คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 หนุ่มนักกีฬากับลูกบอลสีส้ม
แก้คำผิด+เพิ่ม/ดัดแปลงบางประโยค
บทที่ 2
ต่อให้ไม่อยากไปยังไง ก็ต้องไป ‘โรงเรียน’…
หลังจากที่หมดเวลาเสาร์อาทิตย์หรือช่วงวันหยุดตามราชการในประเทศไทยที่ร้อนอบอ้าวสุดๆในเดือนมิถุนา แต่ก็ยังดีที่สามารถประทังชีวิตได้ในห้างสรรพสินค้า ถึงจะอยู่ที่นั่นแล้วจะไม่มีอะไรทำก็เถอะ …
แต่แล้ววันเปิดเรียนที่ไม่อยากให้เปิดก็กลับมาอีกครั้ง… ทั้งๆที่ทุกอย่างควรจะไปในทางที่ดีกว่านี้แท้ๆ แต่ฉันไม่สามารถขัดพ่อได้เรื่องที่จำเป็นจะต้องมาเรียนทุกวันเพื่อเหตุผลบางประการ เศร้าใจจริงๆ
ความรู้สึกตอนที่รถของที่บ้านจอดตรงหน้ารั้วโรงเรียนมันแย่มากจนแทบจะร้องไห้ออกมาเลยล่ะ ฉันค่อยๆก้าวขาสั่นๆลงไปบนพื้นคอนกรีตและเดินแบบเซไปเซมาข้ามผ่านรั้วโรงเรียนไป ถ้าทุกคนในโรงเรียนเห็นหน้าฉันล่ะก็คงนึกถึงเรื่องเมื่อวันศุกร์แน่ (รู้ไหมว่าฉันต้องไปแกะช่อดอกไม้นั้นโดยให้คนขับรถที่บ้านมาช่วยแกะเลยนะ!!)ดังนั้นเพื่อไม่ให้มีเรื่องพิรุธต่อหน้าคนขับรถของที่บ้านอีกเป็นครั้งที่สองฉันจึงก้าวผ่านรั้วโรงเรียนไปอย่างปกติที่สุด ถึงจะก้มหน้านิดๆก็เถอะ และแน่นอนว่าเพราะความสวยเจิดจรัสของฉันก็คงทำให้ความแตกในไม่ช้าว่าฉันมาโรงเรียนวันนี้ ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งขึ้นตึกให้เร็วที่สุดหลังจากรถของที่บ้านเริ่มขับออกไปจากบริเวณหน้ารั้วโรงเรียน แล้วตรงดิ่งไปทางห้องน้ำทันที
“โอเค! วันนี้ฉันจะใส่ไอ้นี่ไปเข้าแถวหน้าเสาธง” ฉันพูดกับตัวเองในห้องน้ำพลางหยิบผ้าแมสปิดปากขึ้นมาสวม และคว้าแว่นกันแดดในกระเป๋านักเรียนออกมาเพื่อปิดตาช้ำๆที่ช้ำจากการร้องไห้แบบไม่หยุดมาเมื่อวันศุกร์ (แน่นอนว่าเสาร์กับอาทิตย์ด้วย)
พอเดินออกไปส่องกระจกหน้าห้องน้ำก็ได้รู้ว่าแต่งตัวแบบนี้มันเฉิ่มสุดๆ แต่ก็ดีกว่าให้ใครมาเห็นล่ะนะ ฉันจะรอจนกว่าทุกคนจะลืม คงประมาณซักสัปดาห์นึง หรือน้อยกว่านั้น
แต่ถ้าจะให้ปลอมตัวธรรมดาๆคงไม่ไหว แค่ใส่ผ้าแมสปิดปากแล้วก็แว่นกันแดดเนี่ย ยังไงก็มองออก เพราะไม่มีอะไรเลยบนร่างกายที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ดังนั้นฉันก็เตรียมไอเทมสำคัญขึ้นมา มันคือ ‘ยางมัดผม’ ฮ่าๆ นี่เป็นไม่กี่ครั้งนะที่ฉันได้มัดผม เพราะโดนพ่อบังคับมาตลอดว่าให้ปล่อยผม จะได้เป็นกุลสตรี(ความคิดสมัยไหนฉันก็ไม่ทราบ) มันคือไอเทมที่สามารถเปลี่ยนทรงผมได้นั่นเอง!!
หลังจากฉันมัดผมเสร็จก็เดินออกไปจากห้องน้ำอย่างเจิดจรัสและเดินตรงเข้าห้องเรียนประจำทันที ‘เยี่ยม! ฉันปลอมตัวขนาดนี้ คงไม่มีใครสังเกตเห็นแล้วล่ะนะ ไม่มีพิรุธด้วย!’ พลางคิดประโยคเทือกๆนั้นซ้ำไปซ้ำมาด้วยความภาคภูมิใจ
“อ่าว มาแล้วหรอมาเนีย” (เฮือก!! ใครเรียกชื่อฉัน!!?) นับเป็นประโยคแรกเลยที่มีคนพูดกับฉันตั้งแต่ตื่นนอน
“อือ” ถึงจะตกใจนิดหน่อย แต่ฉันตอบกลับใบไม้ไปเบาๆแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ประจำแล้วจัดของเตรียมเรียนคาบแรก เอาเถอะ อย่างน้อยคนที่จำได้ก็ใบไม้ล่ะนะ…
“ฉันจะลงไปเดินรอบๆโรงเรียนหน่อย” ถึงแม้ตั้งแต่ที่ฉันกลับมาจะมีคนมาโรงเรียนเช้าเพิ่มขึ้นแปลกๆ แต่ฉันก็ยังอยากเดินรอบโรงเรียนสัมผัสบรรยากาศเก่าๆซักหน่อย ยิ่งเวลาเช้าๆแบบนี้ อากาศมันจะดีเกินบรรยายเลยล่ะ และฉันคิดว่าคงไม่มีใครจำฉันได้แน่ๆ แน่นอนเพราะว่าฉันหายหัวไปเกือบปี แล้วยังมีเด็กใหม่เพิ่มขึ้นอีก เจอกันวันศุกร์แปบเดียวก็คงจำไม่ได้ ซึ่งนั่นทำให้ฉันตัดสินใจไม่ถามใบไม้ว่า ‘ฉันดูออกง่ายรึเปล่า’
ฉันเดินไปเรื่อยๆช้าๆ ด้วยบรรยากาศตึกเรียนที่เงียบสงัดแบบนี้ทำให้ได้ยินเสียงต่างๆมากมาย ทั้งเสียงเปียโนจากห้องดนตรีที่อยู่ห่างจากบันไดไปไม่เท่าไหร่ เสียงรองเท้ายางเสียดสีกับพื้น และเสียงบอล.. เอ๊ะ เดี๋ยวนะ เสียงบอล? ทำไมมันมีเสียงนี้บนตึกล่ะ?!
พรืดด….หือ?
