ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #118 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 62.1 - พรมแดนสองอาณาจักร (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 876
      0
      8 มี.ค. 51

    นับเป็นการยากที่จะหาคนผู้หนึ่งยิงธนูได้ทั้งแม่นยำและทรงพลังในระยะห้าร้อยก้าว แต่เป็นการยากกว่าที่จะหาคนถึงสามคนที่มีความสามารถในระดับเดียวกัน ทำงานร่วมกัน และเข้าขากันเป็นอย่างดี
    ลูกศรที่น่าสะพรึงกลัวกลับมิได้มีเพียงดอกเดียว นักแม่นธนูเหล่านี้มีจำนวนสามคนด้วยกัน น้าวศรพร้อมกัน แล้วปล่อยออกในเสี้ยววินาทีเดียวกัน จนทำให้เสียงศรแหวกอากาศแทบกลืนเป็นเสียงเดียวกัน แต่กลับมีเป้าหมายที่แตกต่าง
    สามเป้าหมาย
    สามบุคคล
    สามชีวิต!
    ลูทเป็นคนแรกที่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากธนู เสียงแหวกอากาศและเสียงดีดของคันธนูในขณะที่ปล่อยศรดังกระทบโสตประสาท ด้วยประสบการณ์ของพรานป่าที่คุ้นเคยกับเสียงธนูเป็นอย่างดี แมกซิมิเลี่ยนผู้เป็นบิดานิยมใช้เสียงธนูเป็นตัวส่งสัญญาณในการล่าสัตว์ ลูทในฐานะพรานผู้ช่วยต้องฝึกหัดวิธีแยกแยะเสียงธนู คาดเดาทิศทางว่าเป็นอย่างไร พุ่งมาด้วยความเร็วเท่าใด เพื่อที่จะคำนวณระยะและพฤติกรรมของเหยื่อ ทำนายทิศทางการหลบหนีล่วงหน้า แล้วจู่โจมซ้ำเติมด้วยหน้าไม้มิให้สัตว์ตัวนั้นหลุดรอดไปได้
    ด้วยใบหูที่ได้รับการ “ฝึก” โดยสภาพแวดล้อมอย่างมิรู้ตัว ส่งผลให้พวกเขาทั้งสามเอาชีวิตรอดมาได้อย่างฉิวเฉียด ลูทรู้ตัวว่าตกเป็นเป้าของธนูในขณะที่ลูกศรพุ่งห่างอยู่ราวสี่ร้อยก้าว ด้วยระยะห่างที่มากขนาดนี้ทำให้ทั้งสามมีเวลาสามสี่วินาทีกับการหลบหลีก บุรุษหนุ่มพลิกร่างลงจากหลังม้าในทันที บรรจุซันเข้าที่บริเวณฝ่ามือทั้งสองในพริบตา ก่อกำเนิดเป็นกำลังมหาศาลที่สองมือในลักษณะของซันกระแทก ใช้น้ำหนักตัวและซันทั้งร่างเหนี่ยวตัวรถม้าให้พลิกคว่ำลง
    โครม! รถม้าเอนเอียงลงกระแทกกับพื้น
    เสียงร้องตกใจของสตรีทั้งสองนางดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงหัวลูกศรปักใส่กำแพงรถม้าที่บุด้วยโลหะ อันเป็นเกราะกำบังชั้นดี หัวลูกศรแทบจะโผล่ทะลุออกมาอีกข้างหนึ่ง แสดงให้เห็นว่านักแม่นธนูทั้งสามมีกำลังข้อดีเพียงใด ชั่วลัดนิ้วมือนั้นเอง ยูกิและรินะที่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้เฉียดตายในนครหลวงมาหมาดๆ ทราบว่าเหตุการณ์คับขันมาถึงตัว รีบกระโจนออกมาจากที่นั่งรถม้าทางหน้าต่าง หันหลังพิงตัวรถใช้เป็นที่กำบังในทันที กวาดสายตามองไปหาลูทกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “บาดเจ็บอะไรหรือไม่?
