คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 ประธานนักเรียนกับประธานนักเลง?
บทที่ 3
“ไร้สาระ”
...เสียงราบเรียบของชายวัยกลางคนพูดขึ้นกับฉันในวัยห้าขวบ...
‘พ่อ’ คือสิ่งมีชีวิตที่ฉันกลัวที่สุด
ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องการ์ตูนสร้างฝันเหมือนที่เด็กๆทั่วไปเคยดูอย่างพวกเจ้าหญิงเต้นระบำอะไรประมาณนั้น ฉันคงพูดอะไรไม่ได้มากนัก เพราะความทรงจำวัยเด็กตั้งแต่ห้าความจนถึงตอนนี้คงเลอะเลือนไปหมดแล้ว…นั่นสินะ...
“นี่ ฟังครูอยู่รึเปล่า” เสียงน่าเบื่อๆทำให้ฉันถูกปลุกขึ้นจากภวังค์อีกครั้ง
“อ่า...ค่ะ ฟังค่ะ” ที่จริงไม่ได้ฟังหรอก ขืนฟังที่หล่อนพูดมีหวังหลับสนิทแน่ๆ
“เอาเป็นว่า เธอคงทราบดีว่าขึ้นมอห้าแล้วต้องมีโครงงานนะ”
“ค่ะ” ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยนะนั่น เพื่อนในห้องไม่ปริปากออกมากันเลยซักคำ สงสัยยังไม่ใกล้กำหนดส่ง
“งั้น เธอคิดไว้แล้วรึยังล่ะว่าจะทำโครงงานอะไร? หรือไม่ก็ไปลองถามอาจารย์วิชาโครงงานดูนะ” ก็บอกไปแล้วนี่ไงว่าฉันเพิ่งรู้น่ะ(บอกตัวเอง) ฉันจะไปคิดได้ตอนไหนเล่า
“ว่าแต่ อาจารย์ประจำวิชานี่ ใครหรอคะ?” ฉันถามครูประจำชั้นที่นั่งอยู่ตรงหน้า เพราะฉันยังไม่เคยเรียน และไม่เคยรู้เกี่ยวกับวิชานี้เลยถึงแม้จะเรียนอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้วก็ตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการไม่เข้าสังคมกับรุ่นพี่ของฉันด้วยล่ะนะ
“เอ้า ครูจะไปรู้เหรอ? ก็ครูเธอนี่ ไปถามเพื่อนเอาเองไป” (อ่าวเฮ้ย?! นี่ไม่รู้เรอะ ครูอะไรเนี่ย ไร้ความรับผิดชอบจริง นี่ครูประจำชั้นฉันเรอะ?! ) เธอตอบกลับฉันกลับมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดจนฉันทำหน้าเหวอไปชั่วขณะ
“เอ้าๆ ไม่มีเรื่องอะไรจะคุยละ ไปเรียนคาบแรกเถอะ เดี๋ยวถ้ามีอะไรอีกจะเรียกใหม่นะ” แน่ะ พอตอบไม่ได้ก็ไล่...
“ค่ะ” ฉันพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องพักครูเงียบๆ
จะว่าไป ฉันว่าฉันโดนครูเรียกบ่อยแล้วนะ ฟังที่ครูพูดก็ดูน่าเบื่อ เรียกทำไมนักหนา สวดก็ยาว พูดเรื่องซ้ำๆเดิมๆ สู้ดีทำไมไม่บอกแค่เรื่องที่จำเป็นล่ะนั่น
เฮ้อ...เมื่อเช้า(เมื่อกี้)กำลังจะได้เรื่องแล้วเชียว ตอนที่กำลังเม้าส์กันเพื่อนอยู่อย่างเมามันส์ได้มีการเปิดประเด็นเรื่อง ‘โอตาคุ’ คืออะไรขึ้น แน่นอนว่าก็มีหลายๆความคิดเห็นแบ่งแยกออกมา และด้วยสมองอันชาญฉลาดของฉันก็พอจะวิเคราะห์ออกมาได้ว่ามันคืออะไรกันแน่....
เริ่มด้วยประการแรก โอตาคุเป็นภาษาญี่ปุ่น มักใช้เรียกพวกคลั่งไคล้ในอะไรซักอย่าง โดยมักถูกเรียกรวมๆว่าแฟนพันธุ์แท้ แต่สำหรับไอ้หมอนั่นแล้วมันเล่นเป็นแฟนพันธุ์แท้ของการ์ตูนญี่ปุ่นครอบจักรวาล... อา...โตขนาดนี้แล้วยังจะดูการ์ตูนอีก ไร้สาระจริงๆ ไร้สาระ...
ประการที่สอง โอตาคุเป็นพวกติดบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหน ยกเว้นไปงานหนังสือ หรืออะไรโคมิๆนิวๆอะไรเนี่ยแหละ เลยถูกเรียกว่านีท N-E-E-T ที่ย่อมาจากคำหลายๆคำ (ฉันลืมไปแล้ว) แต่เขาก็มาเรียนตามปกติ แล้วพวกโอตาคุนี้ก็ชอบแต่งตัวแปลกๆประหลาดๆด้วย (มันจะเกี่ยวกับที่เขาใส่เสื้อสูทโรงเรียนรึเปล่าเนี่ย?) เห็นว่าผู้ชายบางคนยังชอบใส่กระโปรงเลย หรือไม่ก็พวกวิปริตชอบเด็กอายุน้อยๆตัวเล็กๆ แล้วก็มีพวกชอบเพศที่สามด้วย ...จะว่ายังไงดีล่ะ ผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิง กับผู้หญิงแต่งตัวเป็นผู้ชาย มันก็เหมือนพวกสับสนทางเพศสินะ? แล้วก็โอตาคุผู้หญิงส่วนใหญ่มีรสนิยมชอบให้ผู้ชายรักกัน...ม่ายยยยย ผู้ชายรักกันนี่หมายความว่ายังไงกัน? เกย์งั้นเรอะ?!