ด้วยการที่เดินพยายามหาต้นเสียงบอลตามสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นอย่างไม่มองทางข้างหน้าทำให้ฉันเหยียบเข้ากับวัตถุขนาดใหญ่จนเสียหลักการทรงตัวและลื่นล้มในที่สุด
ม่ายยยยย~ ฉันไม่อยากเอาหัวสวยๆของฉันไปถูกับพื้นนนนน~ ฉันนึกครวญครางขอพระเจ้าว่าอย่างน้อยขอให้บังเอิญมีเบาะสะอาดๆนุ่มๆมารองตัวฉันด้วยเถอะ กรี๊ดดด แถมอีกอย่างคือ ฉันอุตส่าห์ตั้งใจมัดผมมาอย่างดี ถ้าล้มหัวตกถึงพื้นมันก็เสียทรงพอดีน่ะสิ…
พรึ่บ~ เอี๊ยด~ เสียงรองเท้ายางถูกับพื้นดังเอี๊ยดดังสนั่นก้องไปทั่วทางเชื่อมตึกที่ฉันเดินอยู่(ซึ่งกำลังจะเรียกได้ว่านอนอยู่ด้วยซ้ำ) ฉันได้ยินพร้อมๆกับความรู้สึกที่ตัวเองถูกโอบตัวเอาไว้กับอะไรบางอย่างที่มันอุ่นๆนุ่มๆ…แล้วก็ชื้นๆ?
“ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวกับหุ่นที่บอกถึงความแข็งแรงและมีความเป็นนักกีฬาพูดขึ้นขณะที่โอบฉันไว้ในอ้อมอกหลังจากที่ฉันลื่นไถลลูกบาสที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้นอย่างมีความสุข(?)
หน้าของเขายื่นเข้ามาใกล้ฉันมากๆและโอบตัวฉันไว้อย่างนุ่มนวล ทำให้ฉันอดเขินไม่ได้เลยถึงแม้จะเป็นคนแปลกหน้า ซึ่งบอกได้เลยว่าสถานการตอนนี้ไม่ต่างจากฉากในหนังที่นางเอกเผลอล้มจะตกบันไดหรืออะไรก็ช่างแล้วพระเอกมาโอบได้ทันพอดี และกลายเป็นรักแรกพบหรืออะไรซักอย่างที่น้ำเน่าๆ แต่จะบอกว่าสภาพตอนนี้ฉันไม่ใช่นางเอกย่ะ! ฉันอายนะ! คือแบบว่า ฉันใส่แว่นกันแดดหนาเตอะ ใส่ผ้าแมส แล้วก็ดันซุ่มซ่ามไปเหยียบบอลชาวบ้านล้มนี่มันควรอายไม่ใช่เรอะ! ไม่สิ คนผิดน่ะ มันคนโยนบอลมาต่างหากล่ะ ฉันไม่ได้ซุ่มซ่ามนะ!
“อ่าว มาเนียนี่เอง” (กรี๊ดด รู้จักชื่อฉันด้วย) ฉันตกใจกับคำพูดของเขามาก จนเผลอทำหน้าเหวอออกไป(แต่ก็ไม่เห็นหรอกหน้าที่ว่านั่นหรอก) นี่หรือว่าจะเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์เมื่อวันศุกร์นั้นแล้วดันจำหน้าฉันได้ ไม่นะ! ไม่! นี่จะบอกว่าหมอนี่จำหน้าฉันทั้งๆที่ใส่แว่นกันแดดที่กินเนื้อที่หน้าไปแล้วเกือบครึ่งหน้า และยังใส่แมสปิดปากที่กินเนื้อที่ไปอีกครึ่งหน้าเรอะ! หรือเป็นเพราะสีผมฉันล่ะเนี่ย?! ฉันเริ่มเกลียดตัวเองที่ย้อมสีผมจากสีดำเป็นสีคาราเมลขึ้นเล็กน้อยต่อให้มันเป็นของรางวัลจากการที่สอบได้ที่หนึ่งของสายชั้นจากพ่อก็เถอะ แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรต่อ ได้แต่อึ้งต่อไปในสภาพที่ควรจะอึ้งกับการโดนโอบมากกว่า
“อ่า ขอโทษนะ คงมีกลิ่นเหงื่อนิดหน่อย” หนุ่มนักกีฬาตรงหน้าพูดขึ้นพร้อมกับเอนตัวฉันขึ้นมาให้อยู่ในสภาพยืนตรงอย่างที่ควรจะเป็นแล้วก้มไปหยิบลูกบาสที่กลิ้งมา “ขอโทษจริงๆนะ ไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เขาพูดซ้ำในขณะที่ฉันไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป
“อ่ะ..เอ่อ ไม่เป็นไร” ฉันตอบไปแบบเสียงสั่นๆ “นี่นายจำฉันได้หรอ”
“จำได้สิ” กรี๊ดดด เขาจำฉันได้ด้วย พระเจ้า! ตอนนี้ฉันอยากวิ่งออกไปนอกโรงเรียนแล้วไปสิงที่ไหนซักแห่งที่ไม่ใช่ที่นี่จริงๆ ถึงจะทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ก็เถอะ
“ก็กลิ่นแบบนี้ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ตอนนั้นผมก็อุ้มเธอไปห้องพยาบาลนะ” เขาตอบกลับมาพลางเกาหัวเบาๆแล้วยิ้ม …อ๊ะ เดี๋ยวนะ? ห้องพยาบาล? นี่หรือว่า….
“หา? นายเป็นคนอุ้มฉันไปห้องพยาบาลหรอ” ฉันตะโกนลั่นทางเชื่อมบนตึกโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยอารมณ์ที่ตกใจมาก และลืมเรื่องอายๆทั้งหมดภายในไม่กี่เสี้ยววินาทีนั้น
“อ่าว.. ก็ใช่ ทำไมหรอ?” เขาตอบกลับมาท่างงๆ แต่คนที่งงกว่าน่ะ คือฉันย่ะ เราเพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกตอนนั้นนะ(เพราะฉันได้เจอเพื่อนรุ่นเดียวกันที่เป็นเด็กใหม่แค่นิดเดียวจริงๆ บางคนไม่เจอเลยด้วยซ้ำ) นายอุ้มฉันไปห้องพยาบาลแล้วหายแซ่บหายสอยไป แล้วตอนนี้จะมาบอกว่าจำฉันได้ด้วยกลิ่นเนี่ยนะ นี่มันบ้าไปแล้ว นายเพ้อเจ้ออะไรอยู่ ไม่ๆ ประเด็นมันคือไม่ได้จำได้ด้วยกลิ่น แต่จำฉันได้ทั้งๆที่เจอกันครั้งที่สองและใส่ผ้าปิดตาแบบนี้ ใส่ผ้าปิดปากขนาดนี้ นี่นายจำได้ยังไงน่ะ แอบโม้มาตีสนิทฉันรึเปล่าเนี่ย เห็นหุ่นสวยๆแบบนี้เลยเดาว่าเป็นฉันเลยงั้นสิ?
