ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #126 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 64.1 - สัญญาระหว่างเรา (3)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 893
      1
      24 มี.ค. 51

    ธอร์เป็นแคว้นที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือสุดของสาธารณรัฐเอนเซลติดกับนอร์ทางตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีประชากรมากเป็นอันดับสองรองจากนครหลวงเอนเซลเลียร์
                    เมื่อคนผู้หนึ่งก้าวย่างผ่านซุ้มประตูเมืองรูปโค้งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของชาวเอนเซลเข้าไปในเมืองธอร์ แล้วไม่เห็นภูเขาหินตั้งอยู่บริเวณใจกลางเมืองแสดงว่าคนผู้นั้นเป็นพิการทางสายตา ชาวเมืองธอร์ทั้งหลายปลูกบ้านเรือนอยู่รอบภูเขาลูกนี้ ภูเขาเหมืองแร่ที่เป็นต้นเหตุแห่งความเจริญของแคว้นธอร์ ในมุมกลับกันการที่มองจากบริเวณซุ้มประตูเมืองจะเห็นว่าภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาที่สูงใหญ่ แต่ภูเขาในระดับนี้มิอาจนำไปเปรียบกับเทือกเขาแถบเมืองแองเจลได้แม้แต่ส่วนเสี้ยว
    รินะมองภูเขาที่อุดมไปด้วยแร่เอลไลท์ผ่านช่องหน้าต่างในบ้านพัก ในขณะที่พี่สาวของนางกำลังให้การดูแลศิษย์พี่อยู่ข้างเคียง สถานที่แห่งนี้เป็นทั้งบ้านพักและที่ทำงานของยอดฝีมืออาวุโส สาเหตุที่เรียกว่าเป็นที่ทำงานเนื่องจากสถานที่แห่งนี้สามารถแบ่งออกบ้านสองหลัง เชื่อมติดกันด้วยสะพานไม้ที่ทอดจากชั้นสองของหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง บ้านหลังที่รินะยืนอยู่นี้มีห้องนอนสามห้องและห้องโถงอีกหนึ่งห้อง ส่วนบ้านอีกหลังหนึ่งมิใช่บ้านพักแต่เป็นโรงตีเหล็ก เป็นเรื่องน่าแปลกที่คนผู้หนึ่งมีโรงตีเหล็กซึ่งมิได้เปิดทำการค้าขายเอาไว้ในบ้านของตนเอง
                    รินะทราบดีว่าอาการเช่นนี้เคยเกิดกับศิษย์พี่ของตนมาแล้วครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นอาการของพิษผีเสื้อสีครามที่กำเริบขึ้น อาการในครั้งนี้อาจมีผลมาจากการที่ลูทใช้ปากดูดเอาพิษออกจากตัวยูกิ ทำให้พิษร้ายแล่นเข้าสู้ร่างเพิ่มเติม ผีเสื้อสีครามเป็นพิษกำเริบช้าจึงไม่น่าแปลกที่อาการมาปรากฏเอาในอีกห้าวันให้หลัง โดยเฉพาะในวันนี้ที่เขาถูกกระแทกได้รับบาดเจ็บบอบช้ำ ภูมิต้านทานภายในจึงลดต่ำลงกว่าปกติ เปิดช่องให้พิษผีเสื้อสีครามกำเริบขึ้นได้ สาเหตุที่ชะตาลูทไม่ถึงฆาตในทันทีเป็นเพราะส่วนหนึ่งมาจากการที่เคยได้รับพิษชนิดเดียวกันมาก่อน จึงมีภูมิต้านทานตามธรรมชาติบางส่วน และอีกส่วนหนึ่งมาจากการช่วยเหลือที่ทันท่วงทีของเฒ่าชรา สะกัดจุดปิดกั้นโลหิตเสียมิให้ไหลย้อนเข้าสู่หัวใจ บังคับให้อาเจียนโลหิตสีดำที่เหลือออกมาจนสิ้น
                    เสียงเปิดประตูดังขึ้นพร้อมเสียงกล่าวจากเฒ่าชราว่า “เจ้าหนุ่มฟื้นแล้วหรือไม่?
