คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : การต้อนรับที่ไม่คาดฝัน
ภาคแผนครองพิภพ
ตอนที่ 6 การต้อนรับที่ไม่คาดฝัน
3 กุมภาพันธ์ อศ. 226
ลูท บลูและโรสซาไลน์ทั้งสามออกเดินทางจากหมู่บ้านเงาจันทร์ในยามสายมุ่งหน้าขึ้นเหนือสู่เมืองเจนีสใต้ในเขตของอาณาจักรลาเวนดิส มีจุดมุ่งหมายจะไปหาเนสเพื่อนของบลูเพื่อที่จะแจ้งข่าวของเวอร์น่อนและมอบสมุดบันทึกให้การาดอสผู้นำกลุ่มประสานเจนีสรับรู้
ลูทแต่งตัวด้วยชุดใหม่สะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหมือนกับชุดที่เลอะๆเทอะๆเช่นเดิมอีก เขาสวมเสื้อผ้าแขนยาวขายาวสีขาวไข่ไก่ ที่ลำตัวสวมเสื้อเกราะที่ทำจากหนังสัตว์ซ้อนกันสองสามชั้นตัดเย็บอย่างเข้ารูป แบกกระเป๋าสะพายหลังใส่อุปกรณ์สำหรับงานประดิษฐ์จิปาถะ ข้างกระเป๋าสัมภาระมีช่องให้เสียบขลุ่ยเลาหนึ่ง ข้างเอวเหน็บกระบี่เหล็กไว้ในฝักหนังชนิดเดียวกับเกราะอ่อน เข็มขัดหนังห้อยตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์หย่อนปลายลงมาเล็กน้อย
บลูเองก็เช่นกัน เขาสวมเสื้อผ้าสีครามขลิบขาวทำจากเนื้อผ้าชั้นดีบางเบา ไม่เกะกะการเคลื่อนไหวของมือยามร่ายเอล คาดหอกยืดหดได้เล่มหนึ่งไว้กลางหลัง ที่ข้อมือห้อยตราสัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์
ส่วนโรสผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดที่เคลื่อนไหวในป่าเป็นเสื้อผ้าสีครีมยาวปลายแขนหลวมกว้าง ภายในมีปลอกแขนทำจากหนังสัตว์เสียบมีดสั้นเอาไว้หลายเล่ม ด้านในเสื้อผ้ายังสวมเกราะอ่อนทำจากหนังสัตว์อีกชั้นหนึ่ง หลังเอวคาดดาบคาทานะสั้นสามารถหยิบใช้ได้ด้วยมือขวา มีกระเป๋าเล็กๆคาดเอวไว้ด้านข้างใส่ของจิปาถะและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเล็กน้อย
ทั้งสามเดินไปพลางสนทนากันไปพลางถึงเรื่องสัพเพเหระต่างๆทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสามก็พ้นจากเขตป่าเขาลำเนาไพรมาถึงถนนสายหลักของอาณาจักรลาเวนดิส
ถนนสายหลักเส้นนี้มีชื่อว่าถนนเหนือใต้ตัดยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ของดินแดนลาเวนดิส ด้านเหนือสุดของถนนเส้นนี้คือเมืองเจนีสใต้จากนั้นตัดลงมาทางใต้ผ่านกรุงเดว่าที่ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของอาณาจักรลาเวนดิส ผ่านเมืองท่าซิลเวอร์แซนด์ซึ่งเป็นสถานที่ค้าขายทางน้ำที่ใหญ่ที่สุดไปจรดปลายแหลมลาเวนดิสซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองวิลลี่ เมืองใหญ่สี่เมืองจากหกเมืองล้วนเชื่อมต่อกันด้วยถนนเหนือใต้
ถนนสายหลักในประเทศลาเวนดิสมีทั้งหมดสองสายสายหนึ่งคือถนนเหนือใต้ ส่วนอีกสายหนึ่งคือถนนที่ตัดเชื่อมจากเมืองทางตะวันตกสู่เมืองทางตะวันออก ซึ่งถนนทั้งสองสายนี้ตัดกันเพียงจุดเดียวที่กรุงเดว่าซึ่งเป็นนครหลวงแห่งอาณาจักรลาเวนดิสเรียกว่าถนนออกตก เชื่อมต่อกับเมืองใหญ่อีกสองเมืองที่เหลือเข้าหากันเป็นรูปกากบาท
พวกลูททั้งสามพบคนสัญจรไปทางทิศเดียวกับพวกเขามากเป็นพิเศษ จึงเกิดความสงสัยว่าจะต้องมีเหตุการณ์ในเมืองเจนีสใต้ที่พิเศษกว่าวันธรรมดาทั่วไป โรสโบกมือให้กับพวกพ่อค้าแม่ค้ากลุ่มหนึ่ง เดินเข้าไปถามรายละเอียดว่า "คุณป้าคะ ขอรบกวนถามสักหน่อยว่าเบื้องหน้ามีเหตุการณ์อะไร ทำไมถึงมีคนมากมายเดินทางไปยังเมืองเจนีส"
แม่ค้าคนหนึ่งในขบวนดูท่าทางใจดีแต่งตัวดีผิดจากแม่ค้าทั่วไป กล่าวตอบว่า "หนูคงเดินทางมาจากเมืองหลวงสินะ ท่าทางจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเมืองเจนีสเท่าใดนัก คือว่าวันนี้เป็นวันครบรอบการก่อตั้งเมืองเจนีสหรือเรียกอย่างภาษาชาวบ้านก็เรียกว่าวันงานประจำปี บรรพบุรุษของชาวเมืองได้ตั้งรกรากที่เมืองเจนีสจึงมีการจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นทุกๆปี ธรรมเนียมนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณตลอดจนปัจจุบัน ในสมัยที่กษัตริย์คนก่อนท่านยังครองเมืองอยู่ก็โปรดให้มีงานเช่นนี้เหมือนกัน"
โรสถามต่อว่า "แล้วคุณป้าขนของมาขายมากขนาดนี้จะขายหมดภายในวันเดียวหรือ"
แม่ค้าใจดีตอบโรสว่า "เปล่าหรอก อาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์ชาวเมืองเจนีสจะจัดงานเทศกาลเฉลิมฉลองขึ้นต่างหากล่ะ พวกหนูเดินทางมาท่องเที่ยวก็อย่าได้พลาดเชียว"
โรสถามว่า "มีอะไรบ้างที่น่าสนใจในงานหรือ"
แม่ค้าตอบว่า "ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดที่รวบรวมพ่อค้าแม่ค้าในแถบนี้ทั้งหมด มีสินค้าข้าวของเครื่องใช้สวยงามน่ารักหลากหลายให้เจ้าเลือก โดยเฉพาะส้มพันธุ์เจนีสนั้นอร่อยที่สุดในบรรดาส้มทั้งมวล"
โรสกล่าวขอบคุณแม่ค้าผู้นั้นแล้วก็เดินมาเล่าเรื่องให้กับเพื่อนทั้งสองฟัง
ลูทและบลูได้ยินที่โรสกล่าวก็คึกคักขึ้นอักโข เกิดความอยากรู้อยากเห็นถึงบรรยากาศงานเทศกาลของเมืองเจนีสใต้ขั้นมาทันที จึงชักชวนกันรีบเดินทางต่อให้รีบไปถึงเมืองเจนีสใต้โดยเร็ว เวลาผ่านไปไม่นานทั้งสามก็มาถึงประตูเมืองเจนีสใต้ ที่ประตูเมืองมีด่านรักษาความปลอดภัยโดยมีทหารหลายคนเฝ้าอยู่ แต่การตรวจตราช่วงนี้ไม่ได้เข้มงวดมากนักเพราะเป็นช่วงงานเทศกาล ผู้คนจำนวนมากซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าหรือไม่ก็นักท่องเที่ยวมายืนเข้าแถวรอเข้าเมือง พวกลูททั้งสามดูท่าทางเหมือนกับนักท่องเที่ยว เมื่อถือเอกสารผ่านทางที่ถูกต้องจากหัวหน้าหมู่บ้านเงาจันทร์ก็สามารถผ่านเข้าเมืองได้อย่างไม่มีปัญหา