“จำฉันได้ด้วยหรอ” ฉันถามคำถามที่ค้างคาใจที่สุดตอนนี้ออกไปแบบตรงๆ ปนๆกับความรู้สึกที่อยากขอบคุณมากๆที่พาฉันไปที่ห้องพยาบาล ว่าแล้วก็แอบหุบยิ้มใต้ผ้าแมสปิดปากไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ก็บอกแล้วไง จำกลิ่นได้ แล้วก็สีผมด้วย” เขายิ้มตอบ
ก…กลิ่นเนี่ยนะ หรือนี่นายกำลังจะบอกว่าฉันมีกลิ่นตัวที่เหม็นจนตราตรึงนายเรอะ …ฉันอายยิ่งกว่าเดิมอีก แล้วยังเรื่องเมื่อวันศุกร์อีก เขาคงจะหัวเราะอยู่ในใจว่าคนที่เขาอุ้มไปห้องพยาบาลเมื่อวันก่อน วันต่อมาก็แอบหนีโรงเรียนกลับบ้านตั้งแต่เช้าล่ะสิ พอนึกอย่างนี้เข้า ฉันก็เริ่มออกอาการหน้าแดง มีความรู้สึกว่าใบหน้ามันร้อนผ่าวไปหมดจนถึงหู
“ขอบ..คุณนะ..” ฉันตอบไปทั้งๆที่หน้าก้มอยู่ และทำท่ากำลังจะเดินกลับห้องเรียน พลางคิดว่าวันนี้อาจจะโดดหน้าเสาธง ทำไมฉันต้องเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ฉันทำมาถึงขนาดนี้ ยังมีคนจำฉันได้อีก…
“เครียดเรื่องเมื่ออาทิตย์ที่แล้วหรอ วันนี้ปิดหน้ามาเชียว หรือเป็นหวัด?” ผู้ชายตรงหน้าถามอย่างสงสัยและเอนตัวเข้ามาถามฉันที่กำลังจะบ่อน้ำตาแตกเพราะอดีตอันไม่น่าจดจำไปตลอดชีวิต
ฮือ… ขอบคุณนะที่นายอุตส่าห์จำฉันได้ แล้วยังเป็นห่วงอีก แต่ตอนนี้คอมันตีบตัน ถ้าตอบอะไรไปมีหวังน้ำตาร่วงแน่ๆ ฉันเลยได้แต่พยักหน้าเบาๆตอบกลับไป
“เหอะ! อย่าเครียดมากน่า หมอนั่นมันเป็นคนเลวแบบนั้นอยู่แล้ว ทุกคนคงเข้าใจดีแหละว่าต้องมีซักวันที่จะมีคนโชคร้ายแบบเธอ” …ประโยคของเขาครั้งนี้ก็ยังคงทำให้ฉันตกใจเหมือนเดิม ‘หมอนั่น’ ที่ว่านี่หมายถึงประธานนักเรียนงั้นหรอ? แล้วคนเลวนี่…อา…ใช่ หมอนั่นมันเลว หึหึ แล้วก็ที่ว่าทุกคนนี่ คงจะหมายถึงคนที่อยู่ในเหตุการณ์หรือทุกคนในโรงเรียนสินะ… แต่ไอ้ประโยคสุดท้ายเนี่ยสิ ชวนฉันงงจริงๆ
“โชคร้าย?” ฉันถามไปงงๆ โดยที่ไอ้ความงงที่ว่ามันทำให้ฉันหมดบทนางเอกเจ้าน้ำตาที่กำลังจะบ่อน้ำตาแตกไปในทันที
“อื้ม ใช่สิ มันเป็นคนแปลกๆ อย่าไปยุ่งกับมันมากละกัน ไม่งั้นเรื่องแบบนั้นก็มาอีกแน่” เขาพูดแล้วโก่งหลังทำท่าเซ็งๆโดยที่กอดลูกบาสไว้ในอ้อมแขนข้างขวา และตบหลังฉันเบาๆด้วยมือซ้าย
เอาเป็นว่า ฉันพอจะสรุปสถานการณ์ตั้งแต่วันนั้น จนถึงปัจจุบันได้คร่าวๆด้วยสมองอันชาญฉลาดของฉันภายในเสี้ยววินาทีว่า ‘เขาคนนั้น หรือ ประธานนักเรียน ทำแต่เรื่องแปลกๆที่ชวนให้ชาวบ้านเขาอายกันอยู่แล้วเป็นเรื่องธรรมดา จนทุกคนชินไปเอง…’ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้เองสินะ ฮ่าๆ งั้นฉันจะเครียดอะไรล่ะ เพราะคนอื่นก็คงเจอมาหลายเหตุการณ์จนชินไปแล้วล่ะ ฉันก็แค่เป็นคนโชคร้ายที่โดนไปด้วยเท่านั้นเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ(หัวเราะในใจเหมือนหลอกตัวเองเลยฉัน)
พอคิดได้ฉันก็ถอดผ้าแมสปิดปากที่ทำให้ร้อนยิ่งกว่าเดิมในหน้าร้อนออกทันที แล้วถอดแว่นโชว์หน้าสวยๆของตัวเองออกมาทั้งๆที่ตายังบวมอยู่ พร้อมกับหัวเราะในใจเพื่อรักษามารยาทราวกับจะครองโลก
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” อ่าวเวร เผลอหัวเราะออกมาจริงๆ
หนุ่มหุ่นนักกีฬาหันมามองฉันทันที และเผลอๆอาจจะคิดว่าฉันคงสติแตกไปแล้ว แต่เขากลับหันมายิ้มแล้วเอามือตบหัวฉันเบาๆ
“ทำใจได้แล้วสินะ ฮ่าๆ”
“นี่นาย ขอบคุณมากนะที่ให้กำลังใจฉันน่ะ แล้วก็เรื่องพาไปห้องพยาบาลด้วย” ฉันเงยหน้าไปมองเขาอย่างภาคภูมิใจ แล้วชูนิ้วโป้งให้หนึ่งครั้ง
แต่ด้วยการมองเขาตรงๆโดยที่ไม่ได้ใส่แว่นกันแดด ทำให้ฉันเห็นหน้าเขาชัดขึ้นและ…!
‘เขาหล่อมาก’ ฉันคิดพลางนึกถึงหน้าประธานนักเรียน แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน ซึ่งพอรวมๆคะแนนออกมาแล้วค่อนข้างสูสีกันเลยทีเดียว… แต่ถ้าเทียบกับคะแนนความประทับใจและคะแนนด้านบวกขอเทให้คนนี้เลยจริงๆ เฮ้อ~ เบื่อเนอะ คนสวยๆนี่มีคนให้เลือกเยอะจริงๆนั่นแหละ
“นี่ เธอผมยุ่งแน่ะ” เขามองมาทางฉันอย่างสงสัยแล้วชี้ขึ้นมาบนหัวฉัน
“ฉันว่าฉันมัดมันอย่างดีแล้วนะ”
“โห นี่มัดผมเป็นเปล่าเนี่ย ฮ่าๆ” เขาหัวเราะสนุกๆ แล้วยิ้ม…จะว่าไป ฉันก็มัดผมครั้งแรก… แล้วคิดว่ามัดได้ดีแล้วนะตอนส่องกระจกน่ะ หรือมันจะแน่นไม่พอ? แต่ถ้าแน่นไปผมมันจะไม่เสียหรอ? แต่ตอนที่คนใช้ที่บ้านมัดให้มันก็รู้สึกคล้ายๆแบบนี้นี่นา
“ช่วยไม่ได้ ฉันเพิ่งเคยทำครั้งแรกนี่นา” ฉันทำปากจู๋ใส่คนที่เพิ่งเคยคุยกันครั้งแรกแล้วกอดอก แล้วค่อยๆแก้มัดผมออก เพราะยังไงซะ มันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
“เดี๋ยวมัดให้เอาปะ” เอาดิ!! ฉันอยากจะตอบทันควัน และไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นประโยคที่ฉันอยากฟังมานานตั้งแต่เขาทักเรื่องผมล่ะนะ เพราะฉันไม่มีโอกาสได้มัดผมเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นเกล้ามวย หรือถักเปีย หรือมัดธรรมดา หรืออะไรก็ช่าง แล้วก็คงเป็นเพราะพ่อด้วยเลยไม่เคยมีปัญหากับครูเรื่องผมเลยซักครั้งเดียว
“เอ่อ… มันจะดีหรอ นายน่าจะไปซ้อมกีฬาต่อนะ” ฉันชี้ไปที่ลูกบาสที่อยู่ในอ้อมแขนขวาของเขา ทั้งๆที่ในใจก็อยากให้ทำให้อยู่หรอก เพราะคนใช้ที่บ้านก็เคยทำให้บ่อยๆ แต่ก็แค่ครู่เดียวเท่านั้น ไม่เคยได้ทำผมสวยๆออกจากบ้านเลยซักครั้งเดียว หรือแม้กระทั่งโชว์ให้คนในบ้านดู…s
“ไม่เป็นไร รออยู่นี่นะ” เขาพูดขึ้นแล้วย่อตัวลงพร้อมๆกับเอามือขึ้นมาทำท่าปางห้ามญาติแล้วสบตาฉัน(กรี๊ดด นี่กะจะสร้างดาเมจหรอ?!)