                    ยูกิที่รับหน้าที่พยาบาลมาถึงสองชั่วโมงเต็มส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ กล่าวว่า “ร่างกายของเขาอ่อนแอจากการสูญเสียโลหิตเป็นอันมาก ทั้งได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้และจากพิษร้ายพร้อมกัน ขอบคุณผู้อาวุโสมากที่ช่วยสหายของข้าไว้”
                    “เจ้าไม่ต้องมาขอบคุณข้า หากจะอยากจะกล่าวขอให้ขอบคุณชะตาของมันเองเสียดีกว่า ที่ครอบครองกระบี่เล่มนั้น” ชายชรายังคงกล่าวตอบด้วยความเย็นชา เหมือนมิได้เดือนร้อนสักนิดหากลูทจะอยู่หรือตาย
                    รินะเดินไปที่โต๊ะด้านข้างหยิบกระบี่เขี้ยวราชสีห์ที่อยู่ในฝักสีดำขึ้นมากล่าวว่า “กระบี่? ท่านผู้อาวุโสหมายถึงกระบี่เล่มนี้อย่างนั้นหรือ?
                    เฒ่าชราสติฟั่นยังคงนิสัยดังเดิม มิได้ฟังคำกล่าวของผู้อื่น กล่าวแต่ในความคิดของตนออกมาว่า “เสียทีที่เป็นหน้าตาของข้าแต่ฝีมือกลับไม่เอาเรื่องเสียเลย แค่เพียงเอาตัวรอดจากการต่อสู้ยังกระทำมิได้แล้วจะเป็นตัวแทนของข้าได้อย่างไร?
                    ยูกิเองก็จับต้นชนปลายไม่ถูก ด้วยสติปัญญาของนางเห็นว่าการกล่าวตรงไปตรงมาคงมิอาจเบี่ยงเบนความสนใจของชายชราผู้นี้ได้ จึงขบคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ตัวแทนของท่านผู้อาวุโสฝีมือไม่เอาอ่าวหรืออย่างไร? ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแสดงว่าผู้อาวุโสไม่มีฝีมือในการอบรมสั่งสอนหรือมิใช่?
                    ประโยคเมื่อครู่ราวกับการราดรดน้ำมันลงบนกองเพลิง เฒ่าชราสติฟั่นโวยวายว่า “หุบปากเสีย เจ้าอายุเท่าใดกันเชียวมีสิทธิ์มาสั่งสอนข้าที่อาบน้ำร้อนมาก่อน มิหนำซ้ำบุรุษหนุ่มหน้าโง่นี่ยังไม่เคยร่ำเรียนวิชาที่ข้าสั่งสอนสักนิด นอกเสียจากถือกระบี่ของข้าไปวันๆ แสดงความอ่อนแอให้ผู้คนรับรู้”
                    ขณะนี้ลูทเริ่มรู้สึกตัวและได้ยินคำสนทนาบ้างแล้ว ถึงกับสะท้านใจเล็กน้อยเมื่อทราบว่าชายชราเป็นผู้สร้างเขี้ยวราชสีห์ พอยูกิเหลือบไปเห็นก็แสดงสัญญาณมือพร้อมกับยักคิ้วหลิ่วตา เป็นเชิงว่าให้นอนหลับต่อไปอย่าพึ่งลุกขึ้นมาในตอนนี้ ปล่อยให้การสนทนาเป็นหน้าที่ของนาง
                    เมื่อยูกิพอจะจับจุดของเฒ่าชราผู้นี้ได้จึงค่อยๆหาคำพูดหลอกล่อ บังคับให้เฒ่าชราสติฟั่นเปิดเผยความจริงมากขึ้น จึงกล่าวว่า “เรื่องอายุข้าคงมิอาจเถียงว่าอายุมากกว่าท่าน แต่ผู้อาวุโสไม่เคยได้ยินวลีของคนโบราณมาบ้างหรือ? ที่ว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน เช่นนี้ต่อให้ผู้อาวุโสอายุมากกว่าร้อยปี ก็มิอาจดูถูกดูแคลนเด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบอย่างข้าได้ ถ้าหากข้ามีความสามารถมากกว่าผู้อาวุโส”
                    เฒ่าชราที่มีริ้วรอยเต็มใบหน้าจ้องเขม็งมาที่สตรีผู้เลอโฉม กล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถอันใดที่มากกว่าข้า? จงแสดงออกมาให้ดูข้าถึงจะยอมรับนับถือ”
                    ยูกิได้ยินเช่นนั้นก็มั่นใจว่ายอดฝีมือชราผู้นี้ติดกับ จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือข้าหรอก อาศัยน้องสาวที่อายุน้อยกว่าสองปีก็เพียงพอแล้ว ท่านผู้อาวุโสจะทราบอาการของพิษร้ายที่อยู่ในตัวสหายของข้าหรือไม่? ลองให้น้องสาวข้าอธิบายดูก่อนเป็นอย่างไร?
