ปกครองคนอื่นๆได้ ทางเราควรจะมีกองกำลังที่เข้มแข็งเพื่อที่จะมั่นใจได้เกินสิบส่วนว่าสามารถยึดเมืองเจนีสเหนือได้จริง นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนี้ที่สำคัญไม่ด้อยกว่ากัน"

    แม่ทัพมอริแกนได้ยินกุนซือราเมสแยกแยะเช่นนั้นจึงตอบว่า "ถ้าเช่นนั้นข้าว่าข้าจะอยู่ฝึกทหารที่นี่เสียดีกว่า ข้าวางใจในความสามารถของน้องทั้งสาม" พอกล่าวจบแม่ทัพมอริแกนก็ลุกขึ้นกล่าวต่อไปว่า "ข้าจะไปเตรียมแผนที่และเสบียงให้กับพวกเจ้า ขอตัวก่อน"

                    พอแม่ทัพมอริแกนเดินจากไป บลูจึงถามว่า "พวกท่านพอจะมีข้อมูลของอัศวินดำบ้างไหม พวกเราประมือกับพวกมันมาสองครั้งด้วยกันแต่นับว่าตึงมือเป็นอย่างมาก พวกเราเพียงปะทะกับอัศวินดำสองคน คนหนึ่งชื่อว่าหอกทมิฬโทมัสและอีกคนหนึ่งชื่อว่าพัดฟ้าดินลีโซลมี ข้าเคยสอบถามเรื่องนี้กับเนสแล้วครั้งหนึ่ง เขาเล่าให้พวกเราฟังถึงอัศวินดำอีกสองคนที่มีฉายาว่าศรพิฆาตเอริคและกระบี่ดำทานากะ"

    ผู้นำการาดอสได้ยินบลูถามจึงกล่าวว่า "นับว่าพวกเจ้ามีฝีมือไม่เลวถึงรอดพ้นจากอัศวินดำมาได้ หากพวกเจ้ารอดมาด้วยโชค ก็ต้องนับว่าดวงแข็งหรือชะตาไม่ถึงฆาตจริงๆ น้อยครั้งนักที่อัศวินดำลงมือแล้วจะไม่ประสบผลสำเร็จ"

    โรซาไลน์ได้ยินเช่นนั้นก็นึกในใจว่า 'ที่พวกเรารอดมาได้นับว่าโชคดียิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งติดกันสองครั้งเสียอีก' แต่เธอมิได้กล่าวออกไป

    การาดอสกล่าวต่อไปว่า "พวกเจ้าคงจะทราบอยู่แล้วว่าอัศวินดำเป็นเสมือนหน่วยงานลับของอาณาจักรนอร์ หัวหน้าของอัศวินดำมีฉายาเซเบอรอส ชื่อจริงของมันคือวานเตสเป็นลูกชายแท้ๆของเวอร์น่อน ด้วยเหตุนี้เวอร์น่อนถึงสามารถบงการหน่วยรบพิเศษอัศวินดำนี้ได้ราวกับแขนขาของมันเอง"

    กุนซือราเมสเล่าเสริมว่า "อัศวินดำมีวิธีการคัดคนแบบพิเศษ พวกมันจะเลือกคนจากหน่วยต่างๆของอาณาจักรนอร์ เว้นเสียแต่คนจากกองมือปราบ โดยเว้นที่ว่างให้มือปราบชั้นหนึ่งให้ถ่วงดุลซึ่งกันและกัน พวกมือปราบชั้นหนึ่งทั้งสามคนมีตำแหน่งเท่าเทียมกับอัศวินดำ หนึ่งในนั้นก็คือมือปราบไกที่พวกเจ้ากำลังจะไปหา ฝ่ายหนึ่งเปิดเผยอีกฝ่ายหนึ่งเร้นลับ อัศวินดำสองคนที่พวกเจ้าพบจัดว่าเป็นอันดับที่เจ็ดและแปดของอัศวินดำเท่านั้น เรียกได้ว่าฝีมือยังเป็นรองเซเบอรอสหัวหน้าหน่วยอัศวินดำอย่างเทียบกันไม่ได้"

    ลูทได้ยินเช่นนั้นก็กลืนน้ำลายลงไปหนึ่งอึก ขนาดฝีมืออันดับเจ็ดและแปดพวกเขายังแทบเอาตัวไม่รอด นับประสาอะไรถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับอันดับต้นๆของอัศวินดำ

    กุนซือราเมสกล่าวต่อไปว่า "ส่วนกระบี่ดำทานากะนั้นจัดอยู่ในอันดับหก คนผู้นี้เป็นนักฆ่าที่ลงมือในจังหวะที่เหยื่อไม่ทันระวังตัว เขาเป็นนักลอบสังหารชั้นยอด สามารถลอบสังหารบุคคลที่มีฝีมือสูงกว่าได้สำเร็จมาหลายรายแล้ว แต่ที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั่นก็คือศรพิฆาตเอริค เขาเป็นชายผิวดำร่างยักษ์มีฝีมือการยิงธนูน่ากลัวมาก มีข่าวลือว่าเขาสามารถใช้อาวุธชนิดอื่นได้อีกนอกจากธนูที่ใช้ยิงจากระยะไกล หากแต่ว่าไม่มีคนรอดชีวิตจากอาวุธชนิดอื่นมาเปิดเผยให้กับคนอื่นๆได้รับรู้ พวกเจ้าต้องไม่ประมือกับมันผู้นี้เป็นอันขาด เอริคคนนี้ดำรงตำแหน่งที่สามในกลุ่มอัศวินดำ"

    บลูนึกถึงเนสขึ้นมาทันที บัญชีของศรที่เอริคยิงใส่เพื่อนของเขาจะไม่มีวันลบเลือนเป็นอันขาด ถึงแม้ว่ากุนซือราเมสจะตักเตือนก็เถอะ จะอย่างไรเขาก็อยากจะพิสูจน์ฝีมือสักครั้ง


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×