ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #106 : เล่ม 4 - ตอนที่ 52 - คืนชี้ชะตา (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 861
      0
      5 ก.พ. 51

    สตรีสองจากสามคนผู้อยู่ใต้สังกัดของหน่วยรบพิเศษอัศวินดำยืนเคียงข้าง เป็นลีโซลมีและคอร์เนเลีย
                    คอร์เนเลียทอดสายตาอันแหลมคมเข้าไปในความมืดที่ปกคลุมน่านฟ้าของเมืองเจนีสเหนือ ผ่านช่องหน้าต่างของห้องผู้บังคับบัญชาการในค่ายทหาร ในค่ำคืนนี้นางสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์อันแปลกประหลาด จึงสั่งให้ทหารเดินตรวจเวรยามกันอย่างแน่นหนากว่าทุกค่ำคืน
                    เมื่อทหารยามเดินวนรอบเมืองครบสองรอบ ลีโซลมีที่รับผิดชอบหน้าที่นี้โดยตรงเข้ามารายงานต่อคอร์เนเลีย กล่าวว่า “เรียนท่านรองหัวหน้า ค่ำคืนนี้ตามถนนตรอกซอกซอยทุกสายในเมืองเจนีสเหนือปกติเรียบร้อยดี นอกจากกองทหารของกลุ่มปลดปล่อยที่มีที่มั่นอยู่ที่ชายป่าจำนวนสามพัน บรรดาทหารเวรต่างไม่พบผู้ต้องสงสัยคนอื่น เว้นแต่เพียงเรื่องหนึ่งซึ่งข้าอาจจะรู้สึกไปเองก็ได้”
                    คอร์เนเลียเหลียวหน้ามามองลีโซลมี ผมสีม่วงเข้มของนางถูกแสงเทียนส่องกระทบจนทอประกายในยามราตรี กล่าวว่า “ข้ามีความเชื่อถือในความรู้สึกของพวกเราเหล่าอัศวินดำอยู่สามส่วน มิใช่ว่าข้าเชื่อเรื่องโชคลางแต่เป็นเพราะเชื่อสัมผัสของเอลในกาย ซึ่งสามารถสัมผัสกับบางสิ่งบางอย่าง ส่งผลกระตุ้นเตือนสติพวกเราล่วงหน้าได้ ขอให้เจ้าบอกมาตามตรงว่ารู้สึกอย่างไร?
                    ลีโซลมีรับฟังทฤษฎีการสัมผัสทางเอลของคอร์เนเลีย จึงเกิดความเชื่อถือในลางสังหรณ์ของตัวเองขึ้นมาบ้างเหมือนกัน กล่าวว่า “ค่ำคืนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยจนผิดปกติ ข้ารู้สึกเหมือนกับว่าเป็นความสงบก่อนพายุถล่มที่อาจจะเกิดขึ้นในไม่ช้า ไม่ว่าบ้านเรือนใดตามตรอกซอกซอยล้วนดับไฟเข้านอนกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เหลือเพียงร้านค้าเก่าแก่ที่เปิดในยามวิกาลไม่กี่ร้านที่ยังมีแสงไฟเล็ดรอดออกมา”
                    คอร์เนเลียสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เมื่อพบว่าลีโซลมีสามารถรับความรู้สึกชนิดเดียวกับลางสังหรณ์ที่นางสัมผัสได้ก่อนหน้า ความเชื่อถือและคลางแคลงใจจึงเปลี่ยนจากสามส่วนเป็นหกส่วน ซึ่งเพียงพอกับการตัดสินใจกระทำอะไรบางอย่าง จึงกล่าวว่า “ดูท่าค่ำคืนนี้คงจะมีเหตุการณ์พิเศษเสียแล้วกระมัง ขอให้พวกเราป้องกันเอาไว้จะดีกว่ามาสำนึกผิดในภายหลัง เจ้าถ่ายทอดคำสั่งของข้าออกไปให้โทมัสและมู่หลงประจำการตามแผนที่วางเอาไว้ หากพบเห็นร่องรอยศัตรูให้จับเป็นมาเค้นถาม ถ้าผ่านพ้นคืนนี้ไปด้วยดีให้ถือว่าครั้งนี้เป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ แต่ถ้ามีเหตุไม่คาดฝันประการใดเกิดขึ้นขอให้จุดพลุไฟบอกเหตุทันที”
                    ลีโซลมีรับคำครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ามีข้อเสนอให้ส่งหน่วยลาดตระเวนของเรากระจายออกไปทุกทิศทางในรัศมีหนึ่งหมื่นก้าว เพียงแต่เว้นมิให้เข้าไปในพื้นที่บริเวณชายป่าอันเป็นที่ซ่องสุมกองกำลังฝ่ายศัตรู มาตรการเช่นนี้จะทำให้พวกเรามีโอกาสพบร่องรอยข้าศึกมากขึ้น และถือว่าเป็นการซ้อมการสอดแนมยามวิกาลไปในตัว”
                    คอร์เนเลียพยักหน้า กล่าวว่า “วิธีการนี้ดีมากขอให้เจ้าปฏิบัติการตามนั้น นอกจากนี้ให้มอบพลุสัญญาณกับหน่วยสอดแนมที่มีฝีมือดีสักประมาณสิบนายแยกย้ายกระจายไปทั่วสิบทิศ อนุญาตให้พวกมันใช้พลุสัญญาณได้ตามความต้องการ เช่นนี้จะทำให้พวกเราทราบข่าวได้เร็วขึ้น”
                    ลีโซลมีรับคำสั่งทำความเคารพผู้บังคับบัญชาแล้วจากไป
                    คอร์เนเลียหลับตาลงนั่งกรรมฐานจัดการร่างกายและเอลภายในให้เพียบพร้อมเตรียมรับทุกสถานการณ์ เข้าสู่ภวังค์เคลิบเคลิ้มลืมตน
     
    หลังเที่ยงคืนเปลวไฟชั้นบนสุดของหอน้อยกลางน้ำดับก็ลง ยอดหญิงยูกิ อาเมดะเข้านอนพักผ่อนกลับจากงานเลี้ยงในยามค่ำคืน แต่ผู้ที่พำนักอยู่บนยอดหอน้อยกลางน้ำยังคงไม่จากไป
                    ดาธมิได้ยืนเฝ้าสอดส่องสถานการณ์โดยรวมตลอดเวลา สิ่งที่เขากระทำนั้นคือการแผ่จิตสัมผัสออกไปโดยรอบ ใช้เอลแทนสัมผัสที่หก หากมีสิ่งผิดปกติประการใดก็จะรับรู้ในทันที
    โดยเฉพาะจิตด้านมืดที่เกิดจากการเข้าครอบงำของเทพสงครามฮัสการ์
                    ดาธเข้าใจและรับรู้สถานการณ์เบื้องหน้าเป็นอย่างดี ทราบดีว่าในเวลาอันใกล้เมืองนี้จะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฉะนั้นสิ่งที่กระทำได้ดีที่สุดคือการเฝ้าระวังและกำจัดภัยพวกนั้นก่อนที่มันจะลุกลามบานปลาย ตัดไฟแต่ต้นลมเป็นการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ไม่ว่าใครหน้าไหนหากรู้ว่ามียอดฝีมือระดับเดียวกับดาธเฝ้าจับตาพวกเขาอยู่ห่างๆ รับรองว่าพวกมันไม่กล้ากระทำการใดตามอำเภอใจ น่าเสียดายที่พวกมันไม่รู้ กว่าจะรู้คงต้องพกพาความคับแค้นนั้นลงปรโลกไปด้วย