ผู้คนในเมืองเจนีสส่วนใหญ่มีผมและนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม บางครั้งก็พบเห็นผู้คนที่มีผมสีน้ำตาลอ่อนผสมปนเปกันไป พวกที่ผมมีสีน้ำตาลอ่อนเกือบจะเป็นผมทองนั้นจะเป็นพวกที่มีเชื้อสายผสมจากคนลาเวนดิส แม่ค้าคนก่อนเมื่อเห็นโรสมีผมสีทองอร่ามจึงคิดว่าโรสเป็นนักเดินทางชาวลาเวนดิสแท้ๆที่อาศัยอยู่ทางใต้ หารู้ไม่ว่าโรสเป็นคนหมู่บ้านเงาจันทร์ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง
บรรยากาศในเมืองเจนีสใต้คึกคักเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับคราวก่อนๆที่บลูและโรสได้มาเยือน ส่วนลูทนั้นเขายังไม่เคยเหยียบเมืองเจนีสใต้แม้สักครั้งเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้สึกดีเป็นพิเศษเมื่อได้มาเปิดหูเปิดตากับสถานที่แห่งใหม่ ลูทพบว่าเมืองเจนีสใต้เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ของตนเอง ตึกรามบ้านช่องของเมืองนี้สร้างด้วยอิฐสีแดงเสียเป็นส่วนใหญ่ ถนนหนทางนอกจากถนนสายหลักแล้วจะเป็นตรอกซอกซอยเล็กๆ ลูทพบเห็นเงาไม้อยู่ทุกหนทุกแห่ง เมืองเจนีสใต้นี้จัดได้ว่ากอปรไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติผสมบ้านเรือน แตกต่างจากเมืองอื่นๆที่ไม่ค่อยจะมีต้นไม้ในเมืองสักเท่าใด
เนื่องจากผู้คนชาวเจนีสใต้ส่วนใหญ่นิยมปลูกผลไม้เลี้ยงชีพ ลูทจึงเห็นร้านผลไม้ตั้งอยู่เต็มสองข้างทางเดินแต่ละร้านจะขายผลไม้เพียงชนิดหรือสองชนิดเท่านั้น ซึ่งเป็นการขายโดยตรงจากสวนของใครของมัน ถ้าหากต้องการผลไม้ชนิดอื่นก็จะนำมาแลกกันด้วยราคายุติธรรม ผลไม้ขึ้นชื่อที่สุดของที่นี่คือส้มดั่งเช่นแม่ค้าใจดีบอก คนส่วนใหญ่จะแขวนส้มลูกหนึ่งเอาไว้หน้าบ้านของตนเองเพื่อให้เป็นสิริมงคลในวันงานประจำปี พออาทิตย์หนึ่งผ่านไป เมื่องานประจำปีสิ้นสุดพวกเขาจะเอาส้มทั้งหมดไปให้กับมูลนิธิต่างๆพร้อมกับบริจาคเงินทำบุญทำทานช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก
เมืองเจนีสใต้มีผู้ปกครองสองคน คนหนึ่งเป็นตัวแทนขององค์ราชินีแห่งลาเวนดิส อีกคนหนึ่งคือการาดอสผู้ที่เป็นตัวแทนจากกษัตริย์กาเรียแห่งรัฐเจนีส ด้วยเหตุที่เมืองเจนีสใต้บอบช้ำจากสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ทำให้มีกองกำลังป้องกันประเทศไม่เพียงพอจึงต้องอยู่ภายใต้ร่มโพธิ์ของอาณาจักรลาเวนดิสซึ่งลาเวนดิสก็ปฏิบัติต่อการาดอสเป็นอย่างดี ทั้งสองจึงร่วมกันปกครองเจนีสใต้เป็นเวลากว่ายี่สิบห้าปี ในช่วงสิบปีแรกนับว่าเป็นทศวรรษแห่งการซ่อมแซมและฟื้นฟูเมืองจากสภาพสงคราม ส่วนสิบห้าปีถัดมาเป็นการพัฒนาเมืองและเสริมสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ โดยการาดอสซ่องสุมกำลังอย่างลับๆ เพื่อที่จะยึดเจนีสเหนือกลับคืนและรวมเจนีสเหนือใต้ให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง
เหมืองเอลไลท์สามแห่งที่พบในรัฐอิสระเจนีสเมื่อกาลก่อนมีสองแห่งอยู่ในอาณาเขตเมืองเจนีสใต้หรือในอาณาเขตของอาณาจักรลาเวนดิสในปัจจุบัน ส่วนอีกเหมืองหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือในอาณาจักรนอร์ ผู้คนเมืองเจนีสทั้งสองแห่งมีฐานะความเป็นอยู่ดี เนื่องจากแร่เอลไลท์พวกนี้ที่ทำรายได้เสริมให้กับพวกเขาอย่างมหาศาล การาดอสวางนโยบายจำหน่ายแร่เอลไลท์ให้กับทางการลาเวนดิสและนครมิสต์ นำกำไรที่ได้มาพัฒนาบ้านเมืองกระตุ้นเศรษฐกิจ
เมื่อทั้งสามเดินชมบรรยากาศงานครบรอบหนึ่ง บลูก็พบเห็นรหัสที่เนสทำเอาไว้จึงชักชวนเพื่อนทั้งสองให้ไปพบกับเนสตามที่รหัสบ่งบอก รหัสนี้เป็นรหัสที่บลูกับเนสใช้กันอยู่สองคนตั้งแต่วัยเด็กดังนั้นบลูจึงไม่เคลือบแคลงสงสัยว่าเป็นรหัสปลอมหรือกับดักใดๆของฝ่ายตรงข้าม
ทั้งสามเดินมาถึงบ้านพักแห่งหนึ่งบลูเคาะประตูตามที่เนสบ่งบอกไว้ในรหัส สักครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงของเนสให้เชิญเข้าไปได้
บลูรู้สึกแปลกใจที่เนสไม่ได้มาเปิดประตูต้อนรับพวกเขาด้วยตนเองแต่กลับบอกให้พวกเขาเดินเข้าไปบ้านพัก โดยปกติแล้วเนสจะมาเปิดประตูต้อนรับเขาเองเสมอจึงผิดสังเกตเล็กน้อย
พอบลูเปิดประตูเข้าไปภาพที่ทั้งสามเห็นคือชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มรูปร่างเล็กคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนบนของเขาตั้งขึ้นพิงกับหมอนเอนด้านหลัง เนสมีสีหน้าอิดโรยเหมือนคนเสียโลหิตเป็นจำนวนมาก คาดว่าได้รับบาดเจ็บถึงขนาดไม่สามารถเดินเหินได้สะดวก
บลูตกใจมากถามเนสว่า "เกิดเรื่องราวอันใดขึ้น เจ้าถึงได้รับบาดเจ็บขนาดนี้"
เมื่อเนสเห็นลูทและโรสจึงถามที่มาที่ไปของทั้งสองก่อนที่จะตอบคำถามของบลู บลูตอบเนสว่า "ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทของข้าและเป็นศิษย์ของอาจารย์ดาธเช่นเดียวกับข้า" พอได้ยินเนสจึงวางใจเพราะบลูเป็นหนึ่งในบุคคลที่พยายามช่วยเหลือเมืองเจนีสอย่างสุดความสามารถและเป็นเพื่อนสนิทของเขา
เนสแนะนำตัวเองว่า "ข้าชื่อเนส มูนรีฟเวอร์เป็นชาวเมืองเจนีสแท้โดยเชื้อสาย ทำงานอยู่ภายใต้สังกัดของท่านผู้นำการาดอส ยินดีที่ได้รู้จักสหายทั้งสอง" เมื่อเนสกล่าวจบทั้งลูทและโรสก็ผลัดกันแนะนำตัวเอง
บลูถามว่า "เจ้าเป็นอย่างไรมาอย่างไรถึงได้มีสภาพเช่นนี้"
เนสเล่าให้ฟังว่า "หลังจากที่ข้าแยกตัวกับเจ้าที่ชายป่า ข้าก็ปลดรถทิ้งกระโดดขึ้นควบม้าตะบึงหนีพวกทหารไปยังชายแดนทำให้พวกมันไม่สามารถใช้ความมีเปรียบด้านพาหนะตามข้าได้ทันอีก เมื่อข้าควบม้าไปถึงด่านตรวจก็ยังไม่มีสัญญาณอันตรายใดๆ จนข้าผ่านจุดตรวจไปได้ระยะหนึ่งควบม้าข้ามสะพานที่เชื่อมระวังเจนีสเหนือใต้เพื่อที่จะข้ามมายังเขตลาเวนดิส
