คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ความทรงจำอันโหดร้ายกับประธานนักเรียนที่ไม่รู้นาม
แก้ครั้งที่ 2 ประโยคเกิน+คำผิด+ประโยคผิด+เพิ่มบางประโยค
บทที่ 1
ถ้าถามว่าตอนนี้ฉันทำอะไรอยู่ ฉันคงตอบได้อย่างเดียวว่าฉันกำลัง ’หลบ’ อยู่ โดยที่หนีไม่ได้เลย แล้วก็ยังคิดไม่ออกด้วยว่าจะหนีไปยังไง ทางไหน ซึ่งตอนนี้ในหัวฉันก็มีเรื่องสับสนให้คิดเต็มไปหมด ทั้งเรื่องที่คนในโรงอาหารแห่งนี้ทำไมถึงยังมีท่าทีปกติ ทั้งที่ ’เขา’ กำลังเดินในโรงอาหารแห่งนี้แล้วทำเรื่อง ‘แปลกๆ’ อยู่อย่างโจ่งแจ้ง ….ชินชา? ไม่สนใจ? กลัว? หรือเพราะอะไรฉันก็ไม่รู้ และยังสับสนแม้กระทั่งว่า ทำไมประตูกระจกของที่นี่ทำไมมันถึงใสนักใสหนา มองเห็นเงาคนที่สะท้อนอยู่ข้างในได้ชัดเกินจนน่าตกใจอย่างกับกระจกเงา
“มาเนีย! เธออยู่ที่ไหนน่ะ” ‘เขา’ ที่พูดถึง กำลังตะโกนไปทั่วโรงอาหาร ด้วยท่าทางที่กังวลสุดๆ แต่ฉันกังวลกว่าหลายเท่าเพราะกลัวว่าจะโดนหาตัวเจอนี่แหละ ไม่รู้ว่าจะถูกทำเรื่องหน้าอายขนาดนี้ไปถึงไหน ตั้งแต่เช้าแล้วนะ!
“ทั้งๆที่นี่ก็เวลาสิบสองโมงกว่าแล้วนะ เธอคนนั้นไม่มากินข้าวรึไงกัน ไดเอท?” เขาพูดพร้อมกับยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาพร้อมๆกับโอบช่อดอกไม้ช่อใหญ่ที่ใหญ่จนน่ากลัวเอาไว้ในอ้อมแขน
“แต่เมื่อกี้ผมเห็นเขาจริงๆนะครับ ประธาน” ลูกน้องตัวประกอบหมายเลขหนึ่งที่ติดเข็มกลัดที่คาดว่าจะเป็นสัญลักษณ์สมาชิกสภานักเรียนไว้บนอกพูดขึ้นในขณะที่ท่าน ‘ประธาน’ กำลังกังวล
(กลับๆไปเถอะค่า)
“นั่นสินะ เธอคงจะอยู่ที่นี่จริงๆนั่นแหละ” เขาพูดแล้วดันแว่นขึ้น “พวกนาย ไปหาทางโน้น ส่วนฉันจะหาทางข้างหน้านี้เอง” ก…กรี๊ดด เดี๋ยวสิ ทางข้างหน้าที่นายว่า มันทางเสาที่ฉันนั่งอยู่ไม่ใช่รึไง อย่าเข้ามานะ ฉันไม่มีแรงพอจะขัดขืนด้วย ฉันยังไม่ได้กินข้าวเลยนะ ไม่ได้เตรียมใจจะเจอนายด้วย ฉันยังอยากมีชีวิตไปงานวันต้อนรับกลับโรงเรียนในวันศุกร์นะ!!(พรุ่งนี้) ถึงจะรู้ว่าพวกนายเป็นคนจัดงานก็เถอะ ขอร้องล่ะ ฉันสวดภาวนาพร้อมๆกับหันขึ้นไปมองจานข้าวที่ซื้อไว้ตั้งนานแล้วซึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆเสา มันคงจะเย็นและรสชาติเสียไปแล้วด้วยซ้ำ พวกนายทำให้ฉันไม่ได้กินของอร่อยๆของโรงเรียนนี้นะ! นึกแล้วก็เผลอกัดปากตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ประธานครับ คุณใบไม้!!” กรี๊ดด ลืมไปว่าใบไม้กำลังไปซื้อข้าวนี่นา แล้วก็รู้ด้วยว่าฉันนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ ข้าวฉันก็วางอยู่เป็นหลักฐานบนโต๊ะเรียบร้อยด้วย ตายแน่ ตายแน่!! ฉันคิดได้ทันทีว่าคงจะต้องเริ่มวิ่งหนีในขณะที่เขากำลังให้ความสนใจกับใบไม้อยู่ แล้วเผ่นไปกินขนมที่สหกรณ์โรงเรียนแทน แต่ปัญหาคือ ไม่รู้จะวิ่งไปทางไหนเนี่ยสิ ยิ่งตัวสูงๆสวยๆอยู่
ประธานนักเรียนสุดหล่อวิ่งไปหาใบไม้ทันทีที่ลูกสมุนของเขาชี้ไป “ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่ารู้ไหมว่ามาเนียอยู่ไหน” เขาตะโกนถามขณะที่กำลังวิ่งและอยู่ห่างกับใบไม้ประมาณสองถึงสามเมตรได้ “เอ๋~ นายเห็นฉันกับมาเนียขาติดกันหรอ~” เอาเป็นว่า…ต้องขอขอบคุณนิสัยกวนตีนของยัยใบไม้มากที่ไม่ตอบเขาไปโดยอาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ว่าฉันกำลังหลบหนีอยู่ เฮ้อ~ เอาล่ะ ฉันควรคิดหาวิธีหนีแล้วสินะ ฉันลุกอย่างรวดเร็วและเตรียมใจจะทิ้งข้าวที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะ(ขอโทษนะคะป้าภารโรง หนูแค่อยากให้ป้าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด) เตรียมวิ่งไปข้างหน้า และวางแผนไว้ว่าจะวิ่งไปทางลัด ซึ่งมีโอกาสโดนเห็นตัวอยู่ แต่ก็หนีได้เร็วกว่า เพราะฉันอยู่ใกล้ทางนั้นมากกว่าหลายขุมเลยล่ะ