                    เฒ่าชราหันขวับมาทางรินะดูว่าสตรีผู้นี้จะมีความสามารถเพียงใด
                    รินะเองมีเชื้อสายเดียวกันกับยูกิผู้เป็นถึงยอดหญิง จะมีหรือที่สติปัญญาระดับนี้จะไม่รู้ว่าพี่สาวตนเองต้องการอะไร? จึงเดินเข้าไปใกล้ลูทพร้อมกล่าวว่า “พิษชนิดนี้เรียกว่าผีเสื้อสีคราม ฉาบอยู่บนศัตราวุธที่เรียกว่ามีดผีเสื้อสีครามตรงตามกับชื่อพิษ มีอาการกำเริบช้าเป็นคุณสมบัติเด่น แต่เมื่อพิษนั้นกำเริบแล้วจะแล่นตรงเข้าสู่หัวใจ หากมิได้รับการช่วยเหลือในทันทีจะถึงแก่ชีวิตภายในชั่วก้านธูป”
                    เฒ่าชราหัวเราะฮาๆแล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมีความรู้ของเรื่องผีเสื้อสีครามเพียงนี้ แต่เจ้าที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมริอาจจะมาสอนจระเข้อย่างข้าให้ว่ายน้ำก็ยังเร็วเกินไป ศัตราวุธที่เจ้ากล่าวถึงข้าเป็นคนสร้างมากับมือ เหตุใดข้าจะไม่ล่วงรู้ความนัย อีกทั้งยังสามารถสาธยายส่วนประกอบในตัวน้ำพิษที่เคลือบอยู่บนมีดสั้นได้อีกด้วย เจ้าแพ้แล้วเด็กน้อย” กล่าวจบก็หัวร่อฮาๆด้วยความสาสมใจ
                    ทั้งยูกิและรินะเองก็ทึ่งในคำตอบของเฒ่าชรา ที่รู้ว่าไม่เพียงเขาเป็นผู้สร้างกระบี่เขี้ยวราชสีห์แล้วยังเป็นผู้สร้างมีดผีเสื้อสีครามอีกด้วย แต่ก็ต้องถูกตอกกลับมาด้วยข้อเท็จจริงที่มิอาจหักล้างได้
    ยูกิจึงใช้ไหวพริบปฏิพานระดับยอดหญิง หาคำพูดใหม่มาหนุนเสริม ความคิดพลางแล่นไปถึงเมื่อคราวที่นางทุ่มเททักษะพยาบาลลูทอยู่บนเรือสำราญ จึงยิ้มที่มุมปากแล้วกล่าวว่า “ที่ท่านผู้อาวุโสกล่าวมานั้นถูกต้องข้ามิอาจเถียง แต่ใครว่ากันว่าในร่างกายของสหายข้ามีพิษอยู่เพียงชนิดเดียว? หากท่านผู้อาวุโสลองจับชีพจรของเขาดูจะพบว่าภายในตัวมีพิษอยู่สองชนิด หักล้างกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อพิษหนึ่งชนะอีกพิษหนึ่งอย่างเด็ดขาด ก็จะเกิดอาการกำเริบดั่งเช่นช่วงกลางวัน”
    คำพูดนี้เป็นทฤษฎีที่ยูกิคิดขึ้นเองล้วนๆ แต่มิได้เกิดจากการปั้นน้ำเป็นตัว คำกล่าวของนางล้วนตั้งอยู่บนรากฐานแห่งความเป็นจริง โดยใช้วิชาที่อาจารย์คาโรลถ่ายทอดให้ วินิจฉัยอาการของพิษในกายลูท หาข้อสรุปเบื้องต้นบนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แล้วจึงถ่ายทอดออกมาราวกับเป็นการวินิฉัยของแพทย์หญิงคนหนึ่ง
                    เฒ่าชรารุดไปจับชีพจรของลูท สักพักหนึ่งก็เกิดสีหน้าผิดปกติ สะบัดศีรษะที่มีเผ้าผมอันรุงรังประดุจรังนกไปมา ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นเต้นตกใจ เอ่ยขึ้นว่า “เป็นไปมิได้ พิษชนิดนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในแผ่นดินได้อย่างไร? เจ้าเคยไปที่หุบเขาไม้ดอกมาใช่หรือไม่?