ประการที่สาม คนพวกนี้จะอยู่กับคนปกติธรรมดาได้ไม่นาน มักมั่วสุมอยู่กับพวกเดียวกันเอง พูดไม่รู้เรื่องด้วย (ใช่! นี่เลย พูดไม่รู้เรื่อง) และมักจะเพ้อเจ้อตลอดเวลา แต่ก็มีพวกที่เป็นปกติธรรมดาอยู่บ้างเหมือนกัน
ประการสุดท้าย ยังไงก็ตาม โอตาคุก็คือชื่อเรียกของคนจำพวกหนึ่งที่มีงานอดิเรกเป็นการคลั่งไคล้สิ่งต่างๆอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ส่วนใหญ่มักใช้เรียกพวกคลั่งไคล้การ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งพวกนี้มีงานอดิเรกทั้งการดูการ์ตูนอนิเมชั่นและอ่านหนังสือการ์ตูน อีกทั้งยังซื้อของสะสมทุกอย่างที่เกี่ยวกับการ์ตูนมาใช้และเก็บไว้เป็นที่ระลึกด้วย
ส่วนความใฝ่ฝันของพวกเขาส่วนใหญ่...คือการอยากแต่งงานกับตัวการ์ตูน...
‘แต่งงานกับตัวการ์ตูน’
ม่ายยยยยยยยย!! นี่มันพวกวิปริตงั้นหรอออ!! ฉันก็แค่อยากรู้ว่าเขาหน้าตาดีเพราะอะไรเท่านั้นเอง พอได้ยินมาว่ามีงานอดิเรกแปลกๆฉันก็พอมีความหวังอยู่บ้าง แต่งานอดิเรกนี้มันไม่เกี่ยวเลยซักนิด!!
แต่...เดี๋ยวนะ ถ้าโอตาคุอยากแต่งงานกับตัวละครในการ์ตูนจริง ทำไมเขาถึงมาจีบฉันละ?... นี่จะสื่อว่าฉันหน้าไม่เหมือนคน แต่หน้าเหมือนตัวละครในการ์ตูนงั้นเรอะ!! ทั้งๆที่ฉันสวยกว่าร้อยเท่าพันเท่าเลยนะ?! แต่ก็มีความเป็นไปได้ล่ะนะว่าฉันสวยๆมากเลยทำให้เกิดรักแรกพบขึ้น!!
ฉันตบหัวตัวเองซ้ำหลายครั้งระหว่างทางเดินกลับห้องเรียนเพราะมัวแต่คิดเรื่องเหตุผลต่างๆนานาจนมึนหัวไปหมด เอาเป็นว่าถ้าฉันคุยกับเขาได้ปกติเมื่อไหร่ฉันก็คงจะถามเหตุผลเข้าซักวัน หรือจะหาทางเข้าสอดรู้สอดเห็นจากเพื่อนสนิทดีล่ะ? ...ว่าแต่เพื่อนสนิทหมอนั่นนี่ใคร...ไม่สิ เขามีเพื่อนไหม? ...เอิ่ม... งั้นลองไปตีสนิทกับเพื่อนในห้องก่อน?
ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงอยากรู้เรื่องของเขามากมายนัก แต่คงเป็นไปตามประสาผู้หญิงที่ชอบสอดรู้สอด...เอ้ย ฉันหมายถึง มันเป็นอารมณ์พื้นฐานของสิ่งมีชีวิตน่ะ สิ่งอารมณ์นี้มันจะพาไปสู่ความรู้ความเชี่ยวชาญเชียวนะ!! แต่แน่นอนว่าฉันไม่ได้อยากเชี่ยวชาญเรื่องประธานนักเรียนอะไรนั่นหรอก ฉันแค่อยากจะทำตัวเป็นคนสวยพันปีเท่านั้นเอง สวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีคนยกย่องด้วย เพราะฉะนั้น ผู้หญิงอย่าหยุดสวยนะจ๊ะ จุ๊บ(ไม่เกี่ยว)
“อึ้ย!!” เสียงฉันเอง อย่าตกใจ
ระหว่างทางเดินกลับห้องในตอนที่ฉันกำลังเพ้ออยู่..จู่ๆก็มีฝูงชนหลายส่วนสูงเดินผ่านมามุ่งทางเดินตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และแน่นอนว่าด้วยความที่กำลังเพ้อยามเช้าของฉันทำให้ฉันไม่ได้ตั้งใจมองทางเท่าไหร่และทำให้คนคนหนึ่งในฝูงชนนั้นเดินมาชนฉันอย่างจังทำให้ฉันถึงกับเซไปพิงกับผนังข้างทางเชียวล่ะ และฉันก็หันไปมองหน้าคนชนทันทีตามความอยากรู้อยากเห็นอีกเช่นเคย
“ขอโทษค่ะ” เสียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กผุดขึ้นพร้อมๆกับแรงที่ดึงตัวฉันที่เอนติดผนังออกมาตั้งตรงอีกครั้ง
“เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบกลับตามมารยาทและพยักหน้า
ว่าแล้วเด็กผู้หญิงที่ว่าก็รีบขอโทษอีกครั้งแล้วก็วิ่งตามฝูงชนที่เธอหลุดออกมาไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งเอกสารที่หอบไว้อยู่ตรงช่วงอก
ฉันยืนมองดูว่าไอ้ฝูงชนนั่นมันอะไรกัน ก้าวขายาวเกินบรรยาย เดินเร็วมากแต่ไม่ได้วิ่ง พลางเหลือบไปเห็นเอกสารที่ตกอยู่บนพื้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นของเด็กผู้หญิงคนเมื่อกี้?...พอมองไปที่เด็กผู้หญิงคนนั้นอีกที เธอกลับทำเอกสารตกไว้เต็มทาง... (จะไปรอดไหมนั่น)
“นี่! เธอ!” ฉันตะโกนสุดเสียง และแน่นอนว่าเด็กผู้หญิงที่ว่าก็หันมามองต้นเสียงอย่างฉันทันที แต่กลับไม่สังเกตเอกสารที่กองอยู่บนพื้นที่มีมากมายคณานับเลยซักนิดเดียว
แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือไอ้ฝูงชนที่ว่ากับหยุดชะงักแล้วหันมาทั้งหมดด้วย (เห้ย?!) มันทำให้ฉันใจหายวูบและรู้สึกผิดมหันต์ ...ขะ...ขอโทษค่ะ คือหนูจะเรียกคนเดียววว อย่าหันมาจ้องกันแบบนั้นได้ไหม...
