ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #135 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 66.1 - ล้อมบ้านตระกูลหลิว (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 878
      1
      5 เม.ย. 51

    ทันใดที่แสงสีทองสว่างวาบ สัญลักษณ์แปลกตาที่หลังมือซ้ายพลันปรากฏ บุรุษหนุ่มหลุดออกจากวงล้อม ทะลวงออกจากผนังบ้านที่ทำด้วยไม้ ใช้สองมือขยับร่างนางงามให้หลบรอดไปจากลูกดอกอย่างเหลือเชื่อ
                    คำถามที่ว่า “เป็นไปได้อย่างไร!?” บังเกิดขึ้นในใจทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์
                    คำตอบที่ว่า “ไม่ทราบ” ล้วนเป็นคำตอบเดียวที่ทุกคนอธิบายคำถามนั้นได้
                    แม้แต่ตัวบุรุษหนุ่มเองก็ยังไม่ทราบ! แล้วผู้อื่นจะทราบได้อย่างไร?
                    ทราบไม่ทราบอีกเรื่องหนึ่ง แต่การเอาตัวรอดจากวินาทีคับขันเป็นตายนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง บุรุษหนุ่มกระโดดขึ้นควบขับม้าตัวที่หญิงสาวนั่งอยู่ เขวี้ยงกระบองไม้เข้าใส่มือปราบที่ถือหน้าไม้อยู่เบื้องนอก กระตุ้นม้าเร่งความเร็วออกไปก่อนที่ทหารหรือมือปราบหน่วยอื่นจะตามมาทัน
                    ทั้งสองจำต้องหนีออกไปโดยที่มิได้ผ่านการปลอมแปลงโฉม แต่กลับเป็นรินะที่ช่วยเหลือลูทและยูกิให้รอดพ้นจากการตามล่าที่ไม่มีวันสิ้นสุด เสียงครืนดังมาจากทางใต้เมื่อกระแสน้ำขนานใหญ่ทะลักเข้ามา วารีรุนแรงไหลหลากท่วมทุ่งนาและแปลงเกษตรบริเวณพื้นที่ต่ำจนสูงระดับหัวเข่าโดยฉับพลัน ส่งผลให้เหล่าทหารและกองปราบยากที่จะตามมาได้ ในขณะที่ลูทใช้ไหวพริบกระตุ้นม้าให้วิ่งไปตามพื้นที่ที่เป็นแนวเนินซึ่งสูงกว่าระดับน้ำอยู่บ้าง แต่มิได้เป็นอุปสรรคต่อการควบขับอาชาแต่อย่างใด
                    ขณะที่หนีขึ้นม้ามาได้ระยะหนึ่ง ยูกิก็เอ่ยปากว่า “เมื่อครู่เจ้าทำได้อย่างไร? อยู่ๆก็ทะลวงออกจากผนังบ้านมาปรากฏตรงหน้า ช่วยให้ข้าหลบพ้นลูกดอกนั่นโดยที่ไม่มีทีท่าใดๆมาก่อน อีกทั้งสัญลักษณ์แห่งเอลที่มือซ้ายของเจ้า ข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน”
                    “ขออภัยที่มิอาจตอบคำถามของเจ้าได้ ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกัน” บุรุษหนุ่มสารภาพพร้อมเล่าต่อไปว่า “ครั้งก่อนที่ต้องประมือกับผู้ตรวจการพาโบลก่อนที่จะขึ้นไปช่วยเจ้า แสงสีทองเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง บลูเคยถามคำถามเช่นเดียวกับเจ้าเมื่อครั้งที่เห็นแสงสีทองและสัญลักษณ์บนหลังมือซ้ายเช่นเดียวกับเจ้านี้”
                    นางงามกล่าวด้วยความสงสัยว่า “ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองอย่างนั้นหรือ? แน่ใจหรือว่าสัญลักษณ์แห่งเอลในครั้งนั้นก็ปรากฏขึ้นที่หลังมือแบบนี้”
                    ลูทพยักหน้าพร้อมมองดูที่หลังมือตนเอง เห็นสัญลักษณ์แห่งเอลจางๆก่อนที่มันจะเลือนหายไป กล่าวว่า “ไม่ผิด ทั้งบลูและรินะสามารถเป็นพยานยืนยันได้ แต่ครั้งนี้กลับผิดจากครั้งก่อนอยู่บ้าง ที่สัญลักษณ์แห่งเอลมันอยู่นานกว่าเดิมเล็กน้อย จนถึงเมื่อครู่นี้ยังพบเห็นรอยจางบนหลังมือ”
                    “ถ้าเช่นนั้นคงไม่ผิดพลาดแน่ เจ้าต้องมีสายโลหิตที่สืบทอดคุณลักษณะของเอลบางอย่าง เพียงแต่ความสามารถนั้นยังมิได้ตื่นขึ้นมาจากตัวเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ” ยอดหญิงยูกิกล่าวด้วยความมั่นใจ
                    บุรุษหนุ่มที่ควบขับม้าอยู่เบื้องหน้ากล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้มั่นใจปานนั้น? ฟังจากน้ำเสียงราวกับว่าเคยพบพานเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน”
