ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #102 : เล่ม 4 - ตอนที่ 51 - สัญญากลางทะเลดาว (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 864
      0
      28 ม.ค. 51

    เวอร์น่อนเรียกโรฮันและวานเตสเข้าไปสนทนาที่โต๊ะประชุมกลางตึกธงอาชา
                    บุรุษทั้งสองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าเวอร์น่อนคนหนึ่งเป็นผู้ที่มีสายเลือดตระกูลซอร์โดอย่างชัดเจน ส่วนอีกคนหนึ่งมีผู้อุปถัมภ์จนได้รับอนุมัติให้ใช้นามสกุลซอร์โดอย่างถูกต้อง คนหนึ่งเคยผ่านสงครามครั้งใหญ่มาเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังจะก้าวสู่สงครามเป็นครั้งแรก
                    วานเตสเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “เป็นอย่างไรบ้างท่านพ่อ ทุกประการเรียบร้อยดีหรือไม่”
                    เวอร์น่อนพยักหน้ากล่าวว่า “หากเจ้าหมายถึงเรื่องทุกประการที่พวกเราตระเตรียมวางแผนเอาไว้นั้นทุกประการครบถ้วนสมบูรณ์พร้อมที่จะลงมือในทุกเมื่อ แต่ถ้าหากเจ้าหมายถึงความเป็นไปได้ทุกประการจะเรียบร้อยหรือไม่ข้ายังไม่สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรียบร้อยดี”
                    วานเตสถามว่า “ท่านพ่อหมายความเบื้องลึกว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ”
                    โรฮันที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่เข้าใจเช่นกันจึงพยักหน้าเป็นเชิงสนับสนุน
                    เวอร์น่อนกลับกล่าวย้อนไปในอดีตว่า “เมื่อสงครามเจนีสครั้งก่อนนั้นปู่ของเจ้าวางแผนทุกประการครบถ้วนสมบูรณ์เฉกเช่นสิ่งที่พวกเรากระทำ ไม่ว่ามองในมุมไหนอย่างไรพวกเราสมควรที่จะยึดเมืองเจนีสใต้ จากนั้นตั้งตนขึ้นเป็นเอกในอาณาจักรนอร์สำเร็จ แต่ทว่าปู่ของเจ้ากลับถูกคนร้ายคนหนึ่งบุกเข้ามาลอบสังหารทำให้แผนการทุกประการที่วางไว้ดับสลายไม่มีชิ้นดี เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าสิ่งที่พวกเราจะเป็นจะต้องกำจัดออกไปคือความเป็นไปได้ทุกประการที่จะทำให้แผนของเราเสีย”
                    โรฮันที่ไม่เคยเห็นมหาอุปราชเวน ซอร์โด กล่าวขึ้นว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าความเป็นไปได้เช่นนั้นคงเข้าใกล้ศูนย์เสียเต็มทน ด้วยฝีมือของนายท่านคงจะไม่มีผู้ใดในนครหลวงแห่งนี้ทัดเทียม”
                    เวอร์น่อนพลางส่ายหน้า กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อของข้ามีฝีมือเพียงใด ฝีมือของพ่อข้าในตอนนั้นเข้าขั้นหยั่งรู้ดินฟ้าซึ่งเป็นก้าวสุดท้ายของระดับแห่งฟ้ามิได้แตกต่างไปจากข้าในตอนนี้เลย โรฮันเจ้ายังอายุน้อยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจึงมีไม่เพียงพอ เจ้าไม่ควรจะประมาทเป็นอันขาดเพราะนอกจากจะทำให้แผนการทั้งหมดล้มเหลวแล้ว ยังอาจจะนำภัยถึงชีวิตมาสู่ตัวเจ้าด้วย จำคำของข้าเอาไว้” เขาเน้นประโยคสุดท้ายมากเป็นพิเศษ
                    โรฮันรับฟังดังนั้นจึงมิกล้าที่จะกล่าววุ่นวาย พยักหน้ารับคำสั่งสอนแต่โดยดี