ฉันหยิบเอกสารที่ตกอยู่บนพื้นใกล้ๆแล้วเดินไปหาเจ้าของของมันอย่างเขินๆ
“S3(เอสทรี) หายไปไหนครับ” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นในตอนที่ฉันกำลังก้มหน้าเอกสารตรงพื้น
“อยู่ห้องพยาบาลค่ะประธาน” คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิงที่ค่อนข้างจะคุ้นๆอยู่ซักนิดหนึ่ง
อะ...แต่เดี๋ยวนะ...ประธาน?... ‘ประธาน’?? ด้วยคำพูดที่ว่านั่นทำให้ฉันเงยหัวขึ้นทันทีอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อ้าว มาเนีย” กรี๊ดดดดดดด ไอ้ประธานนี่จริงๆด้วยค่า
ผั๊วะ!! เสียงดังสนั่นลั่นทางเดินดังขึ้น อันเกิดจากผ่ามือกระทับกับศีรษะอย่างแรงจากทั้งสองข้าง แต่กลับไม่มีใครสนใจต้นเสียงเลยซักนิด
“อย่าเพิ่งเสียสมาธิสิคะประธาน” เจ้าของฝ่ามือคนที่หนึ่งกล่าวขึ้น ‘พิธีกรหน้าเสาธง’ พูดขึ้นหลังตบหัว ‘ประธานนักเรียน’ ไปจังๆหนึ่งทีจนทำให้แว่นบนใบหน้าของเขาเบี้ยวไปเลยด้วยซ้ำ (เอ่อ...) และเจ้าของฝ่ามืออีกคนนั้นเป็นสมาชิกสภานักเรียนอีกคนหนึ่งซึ่งอายุน้อยกว่าประธานนักเรียนถึงหนึ่งปี ง่ายๆคือเด็กมอสี่ดีๆนี่เอง
“ผมภูมิใจกับการทำงานของคุณจริงๆ รองประธาน และรองประธานหมายเลขสองด้วย” ประธานนักเรียนที่ถูกตบหัวจนแว่นเบี้ยวหันไปมองหน้าเจ้าของฝ่ามือที่กำลังถือแผ่นรองเขียนอยู่ด้วยมือข้างซ้ายทั้งสองคนพร้อมๆกับดันแว่นขึ้นเพื่อจัดให้มันตรงเหมือนเดิม
“ไม่เป็นอะไรค่ะ” สมาชิกสภานักเรียนที่อายุอ่อนกว่าหนึ่งปีกล่าวขึ้นในขณะที่ผู้ร่วมเหตุการณ์อีกคนทำท่าวัณทยาหัต จากนั้นเธอก็ค่อยๆจับไหล่ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าประธานนักเรียนแล้วดันให้หันตัวกลับหลังหัน
ฉันคิดว่าฉันควรจะรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วและไปเข้าเรียนได้แล้ว เพราะมีโอกาสเสี่ยงจะเกิดอะไรประหลาดๆอีกเป็นแน่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อถึงแม้คนที่ฉันระแวงมากที่สุดจะไม่ได้สนใจแล้วก็ตาม
เอาล่ะ ถึงเวลาติดสปีดแล้ววิ่งออกไปสุดฝีเท้าแล้ว!!
“เห้ย หยุดก่อนดิวะ!!” กรี๊ดดดดด ใครอีกเนี่ย
ในทันทีที่ฉันหันหลังกลับหลังจากเก็บเอกสารบนพื้นส่งคืนเจ้าของไปแล้วและพร้อมจะออกวิ่งก็มีเสียงตะโกนมาจากทางข้างหน้า เจ้าของเสียงชี้นิ้วมาทางฉัน?!
‘ฉันเคยไปทำอะไรผิดมางั้นหรอ? เมื่อไหร่? หรืออะไร? กรี๊ดดดดดดด’
“แกจะไปไหนของแกวะ”
ถ้าหันไปมองเจ้าของเสียงดีๆ จะสังเกตเห็นว่าเขาถือกระเป๋านักเรียนแบบหนังอยู่ในมือข้างขวาของเขา แล้วไม่หนำซ้ำเขาปลดกระดุมเสื้อทุกเม็ดของเสื้อนักเรียนแล้วปล่อยมันออกมานอกกางเกง ซึ่งมันทำให้เห็นเสื้อสีแดงสดที่เขาสวมอยู่ด้านในได้ชัดเจน นอกจากนี้ ถ้าดูที่หน้าเขาดีๆ เขาก็คือ...
“คิง!!” ฉันเผลอร้องดังลั่นเมื่อเห็นผู้ชายแต่งตัวนักเลงตรงหน้ากำลังยืนชี้นิ้วมาทางฉัน
“อ่าว มาเนีย มาได้ไงเนี่ย”
ฉันล่ะแทบจะวิ่งไปหลบข้างหลังเพื่อหาสงบสุขจริงๆถ้าไม่ติดตรงที่ว่าไอ้คนข้างหลังที่หน้าตาเหมือนลูกกระจ๊อกราวๆสิบคนมันยืนอยู่ซะแน่นเอี๊ยดอยู่ข้างหลังเขาเลย (มาคิดๆดูอีกที ฉันว่าฉันควรไปเรียนมากกว่านะ...)
“แอบสะกดรอยตามพวกเรามางั้นเหรอครับ?!” ประธานนักเรียนที่หันกลับหลังมาพอดีพูดขึ้นทันทีหลังจากรับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นพร้อมๆกับดันแว่นขึ้นหนึ่งที(เพื่อ?!)
“อย่ามาพูดสุภาพว่ะ น่าขยะแขยง” คนที่หน้าตาที่สุดตอนนี้และดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของลูกกระจ๊อกทั้งหลายที่อยู่ข้างหลังเขาพูดขึ้น “ฉันถามว่าพวกแกกำลังจะไปไหน”
“โหว....” ประธานนักเรียนลากเสียงต่ำๆของเขาในลำคอ “ข่าวเร็วจังเลยนะครับ ไปรู้มาจากไหนอีกล่ะเนี่ย” เขาพูดขึ้นพร้อมเงยหน้าเล็กน้อย
“พอดีอยากเจอหน้าแกว่ะ เลยไปหาที่ห้อง แต่ดันไม่เจอ” คิงพูดขึ้นพร้อมยิ้มเล็กๆ แต่ดูเหมือนจะยิ้มประชด เพราะถ้าดูดีๆแล้วคิ้วเขาแทบจะขมวดติดลูกตาที่กำลังถ่างโตสุดขีดด้วยซ้ำ
เอาเถอะ ตอนนี้ฉันอยากรู้ที่มาที่ไปของสถานการณ์นี้อย่างมหาศาลเลยล่ะ แต่คงต้องรีบไปเรียน แค่เรื่องเช็คชื่อเมื่อเช้าก็เลวร้ายแล้ว เข้าห้องสายคงเลวร้ายกว่า...