“เจอแล้วครับ ประธาน!” (เฮ้ย!?) เสียงดังสนั่นดูตะโกนมาจากทางซ้ายมือของฉัน “จับเธอไว้” (เฮ้ย!?!) คราวนี้มากจากทางขวา ฉันล่ะขอบคุณไอ้ประธานเสื่อมนั่นจริงๆ ที่ทำให้ฉันต้องมาประสบปัญหาเหมือนนางเอกที่ถูกพวกของตัวร้ายลักพาตัวไปด้วยสภาพคล้ายๆกันตอนนี้ แต่ขอบอกตามตรงเลยว่า ต่อให้ได้เป็นนางเอก ก็ไม่ได้ดีใจเลยซักนิด
ไม่รู้ว่าประสาทการรับรู้ด้วยเสียงของฉันไวไป หรือประสาทการรับรู้ทางกายของฉันช้าไป แต่พอมารู้ตัวอีกทีก็ถูกจับล็อคแขนไว้แล้ว “กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!! ช่วยด้วย! ปล่อยฉันไป~~!” นี่คือคำเดียวที่สมองของฉันสั่งการออกมาได้โดยที่แทบจะไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ พร้อมกับดีดดิ้นสุดชีวิต…มันจบสิ้นแล้วสินะ ฉันคงจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายแล้วสินะ ทั้งๆที่หลบหน้ามาตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วแท้ๆ กับการที่เจอประธานนักเรียนสุดหล่อมายืนดักหน้ารั้วโรงเรียนแล้วกางป้ายไวนิ่วห้อยไว้กับรั้วประตูโรงเรียนว่า ‘รัก มาเนีย แต่งงานกันเถอะ’ นั่นมันน่ากลัวสุดๆเลยนะ มันถึงกับทำให้ฉันต้องเดินอ้อมโรงเรียนไปเข้าประตูทางด้านหลังเลยนะ! เมื่อเช้านี้ฉันเหนื่อยสุดๆเลยนะ ตื่นก็สาย กินข้าวเช้าไม่ทันอีก ตอนนี้ก็หิวมากๆด้วย ดีนะที่เรียนอยู่คนละห้องกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะมารบกวนเวลาอาหารกลางวันของฉันแบบนี้ ฉันไม่อยากดังไปทั่วโรงเรียนด้วยเรื่องเสื่อมๆหรอกนะ ฉันเป็นนักเรียนดีเด่นของทุกๆปีตอนมอต้น แล้วเป็นไอดอลของทุกคนเชียวนะ ทำไมต้องมีเรื่องที่มันชวนเสื่อมเสียกันฉันด้วยเนี่ย!
แน่นอนว่าคงเป็นผลพวงมาจากที่ฉันไปเจอเขาที่ห้องสภานักเรียนเมื่อวานนี้ อยากจะให้เรื่องมันจบแค่นั้นจริงๆ หรือไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลยตั้งแต่แรกเลยก็ว่าได้ แต่มาถึงตอนนี้ ทุกอย่างมันคงสายไปแล้วสินะ..
…อา…
….
“เป็นไรอะไหม” เสียงใครบางคนถามขึ้น ในขณะที่ฉันกำลังรู้สึกตัวได้ว่ากำลังนอนอยู่
(เมื่อกี้ ฝัน?) จะว่าไปที่นี่มันที่ไหนกันล่ะเนี่ย เงียบก็เงียบ แถมยังได้กลิ่นแปลกๆด้วย…กลิ่นยา ละมั้ง? ฉันรู้สึกตัวได้ว่าตัวฉันเพิ่งตื่นขึ้นมาจากการนอนเป็นเวลานานในห้องที่อากาศไม่เย็นเท่าไหร่และมีแสงแดดจางๆส่องเข้ามาทำให้ฉันเหงื่อออกที่หลังเล็กน้อย พอเหลือบตามองไปรอบๆ ก็เห็นนาฬิกาแขวนผนังอยู่หนึ่งตัวที่ปลายเตียงที่ฉันนอนอยู่ ตอนนี้ก็เวลาเกือบบ่ายสองครึ่งแล้ว ถ้าให้เดาคงไม่มีทางเป็นโรงพยาบาลแน่ๆ เพราะห้องมันแคบ ไม่มีแอร์ คงต้องเป็นห้องพยาบาล..ที่โรงเรียน ?
“ว้ากกก!!” ห้องพยาบาลที่โรงเรียนนนนนนนน!! ใช่สิ ฉันเพิ่งนึกได้ว่าเป็นลมมาเมื่อกี้นี้ที่โรงอาหาร ข้าวก็ยังไม่ได้กิน เกือบบ่ายสองแล้วอีกต่างหาก สหกรณ์คงปิดไปแล้วด้วย ฉันหิว~~~ ฉันผละตัวออกมาจากหมอนบนเตียงอยู่ท่านั่งเหยียดขาอยู่บนเตียง ก็เห็นใบไม้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเตียงกำลังทำสีหน้าที่ค่อยข้างจะตกใจ
“เป็นอะไรรึเปล่า” ใบไม้ถามออกมาย้ำเป็นครั้งที่สองด้วยความเป็นห่วง แล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ
“เอ่อ… ไม่เป็นไร” (หิวจนไส้จะขาดแล้วค่า) “โครก~” (…..ไม่มีคำบรรยาย…..)