จังหวะนั้นเองที่ข้ากำลังข้ามสะพานทหารพวกนั้นรุดตามมาจนทัน มีนายทหารคนหนึ่งผิวดำเมี่ยมสูงเกือบสองเมตรรูปร่างใหญ่โตสั่งการให้จับกุมข้า ข้าอยู่ห่างจากพวกมันราวสิบยี่สิบเมตรจึงควบม้าหนีมาอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อข้าข้ามสะพานมาได้ครึ่งทางกลับได้ยินเสียงลูกศรแหวกอากาศมาอย่างรุนแรง ข้าหันกลับไปเอากระบองปัดป่ายลูกศรเพื่อป้องกันตัว ที่ไหนได้ลูกศรที่ยิงมากลับมีด้วยกันทั้งหมดสามดอก ข้าปัดได้ดอกหนึ่งหลบได้อีกดอกหนึ่งส่วนดอกสุดท้ายปักเข้าที่ส่วนท้องของข้า โชคยังดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ ได้แต่กระตุ้นม้าให้วิ่งต่อไป ข้าเกือบหมดสตินอนพาดอยู่บนหลังของมันอาศัยม้าคู่ขาของข้าหนีพวกมันมาได้ พอข้ามมาถึงฝั่งเมืองเจนีสใต้ก็พบกับพี่น้องสังกัดเดียวกันข้าถึงเอาชีวิตรอดมาได้
หลังจากนั้นมาข้าก็ต้องพักผ่อนอยู่แต่ในบ้านหลังนี้ไม่สามารถออกไปไหนได้สะดวก อย่างน้อยข้าต้องพักรักษาตัวอีกราวสองเดือนกว่าจะเดินเหินได้เป็นปกติ สมุดเล่มนั้นล่ะโดนแย่งชิงไปหรือไม่ ขอข้าเปิดดูหน่อยได้ไหม"
บลูพยักหน้าคราหนึ่งตอบว่า "สมุดยังอยู่กับข้าโดยปลอดภัย"
เนสรับมาเปิดดูผ่านๆก็พบว่าเป็นบัญชีการซื้อขายอาวุธและการจ่ายเงินให้ทหารที่มีมากผิดปกติ เขายื่นกลับคืนมาให้บลูอีกครั้งพร้อมกับกล่าวว่า "ข้าขอฝากเจ้านำสมุดเล่มนี้ไปให้ท่านการาดอสด้วย จำไว้ว่าต้องให้ท่านกับมืออย่าให้ผ่านบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นอันขาด สถานการณ์ตอนนี้เริ่มจะถึงขั้นวิกฤตแล้ว ถ้าเกิดเหตุผิดพลาดเพียงสักนิดหนึ่งก็ไม่สามารถจะชดเชยความเสียหายใดๆได้"
บลูรับหนังสือเล่มนั้นกลับคืนมาแล้วกล่าวว่า "หรือเจ้าหมายถึงไส้ศึก"
เนสพยักหน้าคราหนึ่งกล่าวว่า "ใช่ เช่นนั้นข้าจึงไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายในบ้านหลังนี้ เพราะข้าถือว่าเป็นศูนย์กลางของข่าวสารในกลุ่มประสานเจนีส หากมีไส้ศึกคนใดคนหนึ่งเข้ามาพบข่าวสารที่สำคัญจะเป็นอันตรายต่อพวกเราทั้งกลุ่ม แล้วเจ้าล่ะเป็นมาอย่างไรบ้างถึงได้มาพร้อมกับเพื่อนทั้งสองคนนี้"
บลูเล่าเรื่องการหนีข้ามแม่น้ำ การต่อสู้กับอัศวินดำจนไปถึงเรื่องที่พบพานกับบลูและโรสให้เนสฟัง แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องราวที่หมู่บ้านเงาจันทร์
เนสผู้เป็นข่าวกรองมือหนึ่งขององค์กรพอได้ยินดังนั้นจึงเริ่มเข้าใจ กล่าวว่า "จนถึงบัดนี้ข้าถึงมั่นใจได้สิบส่วนว่าหน่วยอัศวินดำต้องมีปัญหา เวอร์น่อนคงจะต้องบงการให้หน่วยอัศวินดำกำจัดเสี้ยนหนามทั้งหมดเพื่อที่จะเริ่มการปฏิวัติขึ้น ตอนแรกข้าก็สงสัยว่าผู้ที่ยิงธนูใส่ข้าเป็นหนึ่งในอัศวินดำหรือไม่ ความจริงแล้วก็ใช่ตามที่ข้าคาดคิด"
โรสเอ่ยปากเป็นครั้งแรกก็ถามว่า "แล้วเจ้าพอจะรู้เรื่องของอัศวินดำบ้างไหม"
เนสตอบว่า "ข้าพอจะมีข้อมูลของพวกมันบ้าง ทหารกลุ่มนี้มีทั้งหมดเก้าคนซึ่งเป็นคนที่มีฝีมือระดับแนวหน้าทั้งสิ้น พวกเขาล้วนได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีโดยแบ่งเป็นหัวหน้าคนหนึ่งและลูกน้องอีกแปดคน ข้ามั่นใจว่าคนที่ยิงธนูใส่ข้านั้นคือศรพิฆาตเอริคผู้ที่อยู่อันดับสามในเก้าของอัศวินดำ ส่วนคนที่สู้กับเจ้าต้องเป็นหอกปลิดชีพโทมัสผู้ที่อยู่อันดับแปด นอกจากนั้นอีกเจ็ดคนข้ารู้จักเพียงสามคนคืออันดับหกกระบี่ดำทานากะ อันดับเจ็ดพัดฟ้าดินลีโซลมี และหัวหน้าของพวกมันเซเบอรอส เซเบอรอสเป็นเพียงคำเรียกขานของตำแหน่งเท่านั้นไม่ใช่ชื่อจริง คำว่าเซเบอรอสเป็นชื่อเรียกของสัตว์ในตำนานตัวหนึ่งซึ่งเป็นสุนัขดุร้ายที่มีสามหัวและมีหางเป็นงูอาศัยอยู่ในนรก คนที่ดำรงตำแหน่งเซเบอรอสจะเป็นหัวหน้าของอัศวินดำอีกแปดคน เพียงรับคำสั่งจากหัวหน้าคณะผู้ปกครองของนอร์ทั้งสามเท่านั้น เซเบอรอสมีฝีมือร้ายกาจและร่องรอยก็มิดชิดแทบจะไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน"
ลูทจำชื่อหอกปลิดชีพโทมัสไว้มั่น โทมัสคนนี้เป็นคนที่ตามล่าบลูและสร้างความปั่นป่วนให้แก่พวกเขาที่หน้าหมู่บ้านเงาจันทร์ สักวันหนึ่งเขาจะต้องเอาคืนให้จงได้
บลูถามเนสว่า "ข้าจะพบผู้นำการาดอสได้อย่างไร"
เนสตอบว่า "ในตอนนี้ท่านผู้นำไม่อยู่ในเมือง ท่านเดินทางไปปูทางที่เมืองเจนีสเหนือ"
บลูกล่าวว่า "เจ้าหมายถึงการปลดแอกเมืองเจนีสเหนืออย่างนั้นหรือ"
เนสพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า "จะว่าอย่างนั้นก็ถูก ท่านผู้นำเดินไปเตรียมการด้านต่างๆให้เรียบร้อย ข้าเองเนื่องจากนอนบาดเจ็บก็ยังไม่ได้พบกับท่าน ได้แต่ส่งพิราบสื่อสารไปเล่าเรื่องราวโดยสังเขป"
ลูทขมวดคิ้วกล่าวว่า "การที่ผู้นำการาดอสเดินทางข้ามไปยังเขตของอาณาจักรนอร์นั้นไม่เป็นอันตรายอย่างนั้นหรือ"
เนสยิ้มพลางกล่าวว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าชาวเมืองเจนีสทั้งเหนือใต้ต่างก็ให้ความเคารพต่อท่านผู้นำการาดอส ข้าสามารถรับประกันได้ด้วยชีวิตข้าว่าหากท่านยังมิได้ออกจากเขตเมืองเจนีส ไม่ว่าจะเป็นเขตเหนือหรือใต้รับรองว่าไม่มีผู้ใดทำอันตรายท่านได้"
โรสถามว่า "แล้วถ้าหากฝ่ายตรงข้ามส่งมือสังหารมาจะเป็นอย่างไร"
เนสตอบว่า "ผู้นำการาดอสผ่านศึกสงครามเจนีสมาได้โดยปลอดภัย หากท่านไม่ได้มีความสามารถอันแท้จริงคงจะถูกลอบสังหารไปกว่าร้อยครั้งแล้ว เรื่องนี้เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก ฐานบัญชาการที่เมืองเจนีสเหนือของเราก็มิได้ยิ่งใหญ่น้อยไปกว่าเมืองเจนีสใต้แต่ประการใด อีกทั้งที่นั่นยังมีขุนพลคู่ใจคอยทำหน้าที่คุ้มกันท่านการาดอสอยู่อีกสองคน"
โรสยังสงสัยอยู่จึงถามว่า "แล้วถ้าอย่างนั้นที่พวกเจ้าสองคนไปขโมยสมุดบันทึก ทำไมถึงต้องรีบควบรถม้ากลับมายังเจนีสใต้ด้วยเล่า ถ้าหากพวกเจ้าซ่อนตัวอยู่ที่เจนีสเหนือก็คงจะปลอดภัยไร้เรื่องราวแล้ว"