“แหมๆ คิดถึงผมขนาดนั้นเชียวหรอกครับ แต่ตอนนี้ผมไม่ว่าง คงต้องขออภัยด้วยนะครับ” ประธานนักเรียนที่กำลังถูกสายตาค้อนอยู่ตอนกลับอย่างใจเย็น “ผมว่า ผมต้องถามคุณมากกว่า ว่ากำลังจะไปไหน”
“การออกนอกเขตแห่งการศึกษาก่อนเวลาถือเป็นการผิดกฎอย่างมหันต์ค่ะ” เสียงผู้หญิงใส่แว่นหนากลมคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยสำเนียงแปลกๆ “ดูจากกระเป๋าตำราในมือของคุณแล้ว สามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ว่าคุณกำลังจะเดินทางออกนอกเขตการศึกษา ซึ่งมีโอกาสถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ในการกระทำจากสถิติที่ผ่านมาทั้งหมดสี่สิบสองครั้ง โดยประเมินจากการแต่งตัวที่ไม่ให้ความเคารพในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้รวมอยู่ด้วย และแน่นอนว่าการแต่งกายไม่สุภาพภายในสถานที่ก็ผิดกฎเช่นกัน ดิฉันจะขอจับคุณเพื่อคุมประพฤติตา...” หลังจากที่เธอพูดประโยคแรกจบไป เธอก็ต่อด้วยการร่ายบทยาวๆจนแทบจะไม่มีใครฟัง และยังใช้คำศัพท์ประหลาดๆอีก จนทำให้ฉันเผลอคิดว่า ‘คนในสภานักเรียนปีนี้มีแต่พวกสมองไม่เต็มรึไง’
“อย่ามาเล่นลิ้น ตอบมาก่อนดิวะ ว่าจะไปไหน” คิงถามต่อโดยไม่สนใจหนึ่งในสมาชิกสภานักเรียนที่กำลังสวดยาวเลยซักนิด
“เรากำลังจะไปห้องสภานักเรียนค่ะ…รุ่นพี่” เด็กมอสี่ที่รู้ๆกันอยู่ว่าเพิ่งตบหัวเด็กนักเรียนที่มีอำนาจสูงที่สุดในโรงเรียนอย่างประธานนักเรียนไปสดๆ (ตบดังกว่าอีกคนด้วย) กล่าวขึ้นด้วยใบหน้านิ่งๆ
“เออดี ได้งานไรมา” ตอนนี้ดูเหมือนคิงจะเปลี่ยนคู่สนทนาไปเรียบร้อยแล้ว...
“เตรียมงานรับน้องค่ะ” ดูเหมือนเธอจะพกความกล้ามาไม่น้อย เธอพูดกับผู้ชายที่สูงกว่าเกือบครึ่งเมตรได้สบายเกินกว่าฉันจะเข้าใจทั้งๆที่สถานการณ์ดูเหมือนจะตึงเครียดเอามากๆ ให้บรรยากาศเหมือนมีคนยกพวกมาตีกัน
อะ...เดี๋ยวนะ ทำไมฉันยังยืนฟังอยู่ทั้งๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่เข้าใจอะไรเลยล่ะ?.... นี่เขาจะบอกว่าฉันเป็นส่วนเกินของเหตุการณ์แล้วมาเสนอหน้าอยู่แถวนี้รึเปล่าเนี่ย...
“เอ่อ... งั้นฉันไปล่ะนะ..?” ฉันหันไปพูดกับคิงเบาๆ แต่หารู้ไม่ว่าไอ้เสียงเบาๆน่ารักๆใสๆของฉันนี้จะถูกกลบมิดสนิทด้วยประโยคติดบทสนทนาของใครบางคน
“เจ้าไม่ต้องตามมาหรอก ปล่อยให้พวกข้าจัดการกันเองก็พอแล้ว!!” (ห๊ะ?! เจ้า?...ข้า?? เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดไปสินะ นี่หล่อนพยายามจะเล่นมุกหรอืออะไรรึเปล่า?!) ผู้หญิงคนแรกซึ่งเป็นผู้ร่วมในการตบหัวประธานนักเรียนได้กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แลดูมั่นใจ
“ได้ไงวะ นี่ก็งานของพวกเรานะเว้ย” คิงที่ทำท่าเหมือนจะไม่พอใจอะไรบางอย่างพูดขึ้นอย่างโมโห
“โปรดกระทำตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของผู้บังคับบัญชาแห่งอาณาเขตการศึกษานี้ด้วยค่ะ” สาวแว่นหนากลมพูดขึ้นหลังจากการที่พูดสวดยาวเมื่อกี้จบไปไม่กี่วินาที
“สภาของพวกแกมันมีคนน้อยกว่านี่หว่า ทำไมไม่ยอมมาร่วมมือกับพวกฉันดีๆล่ะ” ลูกกระจ๊อกที่อยู่ด้านหลังด้านขวาของคิงพูดขึ้น
“ผมไม่ต้องการความช่วยเหลือครับ สมาชิกการดำเนินการปกครองพื้นที่ของพวกผมมีเพียงพอครบองค์ประกอบแล้ว” เขาพูดขึ้นดันแว่นขึ้นอีกครั้ง(อีกแล้ว?!) “กรุณาอย่ามาขัดขวางผมเถอะครับ”
“หา?! ถึงพวกฉันจะไม่ได้ถูกรับเลือกจากพวกครู แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามีแค่พวกแกเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการบริหารโรงเรียนนะเว้ย” คิงหันหน้ามาค้อนประธานนักเรียนทันที
“คณะผู้ถืออำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือหัวพวกผมมีบัญชาโดยตรงมาถึงผมครับ และแน่นอนว่าผมเลือกที่จะไม่บอกคุณ เนื่องจากผมไม่ต้องการความช่วยเหลือครับ แน่นอนว่าที่เหนือหัวไม่บอกเรื่องนี้ก็คุณ แสดงว่าคุณต้องผ่านการพิจารณาจากผมก่อนครับ” ไอ้แว่นนี่ก็บ้าไปอีกคน จนทำให้ฉันเริ่มคิดว่าฉันกำลังฝันไปอยู่รึเปล่าที่เจอคนพูดจาบ้าๆบอๆแบบนี้ สงสัยเขาคงจะดูการ์ตูนมากเกินไปล่ะมั้ง แล้วฉันก็เริ่มจะไม่เข้าใจที่เขาพูดแล้ว ว่าเขากำลังพูดกันถึงการ์ตูนหรืออะไรซักอย่างที่เกี่ยวกับโรงเรียนรึเปล่า นี่สินะที่เรียกว่า ‘คนละเรื่องเดียวกัน’
“พวกเราต้องช่วยกันออกความเห็นไม่ใช่รึไง ฉันก็ต้องมีส่วนร่วมด้วยเว้ย” คิงยังคงเสียงแข็งเหมือนเดิม...