“หิวปะ” ยะ…ยังจะถามอีก!! เล่นเอาจนฉันได้แต่ทำหน้าเอ๋อๆตอบไปตามตรง “มาก”
“เค้าซื้อหนมมาให้” ใบไม้พูดพร้อมๆกับยื่นขนมปังมาให้ฉัน “หลอกถามหรอ” เอาตรงๆนี่ฉุนนะเนี่ย อยากให้พูดว่าหิวงั้นเรอะ!! แต่เอาเถอะ ขนมปังไส้นี้ของโปรด ให้อภัย
“เมื่อกี้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง” ฉันพูดไปกินไป ที่จริงจะบอกว่ามันไม่เหมือนกับคนสวยๆอย่างฉันหรอก ไอ้ท่าทางแบบนี้น่ะ แต่ที่ทำไปเพราะคนที่อยู่กับฉันตอนนี้คือใบไม้ คนที่ฉันไว้ใจที่สุด… แค่ไว้ใจล่ะนะ (อร่อยดีแฮะ) เพราะเธอคงไม่เอาเรื่องของฉันไปแฉหรือพูดในด้านไม่ดีแน่ๆ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เป็นลมในโรงอาหาร คิดว่าคงไม่ค่อยมีใครสังเกตหรอก…มั้ง” พูดงี้แสดงว่ารู้ไปแล้วทั้งโรงเรียนชัวร์
“ใครเป็นคนพาฉันมาที่นี่” แน่นอนว่าที่ฉันเดาไว้คงจะเป็นคุณประธานหน้าหล่อนั่นล่ะนะ ปานนี้โดนจับอะไรไปบ้างแล้วก็ไม่รู้ แต่ถามไปก่อน เผื่อเดาผิด จะได้โวยวายถูกหน่อย เพราะว่าใบไม้คงอุ้มฉันมาไม่ไหวหรอก เธอตัวเล็กกว่าฉันนี่นะ
“ผู้ชายรุ่นเรานี่แหละ แต่ไม่ค่อยเจอหน้า เลยจำชื่อไม่ได้” เยี่ยม อายยิ่งกว่าเดิมอีก เอาใครไม่รู้มาอุ้ม หล่อรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าไม่หล่อนี่ไม่ไหวนะ เพราะฉันสวยมาก คนที่จะอุ้มฉันได้ต้องหน้าตาดีหน่อยสิ
“ฉันต้องไปเรียนต่อไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องหรอก บอกอาจารย์ให้แล้วว่าลาครึ่งวัน กลับบ้านเหอะ” อันที่จริงฉันก็ไม่ได้ป่วยอะไรขนาดนั้น(แต่เพิ่งเคยเป็นลมครั้งแรกนะเนี่ย) ตอนนี้รู้สึกปกติดีสุดๆ แต่คนเป็นลมก็ควรจะพักผ่อนหน่อยสินะ ฉันจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนรับใช้ที่บ้านให้มารับที่โรงเรียน โดยบอกไปว่าให้รีบมาที่สุดเท่าที่จะทำได้ คงจะมาถึงซักสิบห้านาทีข้างหน้า แล้วฉันยังกำชับไว้ด้วยว่า ให้มารับในโรงเรียน หน้าห้องพยาบาล เพราะไม่รู้ว่าถ้าฉันเดินออกไปจากห้องพยาบาลแล้วจะเจออะไรบ้าง นี่ไม่ได้หลงตัวเองนะว่าจะมีคนมาตามจีบตั้งแต่เช้าจรดเย็นเพราะสวย แต่เพราะมันเป็นการคาดการณ์ที่เป็นไปได้สูงต่างหากล่ะ
“นี่ ถ้าเจอคนที่อุ้มฉันมา ชี้ให้ดูด้วยนะ” ฉันคงจะต้องไปตีสนิทซักหน่อยแล้ว จะได้ไม่มองว่าฉันเป็นคนหยิ่ง มาช่วยแล้วลืมไปง่ายๆ ยิ่งถ้าเขาคนนั้นหน้าตาดี ฉันคงจะอยากสนิทมากๆเลยล่ะ หึหึ
“อืม” ใบไม้ตอบรับฉันสั้นๆก่อนที่จะลุกขึ้นจากเก้าอี้ “มีธุระ ไปก่อนนะ” เธอพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋ามือถือจากกระเป๋ากระโปรงขึ้นมา แล้วเดินออกไปจากห้อง
เฮ้อ…หมดวันเหนื่อยๆไปอีกวันแล้วสิ แต่ก็ยังดีที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ นึกว่าจะถูกจับไปกระทำชำเราแบบนางเอกละครน้ำเน่าแล้วนะเนี่ย แต่ก็เอาเถอะ วันนี้ไปเที่ยวต่อดีกว่า ไม่อยากกลับบ้านไปเจอคนที่บ้านด้วย เดี๋ยวโดนดุอีกว่าทำไมกลับเร็ว
….