หลังจากที่ฉันเออออตอบรับกับท่าทางที่บอกในเชิงขอร้องของเขาว่าให้อยู่นิ่งๆอยู่ตรงนี้ เขาก็วิ่งกลับไปในทางที่เขาวิ่งมา แล้ววิ่งกลับมาภายในเวลาไม่ถึงสามนาที.. (ไวไป)
พอเขาวิ่งกลับมาแล้ว ฉันที่ได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆพิจารณาเรียงลำดับเหตุการณ์ก่อนที่จะถูกจับข้อมือและลากออกไปนั่งที่ระเบียงใกล้ๆ
“ขอพักแปบนะ” เขาหอบอยู่ซักพัก โดยที่ฉันได้แต่นั่งนิ่งๆแล้วคิดไปพลางว่า ‘นี่จะทำให้จริงหรอเนี่ย’ “มีหวีไหม” เขาถามขึ้นมาหลังจากหยุดจากการหายใจรัวๆไปแล้วนิดนึง
ฉันเลยล้วงกระเป๋ากระโปรงเพื่อหยิบหวีขึ้นมา แล้วยื่นให้เขา แล้วตอบรับด้วยคำที่เชิงอุทานว่า “อ่ะ” ตามที่ชาวบ้านเขาใช้กันนั่นแหละ
เขาค่อยๆหวีผมฉันอย่างบรรจง แล้วคว้ายางมัดผมที่มือฉันไป
ฉันไม่รู้ว่าเขาทำอะไรบ้างมันถึงใช้เวลานานแปลกๆ และดูเหมือนจะจับผมแยกออกเป็นหลายๆมัดแล้วดึงไปดึงมา เพราะปกติตอนที่ฉันมัดผมมักจะมีกระจกบานใหญ่ตั้งอยู่ข้างหน้าฉันเลยสามารถเห็นได้ทุกอย่าง เป็นกระจกของโต๊ะเครื่องสำอางที่บ้าน และใช้เวลาไม่นานโดยให้คนใช้มัดให้
“เปียเสร็จแล้ว” เขาทำเสียงร่าเริงแล้วดึงผมฉันไปทางซ้ายทีขวาที ฉันเลยหันไปมองหน้าเขา เขาดูมีความสุขมาก และดูเป็นผู้ชายที่น่ารักอบอุ่นมาก…แต่นี่ไม่ได้จะบอกว่าฉันเขินนะยะ! ฉันก็แค่เห็นหน้าเขาแล้วเผลอมีความสุขไปด้วยเท่านั้นเอง!!
“ฉันสวยสินะ” อย่างน้อยฉันก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งว่าเขาต้องทำให้ฉันออกมาดูดีได้ เพราะดูแล้วเขาเป็นคนดี และอยากทำให้ฉันอย่างเต็มใจ เฮ้อ...เบื่อจริงจริ๊ง คนมันสวยมันดังอ่ะนะ ใครๆก็หวังดีด้วย(ยกเว้นประธานไว้คนนึง)
เขาทำหน้างงๆตอบกลับ แต่ก็ไม่ได้เงียบอย่างเดียว แน่นอนว่าเขาก็ตอบกลับมาว่า “สวยมาก” แล้วก็ยิ้มบานอีกครั้ง คราวนี้เขายิ้มแล้วทำให้ฉันนึกถึงประธานนักเรียนซะงั้น (ขนลุก) ฉันก็เลยนึกขึ้นได้ว่าฉันยังไม่รู้ชื่อหมอนั่นเลย แล้วก็หมอนี่ด้วย เลยได้โอกาสถามไปซะเลย
“นี่นาย ชื่ออะไรน่ะ” ฉันถามออกไปอย่างใสซื่อโดยไม่ได้สนใจเลยว่าถึงเขาจะมาช่วยถักเปียให้แล้วแต่ยังไม่รู้ชื่อซะงั้น ก็ไม่รู้ ก็ต้องถามสิเนอะ…
“คิงครับผม!” เขาตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วเอามือขึ้นทำท่าวันทยาหัต
“แล้วประธานนักเรียนล่ะ” ฉันคิดว่าเขารู้ชื่อประธานนักเรียน เพราะว่าจากการmujอยู่ชั้นเดียวกัน ไม่หนำซ้ำยังพูดจาแบบรังเกียจเช่นคำว่า ‘มัน’ เป็นต้น ถึงขนาดพูดจาแบบอริแบบนี้คงต้องรู้กันถึงไส้ถุงพุงเป็นแน่
“….” อ่าวเฮ้ย กลับเงียบไปดื้อๆซะงั้น นึกว่าจะตอบกลับมาแบบตลกๆแล้วทำท่าวันทยาหัตเหมือนเมื่อกี้ซะอีก มันทำให้ฉันรู้สึกผิดมาก เพราะดูท่าทางแล้วเขาคงจะเกลียดคำถามนี้พอตัวอยู่
“อัตถ์ …อออ่าง ไม้หันอากาศ ตอเต่า ถอถุง การันต์” เดี๋ยวนะ นั่นฉันรู้แล้ว ดูใบรายชื่อก็รู้แล้ว ที่ฉันอยากรู้น่ะคือชื่อเล่นย่ะ แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่าไม่ตอบ ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเหมือนรู้สึกอายตลอดชีวิตเหมือนเมื่อวันศุกร์นั่นแหละ เพราะเขาก็ดูจะใจดีกับฉันมาก (เกินไปจนน่าตกใจ)
“ชื่อเล่นน่ะ…ชื่ออัตถ์เหมือนกันหรอ” ฉันถามไปเผื่อจะใช่ เพราะขื่อจริงก็สั้นขนาดนี้
“เปล่า… ไม่บอกชื่อเล่นหรอก!!” เขาทำท่าวันทยาหัตอีกครั้งแล้วทำแก้มป่อง (เพื่ออะไร!!) “ไปเล่นบาสต่อละ เดี๋ยวโดนมาเนียหลอกถามชื่อคุณชายอีก” เพื่ออะร๊ายยยยย จะบอกกันแค่นี้ไม่ได้เรอะ มันจะอะไรหนักหนาเนี่ย ฉันไม่กล้าไปถามเขาตรงๆหรอกนะ แล้วก็ไม่มีเพื่อนที่อยากจะคุยเรื่องนี้ด้วยด้วย เพราะเดี๋ยวไปขุดเรื่องเมื่อวันศุกร์ขึ้นมาอีก ใบไม้ก็คงไม่รู้ด้วย แล้วก็…เรียกว่าคุณชายเนี่ย ประชดสินะ…
เขาหยิกแก้มฉันเบาๆแล้วมองมาที่ฉันด้วยสีหน้าที่หล่อแปลกๆ “โอ้ย..” ที่ฉันร้องไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เพราะไม่ได้ตั้งตัวและความไม่เคยชินปนสำออยนิดๆ จากนั้นเขาก็ลุกจากระเบียงแล้ววิ่งออกไปจากตึก
“ไม่บอกชื่อหมอนั่นหรอก เธอรู้ชื่อฉันแค่คนเดียวก็พอแล้ว” เขาตะโกนไปทางข้างหน้าโดยไม่หันมามองฉัน แต่ถ้าให้เดาก็คงจะยิ้มอยู่ เพราะเดาๆจากเสียงแล้วมันเหมือนปนๆเสียงหัวเราะมาด้วย แล้วยังพูดไม่ค่อยชัดตามอักขระเท่าไหร่
…