เอาเป็นว่า...ฉันฟังที่พวกเขาพูดกันไม่รู้เรื่องเลยซักนิด ถ้าจะให้ดีต้องขอเวลาพักซักหน่อยแล้วค่อยๆคิด แต่ถ้าจะให้ดีกว่าก็คงไม่ต้องคิดเลย... และฉันคิดว่าฉันควรจะเข้าห้องเรียนไปตั้งนานแล้ว เพราะนี่มันเลยเวลาเรียนมามากแล้วนะ ฉันฟังพวกนี้จนมึนหัวเลย ปวดประสาทจริงๆ ให้ตายสิ!
“เอ่อ... เอาเป็นว่าฉันไปละนะ” ฉันเดินออกมาจากวงสนทนาอย่างช้าๆ ผ่านไปทางคิงและลูกกระจ๊อกของเขาโดยไม่ใส่ใจเลยว่าใครจะได้ยินหรือไม่ได้ยินที่ฉันพูดเลย เพราะฉันจะไปแล้ว!! เมื่อกี้ฉันพูดแล้วก็ไม่มีใครฟังหรือสนใจฉันเลย..เออ ใช่สิ!! มันมีแค่โลกของพวกนายรึไงกัน เมินฉันงั้นสิ!! เชอะ!! (อันที่จริงเพราะฉันอยู่ไปก็ไม่ได้อะไรดีขึ้นเลยต่างหาก...)
…
“ทำไมเข้าห้องเรียนสายคะ” แหม่ ขอบคุณค่ะสำหรับการต้อนรับแสนอบอุ่น
“อ้อ... พอดีอาจารย์ประจำชั้นเรียกคุยน่ะค่ะ” นี่ใจคอบรรดาเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งคุยกันเมื่อเช้านี่กะจะไม่มีน้ำใจบอกครูแทนฉันหน่อยงั้นหรอ
“ก็ดี เพื่อนเธอบอกมาแล้ว” ห้ะ?! นี่อาจารย์ต้องการจะสื่ออะไรเนี่ย…
“เอาล่ะ จบคาบวันนี้” อ้ะ? จบคาบแล้วงั้นหรอ? นี่ถ้าจำไม่ผิด ฉันเลทเวลามาแค่สิบนาทีกว่าๆเองนะ
ฉันเดินหน้ามึนๆกลับไปนั่งที่โต๊ะ...นี่อาจารย์พยายามจะแซะเรื่องฉันมาสายเลยออกจากห้อง แบบฟิลลิ่งประมาณว่า ‘มาสาย ฉันไม่สอนย่ะ’ หรอ? หรืออะไร...
“ที่จริงแล้วครูเขามีประชุมน่ะ ” เพื่อนโต๊ะข้างๆหันมาพูดกับฉันแล้วยิ้มให้
ฉันหายไปปีเดียว อาจารย์โรงเรียนนี้นิสัยพิเรนทร์ขึ้นเยอะเลยนะ...
ในขณะที่ฉันกำลังจะนั่งหายใจอย่างสบายอกสบายใจและเตรียมพร้อมจะเคลียร์งานในวันที่ฉันไม่ได้มาเรียน...
“ประกาศถึงนักเรียนชั้นมอห้าทุกคน” เฮือก!! อะไรอีกเนี่ย ปล่อยให้ฉันได้เคลียร์งานและการบ้านอย่างสงบสุขทีเถอะ
“ในเวลาเย็นวันนี้หลังเลิกเรียน เวลาสิบห้านาฬิกาสามสิบนาที ให้มาประชุมกันภายในหอประชุมโรงเรียนค่ะ” เยื่ยม... มีแต่เรื่องน่าปวดกระบาล แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้เคลียร์การบ้านล่ะเนี่ย แค่สองสามวันมันไม่พอหรอกนะ วันนี้ยังต้องกลับบ้านช้าอีก
ถึงจะสวยขนาดไหน แต่ถ้าโดนเอ็ดเรื่องส่งงานช้ามันก็น่าอายไม่น้อยเลยไม่ใช่หรือไงกัน แล้วมาประชงประชุมอะไรกัน ถ้าเรื่องมันไม่เกี่ยวกับฉันนะ จะด่าให้ดูเลย
...
“สัปดาห์หน้าจะมีงานรับน้องค่ะ ขอให้สายชั้นมอห้ามาประชุมร่วมจัดรายละเอียดงานกันด้วยค่ะ”
ทันที่ที่เดินก้าวเข้ามาในห้องประชุม(ที่ฉันไม่ค่อยจะมีความทรงจำดีๆเท่าไหร่)ก็มีเสียงไมค์ดังห้องขึ้น และด้วยเสียงเสียงนั้นทำเอาคนที่เข้าห้องประชุมมาก่อนฉันอึ้งกันไปตามๆกัน
“อ่าว เคยจัดไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” “ห้ะ?” “อะไรเนี่ย” “มีจัดซ้ำด้วยหรอ เหนื่อยนะ” ไม่รู้ว่าทำไมถึงแต่มีประโยคซ้ำๆหลุดออกมาจากปากของพวกที่มานั่งฟังก่อนแล้ว...