                    ยอดหญิงยูกิยิ้มพลางกล่าวว่า “ไม่ผิด ข้าพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนอยู่จริง สัญลักษณ์แห่งเอลที่ปรากฏขึ้นบนกายจะแสดงให้เห็นอยู่เพียงชั่วพริบตาในครั้งแรก และจะค่อยๆคงทนถาวรขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อครั้งที่เจ้าควบคุมมันได้ สัญลักษณ์เหล่านี้จะปรากฏขึ้นมาทุกครั้งที่ผ่านขั้นต่อการสื่อสารกับเอล”
                    “เจ้าพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าในหลักสูตรที่จะต้องเรียนรู้ก่อนที่จะเข้าประลองในงานทดสอบการเป็นยอดหญิงมีสอนไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแสดงว่าความรู้ของเจ้านี้มีมากมายมหาศาล ถึงกับทำให้ข้าดูเหมือนเป็นลาโง่งมตัวหนึ่ง” ลูทกล่าวตอบด้วยความสงสัยว่ายอดหญิงนางนี้มีความรู้เหล่านี้ได้อย่างไร ทั้งๆที่บลูสหายสนิทที่ชื่นชอบศาสตร์แห่งเอลเป็นชีวิตจิตใจ กลับไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้สักนิดหนึ่ง
                    “เป็นไปได้อย่างไรที่ลาโง่งมสามารถประดิษฐ์สิ่งของได้ในระดับนี้ หลักวิชาการที่ใช้ในการประลองอาร์คาน่าก็มิได้มีเรื่องเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ข้านั้นเรียนรู้เรื่องเหล่านี้จากตัวของข้าเอง โปรดลองดูสิ่งนี้” กล่าวจบยอดหญิงยูกิก็พริ้มตาสื่อสารกับเอลแห่งธาตุไม้ในร่าง ปรากฏเป็นสัญลักษณ์แห่งเอลธาตุไม้บริเวณหัวไหล่เหนือต้นแขน ส่องออกมาเป็นสีน้ำตาลด้านในแขนเสื้อ แม้มองจากด้านนอกยังเห็นเป็นเส้นขีดที่ร่างจากแสงระเรื่อๆ
                    ลูทอุทานขึ้นดังอา กล่าวว่า “ข้าลืมนึกไปว่าเจ้าก็เป็นหนึ่งในผู้ที่มีสายเลือดระดับสอง เช่นนี้คุณสมบัติที่ข้าใช้ออกเมื่อครู่อาจเป็นเอลระดับสองของธาตุใดธาตุหนึ่งก็เป็นได้”
                    ยูกิพลันส่ายหน้าอย่างไม่แน่ใจ กล่าวว่า “เรื่องนี้ข้ามิอาจจะยืนยันได้ พวกเราต่างทราบดีว่าเอลระดับสองนั้นมีด้วยกันอยู่สี่ธาตุ นั่นคือไม้ โลหะ น้ำแข็งและสายฟ้า ซึ่งมีสีประจำธาตุก็คือน้ำตาล เงิน น้ำเงินและส้ม ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีเอลระดับสองสักธาตุหนึ่งที่มีแสงของเอลเป็นสีทองดั่งเช่นที่มือซ้ายเจ้าเมื่อครู่ สัญลักษณ์แห่งเอลที่ปรากฏนั้นรับรองได้ว่าแตกต่างไปจากเอลระดับสองทั้งสี่ อีกทั้งความสามารถของเอลระดับสองไม่มีธาตุใดที่กระทำการเช่นเจ้าเมื่อครู่ได้ หากจะบอกว่าคล้ายเอลชนิดใด ก็ต้องบอกว่าคล้ายเอลที่เจ็ดมากที่สุด ด้วยเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีสายเลือดระดับสอง”
                    บุรุษหนุ่มคิดตามคำกล่าวของหญิงสาว ตนเองก็เห็นพ้องต้องกันจึงกล่าวว่า “หากคิดในมุมมองของเจ้าแล้วโอกาสที่ข้าจะเป็นผู้ที่มีสายเลือดระดับสองนั้นเรียกได้ว่าน้อยกว่าน้อย แล้วก็วนกลับมาที่ปัญหาเดิม คำถามเดิม นั่นคือเอลสีทองเมื่อครู่นั้นคืออะไร?
                    “เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา” ยอดหญิงผู้รอบรู้กล่าวยอมรับโดยดุษฎี
                    ลูทส่ายศีรษะคราหนึ่งกล่าวว่า “ช่างประไร สักวันหนึ่งก็ต้องมีผู้ที่หาคำตอบได้เอง หาไม่แล้วข้าอาจต้องไปถามอาจารย์ดาธหรือไม่ก็อาจารย์คาโรลดูสักครั้ง ให้ช่วยอธิบายว่าเอลสีทองนี้คืออะไร”
    เมื่อได้ยินเสียงตอบดังอืมของหญิงสาวที่อยู่ด้านหลัง จึงกล่าวต่อไปว่า “ว่าแต่เจ้านั้นสังกัดตระกูลแห่งไม้อย่างนั้นหรือ? เหตุใดถึงได้มาเป็นยอดหญิงเช่นนี้ อีกทั้งรินะที่เป็นน้องสาวเจ้ากลับมิอาจใช้เอลธาตุไม้ที่เป็นเอลระดับสองได้เช่นเดียวกัน?