ดะ…เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาหยิกแก้มฉัน แก้มฉันเลยแดงสินะ (สองข้างเลย) แก้มร้อนด้วย เมื่อกี้หน้าเขาหล่อมากด้วย เขาทำตัวน่ารักด้วย (ไม่เกี่ยวละ) เดี๋ยวนะ หรือว่านี่คือเหตุการณ์ที่ถูกเรียกว่า ‘การหึงหวง’ เขาหึงฉันจากประธานนักเรียนหรอ อุ๊ยตายว๊ายกรี๊ด ฉันก็ฝันเหมือนกันนะว่าจะให้ผู้ชายหล่อๆมาแย่งตัวฉันเข้าซักวัน แต่แบบนี้มันอดเขินไม่ได้แล้ว ทั้งๆที่คาแร็คเตอร์ของฉันจะต้องเป็นคุณหนูเรียบร้อยปากร้ายแท้ๆและมั่นใจในตัวเอง(ทำไมมันดูขัดๆแฮะ) …ฉันคิดมากไปสินะ แต่ตามจริงชีวิตฉันควรจะเดินไปแบบนางเอกในละคร ที่มีพระเอกและพระรองมาเปิดศึกชิงนางกัน
นี่พูดเลย สำหรับคนที่เพิ่งเคยคุยกันครั้งแรกแต่ทำไมฉันรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ใจเต้นไม่หยุด หน้าร้อนผ่าว ตัวสั่น และสามารถพูดได้เลยว่าฉันเขินมาก! เขาทั้งอุ้มฉันไปห้องพยาบาล จุดนี้บอกได้เลยว่าใจหล่อสุดๆ(แน่นอนว่าหน้าตาด้วย) แล้วยังมาโอบฉันแบบนางเอกละครตอนจะล้มด้วย(ถึงแม้เขาจะเป็นต้นเหตุก็เถอะ) แล้วก็ยังช่วยถักเปียงามๆให้ฉันอีกด้วยนะ(ถึงฉันจะยังไม่เห็นก็เถอะ)
ฉันเดินไปหาถังขยะแถวนั้นแล้วเอาแว่นกันแดดกับผ้าปิดปากไปทิ้ง แล้วตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำทันที จากนั้นก็เอาน้ำเย็นๆมาถูกหน้าเพื่อทำใจให้สงบ แต่พอหันขึ้นมามองหน้าตัวเองในกระจกก็อดเขินไม่ได้ที่เห็นตัวเองน่ารักมากๆด้วยเปียที่ห้อยอยู่ข้างหลัง ฉันไม่ได้หลงตัวเองว่าตัวเองน่ารักนะ! แต่ถ้าทุกคนมาเห็นก็คงบอกว่าฉันน่ารักแน่นอน
ฉันล่ะอยากจะพ่นแล็คเกอร์ใส่หัวตัวเองให้มันอยู่ทรงแบบนี้ตลอดกาลจริงๆ แต่ฉันคงต้องรีบแก้มันก่อนจะกลับบ้านล่ะนะ…. เพราะถ้าคนที่บ้านมาเห็นคงแย่แน่ๆ
(แน่นอนล่ะ เวลานี้ต้องถ่ายรูปเก็บไว้!!) พอคิดได้ฉันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วจัดการถ่ายรูปสดโดยไม่พึ่งแอ๊ป เพราะยังไงฉันก็สวยอยู่แล้ว ถ่ายไปทุกมุมแล้วค่อยเก็บไปอัดกรอบแล้ววางตั้งไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้องทีหลัง
แต่สุดท้ายก็ต้องสะดุ้ง ดันมีคนเข้าห้องน้ำมาซะงั้น แต่นั่นไม่แปลกที่เจ้าหล่อนที่เข้ามาหันมามองฉันแล้วนิ่งอยู่ซักพัก แล้วก็กระตุกตัวอย่างแรงและชักมือถือขึ้นมาถ่ายด้วย (เฮ้ย?! ฉันเห็นผ่านกระจกนะ!) มันทำให้ฉันถึงกับค้างไประยะหนึ่งเลยทีเดียว แต่ฉันทำเป็นมองไม่เห็น เพราะยังไงฉันก็ไม่เสียหายอยู่แล้ว(เพราะสวยด้วยอะไรด้วย) แต่สิ่งที่ทำให้ต้องตกใจไปมากกว่านั้นคือการที่เจ้าหล่อนก็กำเดาไหลซะงั้น (เฮ้ย?! แบบนี้มันคุ้นๆนะ)
สิ่งที่ฉันเห็นผ่านกระจกทำให้ฉันต้องหันขวับไปทางผู้หญิงที่โอบกล้องมือถือด้วยมือเล็กๆคนนั้นทันที เธอกำลังล้มลง และด้วยนิสัยนางเอกที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของฉันทำให้ฉันวิ่งเข้าไปรับทันทีตามสัญชาตญาณ (ถึงตัวจะลงไปกองกับพื้นแล้วก็เถอะ)
“นี่เธอ! เป็นอะไรน่ะ!” ฉันตะโกนถามคนตรงหน้าด้วยความตกใจแล้วเขย่าร่างของผู้หญิงตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า ถ้าจะให้อธิบายก็ เธอมีขนาดตัวพอๆกับใบไม้ และผมสั้นเลยติ่งหูมาไม่เท่าไหร่ ไว้หน้าม้า ผมสีดำสนิท หน้าตาพอไปวัดไปวาได้ แต่ฉันสวยกว่าเยอะ(ไม่เกี่ยว) ดูจากสีโบว์ตรงหน้าอกแล้ว เธอคนนี้เป็นเด็กมอสามนี่เอง…
จากนั้นเด็กผู้หญิงที่ว่าก็เริ่มลืมตาขึ้นจากการสลบลงไปกองกับพื้นแล้วพูดเหมือนกระซิบ
“เปีย ไซโก….บันไซ…” หะ? ฉันฟังไม่รู้เรื่อง และเริ่มไม่แน่ใจว่าคำแรกที่เธอพูดใช่คำว่าเปียรึเปล่า เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าฉันจะคิดไปเองว่าเธอพูดคำนั้น เนื่องจากฉันถักเปียอยู่ และเพิ่งเจอเรื่องความประทับใจต่างๆนานามาด้วย แต่หลังจากที่เด็กผู้หญิงคนนั้นพูดเสร็จเธอก็สลบลงไปอีกครั้ง และแน่นอนว่ากำเดาก็ยังออกมาอีกด้วย (อี๋)
ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี จนเหลือบไปสังเกตเห็นเข็มกลัดที่หน้าอกของเธอ....ตรานี้มันคุ้นๆนะ… มันมีเข็มกลัดที่มีลักษณะคุ้นๆอยู่บนหน้าอกของเธอ.... ‘สภานักเรียน’…
บ๊ะ!! ฉันผละตัวออกมาทันที คนอันตรายอย่างงี้ ฉันจะไม่ยุ่ง!! สงสัยจะติดเชื้อแบบประธานนักเรียนมาด้วย ที่เจอฉันแล้วกำเดาไหล ไม่นะ ไม่!! ฉันไม่อยากนึกถึงช่วงเวลานั้นอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ แต่ฉันจะสวดภาวนาขอพระผู้เป็นเจ้าให้ว่าเธอมานอนจมกองเลือดกำเดาอยู่แถวนี้ เพราะฉะนั้นขอให้เธอโชคดี ตื่นขึ้นเร็วๆ ไม่ก็มีคนมาเจอแล้วพาไปนอนที่อื่นเร็วๆนะ เพราะจะบอกว่าเมื่อกี้ที่ฉันขอให้หัวฉันไม่ถูพื้นมันก็สำเร็จด้วยนะ
บาย!!... ลาขาดค่ะ!!
