ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟิคหัวขโมยแห่งบารามอสกับถ้วยอัคนี

    ลำดับตอนที่ #4 : คำเตือนจากด๊อบบี้

    • อัปเดตล่าสุด 25 มี.ค. 49


      เออ..อ  เป็นไงบ้างคะ  ที่จริงจะเขียนให้มันน้อยกว่านี้  แต่ไหงเป็นงี้ได้  ออกมายาวเยิ้นเย้อเลย  ก็พยายามอ่านต่อไปแล้วกันนะคะ  แล้วหนูจะพยายามให้มันรวบรัดยิ่งขึ้น

     




    ภายในห้องเก็บอุปกรณ์อันสกปรกและมืดทึม  ร่างสองร่างปรากฏอยู่หน้าประตูเก่าเจียนพังที่เปิดผลัวะออก  แสงสว่างจากภายนอกฉายเข้าไปให้ห้องดูน่าเดินเข้าไปขึ้นเล็กน้อย  

                    "คิดว่าไง"

                    "คิดว่าไงอะไร"

                    "ก็ไอ้ารแข่งประลองอะไรนี่สิ"

                    บุคคลทั้งสองก้าวเข้ามาในห้องที่ค่อนข้างเหม็นอับ  กำลังตรงไปหามุมหนึ่งที่ใช้วางไม้กวาดและถังน้ำ    ร่างบางของคนผมสีน้ำตาลที่บ่งบอกว่าเป็นสตรีอยู่ในชุดที่พร้อมจะสกปรกได้เต็มที่เอ่ยปากถามอีกฝ่ายขณะเอื้อมมือสุดแขนจะหยิบถังน้ำบนชั้นวางที่สูงเกินตัว

                    "อ้อ  น่าตื่นเต้นดี  ได้ยินมาว่าหลายคนก็อยากลงแข่งด้วย  ฉัันเองก็อยากเหมือนกันนะ"

                    คำตอบจากคนตัวสูงกว่าขณะคว้าถังน้ำใบนั้นส่งให้คนเอื้อมไม่ถึง

                    "ขอบใจ   ใช่แล้ว  ฉันก็อยากด้วยนะ  แต่นี่ยังไม่รู้อะไรเลยนี่สิ  เสียเปรียบแย่"

                    "ไม่หรอก ถ้าเราไม่รู้ฝ่ายนั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน  นี่คงเป็นกติกา  ฉันว่านะไอ้ถ้วยอัคนีอะไรนั่นต้องมีความสำคัญไม่น้อยเลย  เห็นพูดกันว่ามันเอาไว้เลือกตัวคนแข่งหรือไงนี่แหล่ะ"

                    "ฮ้า.. จริงดิ  เอาไว้ทำอย่างนั้นเองหรอ  งั้นมันคงไม่ใช่ถ้วยกระจ๊อกธรรมดาๆแล้วงั้นสิ   ฮิฮิ น่าสนๆ"

                    ความคิดที่เริ่มแสดงออกถึงนิสัยเก่ากลับมาอีกครั้ง

                    ถ้าเอาไปขายคงได้หลายตังค์

                    ใบหน้าที่แสดงอาการโลภอย่างฝันหวานเล่นเอาคนข้างๆที่กำลังหอบไม้กวาดต้องถอยห่างด้วยความหวาดระแวง  ก่อนเอ่ยขัด

                    "เฮ้ย  ตื่นๆ  ฉันขอเตือนนายไว้ก่อนเฟริน  ถ้าคิดจะทำอะไรให้เอดินเบริ์กต้องเสียชื่อ  ฉันเอานายตายแน่และไม่ใช่ฉันคนเดียวด้วย"

                    นักรบหนุ่มเอ่ยเตือนเสียงเรียบเรียกใบหน้าหัวขโมยช่างฝันให้จ๋อยลงเล็กน้อย  ก่อนเอ่ยแก้ตัวเสียอย่างนั้น

                    "แหมๆ  เค้าล้อเล่นหรอก   ชาตินิยมจริงนะคุณครี้ดขา"