    ครั้งก่อนที่เขาตรวจชีพจรลูทแต่กลับไม่พบพิษชนิดนี้ เป็นเพราะพิษผีเสื้อสีครามในขณะกำเริบมีปริมาณมากกว่า จึงบดบังรัศมีของพิษจากดอกไม้พิษที่หุบเขาไม้ดอกไปสิ้น แต่ขณะนี้ลูทได้กระอักพิษผีเสื้อสีครามออกไปจากร่างกว่าแปดส่วน เฒ่าชราสติฟั่นจึงสามารถตรวจพบพิษอีกชนิดหนึ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
                    “พิษ? หุบเขาไม้ดอก?” รินะทวนคำ นางเองมิเข้าใจในคำพูดของชายชราเนื่องจากมิได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ
                    “หรือว่าท่านผู้อาวุโสรู้จักพิษในกายเขาเหมือนกัน? เช่นนี้พวกเราคงจะไม่มีฝ่ายใดแพ้ฝ่ายใดชนะ” ยูกิกล่าวพร้อมกระตุ้นให้เฒ่าชราพูดในเรื่องที่อยากรู้ นางมั่นใจว่าด้วยความดื้อรั้นระดับเฒ่าชราคงไม่ยอมรับผลเสมอ ต้องหาทางเอาชนะพร้อมกับบอกข้อมูลออกมามากกว่านี้
                    ยูกิคาดไว้ไม่ผิด เฒ่าชราหันหน้ามามองยูกิอีกครั้ง กล่าวว่า “ใครว่านี่เป็นผลเสมอ? ข้าจางเสินโส่วมิเคยพ่ายแพ้ต่อเด็กอย่างเจ้ามาก่อน ขอบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ว่าพิษชนิดนี้ข้าเคยลิ้มรสมาก่อนพวกเจ้าเกิดเสียอีก มันถึงกับคร่าชีวิตพี่ชายของข้าไป จนต้องฝังร่างอยู่ใต้หุบเขาไม้ดอกตลอดกาล เจ้าเด็กนี่รอดชีวิตมาได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์ชนิดหนึ่ง ทั้งยังมีวาสนาได้ครอบครองอาวุธที่ข้าสร้างขึ้น ฮาๆ หากเจ้าได้ร่ำเรียนเพลงดาบของข้า สักวันหนึ่งชื่ออาวุธข้าจะต้องติดทำเนียบสิบหกยอดศัสตราวุธเป็นแน่!