ฉันวิ่งออกจากห้องน้ำทันทีโดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปไหนดี ขึ้นห้องไปตามใบไม้ลงมาเข้าแถว? หรือไปเข้าแถวเลยดี? แต่แล้วคิดไปคิดมาเพลงโรงเรียนบอกสัญญาณว่า ‘ควรไปเข้าแถวได้แล้วนักเรียน!!’ ดังขึ้นมาทั่วไปทุกที่ของตึกตามลำโพงที่ถูกติดตั้งไว้ทั่วตึก และจู่ๆภาพของเด็กผู้หญิงที่สลบกองกำเดาเมื่อกี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ถ้าทุกคนไปเข้าแถวหมด แล้วใครจะมาช่วยเธอกันล่ะ?!
“จะเป็นนางเอกก็เป็นให้สุดสิ มาเนีย!” ฉันพูดกับตัวเองโดยกัดปากพูดเบาๆ แล้วหลับตาปี๋เพื่อตั้งสมาธิ เอาล่ะ! จะย้อนกลับไปช่วยตามสเต็ปนางเอก หรือกลายเป็นตัวร้ายไปซักวันเพื่อเป็นนางเอกที่ดีในอนาคตกันล่ะ! แต่ถ้าฉันไปคนเดียวก็คงทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วล่ะเนอะ เพราะงั้นไม่ไปดีกว่าเนอะ ฉันตัวคนเดียวแบกเด็กคนนั้นไม่ไหวหรอก เพราะฉันเป็นนางเอกแสนบอบบางนี่นา….
“อ่าว เนียอยู่นี่เองหรอ” ว่าแล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาจากด้านหน้า...
ใบไม้!! นี่เธอจะมาทำไมเนี่ย อย่างงี้ฉันก็ต้องกลับไปช่วยเด็กคนนั้นน่ะสิ ฉันจะรู้สึกผิดนะที่ไม่ได้ไปช่วยทั้งๆที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์น่ะ (แต่ก็รู้สึกแย่เหมือนกันที่เด็กคนนั้นอยู่ในสภานักเรียน มันควรจะเป็นฉันสิที่ควรอยู่!)
“มีอะไรรึเปล่า” มีก็ได้...
“มีเด็กเป็นลมในห้องน้ำ” ฉันตอบกลับไปอย่างฝืนๆ “เราต้องไปช่วยเขานะ”
ใบไม้พยักหน้าตอบฉันด้วยสีหน้าที่เหมือนให้ความเคารพแปลกๆเหมือนคนใช้ที่บ้าน อย่างกับน้อมรับคำสั่งอย่างไงอย่างงั้น แต่ฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่และวิ่งตามใบไม้ที่วิ่งนำไปก่อน
“นี่ ฉันเจอคนที่อุ้มฉันไปห้องพยาบาลแล้วนะ” ฉันพูดขึ้นระหว่างที่ทำใจให้หายตกใจในสถานการณ์แบบนี้ได้แล้วซักพัก เพราะในชีวิตนี้ก็ไม่เคยแบกใครที่นิ่งเป็นศพแบบนี้ไปห้องพยาบาลเลยซักครั้ง
“อ้อ เป็นไงมั่ง ตกลงเขาชื่ออะไร” ใบไม้ถามขึ้นมาด้วยสำเนียงเนือยๆ เหมือนไม่ค่อยอยากถามเท่าไหร่
“เขาบอกว่าชื่อ ‘คิง’ น่ะ” ฉันตอบกลับไปโดยเน้นคำว่าคิงเป็นพิเศษ
“แล้ว ‘คิง’ ที่ว่าเนี่ย เป็นคนถักเปียให้เนียรึเปล่า” และแน่นอนว่าเธอก็เน้นคำนี้ออกมาเหมือนกัน
“รู้ได้ไงน่ะ!!” ใบไม้ถามคำถามที่ฉันแทบจะลืมคำตอบไปแล้วขึ้นมา แต่ฉันก็ตอบไปแบบทันควันตามที่สงสัย
“ก็ปกติที่บ้านเนียไม่ให้มัดผมนี่นา ตอนเช้าก็ไม่ได้ถักมา แล้วก็ดูท่าแล้วไม่น่ามีใครมาถักให้นอกจากคนที่เจอ” เอ่อ...ใบไม้ นี่เธอกำลังจะบอกว่า...ยังไงๆฉันก็ไม่ถักเองสินะ... แต่เอาเถอะ นั่นก็เป็นความจริงล้วนๆ…ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ เมื่อเช้าเธอแทบจะทักทางโดยไม่มองหน้ามาที่ฉันแท้ๆ แต่กลับรู้ซะงั้นว่าฉันไม่มัดผมมา
พอแบกเด็กมอสามที่ว่ามาถึงห้องพยาบาลเสร็จ ฉันกับใบไม้ก็เตรียมตัวกันเพื่อที่จะไปเข้าแถว แต่มันก็เลยเวลามาประมาณสิบนาทีได้แล้ว เพราะโรงเรียนดันใหญ่ ห้องพยาบาลก็อยู่ซะไกล เดินแบกมานี่ปวดหลังเลย
ฉันกับใบไม้เดินไปหน้าเสาธงอย่างช้าๆ กะว่าพอใกล้ถึงหน้าเสาธงแล้วค่อยวิ่ง จะได้ดูมีความกระตือรือร้นหน่อย แล้วค่อยบอกเรื่องราวกับครูที่คุมคนที่มาสายว่าไปทำอะไรมา ยังไงก็ไม่ผิดนี่ เนอะ!
....