                    อีกเพียงสามชั่วโมงฟ้าก็จะสาง ดาธภูมิใจในบรรดาศิษย์ทั้งห้าที่อบรมสั่งสอนมากับมือ เขาสามารถรู้สึกถึงความปลอดภัยของศิษย์ทั้งสี่ในนครหลวงจากตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ งานประดิษฐ์ชิ้นเอกที่ถือว่าเป็นอุปกรณ์อันวิเศษสุดเท่าที่เคยสร้างมา การเชื่อมโยงสัมผัสความรู้สึกถือเป็นหนึ่งในคุณสมบัติอันโดดเด่นของตราสัญลักษณ์ แต่มิใช่คุณสมบัติที่วิเศษสุดของมัน เขาเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านในวันหนึ่งศิษย์ทั้งห้าจะเข้าใจถึงคุณสมบัติอย่างที่สอง
                    ทันใดนั้นดาธพลันรู้สึกได้ถึงจิตสังหารอันแรงกล้า มิใช่ปรากฏขึ้นดวงเดียวแต่กลับทยอยกันปรากฏขึ้นตามลำดับ หากมิใช่ดาธคงจะไม่มีทางรู้สึกได้เช่นนี้ และหากมิได้ยืนอยู่บนหอน้อยกลางน้ำตั้งแต่ช่วงกลางวัน แผ่เอลออกไปรอบข้างจนเป็นสนามพลังแห่งการรับรู้ คงไม่มีทางจับดวงจิตเหล่านั้นได้
                    หลังจากนั้นครู่หนึ่งพลันสัมผัสได้ถึงจิตของทหารอีกหลายพันหลายหมื่น ถูกกระตุ้นด้วยจิตสังหารอันแรงกล้าเหล่านั้น
                    ไม่ได้การ!
                    ผู้ปกครองรัฐทั้งสองกำลังตกอยู่ในสภาวะคับขันอันตราย!
                    แม้ว่ายังสัมผัสกับจิตใจที่ถูกเทพเจ้าฮัสการ์ครอบงำมิได้ดาธกลับตัดสินใจเคลื่อนกายในบัดดล สถานการณ์เบื้องหน้าไม่เปิดโอกาสให้รอคอยต่อไป พุ่งกายลงมาจากหอน้อยกลางน้ำดุจลูกศรหลุดจากแหล่ง ร่ายเอลที่หกเป็นเอลความมืดปกคลุมช่วยพรางตัวจากแสงสว่างทุกชนิดในยามราตรี จากนั้นจึงร่ายเอลที่สามด้วยท่าว่องไวดุจสายลม เร่งความเร็วของตนประดุจวิหคร่อนเหินกลางหลังคาบ้านเรือน เมื่อปลายเท้าแตะผิวกระเบื้องมุงหลังคาครั้งหนึ่งก็สามารถโลดแล่นไปได้ไกลถึงยี่สิบก้าว มุ่งตรงไปยังร้านขายสมุนไพรที่เป็นฐานบัญชาการและแหล่งซ่องสุมกำลัง
                    จริงอยู่ที่ดาธสามารถเข้าขัดขวางการลงมือครั้งนี้ได้ด้วยตนเอง แต่เนื่องจากศัตรูมีมากเกินไปลงมือกันพร้อมกันหลายจุด ชนชั้นยอดฝีมือระดับเขาก็มิอาจแบ่งภาคไปจัดการในทุกที่พร้อมกันได้ เขาจำเป็นต้องหาผู้ช่วย และผู้ช่วยที่ไว้วางใจที่สุดคือบุคคลทั้งแปดที่พำนักอยู่ในร้านขายสมุนไพร
                    ดาธวิ่งแข่งกับเวลา ปอยผมสีน้ำตาลที่ผูกเอาไว้กลางหลังกระพือพัดตามกระแสลมที่เข้าปะทะ กรอบแว่นไม้ลั่นเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแสดงถึงความเร็วที่น่าตระหนก
    ในตอนนี้ทุกนาทีล้วนมีความหมาย ความหมายของมันอาจจะมากมายเทียบเท่ากับชีวิตคนผู้หนึ่ง คิดได้เช่นนั้นจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกระดับ พุ่งทะลวงท้องนภาดุจดาวหางดวงหนึ่ง
                   