                    เมื่อยูกิได้รับข้อมูลที่ต้องการจึงส่งสัญญาณครั้งหนึ่ง ลูทที่แกล้งเป็นสลบไสลก็ค่อยๆฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างแนบเนียน นับเป็นการเล่นละครของคนทั้งสามที่ตบตาเฒ่าชราได้สำเร็จ
                    ลูททำทีแกล้งเป็นฝืนพูด ค่อยๆกล่าวว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินผู้อาวุโสจางเล่าถึงเรื่องหุบเขาไม้ดอกใช่หรือไม่? ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเคยสัมผัสกับดอกไม้พิษนั่นมาครั้งหนึ่ง? โชคดีที่ข้าดื่มน้ำทิพย์ขจัดพิษจากจอมแพทย์วีไปอึกหนึ่งจึงรอดชีวิตมาได้ถึงปัจจุบัน”
                    เฒ่าชราถลึงมองลูทพร้อมกล่าวว่า “เจ้าทำไมโง่เสียเพียงนี้? ที่เจ้ารอดมาได้มิใช่น้ำทิพย์อะไรนั่น แต่เป็นเพราะพิษในกายเจ้าที่คอยหักล้างกับพิษผีเสื้อสีคราม ไม่เช่นนั้นเจ้าคงตายไปร้อยครั้ง แต่เมื่อเจ้าฟื้นแล้วก็ต้องมาฝึกเพลงดาบกับข้า ประกาศให้ทั่วโลกรู้ไว้ว่าศัตราวุธที่สร้างจากฝีมือข้าสมควรมีชื่อติดทำเนียบเช่นกัน”
                    จางเสินโส่วมิยอมแม้แต่จะให้จอมแพทย์วีมาเอาชนะตน กล่าวเหมารวมว่าการที่ลูทรอดมาได้เป็นความดีความชอบของเขาทั้งสิ้น
                    คุยโวเสียไม่มี หากอาวุธของเจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอท่านพ่อคงจะจัดสรรมันลงไปในทำเนียบเสียนานแล้ว ลูทนึกในใจอย่างไม่ยอมรับนับถือแต่ก็มิได้กล่าวออกไป จะอย่างไรผู้อาวุโสท่านนี้ก็เคยช่วยชีวิตตนมาครั้งหนึ่ง
                    รินะที่ยืนอยู่ด้านข้างเกิดความคิดขึ้นจึงกล่าวว่า “ในเมื่อท่านผู้อาวุโสจางเป็นคนสร้างมีดผีเสื้อสีครามด้วยตนเองก็คงจะต้องรู้วิธีถอนพิษด้วยใช่หรือไม่? พี่สาวของข้านางนี้ก็ถูกพิษผีเสื้อสีครามเข้าไปเช่นกัน ท่านพอจะมีวิธีช่วยเหลืออันใดหรือไม่?
                    เฒ่าชรากล่าวพร้อมมองไปที่ยูกิว่า “ว่ากระไร!? นางถูกพิษผีเสื้อสีครามเข้าไปแล้วไม่ตายอย่างนั้นหรือ?
                    “ไม่เชื่อท่านก็ลองจับชีพจรดูเอง” ทันทีที่รินะตอบ จางเสินโส่วก็ยื่นมือไปแตะชีพจรของยูกิบนข้อแขนอันขาวผ่อง สีหน้าของผู้เฒ่าจางก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง กล่าวว่า “เป็นไปมิได้!? อาการเช่นนี้แสดงว่าพิษผีเสื้อสีครามเคยกระจายไปทั่วร่างครั้งหนึ่ง แต่แล้วกลับเจือจางลงอย่างเห็นได้ชัด นี่แสดงว่าต้องมีคนช่วยขับพิษในร่างเจ้าออกมาอย่างน้อยแปดส่วน”
                    “ท่านผู้อาวุโสจางกล่าวถูกต้อง ไม่ทราบว่ามีวิธีช่วยเหลืออันใดหรือไม่?” รินะถามต่อไป ด้วยใจที่อยากให้พี่สาวตนเองได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุด
                    แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อเฒ่าชราส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “พิษผีเสื้อสีครามชนิดนี้ถูกปรุงโดยสหายของข้าที่ล่วงลับไปแล้ว คุณสมบัติของมันจำต้องใช้พิษอีกชนิดหนึ่งเท่านั้นเข้าหักล้าง หรือไม่ก็ต้องใช้ตัวยาวิเศษสะกดพิษนั้นมิให้กำเริบ จึงไม่มิวิธีปฏิบัติใดที่จะดึงดูดเอาพิษนั้นออกมาได้ทั้งสิบส่วน ในขณะที่วิธีบรรเทาพิษร้ายให้เบาบางลงยังพอมีอยู่บ้าง หาไม่แล้วนางจะต้องไปเยือนปรโลกภายในเวลาสามวัน”
                    “เพราะเหตุใดจึงเหลือเวลาเพียงสามวัน? … หรือว่า ... การที่พี่ยูกิฝืนร่างกายใช้เอลเป็นการกระตุ้นทำให้พิษกำเริบเร็วขึ้น? รินะตั้งคำถามเองพร้อมกับหาคำตอบให้ตนเองเสร็จสรรพ