….เมื่อคืนฝันร้ายล่ะ ฉันฝันเห็นประธานนักเรียนหน้าหล่อนั่น หลอนชะมัด ในฝันนั้นเขาเป็นสโตกเกอร์คอยตามฉันไปทุกทีตลอดจนเข้าห้องน้ำ! คือนี่จะบอกเลยว่าเมื่อคืนนอนบิดทั้งคืน ไม่ใช้เพราะเขินจากการที่เขาหน้าตาดีหรอกนะ แต่เพราะสยดสยองเท่านั้นแหละ! จากฝันเมื่อที่ผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงนี้ทำให้ฉันเริ่มลังเลที่จะเดินทางไปโรงเรียน ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันต้อนรับฉันแท้ๆ (ถึงจะมีคนอื่นด้วยก็เถอะ) ประตูด่านแรกของการเข้าโรงเรียนวันนี้คือรั้วโรงเรียน ฉันต้องตรวจดูให้แน่ใจเสียก่อนว่าไม่มีใครบางคนมาเล่นอะไรแผลงๆอย่างการติดป้ายไวนิ่วแบบเมื่อวาน และแน่นอนว่าฉันโทรหาใบไม้ให้มารับหน้าโรงเรียนด้วย เพราะด้วยสมองอันชาญฉลาดของฉันมันบอกฉันว่า ถ้าหากฉันเดินผ่านรั้วโรงเรียนไปแล้ว อาจจะมีใครจับตัวไปอีกก็ได้
แต่เมื่อมาพบกับสภาพจริงแล้ว วันนี้เป็นวันที่ปกติ เหมือนวันแรกที่ฉันมาเรียนไม่ผิด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย เด็กนักเรียนที่โรงเรียนนี้ก็มากันเยอะพอสมควรอยู่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนนี้ ตอนเช้าแบบนี้คงนอนกันอยู่ที่บ้าน ในตอนที่ฉันเดินอยู่ห่างจากรั้วโรงเรียนไม่กี่เมตรก็เห็นใบไม้ยืนอยู่ตรงกลางทางเข้าโรงเรียนก็ยิ่งโล่งใจ
“สวัสดีตอนเช้า!!” (ทางการไปมั้ง) เสียงที่คุ้นหูและได้ยินเป็นประจำดังขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าอันยิ้มแย้ม
“ดี” ฉันตอบกลับไปแบบตามมารยาทโดยไม่คิดอะไรมากเท่าไร่
“ไปห้องเลยปะ” ใบไม้ถามฉันหลังการทักทายเสร็จสิ้น และเดินนำไป ฉันจึงไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพราะดูเหมือนเธอจะรู้อยู่แล้วว่าฉันต้องการจะไปที่ห้องเพื่อเก็บของและสัมภาระที่แบกมาจากบ้านเพื่อมาเรียน พลางคิดว่าเมื่อไหร่โรงเรียนนี้จะปรับหลักสูตรให้เรียนวิชาเดียวทั้งวันไปเลย ขี้เกียจจัดตารางสอน ขี้เกียจเดินเรียนด้วย มันเมื่อย ตากแดด ไกลก็ไกล ครูบางคนก็ขี้บ่นอีกว่ามาช้า ปล่อยเลท…
“อ่าว … กลับมาแล้วหรอ มาเนีย”
เสียงของใครบางคนที่คุ้นหูที่สุดแทรกขึ้นมาทำให้ฉันถึงกับสะดุ้ง เป็นเสียงที่ฉันไม่อยากได้ยินอีกเป็นครั้งที่สองขงใครบางคนที่รู้จักฉันในอดีตมาก่อน ฉันรีบหันไปหาทางต้นเสียงเพื่อให้แน่ใจว่าใช่ ‘เขาคนนั้น’ จริงๆ และด้วยประสาทรับรู้ที่เหมือนจะไวผิดปกติในวันนี้ก็ทำให้ฉันรู้ทันทีว่า ‘ใช่’ ทำให้ฉันรีบผละตัวหันหลังกลับทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั่น ร่างกายเริ่มสั่นและตอบรับสัญชาตญาณ ‘นิ่ง’ เมื่อกำลังถูกรุกรานโดยฝ่ายตรงข้าม ซึ่งขาที่ตอบรับสัญชาติญาณของมนุษย์ที่สืบทอดกันมานานนั้นก็นิ่งและไม่สามารถขยับได้ เหงื่อออกท่วมตัวอย่างรวดเร็วจากอาการเครียด ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ ทำไมต้องตอนนี้ ทำไมเขาไม่ออกไปจากชีวิตฉันซักที
ฉันจับข้อมือของใบไม้ไว้ หลังจากที่เธอหันหลังไปมองเจ้าของต้นเสียงที่กล่าวขึ้นมา เธอมองนิ่งอยู่นาน ยิ่งทำให้ฉันสับสนขึ้นไปอีกว่าตอนนี้ฉันควรจะทำอะไรกันแน่
“ผมจำได้ว่าผมเคยบอกคุณเรื่องการเข้าโรงเรียนนี้แล้วนะครับ”
เสียงอีกเสียงดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของฉันและแน่นอนว่าจะต้องเป็นเขาแน่ๆ
“อ่าว ประธานนักเรียนนี่นา” เจ้าของเสียงแรกกล่าวขึ้น มันทำให้ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศตรึงเครียดจางลง ฉันจึงปล่อยมือออกจากใบไม้ และหันกลับไปหาต้นเสียงของทั้งสองคนด้วยความสงสัยที่ผุดขึ้นมาตามอารมณ์ชั่ววูบ พลางสงสัยไปว่าทำไมตอนนี้ฉันกลับรู้สึกโล่งใจ และอยากเห็นใบหน้าของเขาชัดๆอีกครั้ง เจ้าของเสียงทุ้มเข้ม ‘ประธานนักเรียน’
“ก็เห็นว่าวันนี้จะมีจัดงานอะไรซักอย่างที่หอประชุมนี่นา เลยอยากมาเที่ยวมั่ง” เสียงชิวๆสบายๆของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักเรียนของโรงเรียนใกล้ๆพูดออกมาโดยยิ้มระรื่น
“ออกไปจากที่นี่เถอะครับ ผมรำคาญนะ” หนุ่มแว่นประธานนักเรียนพูดพลางดันแว่นขึ้น (เพื่อ?!)