    “ยังไม่เป็นไร” ลูทกล่าวพลางสะบัดกระบี่ตัดเชือก ปล่อยอาชาทั้งสองให้วิ่งเตลิดออกไป จะอย่างไรพาหนะที่มีชีวิตสองตัวนี้ย่อมเป็นเหยื่อล่อที่ดีกว่าพวกเขาทั้งสาม ตามหลักแล้วมือธนูจะต้องยิงศรเพื่อปลิดชีพอาชาเสียก่อน มิให้พวกเขาใช้มันเป็นเครื่องมือในการหลบหนี
    จนใจที่พวกเขามีด้วยกันสามคน ลูทจึงมิอาจแยกย้ายกันควบขับอาชาหลบหนีได้ เนื่องจากม้าตัวที่ต้องแบกรับน้ำหนักมนุษย์สองคนจะมิอาจเร่งความเร็วหนีได้ทันท่วงที ด้วยปฏิพานไหวพริบที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆตลอดการเดินทาง จึงทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้วางแผนในพริบตา ใช้ม้าทั้งสองล่อให้ฝ่ายตรงข้ามยิงธนูออกมา หากนักแม่นธนูกระทำเช่นนั้นจริง จะเป็นการเปิดเผยจุดซุ่มยิงให้กับพวกเขาทั้งสามรับรู้  และจะถึงเวลาแห่งการตอบโต้ในบัดดล
    ทันใดที่ม้าทั้งสองหลุดพ้นพันธนาการ พวกมันก็ตื่นตระหนกห้อเตลิดออกไป บังเกิดเสียงบุรุษหนุ่มกล่าวกับสตรีทั้งสองว่า “จับตามองทิศของธนูที่ยิงสังหารม้าทั้งสองให้ดี พวกเราจะลงมือตอบโต้”
    “ข้ามิวิธีที่ดีกว่านั้น” รินะที่มีอายุน้อยที่สุดเอ่ยปากขึ้น
    พยิบป้ายผนึกขั้นมาพร้อมกล่าวว่า “ด้วยพันธะแห่งวิญญาณของปีกทอง ข้าผู้เป็นนายขอหยิบยืมนัยน์ตากลางเวหาด้วยเถิด”
    ปรากฏนกสีทองตัวหนึ่งบินโผขึ้นสู่เวหาตามการควบคุมของรูนนิคอายุเยาว์ มุ่งไปในทิศทางของมือธนูทั้งสาม ค้นหาตามยอดไม้และเนินสูงอย่างละเอียด
    ผ่านไปอีกครู่หนึ่งกลับไม่มีเสียงธนูใดๆดังขึ้น ม้าทั้งสองที่วิ่งเตลิดก็หายลับไปในป่า ยูกิจึงกล่าวว่า “ดูท่าพวกมันจะไม่ตกหลุมพรางที่เราก่อไว้ อาจเป็นเพราะเมื่อครู่เจ้ามีปฏิกิริยาไวต่อลูกศรในระลอกแรก ล้มคว่ำรถม้าป้องกันตัวได้ทันท่วงที เป็นสัญญาณชี้ได้ว่าสิ่งที่กระทำไปเมื่อครู่นั้นเป็นกับดักชนิดหนึ่ง” จากนั้นจึงหันไปถามรินะว่า “ปีกทองพบเห็นอันใดบ้าง?
    รินะหลับตาสื่อสารกับสัตว์มายาแสนรู้ ที่สามารถจับตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตจากดวงตากลางเวหา ส่งผลให้รับรู้ตำแหน่งของมือธนูโดยเร็ว พลางชี้นิ้วพร้อมกล่าวว่า “พวกมันทั้งสามอยู่ห่างไปทางตะวันออกเป็นระยะกว่าห้าร้อยก้าว ผู้หนึ่งหลบอยู่บนยอดเนินสูงนั่น ส่วนอีกสองคนอยู่ตามยอดกิ่งไม้ใกล้ๆกัน”
                    ลูทขบคิดรอบหนึ่ง กล่าวว่า “พวกมันกำลังทดสอบความอดทนของพวกเรา หากพวกเราอดรนทนมิได้ ทิ้งที่มั่นวิ่งหนีออกไปย่อมต้องตกเป็นเป้าธนู แต่ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไป ฝ่ายศัตรูจะสร้างความกดดันให้กับเรามากขึ้น สร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายเราพะวงว่าจะมีศัตรูจากทิศทางอื่นมาหรือไม่ โชคดีที่พวกเรามีปีกทอง ที่เปรียบเสมือนนัยน์ตากลางเวหาคู่หนึ่ง ความกดดันจึงมิอาจกระทำอย่างไรกับพวกเราได้ชั่วคราว จนกว่าศัตรูจะเรียกกำลังเสริมมาจริงๆ”
                    หลังจากที่กล่าวประโยคนี้ออกไปลูทพบว่ามีอะไรบางอย่างในตนเองที่เปลี่ยนแปลงไป จริงอย่างที่โบราณกล่าวไว้ว่า “อ่านตำราหมื่นเล่มมิสู้เดินทางไกลหมื่นลี้” ประสบการณ์ล้ำค่าที่สั่งสมในช่วงเวลาแห่งความเป็นตาย เคี่ยวกรำให้บุรุษหนุ่มที่รักสันติและอ่อนต่อโลก พัฒนาความคิดการวางแผน รับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ภายในเวลาไม่กี่สิบวัน