                    “วิธีบรรเทาอันใด? ท่านผู้อาวุโส” ลูทถามอย่างรีบร้อนด้วยความเป็นห่วง อีกทั้งตกใจกับช่วงเวลาที่ยูกิหลงเหลือ ถึงกับลืมเลือนอาการบาดเจ็บของตนเองไปเสียสนิท
                    เฒ่าชรากล่าวว่า “อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว วิธีการมีเพียงสองวิธี เรื่องยาต้านพิษนั้นอย่าได้ถามข้าเพราะข้าไม่มีความรู้ในการปรุงยาแม้แต่น้อย แต่วิธีใช้พิษต้านพิษนั้นในโลกนี้ยังมีบุคคลหนึ่งสามารถกระทำได้”
                    “เป็นใคร?” เสียงของลูทถามด้วยความร้อนใจ
                    จางเสินโส่วจ้องเขม็งไปที่ลูท กล่าวด้วยความหัวเสียว่า “เจ้าโง่! จะเป็นใครได้อีกนอกเสียจาก เจ้า! ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถใช้พิษในตัวต้านพิษผีเสื้อสีครามจนรอดชีวิตมาได้ ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีก”
                    ลูทตะลึงงันกล่าวว่า “ข้า!? อย่างนั้นหรือ แล้วข้าต้องทำอย่างไร ขอผู้อาวุโสจางช่วยชี้แนะ”
                    จางเสินโส่วหัวร่อพร้อมกล่าวว่า “แต่ข้าว่าเจ้าทำมิได้แน่ๆ การใช้พิษต้านพิษนั้นจำเป็นต้องใช้การโคจรของปราณในร่าง ด้วยหลักการโคจรเฉพาะตัวที่ข้าสามารถใช้ได้เพียงผู้เดียว ปัญหามิใช่อยู่ที่ว่าข้าจะไม่สอนเจ้า เดิมทีข้าตั้งใจแต่แรกอยู่แล้วว่าจะเคี่ยวเข็ญให้เจ้าฝึกปรือจนสำเร็จ ใช้มันกับเพลงดาบที่ข้าบัญญัติไว้สร้างชื่อให้กับเขี้ยวราชสีห์ มิใช่ใช้กระบี่วิเศษที่ข้าสร้างขึ้นด้วยวิชาแมวสามขาไร้สาระ เมื่อเจ้าฝึกสำเร็จจะต้องประกาศก้องให้โลกรู้ว่าดาบเขี้ยวราชสีห์ของข้าจางเสินโส่วมีความวิเศษปานใด เพียงแต่ ...”
                    “แต่อันใด?
    “แต่นั่นอาจต้องใช้เวลาถึงสองปีในการฝึกฝน ในขณะที่สาวน้อยผู้นี้กำลังจะตกตายภายในเวลาสามวัน ทำให้เหลือเวลาอย่างมากเพียงสองวันในการฝึกฝีมือ กับอีกหนึ่งวันในการถ่ายทอดลมปราณต้านพิษ เรื่องประการนี้แม้แต่เซียนวิเศษยังกระทำมิได้ แล้วเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าจะทำได้อย่างไรกัน?
                    ลูทอุทานขึ้นมาดังอา ตัดสินใจลุกจากเตียงในทันที กล่าวว่า “วิงวอนท่านช่วยสั่งสอนข้าด้วย นับว่าเวลาเหลือน้อยเต็มทนแล้ว”
                    ยูกิตกใจมิใช่น้อยที่ทราบว่าชีวิตตนเองเหลือเวลาเพียงสามวัน เวลาเพียงเท่านี้เป็นไปมิได้แน่ที่จะไปหาอาจารย์คาโรลให้หาทางช่วยถอนพิษ แม้ยอดหญิงนางนี้จะหวาดกลัวต่อความตายแต่ก็ยังใจเย็นกลั่นกรองความคิด หาหนทางรอดในเส้นทางอับจน จนพบว่าสิ่งเดียวที่นางกระทำได้ในตอนนี้คือการใช้วาจา พลันจงใจกล่าวกระตุ้นผู้อาวุโสจางว่า “นับว่านี่เป็นการประลองครั้งที่สองเป็นอย่างไร? หากท่านเก่งกาจจริงก็ต้องอบรมสั่งสอนศิษย์คนหนึ่งให้ได้ในเวลาเพียงสองวัน จะได้ไม่น้อยหน้ากับเวลาที่เขาเรียนรู้การใช้ศาสตร์แห่งเอลภายในเวลาเพียงวันหนึ่ง”
                    “เจ้านี่สามารถเรียนรู้ศาสตร์แห่งเอลภายในเวลาวันเดียวอย่างนั้นหรือ? นับเป็นการพนันครั้งใหญ่ที่ใช้ชีวิตของเจ้าเป็นเดิมพันสินะ ตกลงข้าจะเอาชนะเจ้าให้ได้อีกครั้ง” กล่าวจบจางเสินโส่วก็หันหน้าไปทางลูท กล่าวต่อไปว่า
    “แต่ก่อนอื่นมีเงื่อนไขอีกประการหนึ่งที่เจ้าจะต้องยอมรับ”
                    ลูทกล่าวด้วยความสงสัยว่า “เงื่อนไขอันใดท่านผู้อาวุโส?