แต่เหตุการณ์ที่ฉันเห็นมันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด ทั้งๆที่ฉันก็เข้าแถวหน้าเสาธงทุกวัน แต่กลับไม่เห็นเหตุการณ์นี้เลย มันทำให้ฉันกลัวที่จะก้าวออกไปมากๆ เพราะตอนนี้หมดช่วงเวลาสำหรับการร้องเพลงชาติ สวดมนต์ไหว้พระ และร้องเพลงโรงเรียนแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ครูกำลังเช็คชื่อนักเรียนต่างหาก ฉันจะต้องไปรับการเช็คชื่อด้วย เพราะไม่งั้นอาจจะส่งผลกลายเป็นว่าฉันขาดเรียนไปทั้งวัน (พร้อมกับใบไม้)
“พวกนาย คนที่มาสายเตรียมใจรึยัง รู้ใช่ไหมว่ามันผิดร้ายแรงขนาดไหนน่ะกับการแสดงพฤติกรรมแบบนี้”
“ฉันจะจำหน้าพวกนายทุกคนเอาไว้ เพราะฉะนั้น จงเงยหน้าขึ้นซะ!!” เสียงตะโกนปนตะคอกดังสนั่นทั่วลานเข้าแถว เจ้าของเสียงซึ่งดูเหมือนจะพูดคนเดียวพูดด้วยสำเนียงแปลกๆ และชี้นิ้วขึ้นฟ้า
....ฉันจำได้ดี ไอ้ขอบแว่นนั่น และท่าทางนั่น....
“พวกนายทุกคนวันนี้!! จะต้องวิ่งรอบสนามโรงเรียนสิบรอบในตอนเช้า!!” “ส่วนในตอนเย็นฉันจะให้พวกนายไปทำความสะอาดรอบตึกเรียน” เจ้าของเสียงตะคอกพูดกับกลุ่มนักเรียนที่นักคุกเข่าชันพื้นอยู่ข้างหน้าด้วยใบหน้าที่น้อมรับความผิดเต็มๆ โดยท่าทางของพวกเขาไม่มีใครขัดขืนเลยซักคน ราวกับว่าไม่มีใครคิดจะตอบรับ แต่รับรู้สิ่งที่ ‘ประธานนักเรียน’ พูดโดยไม่มีข้อโต้แย้งอะไรเลยซักนิด ทุกคนได้แต่ก้มหน้าลงพื้นกลางแสงแดดที่ร้อนจัดอยู่อย่างเงียบๆรับฟังสิ่งที่ชายตรงหน้าที่ถูกขนานว่าเป็นนักเรียนที่มีอำนาจสูงสุดพูดและถือกระดาษใบเล็กๆใบหนึ่งอยู่ในมือ
“เฮ้ย! ผู้หญิงที่อยู่ตรงนั้นน่ะ! มาสายรึเปล่า” กรี๊ดดด เขาขี้มาทางฉันล่ะ ซวยล่ะ!! นี่เขาสังเกตเห็นแล้วหรอ ฉันไม่อยากวิ่งรอบสนามหรือกลับบ้านสายหรอกนะ!! แต่ระยะทางขนาดนี้ฉันคิดว่าคงมองไม่เห็นชัดเท่าไหร่(แต่ด้วยระยะทางนี้ทำให้ฉันเห็นปลอกแขนสีแดงที่เป็นสัญลักษณะของประธานนักเรียนได้อย่างชัดเจน)
“ไม่ค่ะ เราพาสมาชิกสภานักเรียนคนนึงไปส่งห้องพยาบาลมาค่ะ” ใบไม้ยกมือแล้วตะโกนออกไปสุดเสียงจนฉันที่อยู่ข้างๆแทบจะหูแตกเลยก็ว่าได้
จากนั้นฉันกับใบไม้ก็วิ่งไปเพื่อเข้าแถวรับการเช็คชื่อที่ครูประจำชั้นในแถวห้องตัวเอง แต่โชคร้ายหน่อยที่มันต้องวิ่งผ่านปลายแถวซึ่งเป็นที่กองชุมนุมของพวกมาสายอยู่.... ก็แค่ปลายแถวล่ะนะ ดูท่าแล้วหมอนั่นก็กำลังสวดเทศน์อะไรซักอย่างอยู่ คงไม่ได้สังเกตเห็นซักเท่าไหร่ …มั้งนะ?
“มาเนีย!” ม่ายยยย!! นายอย่าเรียกชื่อฉันนะ ฉันไม่อยากเสื่อมเสียเพราะนายอีกเป็นครั้งที่สองหรอกนะ(มากกว่าสองแล้วล่ะที่จริง) แต่ไม่รู้ทำไมถึงหัวของฉันมันดันตอบรับเสียงที่เรียกชื่อฉันโดยอัตโนมัติโดยการหันไปหาต้นเสียงทันที
ต้นเสียงที่เรียกฉันกลับไม่ใช่ประธานนักเรียนที่ฉันวิ่งผ่านไปแล้วแต่อย่างใด หากแต่เป็นหนุ่มนักกีฬาหุ่นเพรียวที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นบริเวณปลายแถวของห้องสี่ ‘คิง’
“ไปไหนมาหรอ” ถึงจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ทำไมฉันกลับมีความสุขแปลกๆ มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันกำลังจะเดินผ่านเขาไปเพื่อไปเข้าแถวที่ห้องของตัวเอง
“พารุ่นน้องไปส่งห้องพยาบาล” ฉันพยายามคั้นกรองประโยคที่สั้นที่สุดเพื่อให้ได้ใจความและเหมาะกับการพูดตอนที่ถูกจูงมือโดยใบไม้เพื่อไปเข้าแถวให้มากที่สุด
ฉันกับเขาสบตากันแปบนึง แล้วฉันก็เดินคลาดเขาไป….
ไม่...จะพูดว่าคลาดก็ไม่ถูก แต่นี่มัน!... มันทำให้ฉันมองไม่เห็นเขาโดยไม่ตั้งใจนะ!! เพราะจู่ๆกองทัพนักเรียนมาสายก็วิ่งตัดหน้าระหว่างฉันกับเขาเฉยเลย!!
นะ…นี่มัน!! …ทันทีที่เจอเหตุการณ์ที่ขัดกับอารมณ์โรแมนติกเบื้องหน้าฉันก็หันไปมองหน้าของคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเรื่องทันที ถึงแม้เขาจะยังไม่ทันสังเกตฉันเลยก็เถอะ
ประธานนักเรียนพร้อมกับเสื้อสูทตามแบบยูนิฟอร์มนักเรียนเป๊ะๆกับปลอกแขนสีแดงสดพร้อมกับขอบแว่นสีดำสนิทยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัดของประเทศไทยโดยไม่รู้ร้อนกำลังมองไปทางสนามด้วยใบหน้านิ่งๆ
ในขณะที่ฉันกำลังมองใบหน้านิ่งๆที่ปนความหล่อนิดๆของเขาอยู่ก็ได้ยินเสียงที่ชวนแสบแก้วหูขึ้นมา
“กรี๊ดดด” “กรี๊ดดด” “กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องที่โหมกระหน่ำถูกส่งไปให้ผู้ถูกขนานนามว่า ‘ประธานนักเรียน’ โดยที่เข้าตัวผู้ถูกให้ยังยืนหน้านิ่งแล้วมองไปที่สนามโรงเรียนต่อไป ทั้งๆที่ถ้าเป็นฉันคงยิ้มหน้าบานแล้วโบกไม้โบกมือแบบนางสาวไทยไปแล้ว
“กรี๊ดดด” เสียงกรี๊ดดังขึ้นไปอีกเมื่อเขาเริ่มออกวิ่ง “พี่อาร์ตสู้ๆ” เสียงเชียร์เริ่มตามมา ไม่รู้ว่านั่นใช่ชื่อเล่นของประธานนักเรียนรึเปล่า แต่ฉันได้ยินเขาเรียกว่าอาร์ตกัน ซึ่งอาจจะเป็นเสียงลากยาวที่มาจากคำว่าอัตถ์ก็เป็นได้(แต่ยาวไปนะ) หรือบางทีพวกเขาอาจจะแค่ร้องคำว่า อาด อาด อ๊าดๆ?