                    รินะส่ายศีรษะกล่าวว่า “ในรัศมีห้าร้อยก้าวนอกจากพวกเราและพวกมันทั้งสามแล้ว ไม่มีร่องรอยของมนุษย์ผู้อื่นอีก ขอให้วางใจได้”
                    ยูกิขบคิดรอบหนึ่งเช่นกัน กล่าวด้วยสติปัญญาว่า “ในตอนนี้พวกเรามีทางเลือกอยู่สองทาง หนึ่งคือสู้ สองคือหลบหนี หนทางแรกเสี่ยงตรงที่ไม่ทราบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมือดีขนาดไหน เพียงทราบว่ามีฝีมือการยิงธนูที่ล้ำเลิศ หากเข้าปะทะโดยตรงอาจมีโอกาสพลาดท่าเสียที ขัดกับหลักรู้เขารู้เราในเรื่องพิชัยสงคราม ส่วนทางเลือกที่สองนั้นอันตรายดั่งที่ลูทกล่าวเมื่อครู่ แต่เมื่อทราบว่าในรัศมีห้าร้อยก้าวนั้นไม่มีมนุษย์ผู้อื่น ประกอบกับการใช้เอลแห่งไม้ของข้า ติดต่อสื่อสารกับแมกไม้ใบหญ้า ระบุเส้นทางว่าทางสายใดน่าจะปลอดภัยกว่าทางสายอื่น คงจะพอมีโอกาสหลบหนีได้บ้าง ในขณะเดียวกันมีจุดอ่อนเช่นเดียวกับข้อแรก นั่นคือเป็นการส่งเสริมจุดแข็งของฝ่ายตรงข้าม ท้าทายกับฝีมือการยิงธนูที่ร้ายกาจ”
                    สตรีทั้งสองมองมายังลูทเป็นสายตาเดียว ระบุให้ทราบว่าวินาทีนี้ตัวเขาเองต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ลูทพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วกล่าวว่า “พวกเรา ...”
                    ทันใดนั้นเองรินะกลับกล่าวขึ้นมาว่า “เป็นไปมิได้!? ดึงความสนใจของลูทและยูกิทั้งสองจนต้องถามว่า “มีเรื่องอันใดผิดปกติ?
                    “เมื่อครู่ข้าบังคับปีกทองให้โฉบเข้าไปใกล้บุคคลทั้งสาม แต่สิ่งที่เห็นกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ พวกมันทั้งสามล้วนใส่เครื่องแบบสีดำขลิบทอง ที่แสดงถึงความเป็นอัศวินดำทั้งสิ้น” รินะกล่าวด้วยน้ำเสียงอันตื่นตระหนก
                    ทำให้ลูทและยูกิทั้งสองต้องอุทานขึ้นมาพร้อมกันว่า “ว่ากระไร!?
                    “แต่ละคนล้วนมีใบหน้าโหดเหี้ยมผิดกับอัศวินดำที่เราพบพาน เห็นแผลเป็นตามใบหน้าเป็นเรื่องปกติ มีอยู่คนหนึ่งเหลือเพียงนัยน์ตาข้างเดียว ดวงตาอีกข้างเป็นสีเทาใช้การมิได้ ทั้งหมดถือคันธนูยาวเกือบวาหนึ่ง และศรที่ทำจากเหล็กกล้าอีกนับสิบดอก พาดศรขึ้นสายน้าวคันธนูหมายจะปล่อยออกได้ทุกเมื่อ”
                    ยอดหญิงผู้สะคราญโฉมกล่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ข้าพึ่งจะนึกได้ว่าระยะห้าร้อยกว่าก้าวนั้นมิอาจเห็นร่างของพวกเราได้ถนัดชัดเจนด้วยตาเปล่า แสดงว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องเป็นเอลลิสที่ใช้เอลจับความร้อนบนร่างเป้าหมาย มิฉะนั้นแล้วการยิงธนูที่มองเป้าหมายไม่ชัดคงมิอาจยิงได้แม่นยำปานนั้น อีกทั้งภูมิประเทศแถบนี้เป็นป่าโปร่งสลับกับทุ่งราบ พวกมันจงใจลงมือแถบป่าโปร่งที่มีต้นไม้ขึ้นบดบังสายตาแสดงว่ามั่นใจกับฝีมือการยิงธนูเป็นอย่างมาก แม้แต่ภูมิประเทศที่ลอบจู่โจมยากเป็นเท่าตัวก็มิใช่ปัญหา”
                    เพียงชั่วเวลานาทีเศษคนหนุ่มสาวทั้งสามก็วิเคราะห์สถานการณ์ให้เห็นข้อได้เปรียบเสียเปรียบอย่างชัดแจ้ง เมื่อข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนไปสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ลูทใช้ความคิดกับตนเองแล้วกล่าวว่า “อัศวินดำทั้งเก้าไม่สมควรมีบุคคลทั้งสามนี้สังกัด หรือว่าพวกมันจะเป็นหน่วยรบพิเศษหน่วยอื่นที่พึ่งตั้งมาใหม่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง?