                    จางเสินโส่วมองไปที่ลูทคราหนึ่งยูกิอีกคราหนึ่ง กล่าวว่า “จะให้ช่วยเจ้านั้นมิได้ยากอะไร ติดเพียงข้าจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยแม่นางน้อยผู้นี้มิใช่หรือ? เจ้าเป็นผู้ถือกระบี่เขี้ยวราชสีห์ซึ่งอีกนัยหนึ่งอาจนับได้ว่าเป็นผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของข้าต่อไป แต่สำหรับแม่นางที่มิได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องสักนิด อาศัยเหตุผลอะไรข้าถึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ?
                    ขณะที่ลูทกำลังจะกล่าววาจาโต้แย้ง เฒ่าชราก็ตัดบทว่า “อย่าพึ่งสอดปากข้ายังพูดไม่จบ ... ดังนั้นเจ้าทั้งสองจะต้องยอมรับในเงื่อนไขที่ข้าเสนอ นั่นคือ พวกเจ้าทั้งสองจะต้องรับปากหมั้นหมายกัน”
                    “ว่ากระไร!? บุรุษหนุ่มกล่าวออกมาทันที
                    เฒ่าชราสติฟั่นกล่าวต่อไปว่า “ด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือหากพวกเจ้าหมั้นหมายกันก็จะมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับข้าในทางอ้อม เช่นนี้ก็จะไม่ขัดกับกฎที่ข้าเคยตั้งขึ้นไว้เมื่อกาลก่อน หาไม่แล้วก็ไม่ต้องหวังว่าจะให้ข้าถ่ายทอดวิชาอันใดให้ นอกเสียจากว่าเจ้าไม่ชบชอบแม่นางน้อยผู้นี้ อยากให้นางตายไปต่อหน้าต่อตา เช่นนั้นก็ช่างประไร ฮ่าๆๆ”
                    ลูทกระทำอันใดไม่ถูก เรื่องชมชอบหรือความรักล้วนไม่มีปัญหา ติดอยู่ตรงที่ว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม ยูกิที่เคยรับปากหมั้นหมายกับบุรุษผู้หนึ่งไปแล้วจะรับปากอีกครั้งได้อย่างไร อีกทั้งนางจะยอมรับปากหรือไม่นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยจิตใจที่วุ่นวายจึงหันหน้ากับไปมองยูกิ
                    ใบหน้าของยูกิเปลี่ยนเป็นสีแดงซ่านทันทีที่ประสานสายตากับบุรุษหนุ่ม ริมฝีปากจะขยับกล่าววาจาอันใดแต่กลับไม่มีคำพูดออกมา นอกจากเสียงอาครั้งหนึ่งที่เผลอหลุดออกมาด้วยความไม่ตั้งใจ
                    “ข้าให้เวลาพวกเจ้าตัดสินใจเพียงชั่วก้านธูป หลังจากนี้ไปไม่ว่าจะมีการตัดสินใจใดๆเกิดขึ้น การถ่ายทอดอย่างเร่งด่วนนี้เป็นอันยกเลิก” ชายชราสติฟั่นกล่าวจบก็สะบัดหน้าจากไป
    รินะมองท่าทางของศิษย์พี่และพี่สาวจึงเข้าใจดี จำต้องลุกเดินจากไปอีกคนหนึ่ง ปล่อยให้บุรุษหนุ่มหญิงสาวสนทนากันตามลำพัง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×