                    เสียงแสร้งอ้อนจากเฟรินให้ครี้ด ธันเดอร์  ต้องเปลี่ยนสีหน้าจริงจังเป็นอมยิ้มน้อยๆ  ด้วยนิสัยอารมณ์ดีแม้ภายนอกจะดูน่ากลัว   และอีกเหตุผลหนึ่งคือไม่มีใครโกรธหัวขโมยเก่าตรงหน้านี้ได้นาน

                    "ว่าแต่ นายทำตรงนี้คนเดียวไม่หนักเกินไปหน่อยเหรอ"  คริ้ดเอ่ยถามขณะมองไปยัง ลานดินแห้งๆสีน้ำตาลที่รกไปด้วยเศษไม้  ดูน่าจะเอาไว้ทำป่าช้ามากกว่าจะใช้งานอย่างอื่น    เฟรินระบายลมหายใจเฮือกใหญ่อย่างเหนื่อยหน่าย

                    "เอาเหอะ  เราชินแล้วล่ะ  อีกอย่างคราวที่แล้วที่มีงานประชุมทั่วเอเดนเราก็รับผิดชอบตรงนี้มาแล้ว"

                    คราวนั้นที่ว่างตรงนี้ถูกใช้เป็นลานจอดพาหนะของเหล่าเจ้าขุนมูลนายที่มาร่วมประชุม  คราวนี้ก็ให้เคลียร์ให้ว่างเอาไว้ด้วยเหตุผลเดียวกัน

                    ครี้ด  ธันเดอร์  ยกมือกล่าวลา  ก่อนแยกตัวไปทำความสะอาดห้องโถงใหญ่กับพวกกัส  โทนีย่า  เมื่อเขาเดินเข้าตัวตึกไปแล้วเฟรินจึงทิ้งไม้กวาดที่ใหญ่เกินตัว  แล้วหิ้วถังไม้ไปยังบ่อน้ำเล็กๆข้างลานดินที่ดูเหมือนจะส่งไอร้อนระอุขึ้นมาจากพื้นทุกวินาที

                   

                    เฟรินยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ  พลางนึกอย่างหงุดหงิดในใจที่ ต้องโดนสั่งให้ทำงานมากกว่าเพื่อน  โทษฐานไปขโมยจูบเพื่อนคนแบ่งงาน 

                    ไม่น่าเล้ย...  ยัยแองจี้จอมโหดทำกับเราด้าย..ย.. 

                    เจ้าหญิงจอมขโมยจูบสะบัดหัวราวกับจะสลัดความข้องใจให้กระเด็นออกไป  ขณะเดินไปถึงบ่อน้ำก่ออิฐรูปวงกลมที่ดูเหมือนคนสร้างจะทำไม่เป็น  มันดูโย้เย้จนไม่น่าจะตั้งอยู่ได้  แถมเก่าจนมีวัชพืชขึ้นเกาะเกี่ยวเต็มไปหมด

                    เฟรินวางถังน้ำลงตรงฐานบ่อ  เท้ามือทั้งสองข้างบนขอบบ่อ  ก่อนจะชะโงกตัวเพื่อดูระดับน้ำ  แรกทีเดียวนั้นเธอสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่ระเหยขึ้นมาจากข้างล่าง   นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงเล็กน้อยขณะเพ่งมองยังก้นบ่อที่อยู่ลึกลงไปราวกับอุโมงค์มืดๆที่ทอดตัวยาวไม่มีที่สิ้นสุด  เฟรินขนลุกเล็กน้อยเมื่อภาพตรงหน้าชวนให้คิดถึงสิ่งที่ไม่อยากแม้แต่จะคิด  สิ่งที่เธอกลัวมาตลอดชีวิต               สิ่งนั้นมันอาจกำลังคืบคลานอยู่ในความมืดนี้ 