การที่มีประธานนักเรียนยืนอยู่ข้างหน้านี้ (ถึงจะมีตัวประหลาดคั่นไว้อยู่ตัวนึงก็เถอะ) ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจจนน่าแปลก ฉันเฝ้ามองเหตุการณ์ต่อไปเรื่อยๆโดยที่ไม่ขยับสายตาไปจากขอบแว่นของประธานนักเรียนเลยแม้แต่น้อย
“นี่ ทำไมไม่พูดกับผมเลยล่ะ” เจ้าของใบหน้ายิ้มระรื่นทำเสียงออดอ้อนน่าสะอิดสะเอียนแล้วเดินเข้ามาจับแขนฉัน แต่ด้วยร่างกายและจิตใจที่ขยะแขยงเกินจะทนของฉันคนนี้ทำให้ฝ่ามืออันน่ารังเกียจนั่นถูกสลัดออกไปทันที
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ!” ฉันวิ่งเข้าไปหลบหลังของใบไม้ที่จ้องเขม็งไปที่ชายแปลกหน้าอย่างเย็นชา
“อย่าให้ผมต้องใช้กำลังนะครับ”ประธานนักเรียนยิ้มแบบเดิมๆเหมือนกับที่ยิ้มให้กับฉันในวันแรกที่เจอ(ยิ้มหน้าหลังคา)พร้อมกับจ้องไปที่ชายอีกคนหนึ่งราวกับจะกลืนจะกินกันทั้งอย่างนั้น
‘ควิส’ เจ้าของรอยยิ้มอันน่าขยะแขยงนั่นค่อยถอยหันกลับไปมองประธานนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้ แล้วถอยหลังกลับช้าๆด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจเท่าไหร่ แล้วยิ้มอีกครั้ง “ไว้คราวหน้าจะมาอีกนะ มาเนีย” อย่าหันมาทางนี้สิยะ แล้วก็อย่าเรียกชื่อฉันด้วย อยากจะอ้วก! ฉันนึกในใจแล้วจ้องหน้าเขาพร้อมเม้มปากแน่น
“ไปตายไกลๆโรงเรียนฉันซะ” ใบไม้พูดออกมาทั้งๆที่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่รู้จักฉันในอดีตมาก่อนเท่านั้น
ควิสกลับมาส่งยิ้มให้ใบไม้อีกครั้งแล้วเดินออกไปจากโรงเรียนอย่างสงบ…
พอมารู้ตัวอีกทีฉันก็เงียบไปนานแล้วนะเนี่ย เป็นคนเดียวที่แทบจะไม่ได้มีบทในสถานการณ์นี้เลยด้วยซ้ำทั้งๆที่เป็นเรื่องของตัวฉันเอง แต่ก็ต้องขอบคุณที่มีประธานนักเรียนเดินมาช่วยพอดี ไม่งั้นฉันคงทำอะไรไม่ถูกแน่ อย่างน้อยก็ขอขอบคุณตามมารยาทล่ะนะ
ด้วยความคิดนั้น ฉันหันมาทางประธานนักเรียนที่กำลังจะเดินออกไปจากบริเวณหน้าตึกเรียนนี้ ฉันพยายามจะเรียกเขาให้มาสนใจ แต่ดันไม่รู้ชื่อซะงั้น
“ประธาน…นักเรียน!” โห นี่เรียกชื่อหรอเนี่ย
“ครับ” เขาหันมามองฉันด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจเล็กน้อยแล้วยืนทื่ออยู่สภาพนั้นอยู่พักหนึ่ง
ด้วยความที่เป็นคนปากแข็งของฉัน ปากมันจะพูด ก็ไม่พูด คำว่า ‘ขอบคุณ’ กับคนแบบนี้มันน่าอายชัดๆ แต่มันจำเป็นต้องทำตามมารยาทเพราะฉันเป็นคนดี น่าเอาแบบอย่าง กตัญญูรู้คุณ และไม่ยอมหลอกใช้ใครง่ายๆหรืออะไรทั้งสิ้น(สรุปคือศักดิ์ศรีมันค้ำคอนั่นแหละ) …เอาไงดี เอาไงดี เขาหันมาแล้ว แต่ดันพูดไม่ออกซะงั้น
พรึ่บ!! ฉันชูนิ้วโป้งขึ้นกลางฟ้าโดยแขนตั้งฉากกับลำตัวขนานกับพื้น และเพราะความอายทำให้หน้าเผลอก้มลงดินไปซะงั้น (นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?!~)
“ยะ…เยี่ยมมาก” นี่ฉันพูดอะไรออกป๊ายยยยย~ “ขะ…ขอบคุณที่มาช่วย…ค่ะ” หลุด ค่ะ ออกมาด้วย ตายๆๆๆๆ ฉันอายจะตายแล้ว นี่พูดอะไรออกไปเนี่ย พาฉันไปเชือดเถอะ!! ฉันยกหน้าขึ้นมามองเขาทั้งๆที่ยังยกแขนชูนิ้วโป้งอยู่ ตอนนี้หน้าฉันร้อนผ่าวไปหมด แต่พอมองไปที่หน้าของเขาแล้วกลับรู้สึกสงบแปลกๆ เขายิ้มจางๆ แล้วรีบหันหลังกลับไปทันที
“ไม่เป็นไรครับ มันเป็นหน้าที่” เขาพูดทั้งๆที่ไม่ได้หันมามองทางฉัน แต่ฉันรู้สึกได้ว่าสำเนียงที่เขาพูดออกมานั้นมันแปลกๆอยู่ เหมือนกลั้นหัวเราะหรืออะไรซักอย่าง หรือถ้าให้เดา คงอยู่ในอาการที่ไม่ต่างจากฉันเป็นแน่
ฉันจะคิดว่าเขาเป็นคนดีมากถ้าเขาไม่ทำตัวแปลกๆอย่างการที่ไม่รับฉันเข้าเป็นสมชิกสภานักเรียน คือดูยังไงๆฉันสมควรเข้าได้สิ นี่พูดแล้วก็แค้นไม่หายแฮะ
“ใบไม้ ไปกันเถอะ เนอะ!” ฉันพูดทั้งที่ยังอายๆอยู่เพื่อแก้เขิน แล้วเร่งฝีเท้าเข้าตึกเรียนทันที
หลังจากได้ขึ้นมาบนห้องเรียนแล้วก็นั่งสงบจิตสงบใจซักพัก และไม่นาน สัญญาณเรียกเข้าแถวก็ดังขึ้นทั่วโรงเรียน บ่งบอกทุกคนว่าถึงเวลาต้องเดินทางไปหอประชุมโรงเรียนแล้ว ส่วนฉันซึ่งต้องขึ้นเวทีก็ต้องเข้าแถวไม่ต่างกันกับคนอื่น จึงรีบเดินไปที่หอประชุมโดยที่หอประชุมอยู่ไม่ห่างจากตึกเรียนเท่าไหร่