เอาเถอะ ฉันไม่รู้เรื่องอะไรก่อนหน้านี้เลยซักนิด ฉันไม่รู้ว่ามีรับน้องไปแล้วรึยัง แต่ดูจากที่เขาบ่นๆกันมาก็คงจะเคยมีไปแล้วล่ะน่ะ ส่วนในสถานการณ์ตอนนี้ฉันรู้เพียงแต่ว่า ‘สัปดาห์หน้าจะมีงานรับน้อง’ ซึ่งคนที่บอกฉันในเรื่องนี้ก็คง
เดี๋ยวนะ?...ถ้ารับน้อง.... ก็ต้องน้องมอสี่กับมอหนึ่งสิ? ...แต่เดี๋ยวนะ ?! ไอ้เด็กที่มันพูดๆๆอยู่บนเวทีนั่นมันเด็กมอสี่ไม่ใช่รึไง?!
เอาเถอะ...ถึงจะงงหรือตกใจอะไรไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ฉันว่า..ไอ้โรงเรียนนี้มันชักจะเริ่มไร้สาระเข้าไปทุกที สงสัยมันคงอยู่ที่สภานักเรียนด้วยสินะ เพราะไม่มีคนดีๆอย่างฉันมันเลยเละขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆ แล้วอีกอย่างคือ ตามปกติแล้ว โรงเรียนนี้จะรับน้องในวันสุดท้ายของสัปดาห์แรกในการเรียนไม่ใช่รึไงกัน นี่มันสัปดาห์ที่สี่ที่ห้าแล้วไม่ใช่รึไง เพลียจริงๆ
“เป็นงานด่วนที่อาจารย์มอบหมายแก่นักเรียนชั้นมอห้าในการจัดกิจกรรมเพื่อรับน้องมอสี่รุ่นพิเศษค่ะ” คำอธิบายไม่สั้นไม่ยาวหลุดออกมาจากทางลำโพงโดยสาวน้อยมอสี่ที่ยืนหน้านิ่งอยู่บนเวที เธอพูดพร้อมๆกับจ้องไปที่กระดาษในมือ “โดยระยะเวลาการจะกิจกรรมคือในวันศุกร์ของสัปดาห์หน้าค่ะ ในเวลาหลังทำกิจกรรมในตอนเช้าเสร็จสิ้นจนถึงหลังเลิกเรียนค่ะ”
อา... ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ เด็กรุ่นพิเศษอะไรกันเพิ่งมาตอนนี้ แล้วมันจะพิเศษยังไง ต่างกับเด็กมอสี่ในตอนนี้ยังไง แล้วงานมันจะเริ่มจัดยังไงถ้ายังไม่ได้จัดการธีมอะไรเลย... นี่อย่าบอกนะว่าที่ทำเลาะกันเมื่อเช้าเนี่ยคือเรื่องนี้? แล้วเท่าที่ฟังๆมา รู้สึกคิงก็เป็นหนึ่งในพวกสมาชิกสภาด้วยสินะ แต่น่าจะเป็นพรรคที่แพ้การโหวตหรืออะไรซักอย่าง แล้วถ้าดูดีๆ เขาก็ยืนอยู่บนเวทีเช่นกัน ยืนอยู่ข้างๆประธานนักเรียน...
ฉันตัดสินใจเดินออกไปจากห้องประชุมเงียบๆ เพราะคนหลายคนก็ทำอย่างนั้น ต่อให้ฟังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แล้วฉันก็ต้องรีบกลีบบ้านด้วย ไม่ได้โทรไปบอกคนที่บ้านด้วยว่าวันนี้มีประชุมตอนเย็น ยังไงซะก็ต้องรอพวกสภาประชุมกันอีกทีอยู่ดี คงไม่มีใครมานั่งจัดแผนกิจกรรมกันตอนเย็นๆแบบนี้หรอกนะ อย่างน้อยก็เอาให้ชัวร์ๆดีกว่าว่าคนจะมาครบ
จะมีประชุมเมื่อไหร่ วันไหน ฉันกะว่าจะรอถามเพื่อนๆดูอีกที แต่ถ้าจะให้คิด มันก็ควรจะเป็นวันที่มีคาบว่างอย่างวันพุธ คาบว่างที่มอห้าทุกคนมี
ฉันเดินไปหน้าโรงเรียนและพบว่าคนขับรถจากที่บ้านมาจอดรออยู่แล้วเลยรีบเดินและขึ้นรถให้เร็วที่สุด
“มีธุระหรอครับ คุณหนู” คนขับรถพูดขึ้นหลังจากที่ฉันขึ้นมานั่งบนเบาะด้านหลังได้เพียงไม่กี่วินาที เขาพูดทั้งๆที่ไม่หันมามองฉันด้วยซ้ำ มองผ่านกระจกหน้ารถเป้นอย่างเดียวรึไงยะ!
“ค่ะ มีประชุมนิดหน่อย” ฉันตอบไปตามความจริง แต่ที่เลือกตอบไปสั้นๆห้วนๆนี่ไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ มันเป้นเพราะเขาถามเหมือนถามตามมารยาทต่างหาก สงสัยกลัวจะตอบพ่อฉันไม่ถูกเวลากลับบ้านช้าสินะ
“น่าจะโทรมาแจ้งก่อนนะครับ” เขาตอบกลับมาด้วยสภาพที่ไม่หันมามองฉันเหมือนเคยๆแล้วเริ่มขับรภตรงไปข้างหน้า
“ทีหลังจะระวังค่ะ” เหอะ กลัวทำงานพลาดงั้นสิ
บ่อยครั้งที่พ่อฉันเปลี่ยนคนรับใช้ในบ้าน รวมทั้งคนขับรถด้วยข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ทำให้ทุกคนเข้มงวดกับตัวเองมากจนแทบจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไปเลยด้วยซ้ำ มันทำให้ฉันไม่ค่อยได้สนิทกับคนรับใช้ในบ้านจริงๆจังๆซักคน ยกเว้นก็ซะแต่คนรับใช้ส่วนตัวของฉันคือจีเซลล่าและลูกของเธอที่อ่อนกว่าฉันแค่หนึ่งปีเท่านั้นแหละ แต่เอาตามตรง ฉันก็ไม่เคยเห็นจีเซลล่าทำงานพลาดเลยซักครั้ง ฮ่าๆ
จีเซลล่าเปรียบเสมือนแม่แท้ๆของฉัน แต่เป็นแม่ที่เหมือนแม่มากกว่าแม่เลี้ยงของฉันด้วยซ้ำ เธอเลี้ยงฉันมาตั้งแต่สามขวบเหมือนลูกตัวเอง ทำให้ฉันและเรเวนสนิทกันมากเหมือนพี่น้องกันจริงๆ(ถึงหลายๆคนจะมองว่าฉันเป็นพี่ที่โหดร้ายก็เถอะ หึหึ)
…
“คุณหนูมาเนีย เรเวนกลับมาแล้วนะคะ” เสียงสำเนียงแปลกๆเหน่อๆของจีเซลล่าพูดขึ้นมาจากทางด้านหลังของฉันขณะที่เธอกำลังถือกระเป๋านักเรียนของฉันแล้วนำไปเก็บ
“จริงหรอ!?” เอาเถอะ แน่นอนว่าฉันตกใจไม่น้อยเลยทีเดียว “ตอนนี้อยู่ไหนอ่ะ” เพราะเรเวนไม่ได้อยู่บ้านนี้ถึงสามปีเต็มๆเลยนะ เขาต้องไปเข้ารับการอบรมที่ต่างจังหวัดเพื่อที่จะมาเป็นพ่อบ้านของฉันในอนาคต (ถึงมันจะฟังดูโอเวอร์ แต่ฉันคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริงๆล่ะนะ ฮ่าๆ)
“อยู่ในห้องส่วนตัวน่ะค่ะ น่าจะกำลังนอนพักอยู่ ดิฉันเพิ่งไปรับมาจากสนามบินเมื่อบ่ายนี้เลยนะคะ ฮิฮิ” จีเซลล่าพูดไปแล้วขำเล็กๆ
‘หึหึ นอนอยู่งั้นเรอะ งี้ต้องไปถ่ายรูปมาแฉแล้ว หึหึหึ’ พอฉันคิดอย่างนั้นได้ก็รีบดิ่งตรงไปที่ห้องของเรเวนทันที พร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือที่เปิดกล่องไว้เรียบร้อย
ตุบ!