    เปลวไฟชั้นบนสุดของหอน้อยกลางน้ำลุกติดขึ้นอีกครั้ง เมื่อยอดหญิงยูกิมิอาจข่มตานอนลง
                    งานเลี้ยงเมื่อช่วงหัวค่ำเป็นงานเลี้ยงฉลองมือปราบคนใหม่ และถือเป็นการเปิดตัวอาคันตุกะหมายเลขหนึ่งยอดหญิงยูกิไปในตัว นางมิได้ชมชอบงานเลี้ยงสังสรรค์เข้าสังคมเช่นนี้เท่าใดนัก นิสัยที่แท้จริงของยูกิเป็นคนประเภทรักที่จะอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่าการออกไปพบปะกับผู้คน ความสุขของนางบังเกิดขึ้นเมื่อได้ใช้สมองขบคิดถึงเนื้อเพลงที่ตนเองกำลังบรรเลง วิเคราะห์ท่วงทำนองและปรับปรุงตัวโน้ตให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการอ่านหนังสือค้นหลักความจริงของธรรมชาติ ความรู้ที่สาบสูญไปกับอดีตและการประยุกต์ศาสตร์เหล่านั้นเข้ากับชีวิตในยุคปัจจุบัน
                    น่าเสียดายที่ความสุขเหล่านั้นมิใช่ความสุขที่นางใฝ่ฝันอีกต่อไป มันถูกแทนที่ด้วยการบรรเลงดนตรีโต้ตอบกับบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทัดเทียมกัน เรียกได้ว่าเป็นสหายผู้รู้ใจที่มีจิตวิญญาณของนักดนตรี นั่งสนทนาด้วยตัวโน้ตที่ไม่ต้องใช้คำพูดสื่อสาร ถือเป็นความปรารถนาอันสูงสุด ทอดสายตาทั้งแผ่นดินคงจะมีเพียงอาจารย์คาโรลและบุรุษอีกคนหนึ่งที่สามารถร่วมบรรเลงและวิจารณ์ดนตรีกับนางได้
                    น่าเสียดายที่โอกาสนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นอีก บาดแผลของความรักที่นางลงมือกรีดด้วยตนเองยังคงฝังอยู่ในหัวใจของนางงามผู้นี้
                    ทุกครั้งที่นางรู้สึกถึงสร้อยและแหวนทองคำขาวที่คล้องอยู่บนต้นคอ กลับมีความรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นนกน้อยที่ถูกขังอยู่ในกรงทอง ปราศจากความอิสระที่จะโผบินสู่ฟ้า
                    ยูกิลุกขึ้นจากเตียงด้วยความกังวลใจ พลางจุดตะเกียงขึ้นเดินไปที่ริมระเบียง หวังว่าจะทัศนาทิวทัศน์ในยามราตรีให้คลายหมองเศร้าเสียบ้าง แต่พอทอดสายตาออกไปกลับมองเห็นเงาทะมึนหลายสิบแห่งทั่วนครหลวง ทหารหลายคนรวมกำลังกันเป็นกองดูเหมือนว่าจะตระเตรียมปฏิบัติการบางอย่าง
                    ทันใดที่นางเห็นความผิดปกติทั้งหลายจิตใจของยูกิเปลี่ยนเป็นหวั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัว นึกถึงคำพูดของลูทที่เคยกล่าวเกี่ยวกับการปฏิวัติในอนาคต
    วินาทีนั้นนางถึงทราบได้ว่าลูทมีความสำคัญต่อนางมากเพียงใด วินาทีที่รู้สึกเสมือนกับกำลังจะสูญเสียเขาไปตลอดชีวิต กับเหตุการณ์เบื้องหน้าที่กำลังจะเริ่มขึ้น มนุษย์ผู้หนึ่งจะรู้จักคุณค่าของอะไรสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริง เมื่อเวลาที่ต้องสูญเสียสิ่งนั้นไป