                    วานเตสถามว่า “ท่านพ่อรู้สึกได้หรือว่าครั้งนี้จะเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้น”
                    สายตาเวอร์น่อนเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวด้วยเพลิงอำมหิต กล่าวออกมาด้วยความแค้นว่า “ข้าเองยังไม่มั่นใจเสียทีเดียวว่ามันจะมาหรือไม่ แต่ลางสังหรณ์ระดับขอบเขตฟ้าดินบอกข้าว่ามีโอกาสอยู่ครึ่งหนึ่งที่จะเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารซ้ำรอยเดิม”
                    เวอร์น่อนดับสายตาที่เปี่ยมไปด้วยไฟแค้นผุดลุกขึ้น กล่าวต่อไปว่า “คืนนี้จะมีงานเลี้ยงของบรรดาสมาชิกสภาทุกราย ข้าเองจำเป็นที่จะต้องเข้าร่วมพวกเจ้าก็รู้ดี หลังจากที่ข้ากลับมาหวังว่าพวกเจ้าจะเตรียมการทุกอย่างพร้อมสรรพ ตรวจสอบเรื่องราวทุกประการสองหรือสามรอบจนแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดร้ายแรงใดหลงเหลือ” พอกล่าวจบจึงเดินจากไป วานเตสผุดลุกขึ้นอีกคนหนึ่งจากไปเตรียมการเช่นกัน คงเหลือเพียงแต่โรฮันที่นั่งอยู่บนโต๊ะประชุม
                    โรฮันรู้สึกได้ถึงไฟแค้นของเวอร์น่อนพลางสะกิดเพลิงแค้นที่ระอุอยู่ในใจขึ้น เขาไม่ทราบเช่นกันว่าเพลิงแค้นนั้นเป็นความแค้นของใคร มีต้นตอมาจากที่ใด ต่อจากนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกบางสิ่งบางอย่างดลใจให้มองขึ้นไปบนผนังห้อง ภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับเป็นภาพเขียนของเทพเจ้าแห่งสงครามฮัสการ์
                    ดวงตาของโรฮันจ้องอยู่ที่ภาพของฮัสการ์อย่างไม่สามารถละได้ รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะทำลายล้างในเบื้องลึกของจิตใจขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นชั่ววูบหนึ่งแล้วจึงดับสลายไป โรฮันไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับตนเอง ไม่รู้ว่าปรากฏการณ์แปลกประหลาดเมื่อครู่คืออะไร
                    โรฮันไม่รู้แต่กลับมีคนอีกผู้หนึ่งรู้และคนอีกผู้หนึ่งสัมผัสได้
                    เสียงทอดถอนหายใจครั้งหนึ่งดังขึ้นบนยอดหอน้อยกลางน้ำที่ดูเหมือนว่าปราศจากสิ่งมีชีวิต คำนึงในใจว่า มาแล้วสินะ เรื่องที่ข้าไม่ต้องการให้เกิดที่สุด
     
    ในขณะเดียวกัน ลูทที่เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกเดินทางกลับไปถึงบ้านพักชั่วคราวซึ่งเปรียบเสมือนรังลับหมายเลขสอง
                    ลูทเปิดประตูเข้าไปในสภาพที่เหงื่อโทรมกาย กองหน้าไม้ เขี้ยวราชสีห์และกระเป๋าสัมภาระด้านหลังลงบนโต๊ะเป็นการปลดเปลื้องภาระทั้งหลายที่แบกมาทั้งวัน เข้าห้องอาบน้ำใช้น้ำเย็นราดรดร่างจนพอใจจึงเดินออกมา เมื่อมองดูบ้านชั้นล่างกลับไม่เห็นใครจึงแบกของขึ้นบันไดเข้าห้องของตน ผิดคาดเบื้องหน้าเป็นภาพของศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามกำลังนั่งสนทนากันอย่างเคร่งเครียด
                    บลูกล่าวต้อนรับเขาว่า “เจ้าไปต่อยตีกับใครมาจึงมีสภาพเช่นนั้น?