อ้ากกกกก!! ทันทีที่ฉันเดินไปถึงหน้าประตู ประตูมันดันเปิดออกมากระแทกฉันเต็มๆจนทำให้กระเด็นล้มไปนอนกองกับพื้นเลยทีเดียว
“อะไรเนี่ย!!” ฉันตะโกนลั่นด้วยความตกใจ
“อะ?! คุณหนูครับ ขออภัยครับ!!” ชายหนุ่มตรงหน้าพูดขึ้น
“เรเวน!!” คงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเขา แต่ทุกอย่างมันดูแปลกตาไป... มันแปลกจริงๆนะ
เอิ่ม... ที่ฉันเห็นตอนนี้คือ หนุ่ม..ผิวแทน...ผมดำ....ยาว? มัดผมด้วย.. อ่า แล้วก็..ใส่เสื้อสูทดำ? เสื้อบาร์เทนเนอร์เรอะ? ใส่ถุงมือด้วยนะนั่น หน้าตาเรียบร้อย ...
“นี่นาย... เอ่อ... เรเวน จริงๆใช่ไหม” เอ่อ... ฉันถามไปเพราะความสงสัย แต่คงจะเป็นคนอื่นไม่ได้แล้วนี่นา หน้าตาก็ออกจะดูคล้ายๆ ...ฉันว่าฉันจำหน้าเขาไม่ผิดนะ ถึงจะไม่ได้เจอกันสามปีก็เถอะ แล้วไหนจะนัยน์ตาตาสีเทานั่นอีก
“ครับ คุณหนู” ว่าแล้วเขาก็เอื้อมมือมาฉุดฉันขึ้นจาดพื้นอย่างช้าๆ (ช้าชะมัด)
มะ...ไม่นะ!! เรเวนที่น่ารักของฉันหายไปซะแล้ว เรเวนที่ฉันมัดแกละและหวีผมได้หายไปไหน เรเวนที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งหายไปไหน ทำไมวันนี้เขาดูมาดเข้มอย่างนี้!! ฉันจะโทรศัพท์ไปด่าไอ้องค์กรงี่เง่าที่รับอบรมพ่อบ้านให้ได้เลย กรี๊ดดดดดด เอาเรเวนฉันคืนมา!! ส่วนสูงนั่นมันอะไรกันนน ตอนเด็กๆฉันยังข่มนายได้เลยแท้ๆ นายมันเรเวนตัวปลอมมมม!
“คุณหนูครับ ตั้งแต่วันนี้ไป คุณผู้ชายจะให้ผมเป็นบอดี้การ์ดให้นะครับ!!” เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนมั่นใจเต็มเปี่ยมพร้อมกับยิ้มบานๆ ซึ่งมันทำให้ฉันถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ จากเรเวนที่เคยเป็นเด็กผู้ชายอ่อนแอชอบร้องไห้ ทำไมถึงทำหน้าตามั่นใจได้มากขนาดนั้น แล้วเรื่องส่วนสูงอีก ฉันเป้นพี่นายหนึ่งปีนะ ทำไมนายสูงกว่าฉันตั้งเยอะ!!(ไม่เกี่ยว)
แล้วอีกอย่าง นายเพ้อเจ้อรึไง บอดี้กงบอดี้การ์ดอะไรเล่า นี่ไม่ใช่นิยายน้ำเน่าที่นางเอกจะถูกลักพาตัวนะ ถึงต้องมีบอดี้การ์ดคอยตามตัวน่ะ เอาตามตรงคือ ฉันไม่คิดว่าพ่อจะทำจริงๆเลยไม่เคยคิดจริงจังมาก่อน แต่พ่อก็เคยบอกเรื่องนี้ไว้แล้วนะ(ผ่านจีเซลล่า) แล้วบอดี้การ์ดที่อ่อนกว่าหนึ่งปีนี่มันอะไรกัน รับไม่ได้ค่า!!
“ไม่” เขาพูดปกติมา ฉันก็พูดปกติกลับ เรื่องอะไรฉันจะต้องตื่นตระหนกที่เขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ต่อหน้าเขาด้วยล่ะ เชอะ!!