                    ทั้งยูกิและรินะต่างส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ทราบ ผ่านไปครู่หนึ่งรินะจึงกล่าวว่า “ไม่ผิดแน่ เครื่องแบบเช่นนี้เป็นเครื่องแบบอัศวินดำโดยแท้จริง หากกล่าวกันโดยที่ไม่ยึดติดกับจำนวนเก้าคน แสดงว่าอัศวินดำอาจมีมากกว่าเก้าคนก็เป็นได้ โดยการเปลี่ยนแปลงนั้นต้องเกิดหลังจากการปฏิวัติที่ผ่านมา”
                    ลูทที่เป็นเสมือนผู้นำในกลุ่มนี้สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ใช้สมองขบคิดซ้ำสองแล้วกล่าวว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะทดลองสู้สักรอบหนึ่ง แต่ในตอนนี้คงจะกระทำเช่นนั้นมิได้ หากฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ที่มีระดับฝีมือจัดไว้เทียบเท่ากับอัศวินดำ อาจส่งผลร้ายต่อพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แม้ว่าพวกเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก็ไม่มีความมั่นใจถึงสิบส่วนว่าจะเอาชนะอัศวินดำได้สามคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหนทางเลือกเพียงสายเดียวของเราคือหลบหนี”
                    สตรีทั้งสองพยักหน้ายอมรับในการตัดสินใจ ยูกิถามว่า “เจ้าคิดแผนการหลบหนีเอาไว้แล้วหรือไม่? ว่าจะหลบหนีอย่างไร? ไปในทิศทางใด?
                    ลูทใช้มือหนึ่งดึงหญ้าที่พื้นแล้วโยนขึ้นฟ้า สายตามองต้นหญ้าเหล่านั้นพร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงไม่สบอารมณ์ กล่าวว่า “โชคดีที่ฝ่ายตรงข้ามมิได้ทำร้ายอาชาทั้งสองตัวเมื่อครู่ ด้วยความที่มันเป็นม้าของสหพันธ์อาชาข้าสามารถสั่นกระดิ่งพิเศษเรียกมันทั้งสองมาได้อีกครั้ง แต่มีข้อแม้ว่าการกระทำนี้จะต้องอยู่ในระยะที่ธนูมิอาจยิงถึง ไม่เช่นนั้นม้าของเราในคราวนี้จะต้องตกเป็นเป้าอย่างแน่แท้ ดังนั้นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ ทำอย่างไรถึงจะหลบออกไปจากระยะธนูของฝ่ายตรงข้ามได้?
    พวกมันมีข้อได้เปรียบจากแรงลมที่ข้าทดลองวัดเมื่อครู่ พบว่ากระแสลมหนุนเสริมทิศทางการยิงธนูอย่างมาก จากความสูงที่รินะบรรยาย จึงเชื่อมั่นได้ว่าอาศัยแรงลมประกอบกับศาสตร์แห่งเอลที่ค้นหาเป้าหมายด้วยความร้อน จะทำให้ธนูมีระยะหวังผลถึงแปดร้อยก้าวเป็นอย่างน้อย ขณะนี้พวกเราอยู่ห่างกับมันห้าร้อยก้าว แสดงว่าพวกเราต้องหลบหนีไปทางทิศตะวันตกในระยะสามร้อยก้าวนับจากจุดนี้ เมื่อถึงจุดนั้นจะถือว่าพวกเราอยู่ในระยะปลอดภัย โดยข้าได้กำหนดแผนการหยาบๆแผนหนึ่งที่ช่วยเปิดโอกาสให้การหลบหนีมีส่วนสำเร็จได้มากขึ้น”
                    “แผนการอันใด?” ยอดหญิงยูกิถามขึ้นด้วยความสงสัย
                    “แผนการที่ใช้ได้ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน” ลูทกล่าวพร้อมสอดกระบี่เขี้ยวราชสีห์คืนฝัก หยิบหน้าไม้ไฮดราขึ้นมาด้วยสองมือ แล้วกล่าวต่อไปว่า “นั่นคือหากมีคนผู้หนึ่งถ่วงเวลาฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ในขณะที่อีกสองคนหลบหนี ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป”
                    สตรีทั้งสองล้วนกล่าวทัดทานในทันใดว่า “กระทำเช่นนั้นมิได้”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×