                    โรสกับรินะทั้งสองมองดูลูทด้วยความเป็นห่วง เกรงว่าจะบาดเจ็บบอบช้ำกลับมาเหมือนคราวที่บลูปะทะกับซิฟเฟอร์
                    ลูทมีสีหน้าสงสัยกล่าวว่า “ทำไมเจ้าถึงกล่าวอย่างนั้น ข้ามิได้ไปต่อยตีกับใครเขามา เพียงใช้เวลาในช่วงนี้ฝึกซ้อมวิชาฝีมือจนเหนื่อยอ่อน เจ้าต่างหากที่ไปต่อยตีกับใครเขามามองดูรอยโลหิตบนผ้าคลุมก็รู้”
                    บลูยักไหล่ครั้งหนึ่งกล่าวว่า “จะใครเสียได้อีกนอกจากอัศวินดำหัวแดงพวกนั้น ครั้งนี้โชคช่วยที่มีสระน้ำอยู่ด้านข้างไม่เช่นนั้นข้าคงยากที่จะรอดมาได้ เมื่อครู่พวกข้ากำลังคุยกันอยู่พอดีว่าเจ้าจะถูกรางวัลที่หนึ่งเจอกับวานเตสหรือไม่ ดูท่าทางเจ้ากลับมาครบสามสิบสองแสดงว่าวานเตสมิได้ลงมือกับเจ้า”
                    รินะถามขึ้นในขณะที่ลูทกองของพวกนั้นลงกับพื้นห้องว่า “พี่ลูทของพวกนั้นคืออะไรกัน ข้าเห็นพี่มีกระเป๋าเต็มตัวใส่ของไว้ทั่ว ไม่หนักไม่รำคาญบ้างหรือ”
                    ลูทส่ายหน้าพร้อมกับยกไฮดราขึ้นมากล่าวว่า “ข้ากำลังจะอวดพวกเจ้าอยู่พอดีเชียว นี่เป็นหน้าไม้อัตโนมัติรุ่นที่สองชื่อว่าไฮดรา ข้าปรับปรุงมันให้มีขนาดเล็กกะทัดรัด สร้างด้วยโครงมิทราลทำให้น้ำหนักเบาลงไปเกินครึ่งเหมาะกับการถือไปมาด้วยมือข้างเดียว ครั้งนี้ลดแรงกระแทกของมันให้ผู้หญิงใช้ได้อย่างสบาย บรรจุกระสุนได้มากขึ้นและก็ยิงแม่นขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าพัฒนาขึ้นในทุกๆด้านทีเดียว”
                    รินะขอหน้าไม้ของลูทมาชมดูแต่มิได้ทดลองยิงออกไป นางเห็นว่าแม้เพลงกระบี่ของศิษย์พี่คนนี้จะใช้การไม่ค่อยได้เท่าใดแต่ความสามารถเอลเทคของเขาไม่เป็นสองรองใคร รินะที่เติบโตขึ้นในสาธารณรัฐเอนเซลย่อมมีความรู้ทางด้านเอลเทคมากกว่าผู้อื่นในที่นี้ เนื่องจากเอนเซลเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญด้านนี้สูงยิ่งกว่านอร์ ลาเวนดิสและมิสต์อย่างเทียบกันไม่ติด หน้าไม้อัตโนมัติชิ้นนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นด้วยความประณีต จึงยากที่จะเชื่อได้ว่าเขาสร้างมันขึ้นมาด้วยเวลาเพียงไม่กี่คืนในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน
                    บลูกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามิได้พบกับการลอบสังหารก็ดีแล้ว อัศวินดำหมายเลขสี่คนนั้นฝีมือร้ายกาจมาก และข้าคิดว่าเซเบอรอสหรือเวอร์น่อนคงจะร้ายกาจยิ่งกว่า”
                    โรสลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “พวกเราไปสมทบกับคนอื่นๆที่ร้านสมุนไพรกันเถอะ ข้าคิดว่าการประชุมคงจะสิ้นสุดแล้ว” ลูทกับรินะทั้งคู่ผุดลุกขึ้นตามโรซาไลน์เก็บของเตรียมที่จะไปสมทบกันที่ร้านสมุนไพรอันเป็นรังลับหมายเลขหนึ่ง
                    จังหวะนั้นเองบลูกลับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในใจของตน เลือดลมที่เกิดจากเอลทั้งสี่ประตูในร่างพลันโคจรปั่นป่วนวุ่นวาย ความผิดปกตินั้นคงอยู่เพียงชั่ววูบแล้วก็หายไป เขา “สัมผัส” ได้ถึงอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งมีทิศทางมาจากเมืองชั้นกลางเสียด้วย               
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×