แต่ทันใดนั้นที่ฉันพูดคำว่า ‘ไม่’ ไป เขาก็ทรุดตัวลงกองกับพื้นทันที มันทำให้ฉันตกใจมาก
“คะ...คุณหนู ไม่ต้องการผมแล้วหรอครับ” เขาพูดแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากเสื้อแล้วซับน้ำตาตัวเองเบาๆ (เห้ย?! มันจะเวอร์ไปแล้วนะ) มันทำให้ฉันรู้สึกผิดมากโดยที่ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร
“อะ..เอ่อ นายเป็นอะไรน่ะ”
“อันที่จริง ผมคิดไว้ว่าถ้าคุณหนูปฏิเสธผม ผมจะไปฆ่าตัวตายน่ะครับ” (เห้ย?!)ทันใดนั้นเขาก็หยิบมือขึ้นมาจากไหนไม่รู้ แล้วหันเข้าไปที่คอตัวเอง “ผมลาล่ะครับ ขอให้ชาติหน้าได้เกิดมาเจอคุณหนูอีกนะครับ”
ฉันงงกับสถานการณ์ตอนนี้มาก และทำตัวไม่ถูกเลย สิ่งเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ ‘ห้ามเขาซะ’ และทำในสิ่งที่เขาต้องการ ...พอฉันคิดได้อย่างนั้นก็รีบทรุดตัวลงนั่งแล้วจับมือเข้าไว้ทันที... “อย่าทำนะ!!” “ตกลง ตกลงเลย!! นายมาเป็นบอดี้การ์ดฉันเถอะ ” ฉันพูดไปทั้งๆที่ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ดีนัก แต่ดูจากที่เขาทำมันดูจริงจังมากจนน่าประหลาดใจ ถึงมันจะดูเวอร์ไปหน่อย แต่มันก็เสี่ยงที่จะให้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
แต่ไอ้การที่ฉันนั่งลงไปมันทำให้ฉันสังเกตได้ว่า ...ไอ้มีดที่เขาถืออยู่นั่นมัน.... ‘มีดสเต็ก’....ใช่.... มีดสเต็ก...
...มีดสเต็ก...
...ฉันถูกหลอกอีกแล้วค่ะ...
ว่าแล้วในขณะที่ฉันกำลังนั่งจ้องมีดสเต็กที่อยู่ในกำมือหนุ่มพ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าพร้อมๆกับบีบข้อแขนเขาแน่นเพราะความตกใจกลัว ไอ้หนุ่มพ่อบ้านตรงหน้ากลับยิ้มแป้นจนหน้าเกือบแหก
“เป็นอันตกลงนะครับ” พิเรนทร์ยิ่งนัก
“แหมๆ ตายแล้ว โดนมุกเดียวกับดิฉันเลยค่ะ” จีเซลล่าเสริม
...
หลังจบเหตุการณ์พิเรนทร์ๆไปไม่กี่นาทีฉันและเรเวนก็เดินไปที่โต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ในสวนหลังบ้านพร้อมๆกับจีเซลล่าที่ถือเค้กมาด้วย
“เค้กนี้อร่อยนะครับ เพราะผมทำเอง” โหๆ พูดจาหลงตัวเองเหลือเกินน้องชายฉัน
“แต่ฉันว่า นายมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันไม่ได้หรอกนะ” เข้าประเด็นเลยละกัน เรื่องที่ค้างคาใจที่สุดในตอนนี้ “พ่อน่ะ อาจจะให้งานเกินจริงไปบ้าง แต่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ก็คือเป็นไปไม่ได้ ” ฉันเสริม ถึงจะไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับงานนี้ก็ตาม “ฉันก็ต้องเรียน นายก็ต้องเรียน ...บอดี้การ์ดน่ะ ต้องตามติดตัวต้อยๆไปทั้งวันเลยไม่ใช่หรอ” เพราะเอาตามตรง ฉันแอบรู้มานานแล้วว่าพ่อต้องการจัดบอดี้การ์ดให้ฉันเพราะจะคอยเป็นคนส่งข่าวสารให้ท่านในเรื่องทุกเรื่องของฉัน และแน่นอนว่าไอ้บอดร่การ์ดคนนั้นก็ต้องตามติดฉันไปตลอดแน่ๆ
(เฮอะ! สู้ดีไม่หาคู่หมั้นมาให้เลยล่ะ! ตามติดตัวตั้งแต่เช้ายันห้องนอนแบบเนี้ย)....(แต่ถ้าทำจริงๆ ฉันไม่ยอมแน่) ...(ฉันมีสิทธิ์นั้นรึเปล่านะ?)
“ได้สิครับ” เรเวนตอบกลับสั้นๆ
“ได้ยังไงไม่ทราบ บอดี้การ์ดในบ้านรึไงยะ”
“ผมก็เรียนโรงเรียนเดียวกับคุณหนูก็จบ”
“เหอะๆ นายจะบ้าหรอ”
“แต่ผมได้เข้าเรียนแล้วนะครับ” ห้ะ?!
“นะ...นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เด็กมอสี่รุ่นพิเศษอะไรนั่นน่ะ?!” มันคงจะเป็นสิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ตอนนี้
“ครับ เด็กมอสี่รุ่นพิเศษครับ”
ดูเหมือนว่าฉันจะมีรุ่นน้องเป็นพ่อบ้านล่ะ
พ่อบ้านที่ว่านี่คือไอ้เด็กที่สนิทกันมากๆมาตั้งแต่เล็กๆ ซึ่งเขาจะตามฉันไปที่โรงเรียนด้วยหลังจากที่จากกันไปถึงสามปี?!
เดี๋ยวนะ...ถ้ามีคนรู้ว่าฉันและเขาอยู่บ้านเดียวกันล่ะก็..จะมีใครเข้าใจผิดอะไรไหม??
ตะ...แต่... มันไม่มีทางเป็นไปได้นี่ ยังไงเขาก็ต้องเรียนล่ะนะ!! เขาคงไม่ตามติดฉันจนน่าสงสัยหรอกน่า!!
แต่เอาเถอะ... ตอนนี้ฉันมีรุ่นน้องเป็นพ่อบ้านแล้วค่ะ...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอาเถอะ ดองมานานแล้ว ได้เวลาปล่อย
ขออภัยที่ไม่ได้ส่งมานานเลย-*- หลายๆคนคงจะลืม แล้วก็ไม่ได้ติดตามกันแล้วล่ะมั้ง? 555
//ขอบคุณคอมเม้นมากเลยเน้อ ถ้าเพื่อนไม่บอกมาเราคงไม่รู้ พอดีไม่ค่อยได้เข้าเว็บน่ะ=w=
Ps. ส่วนตัวคิดว่า...นี่เป็นตอนที่น่าเบื่อที่สุด คราวหน้าจะปรับปรุง...=w=
ความคิดเห็น