                     เฟรินรู้ว่ามันเป็นแค่จินตนาการที่คิดแต่งขึ้นมาเอง  ใช่แล้วเจ้าตาสีเขียวนั่นที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดกำลังจ้องกลับมาก็เป็นหนึ่งในจินตนาการสยองของเธอแน่ๆ   ดวงตานั้นใสและดูใหญ่โตเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์ได้   แต่แล้วเธอก็ต้องกรีดร้องอย่างสุดเสียงเมื่อเจ้าดวงตาลึกลับนั่นกระพริบครั้งนึงก่อนจะค่อยๆคืบคลานเข้ามาหาช้าๆ

                    ร่างบางถอยหลังออกมา  ก่อนสะดุดล้มลงบนพื้นขณะยังคงร้องลั่นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด  นี่ถ้ายังไม่ได้รักษารอยช้ำที่ก้นอาจจะต้องร้องหนักกว่านี้  

                    อะไรบางอย่างที่น่ากลัวกำลังไต่ขึ้นมาถึงปากบ่อแล้ว  มือยาวผอมจนเห็นกระดูกโผล่พ้นขอบหินดูขาวซีดเหมือนไม่ใช่เนื้อคน

                    ชั่วขณะหนึ่ง  เฟรินคิดว่าอีกเดี๋ยวใบหน้าขาวซีดเหมือนมือนั่นก็คงปรากฏขึ้นมาภายใต้ผมดำยาวเปียกลื่น แผ่สยาย  พร้อมกับดวงตาสีเขียวเบิกโพลงที่มีรอยดำคล้ำรอบขอบตา  ค่อยๆคลานมาหา

                    เจ้าสิ่งนั้นลงมายืนข้างๆบ่อแล้ว  ทว่ารูปร่างของมันเป็นคนละเรื่องกับที่เฟรินคิดโดยสิ้นเชิง  เฟรินสะบัดหัว  บางทีเพราะความร้อนทำให้เธอเห็นภาพหลอน 

                    ร่างเล็กผอมบางยืนประจันหน้ากับเธอ   เฟรินเกือบจะหลุดขำออกมาเมื่อมองศีรษะล้านเลี่ยนของมัน  หูที่ยาวใหญ่แผ่ออกมาจากหัวกลมๆ ที่ตั้งอยู่บนลำตัวลีบผอมแห้ง   ร่างนั้นสูงไม่ถึงเอวเธอได้  สวมอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนปลอกหมอนเก่าๆ    ดวงตาสีเขียวเมื่อครู่ดูเล็กลงเล็กน้อยเมื่ออยู่ในแสงแดด  แต่ก็ยังนับว่าใหญ่จนเท่ากับหัวคฑาสักอันเลยทีเดียว

                    ด้วยหน้าตาอย่างนี้  ดูยังไงก็กลัวไม่ลง  ถึงจะไม่น่ารักเท่าโคมุสก็เถอะ

                    "สวัสดีครับ  คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  เดอะทีฟ ออฟ บารามอส"

                    บุคคลผู้มาใหม่โค้งคำนับเกือบติดพื้นจนดูเหมือนจะยกหัวกลมๆไม่ขึ้นเมื่อเอ่ยรวดเร็วด้วยเสียงสูงแหลมเล็กที่เฟรินต้องเข็ดฟัน  แต่เธอก็ไม่สนใจเพราะกำลังงุนงงกับคำทักทายตรงหน้า

                    มันรู้ชื่อเราได้ยังไง

                    แล้วมันเป็นใคร 

                    จะว่าไปต้องพูดว่า  มันเป็นตัวอะไรมากกว่า         

                    เจ้าตัวประหลาดเอ่ยทันราวรู้ความคิด    "เป็นกระผมชื่อ  ด๊อบบี้"

                    "เป็น..?"  ภาษาที่ใช้ก็แปลกๆ

                    "เป็นกระผมคือ อดีตเอลฟ์ประจำบ้าน  ตอนนี้กระผมเป็นทาสรับจ้างอิสระ  หรือทาสฟรีแลนด์  แล้วแต่คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  จะเรียก"

                    "เฮ้ๆ  พูดช้าๆก็ได้ไม่มีใครแย่งพูดหรอก คุณ...   ด๊อบบี้"