ฉันเริ่มมองไปรอบๆและสังเกตว่าสาวๆพวกนี้มันจะกรี๊ดมากไปแล้วนะ อย่างกับดารามาเยี่ยมโรงเรียน แต่แน่นอนว่าเสียงของพวกเธอไม่ได้ส่งมาถึงฉันซักนิด ฉันเลยเลือกที่จะเมินเฉยและเดินกลับไปนั่งที่ตัวเองเงียบๆหลังจากโบกไม้โบกมือลาคิงเล็กๆน้อยเสร็จๆ แต่แล้วทุกอย่างมันก็แย่ลงเมื่อฉันนั่ง ฉันหนวกหูเสียงกรี๊ดมากขึ้นจากเพื่อนในห้องที่นั่งข้างๆจนฉันต้องนั่งอุดหู หมอนั่นมันดีกว่าฉันตรงไหนยะ!? ฉันเริ่มหมั่นไส้เล็กๆและพยายามมองหาข้อดีของชายหนุ่มที่วิ่งท่าทหารไปสนามโรงเรียนตามพวกมาสายไป ช่างเป็นประธานนักเรียนที่ทุ่มเทจริงๆ นี่กะจะไปวิ่งพร้อมกับพวกที่โดนลงโทษงั้นหรอ?!...แต่เดี๋ยวนะ…เขาใส่เสื้อสูท….ตามยูนิฟอร์มโรงเรียน….
บ้าไปแล้ว!! นายกะจะใส่เสื้อนั่นวิ่งเรอะ แล้วถ้ามาคิดดูดีๆ ไอ้เสื้อตัวนั้นมันร้อนไม่ใช่เล่นเลยนะนาย แล้วก็ถ้าให้เดาจากท่าวิ่งที่กำลังวิ่งตามพวกนั้นไป พูดได้เลยว่าไปวิ่งด้วยแน่ๆ…
มาคิดๆดูแล้วไอ้สาวๆพวกนี้มันวิปริตชอบผู้ชายไม่เต็มเรอะ หรือกลายสายพันธุ์ไปแล้ว? หรือว่าอาจจะโดนล้างสมองไปแล้วก็ได้ ซึ่งหลังจากคิดแบบนั้นแล้วมันก็เริ่มทำให้ฉันคิดว่าเขาอาจจะกำลังพยายามล้างสมองฉันอยู่ก็ได้?!
เขาคงจะเป็นเจ้าขององค์กรชั่วร้ายที่คอยบงการสมองสาวๆที่สวยๆอย่างฉันให้หลงเชื่อและมาคอยบำเรอคอยกรี๊ดเพื่อส่งเสริมบารมีให้ตัวเองสินะ(ว่าไปนั่น)
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอเชิญอาจารย์เข้าโฮมรูมค่ะ” เสียงสมาชิกสภานักเรียนหญิงคนหนึ่งทำให้ทุกคนหลุดออกจากภวังค์เสียงกรี๊ดที่ดังเกินบรรยายโดยพูดออกไมค์หน้าเสาธง เป็นคนเดียวกับที่เป็นพิธีกรในเช้าวันศุกร์นั่น ซึ่งเห็นหน้าแล้วก็เจ็บปวดใจจริงๆ
“หมอนั่นมันมีดีอะไรหนักหนานะ” ฉันเผลอพูดความคิดออกมาพลางกัดปากตัวเองเบาๆ
“หล่อจะตาย” ว่าแล้วก็ไม่พ้นเรื่องนี้สิน่า เพื่อนผู้หญิงในห้องคนหนึ่งที่นั่งข้างๆฉันพูดขึ้นมา
“ปัญญาอ่อน” เสียงทุ้มๆจากเพื่อนผู้ชายที่นั่งแถวนั้นพูดขึ้นมา ถ้ากดไลค์ได้ฉันคงกดไปแล้ว
“พวกแกไม่คิดว่าเขาแปลกรึไง สมองไม่เต็มบาทเลยนะ” เสียงทุ้มของผู้ชายอีกคนพูดขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ฉันเริ่มคิดว่าผู้ชายทั้งโรงเรียนอาจจะเกลียดเขาทั้งหมดเลยก็ได้
“เห็นเขาชอบทำตัวบ้าๆบอๆแหละ อย่าไปเข้าใกล้เขียว” คราวนี้เป็นเสียงผู้หญิงแหละ(นึกว่าจะไม่มีซะแล้ว) แน่นอนแหละ ใครจะอยากเข้าใกล้คนแบบนั้นล่ะเนอะ ฉันแทบจะตอบไปว่าเห็นด้วยทันทีที่เธอพูดขึ้น แต่เธอกลับหันมามองหน้าฉันจนฉันสะดุ้งตกใจแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ “เหมือนเมื่อวันศุกร์ไง~ เนอะ!!”
ม่ายยยยยยยยยย เธอไม่ควรพูดเรื่องแบบนั้นนะ!! นี่ไปรื้อฟื้นเรื่องเก่าๆมาทำไมกัน!! ฉันแทบจะเอามือปิดหน้าแล้วมุดดินหายไปจากโรงเรียนในแทบทันทีที่ถูกกระตุ้นด้วยคำพูดที่บาดไปถึงใจพันธุ์นั้น
“เหมือนจะเป็นโอตาคุนะ” เสียงเสียงหนึ่งพูดขึ้น ซึ่งสมองฉันตอนนั้นก็ตันจนไม่สามารถระบุได้แล้วว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง รู้แต่ว่าอยากวิ่งออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้จากกลุ่มเพื่อนแถวๆนี้ แต่ก็คงทำแบบนั้นไม่ได้ตามกฎภายในสังคมและมารยาทบางประการ ฉันเลยเลือกที่จะเบี่ยงหัวข้อสนทนาแทน(แต่ก็ยังอยู่ใกล้หัวข้อเดิมไม่น้อย)
“โอตาคุ?”
ถึงจะบอกว่าพูดไปเพื่อเบี่ยงหัวข้อสนทนาก็เถอะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงเกิดรู้สึกอยากจะรู้คำตอบของคำถามที่ฉันพูดออกไปไม่น้อยเลยทีเดียว
ตามประสาผู้หญิงที่อยากรู้ไปทุกเรื่องล่ะนะ
ไม่มีอะไรไปมากกว่านี้หรอก
นี่ฉันไม่ได้พูดว่าฉันอยากจะรู้ตัวตนของเขาว่าอะไรทำให้เขาหน้าตาดีและมีคนกรี๊ดมากกว่าฉันหรอกนะ!!
--------------------------------------------------
ขออภัยเน้อที่ไม่ได้มาลงนาน
เหล่าไรเตอร์เพิ่งผ่านช่วงไฟนอลกันยังต้องทำงานแก้กันนิดหน่อย
แต่บางคนก็เริ่มแต่งกันแล้วเน้อ อย่าเพิ่งถอดใจแล้วตามกันไปเรื่อยๆนะ 555
//เนียนแปะเพจ https://www.facebook.com/VIIwriter
ความคิดเห็น