เนสฝืนยิ้มครั้งหนึ่ง กล่าวว่า "นั่นเป็นเพราะพวกเราไปตอแยกองบัญชาการทหารทั้งกองกำลัง รังของพวกเราในเมืองเจนีสเหนือถึงจะใหญ่ก็จริงแต่ก็หลบซ่อนอยู่ตามบ้านเรือนชาวเมือง ถ้าหากพวกเราหนีไปซ่อนตัวอยู่ที่นั่นก็คงจะไม่พ้นการตรวจค้นขนานใหญ่ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อรากฐานของพวกเราที่แทรกซึมไปก่อนหน้านี้ได้ การที่พวกเราควบรถม้าหนีข้ามชายแดนมาก็เพราะเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือการหลอกให้ศัตรูตายใจ ไม่ให้พวกมันรู้ว่าพวกเรามีรังลับอยู่ในเขตเจนีสเหนือ นี่เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว"
บลูยักไหล่ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า "หรืออาจจะเป็นยิงปืนนัดเดียวไม่ได้นกสักตัวก็เป็นได้ ถ้าหากทั้งข้าและเจ้าหลบหนีไม่พ้น ถูกพวกมันจับกุมพร้อมของกลาง"
เนสหัวเราะฮาๆ กล่าวว่า "มารดามันเถอะ อย่างไรก็ตามพวกเราทั้งสองก็มีชีวิตรอดมาถึงบัดนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องนอนอยู่บนนี้อีกสองเดือนก็ยังคุ้มอยู่"
บลูสอบถามเนสกับเรื่องราวอื่นๆอีกพักหนึ่งกล่าวถามถึงรายละเอียดการติดต่อกับการาดอสในเมืองเจนีสเหนือ เนสบ่งบอกวิธีการติดต่อว่าจะต้องติดต่อกับคนกลางก่อนถึงจะสามารถไปพบการาดอสได้ เมื่อทั้งบลูและเนสตกลงในรายละเอียดปลีกย่อยกันเรียบร้อยแล้ว บลูจึงชักชวนเพื่อนทั้งสองจากบ้านพักของเนส
นับว่าทั้งเนสและบลูมีดวงชะตากล้าแข็งที่หนีรอดจากเงื้อมมือของอัศวินดำได้
พอถึงเวลาเที่ยงเศษๆทั้งสามก็รู้สึกหิวโหย
พวกเขาเดินไปตามถนนที่จัดงานเห็นร้านรวงทั้งสองฟากขายของกินส่งกลิ่นหอมฉุยยั่วน้ำลายผู้คนที่เดินเที่ยวงาน พวกลูททนทานไม่ได้จึงรุดไปรับประทานอาหารที่ร้านข้างเคียงร้านหนึ่ง พอนั่งลงลูทที่หิวโซก็สั่งอาหารพิเศษข้าวผัดเจนีสทันที อาหารชนิดนี้จะจัดปรุงแค่ในช่วงเทศกาลนี้เท่านั้น ผู้ที่ดื่มกินบนโต๊ะข้างเคียงก็สั่งข้าวผัดเจนีสเช่นเดียวกันนี้ มีกลิ่นหอมชวนรับประทานยิ่ง ส่วนประกอบที่สำคัญของข้าวผัดเจนีสคือข้าว ไข่ เต้าหู้ ผัก เนื้อส้ม เนื้อสัตว์สองสามชนิดและเครื่องปรุงชนิดพิเศษที่เป็นหลักสูตรเฉพาะของชาวเมืองเจนีสเอง พออาหารวางบนโต๊ะทั้งสามก็ไม่รีรอดื่มกินเป็นการใหญ่ โรสรู้สึกว่าข้าวผัดเจนีสมีรสชาติของส้มที่แปลกกว่าอาหารชนิดอื่น แต่เมื่อปรุงร่วมกับเครื่องปรุงชนิดพิเศษก็ทำให้รสชาติกลมกล่อม เอร็ดอร่อยสมกับเป็นอาหารที่ปีหนึ่งจะมีการทำขายเพียงอาทิตย์เดียว
เมื่อโรสรับประทานเสร็จก็ขอตัวออกไปเดินชมของซื้อของตามร้านรวงต่างๆ โรสกล่าวกับเพื่อนทั้งสองว่าประมาณหนึ่งชั่วโมงจะกลับมาเจอกันที่ร้านอาหารแห่งนี้อีกครา เมื่อโรสจากไปบลูกับลูทหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง ไม่เห็นจะมีสินค้าอะไรที่พวกเขาจำเป็นจะต้องออกไปเดินดูเลยสักอย่างเดียว แต่เมื่อมีเวลาว่างอีกประมาณชั่วโมงหนึ่งบลูจึงบอกลูทว่าตนเองจะไปนั่งกรรมฐานสักพัก เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมกับการเดินทางในช่วงบ่าย การเดินทางล่วงเข้าไปในอาณาเขตของอาณาจักรนอร์อาจจะมีเรื่องที่จะต้องออกแรงมากกว่าปกติเกินขึ้น
เมื่อเพื่อนทั้งสองแยกจากไปลูทก็เดินทอดน่องไปตามทางที่มีของขายเรื่อยเปื่อย มันเป็นนิสัยติดตัวของเขาตั้งแต่เล็กเมื่อเขาเดินก็จะคิดอะไรเพลินๆโดยไม่มีจุดมุ่งหมาย สิ่งที่เขาคิดส่วนใหญ่แล้วจะไม่พ้นงานประดิษฐ์หรือโน้ตเพลงที่เขากำลังจะประพันธ์ เขาพบเห็นแม่ค้าที่โรสไปถามเมื่อเช้าดูท่าทางเป็นคุณนายในร้านขายเครื่องประดับ มิน่าเล่าแม่ค้าคนนี้จึงสามารถตอบคำถามได้เป็นฉากๆ หากเป็นชาวบ้านทั่วไปคงไม่พูดจาเช่นนั้น
เวลาผ่านไปพักหนึ่งลูทก็นึกอะไรออกอย่างหนึ่ง เดินไปซื้อลูกแก้วทรงกลมมาทั้งหมดสามลูกมีขนาดใหญ่กว่าไข่ไก่เล็กน้อย จากนั้นเขาก็ไปนั่งตามสวนสาธารณะง่วนอยู่กับงานประดิษฐ์จนมิได้ทำอะไรอย่างอื่น เวลาชั่วโมงหนึ่งผ่านไปในพริบตา
ทั้งสามนัดมาพบกันอีกครั้งที่หน้าร้านอาหารกลางวันโดยที่บลูออกมานั่งรออยู่ก่อนเป็นคนแรก โรสที่พึ่งเดินซื้อของเสร็จก็พบว่าใบหน้าของโรสเป็นสีแดงระเรื่อเพราะตากแดดมากเกินไป เธอซื้อหมวกสีชมพูสดใสมาหนึ่งใบพอใส่แล้วช่วยขับเสื้อผ้าอาภรณ์สีเรียบที่โรสสวมใส่ทำให้ดูแล้วสวยงามขึ้นไปอีก ผู้ชายหลายคนที่เดินดูสินค้าพื้นเมืองต่างก็จับจ้องมาที่โรสซึ่งเธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร บลูเมื่อพักผ่อนเต็มที่ใบหน้าแจ่มใสสดชื่นพร้อมที่จะเดินทางต่อทุกเมื่อ ทั้งสองยืนคุยกันอยู่สักพักลูทก็เดินมาถึง
ลูทแบมือขอกล่องแก้วจากโรสกล่าวว่า "โรสช่วยเอากล่องแก้วที่ข้าเคยให้ไปมาหน่อยสิ"
"ให้แล้วเอาคืนมะรืนนี้ตาย" โรสกล่าวทีเล่นทีจริงแต่ก็ส่งกล่องแก้วคืนให้กับลูท ลูทติว่าบ้าครั้งหนึ่งแล้วก็รับกล่องนั้นมาเปิดออกด้วยวิธีเฉพาะของเขา เอานิ้วคีบทับทิมสีแดงสดใสออกมาจากกล่องแก้ว
ลูทหยิบทับทิมมาเก็บเอาไว้แล้วก็นั่งลงที่ม้าหินแถวนั้น เขาหยิบของขึ้นมาหลายชิ้นจับชิ้นโน้นใส่ตรงนี้ จับชั้นนี้ใส่ตรงนั้น ง่วนอยู่กับการประกอบอุปกรณ์ทั้งหลายอยู่พักใหญ่ ปล่อยให้บลูกับโรสยืนงงเป็นไก่ตาแตกว่าลูทจะทำอะไรกันแน่
"เสร็จแล้ว" ลูทกล่าวเสียงดังด้วยความยินดีพร้อมกับยื่นลูกแก้วให้บลูกับโรสคนละลูก ทั้งบลูและโรสพอรับลูกแก้วมาก็สงสัยจึงถามลูทว่ามันคืออะไร
ลูทตอบว่า "เครื่องมือชิ้นนี้เรียกว่าลูกแก้วเชื่อมสัมพันธ์ อืม ... ชื่อยาวไปเอาเป็นชื่อลูกแก้วเชื่อมโยง เอ่อ ... ไม่เก๋ อย่างนั้นชื่อ ..."