                    ด็อบบี้พยับหน้า  แล้วจ้องเธอนิ่งด้วยดวงตาใหญ่ สีเขียวสดเปล่งกระกายระยิบระยับจนเฟรินชักแสบตา  แล้วมันก็พูดขึ้น

                    "เป็นคุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  ดูสวยกว่าที่คิดซะอีก"

                    "อ๋อ หรอ  ขอบคุณนะ"

                    คนถูกชมกัดฟันรับ   สังเกตว่า มันพูดชื่อเธอด้วยชื่อเต็มทุกครั้ง  ด๊อบบี้ยังคงจ้องเธออยู่อย่างนั้นจนต้องหาเรื่องพูดแก้เขิน

                    "ว่าแต่นายไปทำอะไรในบ่อนั่น  บ้านนายเรอะ" 

                    "เปล่านะครับ  กระผมแค่หลบร้อน  และกระผมจะมาเตือน คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์"

                    "เตือนเรื่องอะไร"

                    ทันใดนั้นเจ้าตัวที่จะมาเตือนหันหลังไปหาบ่อน้ำแล้วเริ่มโขกหัวตัวเองกับขอบบ่อ  คนรอฟังนัยน์ตาเบิกกว้างพลางร้องห้ามแต่มันยังกระหน่ำหัวกลมๆใส่   หูใหญ่เกินขนาดไหวพะเยิบพะยาบ  ตามแรงโขก

                    แต่แล้วมันก็หยุดชะงัก  หันมาถามเฟริน  บนหน้าผากมันเป็นรอยแดงช้ำ

                    "เมื่อกี๊กระผมบอกคุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  ว่าเป็นกระผมคือทาสอิสระใช่ไหมครับ" 

                    เฟรินพยักหน้ารัว  ด๊อบบี้หันกลับมาอย่างเดิม  ถอนหายใจ แล้วพึมพำ

                    "นั่นสิ  เป็นกระผมได้อิสระแล้วนี่นา..."

                    อะไรของมัน

                    หมอนี่ท่าจะบ้า

                    "คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  กระผมจะมาเตือนคุณว่า" ในที่สุดมันก็กลับมา "คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  จะต้องไม่เข้าร่วมงานประลองเวทไตรภาคี"

                    "ว่าไงนะ!"

                    "คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการแข่งขัน  และอยู่ห่างๆถ้วยอัคนีไว้  ไม่เช่นนั้นคุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  จะ-เป็น-อัน-ตะ-ราย"

                    ทาสฟรีแลนซ์พูดเน้นเสียงประโยคสุดท้าย   แต่เฟรินแทบไม่สนใจ  ในหัวเธอว่างเปล่าตั้งแต่ได้ยินประโยคแรกแล้ว

                    ไม่ได้ลงแข่ง

                    ไม่เอา!

                    "ไม่เอาโว้ย   เรื่องอะไร  ทำไมต้องมาห้ามฉันลงแข่ง"  เฟรินโวยวายขณะกระโดดผึงขึ้นมายืน   นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายประกายกร้าวราวกับจะเข้ามาจับคอเสื้อที่ดูไม่เป็นเสื้อของเจ้าเอลฟ์ตรงหน้า

                    ด๊อบบี้ถอยหลังจนติดบ่อน้ำ  นัยน์ตาใหญ่โตสีเขียวเบิกโพลงขึ้นไปอีกจนดูราวกับจะหลุดออกมาจากเบ้า   นึกหวาดๆคนตรงหน้าที่ดูน่ากลัวกว่าคนที่ตัวเองเคยไปเตือนมาก่อนหน้านี้เสียอีก

                    "คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์   ใจเย็นครับ    เพื่อความปลอดภัยของคุณเฟริน เดอเบอร์โรว์    ขอให้ทำตามที่กระผมบอกเถอะครับ"