พอมาถึงหอประชุม ฉันมองไปรอบๆและได้ข้อสรุปที่ว่า โดยภาพรวมแล้วหอประชุมที่นี่ ตอนนี้ มีสภาพไม่ต่างจากเมื่อหนึ่งปีก่อนเท่าไหร่ อยู่ในขั้นดูดีเลยล่ะ แสงไฟอ่อนๆทำให้ห้องนี้ดูเป็นสีเหลืองชาๆ บนเวทีภายในหอประชุมมีการจัดประดับตกแต่งอย่างสวยงามและประณีตให้เข้ากับโคมระย้าอันใหญ่ที่ห้อยอยู่บนผนัง ภายในหอประชุมมีเก้าอี้นับพันเรียงอยู่ ส่วนบนเวที มีเก้าอี้วางอยู่เหมือนกัน และถ้าคาดไม่ผิด คงจะเป็นที่นั่งสำหรับเจ้างานอย่างฉัน เก้าอี้นั่งสำหรับครูเจ้าของโครงการที่พาฉันไปเรียนต่างประเทศที่อเมริกาอีกหลายท่าน ที่หนุนหลังและสนับสนุน รวมไปถึงเจ้าของภาษาที่สอนภายในโรงเรียนด้วย เป็นงานที่ดูโอเวอร์จริงๆ
“ชื่อมานินีใช่ไหมคะ” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งทักขึ้นมาระหว่างที่ฉันกำลังสำรวจภายในห้องประชุมอย่างเงียบๆ
“อ่า…ค่ะ” เขา คะ มา ก็ คะ ตอบ ฉันมองไปที่เจ้าของเสียงซึ่งดูจากโบว์กลางอกแล้วเป็นรุ่นเดียวกันแน่ๆ
“ไปนั่งรอตรงแถวโน้นนะคะ เตรียมขึ้นเวที” เธอพูดพลางชี้ไปทางริมสุดของห้องซึ่งมีเด็กนักเรียนคนอื่นๆนั่งรออยู่ด้วย
เอาเถอะ ถึงฉันจะเป็นนักเรียนดีเด่นมาตลอด แต่งานที่ดูเอาจริงเอาจังแบบนี้นี่ไม่เคยเจอมาก่อนเลยแฮะ ฉันก็ขึ้นเวทีบ่อยเหมือนกันนะ แต่ก็ไปแอบๆหลังเวทีเอาแล้วค่อยโผล่ออกมา ฮ่าๆ
ไม่นาน กิจกรรมตอนเช้าก็เริ่มขึ้น ทุกคนยืนขึ้นเคารพธงชาติ แต่ก็อดสังเกตไปบนเวทีไม่ได้ว่ามีผู้ชายที่ได้รับการขนานนามว่า ‘ประธานนักเรียน’ กำลังร้องเพลงนำอยู่ ซึ่งจนถึงปัจจุบันฉันก็ยังไม่รู้ชื่อเขาซักที… ถึงในใบรายชื่อที่ครูให้มาจะมีเบอร์โทรศัพท์และชื่อจริงเขียนอยู่ก็เถอะ แต่ฉันก็ลืมไปเรียบร้อยแล้ว เพราะไม่ได้เมมเอาไว้ ถ้าเจอกันครั้งหน้าแบบปกติๆ ฉันกะไว้ว่าจะถามชื่อเล่นมาให้ได้ ถึงเขาจะต่อต้านเรื่องการเข้าสภานักเรียนของฉันก็เถอะ แล้วจะรู้สึกว่าคิดผิด เชอะ! และถ้าเขาคุยปกติๆกับฉันได้เมื่อไหร่ ฉันคงจะถามาเหตุผลดีๆบ้างล่ะนะ ว่าไปนั่น…
ฉันนั่งรอเวลาโดนเรียกตัวขึ้นไปบนเวทีโดยการท่องโพยที่เขียนมาจากที่บ้านว่าฉันควรจะพูดอะไรให้เป็นแรงบันดาลใจกับคนในโรงเรียนนี้ฟัง รวมทั้งเล่าประสบการณ์ที่ประสบพบมาจากต่างประเทศ ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไร คิดว่าน่าจะด้นสดได้ เพราะฉันก็เป็นคนที่เริ่มชินกับเรื่องการออกไปพูดกับคนมากๆอยู่แล้ว เพราะฉันทั้งเก่ง ทั้งฉลาด เปี่ยมความสามารถ เป็นต้นแบบของคนหลายๆคนอย่างเช่นคนที่กำลังแอบมองฉันอยู่ตอนนี้ โฮะๆๆๆ
แต่ใช้เวลาไม่นาน หลังจากการแจกเกียรติบัตรแก่นักเรียนที่ไปแข่งนู่นแข่งนี่ ก็มีการเรียกพวกที่เกี่ยวกับโครงการการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศอย่างฉันออกไปนั่งบนเวที ซึ่งฉันเพิ่งสังเกตได้ว่าคนดำเนินการการจัดพิธีนี้ไม่ใช่ประธานนักเรียน แต่เป็นผู้หญิงรุ่นเดียวกัน คนเดียวกันกับคนที่มาหาฉันตอนแรกเมื่อเดินก้าวเข้ามาในหอประชุม แล้วประธานหายไปไหนล่ะนั่น? ฉันด้อมๆมองๆอยู่นาน ที่ไหนได้เขายืนอยู่หลังสุดของหอประชุมนั่นเอง น่าจะยืนอยู่กับสมาชิกสภาคนอื่นๆ แต่พอมารู้ตัวอีกที ก็ถึงคิวที่ฉันจะต้องออกโรงซะแล้ว
“สวัสดีค่ะ” เป็นคำทักทายแรกที่ฉันถูกเสี้ยมสอนมาอย่างดีเพื่อให้ดูเป็นมิตรกับทุกๆคน เพราะฉันยังคงต้องรักษาภาพพจน์งามๆของตัวเองเอาไว้เสมอ และฉันก็คิดว่าไม่มีใครดีเท่าฉันอีกแล้วด้วยล่ะนะ ทั้งหน้าตาดี มารยาทดี เป็นมิตร
ฉันพูดไปเรื่อยๆตามความเคยชินโดยไม่ลืมความสุภาพโดยที่มองไปทางด้านหลังของหอประชุม ตรงกลางเป็นตำแหน่งที่ประธานนักเรียนยืนอยู่พอดี แต่พอมารู้ตัวอีกที เขาก็หายไปซะแล้ว
….เขาหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่รู้อยู่อย่างหนึ่งว่าฉันหมดบทแล้ว แน่นอนว่าเสียงปรบมือต้อนรับฉันดังกว่าใครๆที่มาก่อนหน้า
“ขอบคุณค่ะ” ฉันจากออกไปพร้อมรอยยิ้ม และจบท้ายด้วยการโบกมือแบบนางสาวไทย แน่นอนว่ากองทัพพ่อยกแม่ยกก็คงจะดีใจจนน้ำตาจะไหล เพราะฉันแจกเซอร์วิสถึงที่ขนาดนี้ หึหึ
“ดูเหมือนประธานนักเรียนจะอยากพูดอะไรด้วยนะคะ” เสียงพิธีกรหญิงเจ้าเดิมพูดออกไมค์ด้วยเสียงๆเรียบๆแบบชินชาหน่อยๆ ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินไปที่เก้าอี้ตัวเอง ทำให้ฉันหยุดชะงักทันที (เกี่ยวกับฉันรึเปล่านะ?)