"ลูกแก้วสามสหาย" โรซาไลน์ชิงกล่าวขึ้นมา เมื่อเธอพอจะคาดเดาออกได้ว่าสิ่งประดิษฐ์นั้นคืออะไร
"ก็ได้ลูกแก้วสามสหาย" จากนั้นลูทกล่าวต่อไปว่า "พวกเจ้าคงคาดเดาออกแล้วว่ามันเอาไว้ทำอะไร แต่ไม่เป็นไรข้าอยากอธิบาย ดังนั้นข้าก็จะอธิบายให้พวกเจ้าฟังถึงแม้ว่าจะคาดเดาออกแล้ว ลูกแก้วแต่ละลูกใส่อัญมณีสามสีไว้ด้านใน สีแดงหมายถึงโรส สีน้ำเงินหมายถึงบลู ส่วนสีเขียวคือตัวข้าเอง สังเกตว่าหินสีน้ำเงินในลูกแก้วของข้าจะชี้ไปยังทางที่บลูยืนอยู่ตลอด ส่วนหินสีแดงก็จะชี้ไปทางที่โรสยืนอยู่ ในขณะที่หินสีเขียวจะอยู่นิ่งตรงกลางทำหน้าที่เป็นแกนบ่งบอกตำแหน่งของข้าพเจ้าให้พวกเจ้ารู้"
บลูและโรสทั้งสองก็โห่ร้องชมเชยลูทถามว่า "เจ้าสร้างมันขึ้นมาได้อย่างไรนี่"
ลูทกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า "ความจริงแล้วข้าได้ความคิดนี้มาจากตอนที่อยู่ใต้ก้นหุบเขาไม้ดอก แท่งแก้วอันก่อนมันเป็นแท่งที่ต้องนอนอยุ่ในระนาบเดียวกันถึงจะระบุตำแหน่งของอีกฝั่งได้ เมื่อครั้งนั้นโรสเดินลงมาจากด้านบนทำให้แท่งแก้วอันเก่าของข้าหมุนมั่วไปมาอยู่สักพักกว่าข้าจะหาระนาบที่ถูกต้อง จนสามารถระบุตำแหน่งโรสได้ หลังจากเหตุการณ์นั้นข้าจึงคิดว่าถ้าเปลี่ยนแปลงภาชนะที่ใส่จากทรงกระบอกเป็นทรงกลมแล้วก็ มันจะสามารถระบุตำแหน่งได้รอบทิศ ที่ดีไปกว่านั้นก็คือภาชนะทรงกลมทำให้ใส่อัญมณีลงไปได้มากกว่าหนึ่งลูกด้วย เช่นนี้ข้าก็ไม่ต้องพกกล่องแก้วทรงกระบอกหลายอัน แค่มีลูกแก้วสามสหายนี่เพียงลูกเดียวก็ใช้การได้แล้ว"
หากอาจารย์ดาธมาเห็นลูทในตอนนี้คงจะตกตะลึงไปยิ่งกว่า เขาคงจะคิดไม่ถึงว่าการปรับปรุงแก้ไขง่ายๆ จะทำให้อุปกรณ์ชี้ตำแหน่งดีขึ้นผิดหูผิดตา
พอบลูและโรสรับของเล่นชิ้นใหม่ที่ลูทสร้างขึ้นไว้ก็ชวนกันเดินทางออกจากเมืองไปทางสะพานข้ามแม่น้ำเจนีส ทั้งสามต้องเดินทางผ่านด่านตรวจคนเข้าอาณาจักรนอร์มุ่งหน้าสู่เมืองเจนีสเหนือ โรสรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้อยู่เที่ยวงานประจำปีของเมืองเจนีสใต้ให้สมใจ แต่จะทำอย่างไรได้พวกเขามีภารกิจด่วนที่จะต้องปฏิบัติ
เมืองเจนีสเหนือตั้งอยู่ตอนบนของแม่น้ำเจนีส นับจากด่านตรวจคนเข้าประเทศไปถึงเมืองเจนีสเหนือเป็นระยะทางเกือบสิบกิโลเมตร
ทั้งสามเดินทางด้วยเท้าจะต้องใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงจึงจะเดินไปถึงตัวเมืองเจนีสเหนือ ระหว่างทางที่เดินลูทมองไปรอบด้านสำรวจทิวทัศน์รอบที่ราบลุ่มสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจนีสอันกว้างใหญ่ ระหว่างด่านตรวจคนเข้าเมืองไปจนถึงตัวเมืองมีป่าไม้อยู่ทางด้านทิศตะวันออก ชายป่าตรงนี้เองเป็นสถานที่ที่บลูหลบหนีเข้าไปคราวก่อน อาศัยสะพานไม้ข้ามแดนไปยังลาเวนดิส พื้นที่ส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่การเกษตรสำหรับทำนาทำไร่ พวกเขาพบเห็นแปลงเกษตรปลูกข้าวเต็มไปหมด
ด้านข้างท้องนาจะเห็นกระท่อมหลังเล็กๆอยู่ประปราย เป็นที่พักของชาวนาช่วงที่ออกมาเพาะปลูกในแปลงเกษตร วิถีชีวิตของชาวเมืองเจนีสเหนือเน้นทางด้านการทำนา ต่างกับชาวเมืองเจนีสใต้ที่เน้นทางด้านการปลูกพืชผักผลไม้ ชีวิตประจำวันของชาวนาที่นี่คือออกจากเมืองมาแต่เช้าตรู่เพื่อทำไร่ไถนาตอนกลางวัน ตอนเที่ยงก็จะเข้าพักไปรับประทานอาหารตามกระท่อมหลังเล็กๆเหล่านี้ พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าก็จะกลับเข้าเมืองไปพักผ่อนใช้เวลาอยู่กับครอบครัว จวบจนถึงวันหยุดก็จะออกไปท่องเที่ยวพักผ่อน วนไปเช่นนี้ทุกวันเป็นวงจรชีวิตอันสุขสงบ
เมื่อเดินกันไปได้สักพักหนึ่ง มีความรู้สึกวูบเข้ามาในใจของบลูอย่างบอกไม่ถูก เขาถึงกับหยุดชะงักลงบอกให้เพื่อนทั้งสองระวังตัว ประสาทความรู้สึกของผู้ที่ใช้เอลมักจะรู้สึกถึงเอลได้ก่อนผู้อื่นอยู่เสมอ ในบุคคลทั้งสามบลูเป็นผู้ที่ใช้เอลได้เก่งที่สุดจึงเกิดความรู้สึกถึงเอลของฝั่งตรงข้ามได้ก่อน และก็จริงอย่างที่คาด สายตาของนายพรานหนุ่มลูทเห็นคนสองคนเดินออกมาจากกระท่อมปลายนาเหมือนกำลังรอต้อนรับพวกเขาโดยเฉพาะ เขาจึงชี้ให้เพื่อนทั้งสองดู
"นึกไม่ถึงว่าจะเจอกันที่นี่อีกครั้ง" โทมัสเจ้าของฉายาหอกปลิดชีพหนึ่งในเก้าอัศวินดำเดินออกจากกระท่อมมาที่พวกเขา ด้านหลังโทมัสมีหญิงสาวนางหนึ่งดูจากภายนอกเห็นว่าอายุไม่เกินยี่สิบหกปีผิวขาวราวกับหยวก เธอมีผมสีดำขลับ แต่งเครื่องแบบที่ทนดาบทนกระบี่เช่นเดียวกับโทมัส ในมือถือพัดอยู่ด้ามหนึ่ง ลูทเดาได้ไม่ยากว่าคงจะเป็นพัดฟ้าดินลีโซลมีที่เป็นหนึ่งในเก้าอัศวินดำเช่นกัน
พอเห็นดังนั้นทั้งสามต่างชักอาวุธออกมากระชับไว้ที่มือ หอกของบลู กระบี่ของลูทและมีดสั้นคู่ของโรส บลูเดินนำหน้าเพื่อนทั้งสองออกไปก้าวหนึ่งกล่าวว่า "ไม่ต้องกล่าวมากความ พวกเจ้าต้องการอะไร"
โทมัสเดินเข้ามาอีกสามสี่ก้าวพอได้ยินบลูถามดังนั้นจึงหัวเราะอยู่พักหนึ่ง กล่าวว่า "นี่ยังต้องให้ข้าตอบอีกหรือ ขอเพียงพวกเจ้ามอบสมุดบันทึกออกมาข้าก็จะให้พวกเจ้าตายอย่างไม่ทรมาน"
บลูได้ยินดังนั้นจึงทราบว่าไม่มีการตกลงกันด้วยดีได้แน่นอน เขากล่าวเบาๆเพียงแต่ให้ลูทและโรสได้ยินว่า "คนนี้ปล่อยข้าเอง ฝากพวกท่านทั้งสองจัดการกับผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังด้วย"