    ทันใดนั้นเงาวูบสองเงาปรากฏขึ้นบนระเบียงหอน้อย ปรากฏเป็นร่างบุคคลสองคน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวที่นางรู้จักดี นั่นคือพริมผู้เป็นเพื่อนสนิทของรินะ อีกหนึ่งนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง ยอดหญิงยูกิในชุดคลุมสีขาวสำนึกตัวได้ว่ามิอาจต่อกรกับศัตรูสองคนนี้ได้ในเวลาเดียวกัน
    ชายวัยกลางคนสวมชุดสีดำรัดกุม หัวโล้นล้านเลี่ยน ดวงตาเปี่ยมไปด้วยอำนาจกล่าวว่า “พวกเราทั้งสองคงต้องขอให้ยอดหญิงยูกิอยู่เฉยๆสักพักหนึ่ง จนกว่าปฏิบัติการในค่ำคืนนี้จะจบลง แต่จะขอรับรองความปลอดภัยของยอดหญิงมิให้ได้รับอันตรายสักส่วนเสี้ยว ท่านเวอร์น่อนจึงส่งข้าพาโบลมาให้ความคุ้มครองเป็นอย่างดี”
    ชายคนนี้คือผู้ตรวจการภาคกลางพาโบลนั่นเอง ยูกิรู้ได้ทันทีว่าผู้ปกครองจอห์นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมิอาจเทียบได้ ขนาดผู้ตรวจการที่มีอำนาจเป็นอันดับสองในภาคกลางยังแปรพรรคเข้าร่วมกับเวอร์น่อนไปเสียแล้ว
    นางมารร้ายพริมส่งรอยยิ้มอันไร้เดียงสาให้กับยูกิ กล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “รบกวนพี่ยูกิครั้งหนึ่งแล้ว”
    ยูกิที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบมิสามารถกล่าวอันใดได้ นอกจากประโยคที่ว่า “ข้าคงต้องขอรับทราบฝีมือของอัศวินดำหมายเลขเก้าและผู้ตรวจการกลาง ดูว่ามีความสามารถเพียงพอที่จะกักขังข้าไว้บนหอน้อยหลังนี้ได้หรือไม่? ในฐานะที่เป็นทูตเจริญสัมพันธไมตรี ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหนก็มิมีสิทธิ์ที่จะมากักขังหน่วงเหนี่ยว”
    แสงสีน้ำตาลสว่างวาบออกมาจากแขนเสื้อชุดยาว รากไม้พันธนาการพุ่งตรงไปยังศัตรูทั้งสองด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่อีกมือหนึ่งร่ายเอลเขตพฤกษาก่อกำเนิดเถาวัลย์เลื้อยพันเต็มห้องนอน พร้อมที่จะใช้ออกทุกเมื่อยามประสงค์
    พริมและพาโบลมิใช่มือชั้นกระจอก ทั้งสองดีดตัวแยกจากกันหลบรากไม้พันธนาการได้ในทันที แว่วเสียงของพริมดังขึ้นว่า “วาจานุ่มนวลกลับไม่ได้ผล ท่าทางพวกเราคงจะต้องสนทนากันด้วยกำลังเสียแล้ว”
    ยูกิมองพริมด้วยหางตา ยามลงมือสีหน้าไม่แปรเปลี่ยนสักนิด สตรีที่งามราวกับเทพธิดาฟ้ามาจุติตัดสินใจลงมือสุดความสามารถ มิใช่เพียงเพื่อตัวนางเองเท่านั้น หากยังเพื่อบุรุษคนนั้น
    ถ้าดาธรู้ล่วงหน้าได้ว่ายูกิกำลังจะมีภัยเขาคงจะไม่รีบร้อนจากไปเร็วขนาดนั้น
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×