ฉันหันหลังกลับไปและพบกับประธานนักเรียนที่ยืนอยู่คนละฝั่งฟากเวทีกำลังจ้องมองฉันอยู่ บอกตรงๆเลยว่าขนลุกแปลกๆ ฉันเข้าใจดีว่าฉันสวย แต่อย่าจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อกันได้ไหม!
“เอ่อ…” เสียงพิธีกรหญิงดังขึ้นอีกครั้ง “นี่ค่ะ ไมค์ ท่านประธาน” เสียงของเธอออกไมค์ในขณะที่กำลังยื่นไมค์ไปให้ประธานนักเรียนที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ฉัน
ทำไมความรู้สึกของฉันตอนนี้มันกำลังจะบอกว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้นกับฉัน เพราะเดิมทีไอ้ประธานนักเรียนแว่นหน้าหล่อนั่นก็ไม่ปกติอยู่แล้ว แต่ก็น่าจะเข็ดที่เมื่อวานทำฉันเป็นลมไปแล้ว แล้วอีกอย่างคือ เมื่อเช้าเขายังดูปกติๆอยู่แท้ๆ แน่นอนว่าเรื่องที่ฉันคิดว่าจะเกิดนี้จะต้องพาความเสื่อมเสียมาหาฉันแน่นอน มันคงอายกว่าครั้งอื่นหลายล้านเท่า เพราะเด็กนักเรียนทั้งโรงเรียนอยู่ที่ห้องประชุมแห่งนี้ ไม่นะ ไม่ ม่ายยย!!~
ถึงแม้ว่าจะเป็นความรู้สึกที่คิดไปเองก็เถอะ นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันหลงตัวเองแล้วคิดว่ามีคนมาง้อหรืออะไรหรอกนะ! แต่ดูจากสถานการณ์แล้วมัน …!
“มาเนีย!” นั่นไงโดนเรียกแล้ว!! กรี๊ดดดด จะทำยังไงดีเนี่ย ตอนนี้ฉันทำได้แต่ยืนอยู่เฉยๆและตั้งท่าจะหาที่หลบ ไม่ก็หาอะไรมาปิดหน้า หรือไม่แน่อาจจะเอากระถางดอกไม้ขอบเวทีมาครอบหัวถ้าจำเป็น
“@#%&*(_*&*&%^#$@!!$)+))_(&*^%$” กรี๊ดดด พูดภาษาอะไร(วะ)คะนั่น ไม่พอ หลังจากเขาพูดจบ ก็ยังมีคนปรบมือให้แล้วยังกรี๊ดอีก นี่มันอะไรกัน! ถึงจะเป็นประชากรส่วนน้อย แต่ฉันว่ามันน่าอายนะเฮ้ย!
หลังจากที่ฉันทำหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ใส่เขาพร้อมกับก้าวขาไปด้านหลังหนึ่งข้างพร้อมวิ่ง แต่สถานะทางสังคมหรืออะไรซักอย่างที่กดดันให้วิ่งไม่ได้ก็เลยกลายเป็นท่ากระแดะๆที่ตัวร้ายในละครส่วนใหญ่ทำกันค้างอยู่บนเวทีซะงั้น เขาขว้างไมค์ที่อยู่ในมือออกไปทางหน้าเวทีโดยที่ยังไม่ได้ปิดไมค์ทำให้เกิดเสียงดังชนิดที่ว่าลำโพงแทบแตกถึงแม้จะมีคนรับไมค์ที่เขาขว้างออกไปทันก็เถอะ จากนั้นคนทั้งหอประชุมก็อยู่ในความเงียบทันที เขาเดินตรงมาที่ฉันอย่างรวดเร็ว (ไม่นะ ไม่!!) ถ้าฉันจะหนีคงไม่มีใครว่าอะไรสินะ แต่สำหรับเหตุการณ์แบบนี้แล้วทั้งๆที่ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไร ก็ไม่ควรขี้ขลาดวิ่งหนีไปก่อนถูกใช่ไหมล่ะ ด้วยความคิดแบบนั้นทำให้ฉันหนีไม่ลง และต้องยอมจำนนยอมรับความเป็นจริงตรงหน้า
เขาเดินตรงหน้าเข้ามาเรื่อยๆและหยุดชะงักห่างจากฉันซักประมาณหนึ่งเมตรได้ แล้วคุกเขาลง (เวรกรรม ลางชักไม่ดีละ) แล้วหยิบช่อดอกไม้ที่อยู่ในเสื้อ(ไม่รู้ว่ายัดเข้าไปได้ยังไง) เป็นดอกไม้ช่อใหญ่มากๆ มันถึงกับทำให้ฉันทำอะไรไม่ได้ ไปไม่ถูกเลยทีเดียว อะไรกัน? นี่ดอกไม้แสดงความยินดีหรอ? หรืออะไรกันแน่?