พอบลูกล่าวจบเขาก็ใช้โคจรเอลไปรอบด้านเร่งเร้าประสาทสัมผัส ตรวจสอบว่ามีทหารฝั่งตรงข้ามซ่อนตัวอยู่ในละแวกใกล้เคียงหรือไม่ โชคดีที่เขาไม่รู้สึกอะไรจึงคาดเดาว่าการพบกันครั้งนี้เป็นเพียงความประจวบเหมาะบังเอิญเท่านั้น มิใช่เป็นการยกกำลังมาดักรอเพื่อจัดการพวกเขาทั้งสาม บลูคิดว่าทางฝั่งอัศวินดำก็คงคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะเดินทางข้ามมาฝั่งนี้อีกรอบในเมื่อสามารถหนีรอดไปถึงฝั่งลาเวนดิสได้ จากนั้นเขาจึงสรุปว่าทั้งสองคนนี้ต้องมาด้วยจุดประสงค์อื่นเป็นแน่ แต่ว่าจะเป็นอะไรนั้นเขาไม่สามารถคาดเดาได้
การต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คราวนี้ดูเผินๆพวกลูทอาจจะเป็นฝ่ายมีเปรียบเพราะมีคนมากกว่าอยู่หนึ่งคนทำให้เป็นการต่อสู้แบบสามต่อสอง แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าคนมากกว่าจะได้เปรียบเสมอไป คราก่อนที่ลูทปะทะกับอัศวินดำโทมัสเขาก็รับรู้ถึงความสามารถของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าขณะนั้นบลูจะหมดสิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้แต่เขาก็มั่นใจว่าถึงใช้สามกลุ้มรุมหนึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเอาชนะโทมัสได้หรือไม่
แค่อัศวินดำคนหนึ่งก็นับว่าตึงมือมากแล้ว แต่นี่มีอัศวินดำปรากฏตัวมาถึงสองคน มิหนำซ้ำคนที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ยังเก่งกว่าคนที่พวกเขาเคยสู้ด้วย ลูทไม่กล้าคำนึงว่าพวกเขาจะชนะหรือไม่ เพียงแต่จะเอาตัวรอดได้อย่างไร
ในครั้งนี้บลูอาสาสู้หนึ่งต่อหนึ่งกับโทมัสอาจจะเกินตัวไปบ้าง แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในแผนการที่บลูวางไว้ พอลูทได้ยินดังนั้นก็เข้าใจถึงกลยุทธ์ของบลูที่พยายามจะใช้ บลูซึ่งมีความสามารถมากที่สุดในหมู่พวกเขาจะยันโทมัสเอาไว้ ปล่อยให้โรสและตัวเขาเองใช้สองรุมหนึ่งเอาชัยลีโซลมีจากนั้นจึงกลับมาประสานกำลังช่วยบลูอีกแรงหนึ่ง นี่เป็นแผนที่เสี่ยงอย่างมากเพราะถ้าปรากฏว่าบลูพ่ายแพ้ก่อนที่ลูทและโรสจะเอาชนะก็หมายความว่าพวกเขาพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง หรือถ้าลูทและโรสแพ้ก็จะลงเอยเช่นเดียวกัน
เมื่อบลูกดปุ่มกลไกด้านข้างด้ามหอก หอกสั้นของบลูก็ยืดด้ามจับออกมากลายเป็นหอกยาว บลูกล่าวเหน็บแนมโทมัสว่า "อัศวินดำอย่างเจ้าไม่เห็นจะมีความสามารถอันใด แท้ที่จริงเป็นแต่เพียงฉวยโอกาสซ้ำเติม ต้องรอให้เหล่าลูกน้องสู้ก่อนถึงจะยอมลงมือ คนแบบนี้ให้ข้าจัดการเพียงคนเดียวก็พอแล้ว"
บลูมีเจตนาเหน็บแนมโทมัสเพื่อจะยั่วให้โทมัสโกรธไม่คงอยู่ในความสงบ เขาอาจจะสามารถฉกฉวยความมีเปรียบได้บ้าง
โทมัสซึ่งเป็นถึงอัศวินดำย่อมดูออกว่าบลูต้องการอะไรจึงไม่หลงกลบลูง่ายๆ กล่าวตอบกลับไปว่า "เด็กน้อยเช่นเจ้ากำลังจะยั่วให้ข้าโกรธอย่างนั้นหรือ ข้าคงจะไม่เล่นเกมสงครามคารมเล็กๆน้อยๆกับเจ้าหรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องการต่อสู้หอกของข้าก็ไม่ปฏิเสธ"
โทมัสกล่าวกับลีโซลมีเบาๆว่า "เจ้าผมสีน้ำเงินคนนี้ปล่อยให้ข้าจัดการ"
ลีโซลมีพยักหน้าครั้งหนึ่งเอ่ยปากเป็นครั้งแรก ตอบโทมัสไปด้วยเสียงที่จงใจให้ลูทและโรซาไลน์ได้ยินว่า "ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่นกับสองคนนี้เอง"
หลังจากสิ้นคำสนทนาโทมัสก็พุ่งตรงเข้าไปหาบลูด้วยความเร็วสูง เช่นเดียวกันกับลูทที่ชักกระบี่พุ่งตรงเข้าไปหาลีโซลมี ทั้งสองคนใช้กลยุทธ์เดียวกันคืออาศัยการลงมือก่อนโดยไม่ให้อีกฝั่งตั้งตัวได้ ฉกฉวยจังหวะลงมือก่อนที่อีกฝั่งจะตั้งรับ
มือขวาของบลูเปล่งประกายสีเขียวร่ายเอลที่สามออกใส่โทมัสที่พุ่งสุดตัวเข้ามา โทมัสแสยะยิ้มที่มุมปากคราหนึ่งเมื่อเห็นสีเขียวจากเอลแห่งลม เขาใช้หอกยาวของตนควงเป็นวงกลมหมายจะต้านแรงลมที่บลูร่ายออก แต่โทมัสก็คาดการณ์ผิดถนัด เอลที่บลูร่ายมิใช่วายุพัดพาแต่หากเป็นการหดตัวของมวลอากาศรอบด้านเกิดเป็นช่องว่างสุญญากาศรูปพระจันทร์เสี้ยวพุ่งออกไป ดาบสุญญากาศเหล่านี้มีความคมกริบดั่งอาวุธเหล็กกล้าเมื่อพุ่งออกไปด้วยความเร็วก็สามารถตัดทะลวงเสื้อเกราะได้อย่างสบาย
การที่โทมัสประมาทดูแคลนฝีมือของบลูเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ ดาบสุญญากาศของบลูฟันเฉียงๆเข้าที่หอกของโทมัสที่กำลังควงเป็นรูปกังหันจนเกิดเป็นรอยบิ่นที่คมหอก โชคดีที่หอกของโทมัสทำมาจากโลหะมิทราลอันล้ำค่าจึงไม่หักเป็นสองท่อน บลูสะบัดสองมือปลดปล่อยดาบสุญญากาศอีกสองดาบพุ่งเข้ามาหาโทมัสต่อเนื่องจากดาบแรกในทันควัน
โทมัสไม่โง่ถึงขนาดจะวิ่งตรงเข้าไปรับดาบสุญญากาศเช่นเดิม ถึงแม้เขาจะสูญเสียโอกาสลงมือก่อนอันดีงามตกเป็นฝ่ายตั้งรับก็ยังคงพุ่งเข้าประชิดบลูเพื่อโจมตีจากระยะใกล้ เขาใช้วิธีหลบเลี่ยงซ้ายขวาวิ่งซิกแซกเข้าไปเพื่อย่นระยะทางระหว่างเขากับบลู ดาบสุญญากาศสามารถเคลื่อนที่ได้แต่แนวตรงจึงทำอะไรเขาไม่ได้อีก บลูเห็นดังนั้นจึงเปลี่ยนวิธีต้านรับ แสงที่เปล่งประกายอยู่ที่มือของบลูทั้งสองข้างเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง เขาปักหอกเอาไว้ด้านข้างจากนั้นกดมือทั้งสองลงสู่พื้นดินใช้ออกด้วยเอลท่ากำแพงพสุธา