    ยูกิกล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ข้ามิใช่คนแห่งตระกูลมู่หรอก”
    “ตระกูลมู่อันใด? ข้าไม่เห็นเคยได้ยิน”
    “เจ้าไม่รู้จักสี่ตระกูลของเอลระดับสองหรอกหรือ?” เมื่อยอดหญิงเห็นบุรุษหนุ่มที่กุมบังเหียนอยู่ด้านหน้ายักไหล่คราหนึ่ง จึงกล่าวอธิบายว่า “ตระกูลของเอลระดับสองมีด้วยกันทั้งหมดสี่ตระกูล ซึ่งในปัจจุบันหลงเหลือเพียงสามตระกูล อย่างที่ทราบกันดีว่าตระกูลที่หายไปนั้นคือตระกูลคาร์เดลแห่งธาตุน้ำแข็ง ที่มีต้นตออยู่ที่เมืองเจนีสเหนือก่อนช่วงสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน เกือบทั้งหมดถูกกวาดล้างไปกับกองทหารเจนีสนับหมื่นในสงครามครั้งนั้น หลงเหลือมือปราบไกสหายสนิทของเจ้าเป็นผู้สืบทอดแต่เพียงผู้เดียว
    ส่วนอีกสามตระกูลนั้นมีตระกูลชไวน์แห่งธาตุสายฟ้า ซึ่งสังกัดอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ของจักรวรรดินอร์ปัจจุบัน หยั่งรากลึกแฝงอิทธิพลมากมายอยู่บริเวณนครหลวงนอร์โปลิส โดยมีประมุขชื่อว่าทาลอสกับบุตรชายนามซิฟเฟอร์ ที่เจ้ารู้จักดีในฐานะของสายวิชชุสีโลหิตผู้เป็นอันดับสี่ในหมู่อัศวินดำ
    ตระกูลมู่แห่งธาตุไม้สังกัดอยู่ที่เขตปกครองพิเศษโอเบรอน ที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของสาธารณรัฐเอนเซล คาบเกี่ยวกับเขตตะวันออกของราชอาณาจักรลาเวนดิส มีผู้นำตระกูลอายุร่วมร้อยปีนามว่ามู่จื้อ กล่าวกันว่าเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจอีกผู้หนึ่งในแผ่นดิน
    ส่วนตระกูลสุดท้ายเจ้าอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นคือตระกูลซิลเวอร์แซนด์แห่งธาตุโลหะ ประมุขของตระกูลปกครองเมืองซิลเวอร์แซนด์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของแหลมลาเวนดิส ซึ่งชื่อเมืองก็ได้มาจากตระกูลแห่งนี้ ทั้งตระกูลขึ้นตรงกับราชอาณาจักรลาเวนดิส ราชินีมากาเร็ตทรงวางพระทัยในตัวของลูเชียส ซิลเวอร์แซนด์ผู้เป็นประมุข ถึงขนาดอวยยศให้เป็นมาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์ มีศักดิ์รองจากดยุคผู้ที่เป็นพระสวามีผู้ล่วงลับของนางเพียงพระองค์เดียว”
    “ข้ายังไม่เข้าใจอยู่บ้าง ที่เจ้าอธิบายมาเสียยืดยาว แต่กลับมิได้อธิบายว่า เหตุใดเจ้าถึงใช้ชื่อสกุลอาเมดะ มิใช่สังกัดตระกูลมู่อย่างคนอื่นเขา?
    “ข้า ...” ขณะที่ยอดหญิงจะกล่าวอันใด แนวกำแพงยาวที่เป็นที่ตั้งของประตูฝั่งตะวันตกก็ปรากฏสู่สายตา
    บุรุษหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงจึงกล่าวว่า “เก็บไว้สักครู่ก่อน เรื่องนี้เอาไว้ค่อยสนทนากันหลังจากผ่านประตูนี้ไปก็แล้วกัน รีบลงจากหลังม้าเสียเถิด พวกเราต้องปลอมตัวเป็นชาวบ้านสองสามีภรร ...”
    “พี่น้องชนบท เจ้าจำมิได้แล้วหรือไร?” ยอดหญิงยูกิกล่าวตัดบทขึ้นมาพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ พลางค้อนให้เขาทีหนึ่งกล่าวว่า “ตัวเลวร้าย” คำหนึ่งแล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป
    บุรุษหนุ่มหัวเราะด้วยความเบิกบานใจยิ่ง ราวกับว่าเมื่อครู่มิได้ผ่านการต่อสู้อาบเลือดมาครั้งหนึ่ง ไม่ว่าดอกรักเจริญงอกงามในที่ใด แม้ในช่วงเวลาแห่งเพลิงสงครามมันก็สามารถผลิบานได้งดงามมิต่างกัน
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×