                    "แล้วถ้าไม่ล่ะ"  น้ำเสียงเริ่มผ่อนลงเล็กน้อย

                    "ผมก็จะทำทุกอย่างไม่ให้คุณเฟริน เดอเบอร์โรว์  ต้องลงแข่ง"

                    เกิดความเงียบขึ้นระหว่างหนึ่งคนกับหนึ่งเอลฟ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลงขณะความคิดมากมายวิ่งวนในหัว

                    มันมีอะไรอันตรายขนาดนั้นเลยเหรอ

                    แล้วเจ้านี่จะไว้ใจได้แค่ไหน  มันเป็นใคร  ตัวอะไร  มาจากไหน ยังไม่รู้เลย

                    จะเชื่อได้มั๊ยเนี่ย

                    "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว" คำเอ่ยทำลายความเงียบจากด๊อบบี้  "กระผมขอลาเลย.."

                    "เดี๋ยวก่อน"  เสียงเรียกให้เอลฟ์ต้องลดมือที่เหมือนกิ่งไม้แห้งลงขณะเตรียมจะร่ายคาถาหายตัว  นัยน์ตาสีน้ำตาลคราวนี้เปลี่ยนเป็นฉายแววนึกสนุก

                    "นายว่า  นายรับจ้างเป็นทาสอยู่ใช่มั๊ย"

                   

                    เสียงเพลงผิวปากดังจากริมฝีปากสวยเบาๆ ขณะเจ้าของมันกำลังเดินทอดน่องสบายใจไปยังป้อมอัศวินเพื่อหนีแดดอันร้อนแรง

                    จ่ายถูกชะมัด

                    แค่ สามสิบ คราวน์  รับทำหมดนั่น

                    คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

                    เจ้าหญิงที่ไม่สมหญิงเริ่มคิดได้ว่าการมีคนรับใช้มันสบายอย่างนี้  หลังจากจ่ายเงินเจ้าทาสฟรีแลนซ์นั่นนิดหน่อย  งานตัวเองก็ลดลงไปโข

                    งานเราก็ไม่ได้เยอะแต่แรกอย่างนั้นซักหน่อย

                    เฟรินคิดขณะเดินมาถึงห้องโถงในป้อมฯ  ที่ดูเหมือนการทำความสะอาดยังไปไม่ถึงไหนแต่ไม่มีใครสนใจจะทำต่อ  เมื่อกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ไปมุงกันอยู่มุมหนึ่งด้านใน  ดูวุ่นวาย

                    เฟรินสาวเท้าเข้าไป  พยายามชะเง้อมองว่าเขาอะไรกัน  แต่ก็ดันเตี้ยมองไม่เห็นจึงสะกิดซีบิล  เสวนซึ่งอยู่ใกล้ๆ  กำลังยืนดูอย่างเงียบๆตามนิสัย

                    นักฆ่าผู้สงบเสงี่ยมหันมาทัก

                    "อ้าว เฟริน"

                    "หวัดดีซีบิล  ทำอะไรกันอยู่"

                    " เค้ามารวบรวมรายชื่อคนอยากจะเข้าร่วมแข่งขันการประลองเวท"  นักฆ่าตอบอย่างสุภาพ ขณะมาทิลด้า  เดอะพริ้นเซส ออฟ อเมซอน ซึ่งอยู่ถัดเข้าไปหันมากล่าวเสริม

                    "นายอยากสมัครแข่งก็มาลงชื่อ ที่คาโล ไม่ก็แองจี้นะ   ว่าแต่นายมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง"

                    คำถามที่ทำให้คนอู้งานต้องสะอึก

                    " เออ  ช่างเหอะ  แล้วจะลงสมัครรึเปล่า"

                    อีกคำถามที่คราวนี้เรียกความลังเลบนนัยน์ตาสีน้ำตาล  ก่อนเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นในทันที

                    "สมัครสิ"








    เอ่อ...ไม่เห็นจะรวบรัดตรงไหนเลย  ขอบคุณสหรับทุกคอมเม้นท์นะคะ
    เพิ่งรู้ว่ามันให้ความชื่นใจได้ขนาดนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×