แผ่นดินด้านหน้าบลูแตกเป็นช่องโค้ง ส่วนหนึ่งของดินยกตัวขึ้นผุดขึ้นมาเป็นรูปส่วนโค้งของวงกลมกระแทกเข้าใส่โทมัส เมื่อโทมัสกำลังจะถูกกำแพงกระแทกเข้าใส่เขาก็เกิดไหวพริบขึ้น โทมัสใช้หอกของตนปักด้านปลายแหลมลงกับพื้นเป็นเครื่องค้ำถ่อลอยตัวสูงขึ้นกระโดดข้ามกำแพงพสุธาไป ตวัดหอกจู่โจมบลูจากกลางอากาศ
บลูวางแผนเป็นมั่นเหมาะคิดว่าโทมัสจะต้องหาทางข้ามกำแพงพสุธาและจู่โจมเขาจากทางอากาศ เขารอโอกาสร่ายเอลประกายเพลิงไว้ที่พื้นเมื่อโทมัสข้ามกำแพงพสุธามาก็จะพบกับเปลวไฟร้อนระอุพุ่งเข้าใส่ แต่แผนการของบลูกลับเป็นวิมานกลางอากาศเมื่อโทมัสกระโจนเข้าหาประกายไฟ เขาใช้ปลายหอกสะกิดคราหนึ่งประกายไฟก็สลายไปสิ้น โทมัสแทงหอกจู่โจมลงมาหาบลูด้วยความรุนแรงและรวดเร็ว
ลูทยังไม่ทันพุ่งเข้าไปหาลีโซลมีกลับพบกับการต่อต้านเช่นเดียวกับโทมัสที่พุ่งเข้าใส่บลู นับว่าแผนการชิงลงมือก่อนของทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ประสบความสำเร็จ
บลูใช้ดาบสุญญากาศตั้งรับแต่สิ่งที่ลีโซลมีใช้กลับเป็นลมพายุ เอลวายุพัดพาดันร่างของลูทไว้จนไม่สามารถเข้าใกล้ลีโซลมีในระยะกระบี่ได้ เขาต้องหยุดลงกลางทางขวางกระบี่มาปกป้องร่างกาย
โรซาไลน์เห็นว่าลูทตกอยู่ในห้วงอันตรายจึงซัดมีดทั้งสองใส่ลีโซลมีหวังว่าจะคลายสภาพการณ์ตั้งรับให้กับลูทพลิกกลับมาเป็นการจู่โจมอีกครั้งหนึ่ง ลีโซลมีถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงแต่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเก้าอัศวินดำ เธอไม่เกรงกลัวมีดบินแต่อย่างใด ใช้มือที่ไม่ถือพัดเสกเอลน้ำเป็นกระสุนวารีติดต่อกันสองครั้ง มีอยู่สายหนึ่งพุ่งออกไปสกัดมีดที่โรสขว้างมาอีกสายหนึ่งจู่โจมไปที่โรสโดยตรง
มีดทั้งสองถูกกระสุนวารีซัดกระเด็นกระดอนไปด้านข้าง ส่วนกระสุนวารีอีกลูกที่เหลือเมื่อพบกับเอลลมที่พัดพาเข้าใส่ลูทกลางทางก็แปรสภาพเป็นกระสุนน้ำแข็งที่ทั้งเยือกเย็นทั้งคมกริบพุ่งเข้าใส่โรส
โรสพุ่งตัวหลบกระสุนน้ำแข็งด้วยปฏิกิริยาที่ว่องไวเหนือกว่าคนปกติ เธอพลิ้วกายหลบออกมาด้านข้างได้อย่างปลอดภัยเกิดความตื่นตระหนกในใจว่าอัศวินดำคนนี้ใช้เอลได้เก่งกาจนัก เอลลมสร้างมาจากพัดฟ้าดิน เอลน้ำสร้างมืออีกข้างหนึ่งจนประสานกันเป็นเอลน้ำแข็ง ดีไม่ดีถ้าอัศวินดำหญิงคนนี้ใช้เอลไฟได้จะประสานกับเอลลมเป็นเอลสายฟ้าได้อีกด้วย
เมื่อความคิดแล่นเข้ามาในสมองของโรสไม่ถึงเสี้ยววินาที มือของลีโซลมีก็เปล่งแสงสีแดงสดใช้ออกด้วยเอลไฟมุ่งเป้าหมายไปที่ลูท โรสตะโกนร้องบอกลูทในทันทีว่า "ลูทระวังบนฟ้า"
ลูทที่ถูกกักไว้ในวายุพัดพาเมื่อได้ยินเสียงเตือนก็กัดฟันหาทางทะลวงออกจากกระแสลมอันรุนแรง เขาใช้กระบี่ฟันออกด้านข้างที่มีกระแสลมแรงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับด้านหน้า ทำให้เป็นเกิดเป็นโพรงอากาศช่องเล็กๆพาตัวหลุดออกมาได้สำเร็จ สายวิชชุแลบปลาบจากท้องฟ้าผ่าลงมาที่แนวลมพายุทันทีเมื่อลีโซลมีเอามือสีแดงฉานข้างนั้นแตะกับพัดของเธอ เอลไฟกับลมประสานเข้าด้วยกันเกิดเป็นเอลสายฟ้าฟาดในทันควัน
ลูทไม่เคยต่อสู้กับผู้ใช้เอลมาก่อนผลที่ออกมาจึงทุลักทุเลขนาดนี้ ถ้าไม่มีโรสคอยช่วยอยู่ด้านข้างป่านนี้เขาคงไหม้เป็นตอตะโกหรือไม่ก็โดนกระสุนน้ำแข็งแทงทะลุร่าง เขาเกิดไหวพริบว่าถ้าสามารถเข้าประชิดตัวลีโซลมีได้เขาจะพัวพันพัดในมือของนางเอาไว้เพื่อให้โรสจู่โจมได้สะดวก ในที่นี้ฝีมือของลูทด้อยที่สุดเขาจึงต้องใช้ไหวพริบเข้าช่วย
โรซาไลน์วิ่งตัดจากด้านข้างกระโดดสองสามคราเข้าประชิดตัวลีโซลมีด้วยความเร็ว วิชากายกรรมของเธอลอกเลียนมาจากท่าทางของแมลงปอแตะผิวน้ำ ลีโซลมีพึ่งจะร่ายเอลสายฟ้าใส่ลูทจึงทำให้เกิดช่องว่างเล็กน้อยในช่วงเวลาเอลเก่าสิ้นสูญเอลใหม่ก่อกำเนิด เอลลิสทุกคนจะไม่สามารถร่ายเอลใดๆได้จนกว่าจะจากผ่านช่วงเวลานี้ไป โรสอาศัยความรู้ในการใช้เอลที่เธอมีใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เธอคาดการณ์เช่นเดียวกับลูท เห็นว่าเมื่อลีโซลมีเก่งในทางใช้เอลแล้วการต่อสู้ประชิดตัวของเธอคงเป็นเรื่องรองลงไป
ทั้งสองคนล้วนคิดผิดถนัดเมื่อเห็นลีโซลมีร่ายรำพัดฟ้าดินในมือออกมา ด้วยความร้อนแรงและสวยงาม พัดฟ้าดินเข้าปะทะกับมีดของโรสทั้งสองเล่มโดยไม่มีความเป็นรองแต่อย่างใด โรสแทงมีดด้วยมือขวาออกคราหนึ่งพลันเปลี่ยนกระบวนท่าเป็นซัดมีดในมือขวาออกไปแทน ลีโซลมีพบว่าเป็นท่าหลอกล่อจึงหลบมีดของโรสกางพัดออกเตรียมรับกระบวนท่าที่แท้จริง
มือขวาของโรสชักดาบสั้นออกที่คาดไว้ด้านหลังเอว ดาบสั้นเล่มนี้ที่สามารถปลิดชีพสุนัขป่าขนดำในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ตัวดาบยาวประมาณหนึ่งฟุตตีด้วยศิลปะการสร้างดาบแบบพิเศษที่เรียกว่าคาทานะ มีสันดาบด้านหนึ่งส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นถูกฝนจนคมกริบ วิธีการจับดาบชนิดนี้จะต่างกับการจับดาบทั่วไปคือปลายดาบจะชี้ลงดินแทนที่จะชี้ขึ้นฟ้า ที่ฝักดาบมีตัวอักษรเขียนว่าลายเมฆ ดาบลายเมฆมีอานุภาพสูงกว่ามีดบินมากเทียบจากวัสดุที่จัดสร้างก็ต่างกันอย่างลิบลับ
ลีโซลมีผนึกเอลลมไว้ที่พัดอีกคราแต่คราวนี้ไม่ปล่อยออก เธอใช้มันคุ้มครองตัวพัดจากดาบลายเมฆ เสียงปงดังขึ้นเมื่อปลายดาบลายเมฆหยุดลงที่ระยะประมาณหนึ่งนิ้วก่อนที่จะกระทบกับตัวพัด ทันทีที่อาวุธทั้งสองปะทะกันโรสก็ปลิวออกไปด้านข้างพร้อมกับดาบลายเมฆ แต่ลีโซลมีเพียงไถลไปด้านหลังสามก้าวแสดงให้เห็นว่าเอลลมคุ้มครองพัดฟ้าดินของลีโซลมียังเหนือกว่าดาบลายเมฆอยู่ขั้นหนึ่ง
ทันใดที่การจู่โจมของโรสสิ้นสุดลง ลีโซลมีถึงกับใจหายวาบเมื่อคมกระบี่ของลูทแทงเสริมเข้ามาแทนดาบลายเมฆซ้ำที่จุดเดิม
ลูทรอจังหวะเช่นนี้อยู่นานแล้ว
บลูดึงหอกที่ปักไว้ด้านข้างขึ้นมา หันปลายคมหอกขึ้นไปบนฟ้าเล็งที่คอหอยโทมัสโดยไม่สนใจท่าจู่โจมจากหอกมิทราล เป็นท่าตายตกตามกัน
อัศวินดำอย่างโทมัสคงจะไม่แลกชีวิตกับบลูจำต้องเบี่ยงหลบออกไป จากการตัดสินใจที่เฉียบขาดและกำลังขวัญอันแรงกล้าทำให้บลูหลบรอดจากท่าจู่โจมสังหารของโทมัสได้สำเร็จ
ครั้นโทมัสลงมาถึงพื้นก็ใช้หอกปลิดชีพไล่ต้อนบลูทันที เพียงสองหอกก็ทำให้อาวุธคู่มือของบลูปลิวกระเด็นไปด้านข้าง บลูตกเป็นเบี้ยล่างอย่างเห็นได้ชัด พบว่าถ้าตนเองยังไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้จะต้องโดนไล่ต้อนจนหมดเรี่ยวแรงและจากนั้นจะโดนเชือดเฉือนอยู่ฝ่ายเดียว
หอกปลิดชีพโทมัสสมคำร่ำลือจริงๆ เพียงการต่อสู้กันไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้บลูต้องต่อสู้ด้วยมือเปล่า
บลูก้าวหลบอีกสองหอก ตัดสินใจใช้มือหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวเสี่ยงตะปบเข้าที่คมหอก
โทมัสร้องว่า "หาที่ตาย" พร้อมทั้งตวัดคมหอกเข้าหามือของบลูสุดแรง
บลูจะมีสิบนิ้วหรือหกนิ้วก็ตัดสินกันด้วยวินาทีนี้ เขาใช้คมดาบสุญญากาศออกอีกครา อาศัยความคิดที่ว่าถ้าใช้เอลในระยะใกล้จะมีอานุภาพแรงกว่าที่ระยะไกล ขนาดระยะไกลดาบสุญญากาศยังทำหอกปลิดชีพบิ่นไปส่วนหนึ่งได้ ถ้าใช้ระยะใกล้คงจะต้องมีผลที่เขาคาดไม่ถึง
ผลที่ได้เป็นผลที่เขาคาดไม่ถึงจริงๆ มือของเขาเจ็บแปลบปลาบรู้สึกเหมือนโดนมีดเฉือนปรากฏเป็นแผลยาวขึ้นที่ง่ามมือ โลหิตหลั่งไหลออกมาแต่ยังดีที่นิ้วทั้งห้าของเขายังอยู่ครบ คมดาบสุญญากาศกลับสะท้อนเข้าสู่มือของเขาบาดมือของเขาไป
ส่วนทางโทมัสเมื่อคมหอกปะทะกับดาบสุญญากาศในระยะใกล้ก็ถูกแรงปะทะปลิวกระเด็นออกไปไกล ปลายหอกบิ่นเข้าไปร่วมนิ้วเศษเกือบจะขาดเป็นสองท่อน บลูฉวยโอกาสขณะนั้นเก็บหอกที่ตกพื้นของเขาขึ้นมาอยู่ในมืออีกครา
เมื่อโทมัสตั้งหลักได้ก็รู้สึกมึนงงจากแรงกระแทก เขาสำรวจปลายหอกที่บิ่นของตนพบว่าเกือบอยู่ในสภาพที่ใช้การไม่ได้ เขาใช้วิธีการซ่อมแซมที่แปลกใหม่ร่ายเอลธาตุไฟลงตรงส่วนคมของหอก โลหะมิทราลมีคุณสมบัติพิเศษคือเมื่อถูกไฟก็จะหลอมรวมกันกลับเป็นเนื้อเดียวอีกครั้งหนึ่ง รอยบิ่นใหญ่น้อยสองรอยที่บลูฝากไว้ด้วยความยากลำบากเลือนหายไปหมดสิ้น โทมัสเมื่อผสานปลายหอกสู่สภาพเดิมแล้วเขาก็ใช้เอลไฟถ่ายทอดลงสู่หอกทำให้ปลายหอกลุกเป็นไฟจู่โจมเข้ามาหาบลูอีกครา
บลูเห็นดังนั้นจึงทราบว่าโลหะมิทราลที่ทำเป็นคมหอกไม่เกรงกลัวไฟหรือการสึกหรอใดๆทั้งสิ้น เขาสังเกตจากเอลประกายเพลิงไม่มีผลต่อโทมัสแม้แต่น้อย อีกทั้งครั้งนี้โทมัสยังใช้เอลแห่งไฟซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของคมหอกให้กลับมาดีดังเดิม ก็ทราบว่าเปลวไฟยากจะทำอันตรายต่อคนๆนี้ได้ เมื่อเขาเห็นว่าเอลไฟและลมต่างไม่มีประโยชน์จึงเปลี่ยนมาใช้เอลน้ำและดินเข้าต่อกรแทน
บลูเลียนเยี่ยงโทมัสร่ายเอลน้ำรายล้อมตัวหอกของเขาไว้ ปรากฏเป็นสายน้ำสายหนึ่งไหลวนเป็นรูปเกลียวพันตัวหอกดุจดั่งอสรพิษ เขานำหอกที่มีเอลน้ำล้อมรอบต้านรับหอกไฟของโทมัส หอกไฟและหอกน้ำปะทะกันเกิดเสียงระเบิดตูมขึ้นคราหนึ่งจนทั้งสองต้องถอยหลังกลับไปคนละสามสี่ก้าว เปลวเพลิงและสายน้ำที่คมหอกทั้งสองต่างหายไปหมดสิ้น เกิดแรงสั่นสะเทือนจากระเบิดทำให้ทั้งสองบาดเจ็บบอบช้ำ
เมื่อเอลธาตุตรงกันข้ามมากระทบกันโดยตรงจะทำให้เกิดแรงระเบิดขึ้น เรื่องนี้เอลลิสทุกคนต่างก็ทราบแก่ใจ
โทมัสรู้สึกเหมือนบลูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งๆที่ไม่กี่วันก่อนเขาสามารถไล่ต้อนบลูจนเกือบที่จะจับตัวได้ แต่ทำไมในวันนี้บลูถึงได้เก่งกาจขึ้นผิดหูผิดตา เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าคนๆหนึ่งสามารถพัฒนาตัวเองได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
บลูเห็นโทมัสไม่เป็นอะไรเลยทั้งๆที่เขาใช้พลังเอลหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว เขาก็ได้แค่คาดว่าต่อไปเมื่อพลังเอลถูกใช้หมดก็คงถึงจุดจบของเขาเป็นแน่ เขาจึงตัดสินใจเสี่ยงอีกครั้ง รวบรวมเอลจากจุดก่อกำเนิดทั้งสามแห่งพร้อมๆกัน
โดยปกติแล้วบลูจะใช้พลังจากทีละแหล่งเพื่อให้ใช้ได้ต่อเนื่องและยาวนาน ส่วนวิธีการใช้จากทั้งสามแหล่งพร้อมๆกันนั้นจะทำให้เกิดพลังเป็นสามเท่าของปกติ แต่ผลสะท้อนต่อตัวผู้ร่ายก็จะมากเป็นสามเท่าเช่นกัน ในครั้งก่อนที่เห็นเป็นแสงจากเอลพสุธากัมปนาทพวยพุ่งขึ้นฟ้าก็เกิดจากการใช้เอลจากประตูสองบานพร้อมๆกัน แต่ครั้งนี้บลูเปิดประตูทั้งสามบานออกพร้อมกัน กำเนิดเป็นแสงเรืองรองขึ้นที่ข้อมือซ้ายขวาและหน้าผากของเขาสามจุด วงแหวนที่ใต้ร่างขยายใหญ่ขึ้นและมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ
โทมัสตะลึงกับภาพที่เห็นนึกในใจว่า บลูร้ายกาจเกินไปแล้ว ถ้าปล่อยให้คนๆนี้อยู่รอดต่อไปอีกไม่นานอาจจะเป็นเภทภัยที่ร้ายแรงเกินกว่าที่อัศวินดำจะรับมือได้ เขาเกิดความคิดฆ่าฟันตัดสินใจตัดไฟแต่ต้นลมกำจัดบลูให้พ้นทางไปตั้งแต่บัดนี้เพื่อไม่ให้เป็นหนามยอกอกในภายหลัง
ความคิดเห็น