“โปรดรับไว้ด้วย” เขาพูดพร้อมดันแว่นขึ้นในท่าคุกเข่า
“เอ่อ … ขอบคุณนะ” ฉันรับช่อดอกไม้มาในขณะที่ขากำลังสั่นเพราะความระแวง
ไม่นานเขาก็ลุกขึ้น สะบัดแขน จัดเสื้อ ดันแว่น (สำอางค์ไปไหนยะ) และมองตรงมาที่ฉัน พร้อมยกมือขึ้นชี้หน้า (อะไรอีกเนี่ย นี่ฉันกลัวสุดๆแล้วนะ)
“ฉัน! ชอบ! เธอ!” เสียงตะโกนปนกระแทกดังลั่นห้องประชุมทั้งๆที่ไม่มีไมค์อยู่บนมือคนพูด ผู้พูดเสียงนี้กางแขนออกเหมือนต้อนรับการโอบกอดใดๆ แล้วยังเงยหน้าขึ้นสู่เพดานที่ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร แต่คนฟังอายยิ่งนัก
“กรุณาคบกับผมด้วยครับ” เขาโค้งตัวงามๆมาทางฉัน ฉันตกใจมาก แต่ที่ตกใจกว่าก็คงไม่พ้นที่เขาพูด นี่นายพูดอะไรกันน่ะ!! อย่ามาทำเรื่องแบบนี้ในที่สาธารณะสิยะ ลางที่ฉันคิดไว้ตอนแรกคงเป็นจริงแล้วล่ะ
เสียงกรี๊ดกระหน่ำขึ้นมาบนเวที ยิ่งเสียงดังเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนคำสาปแช่งให้ฉันไปฆ่าตัวตายเท่านั้น ฉันอายนะเฮ้ย นี่นายทำอะไรน่ะ มันน่ากลัวนะ มีคำถามหลายร้อยกับหลายล้านคำด่าอยู่ในหัวฉัน แต่ตอนนี้ก็ทำได้แค่กัดปากกลั้นน้ำตา นี่ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเจอใครไฮเปอร์เท่านายเลยนะ อยู่ไม่สุขแล้วยังน่ากลัวอีก แอ๊คท่าเวอร์จนน่าตกใจ แล้วยังทำอะไรแปลกๆทั้งที่เราเพิ่งรู้จักอีก นี่ฉันแทบจะนับนาทีที่เราเจอกันได้เลยนะ!
ตอนนี้อยากเป็นลมมาก แต่ทำไมมันไม่เป็นไม่รู้ อยากชัทดาวน์ตัวเองแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น เอาล่ะ ตั้งใจทำสมาธิซะมาเนีย! ตอนนี้ฉันควรจะทำอะไร ยังไง เพื่อให้เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ปกติที่สุดเหมือนกับที่ผ่านๆมา คิดสิ คิดสิ คิด!!~ ฉันยืนสับสนกับตัวเองอยู่นาน แต่ก็สงบอารมณ์ตัวเองได้(มั้ง?) แล้วกลับมาควบคุมสถานการณ์นี้อีกครั้ง(?)
“มะ ..ม่าย …ไม่” ทำไมปากมันสั่นขนาดนี้นะ คงเป็นเพราะอากาศในนี้มันหนาวแหละเนอะ! แล้วฉันก็คงจะหิวน้ำล่ะเนอะ! ไม่งั้นปากไม่แข็งขนาดนี้หรอก ฮะ …ฮะๆ(หัวเราะรันทดจริงๆฉัน)
“ฉะ…ฉัน มะ..ไม่ชอบ…นาย หรอกนะ” ฉันพูดออกไปอย่างห้าวหาญ(ซะที่ไหนล่ะ) แล้วสลัดช่อดอกไม้ในมือออกไป แต่มันดันติดมือซะงั้น เวรกรรม! ทำไมฉันเอามันไม่ออกล่ะ ทั้งๆที่อยากจะโยนทิ้งแล้วแท้ๆ! แต่พอดูทที่มือตัวเองดีๆมันดันกำแน่นชนิดที่ไม่ปล่อยเลย เวรเวรเวรเวรเวร ฉันควรทำยังไงดีเนี่ย คิดไปน้ำตาก็ไหล พร้อมๆกับกำช่อดอกไม้แล้วสลัดไปมากับอากาศ ตอนนี้มีความรู้สึกว่ามือกำลังถูกล็อค มือชาเหมือนถูกฉีดยาชา หรือไม่ก็คงเส้นประสาทยุดทำงานชั่วขณะ
เจ้าของช่อดอกไม้นั้นก็มองมาที่ฉันที่กำลังอดทนไม่ไหวพร้อมกับน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมานอกเบ้าตา
“สะ…ซึน…” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มๆ “ซึนเดเระสินะครับ!! อ้ากกก!!” เขาพูดอะไรก็ไม่รู้ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ รู้แต่ว่าฉันเอาดอกไม้ออกจากมือไม่ได้ และสถานการณ์ในหอประชุมนี้ก็ชุลมุนสุดๆ ทุกคนวิ่งกรูเข้ามาออกันที่หน้าเวที ฉันอายมากจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน มืออีกข้างก็ใช้การไม่ได้ มันติดช่อดอกไม้อยู่ หยิบกระถางมาครอบหัวก็ไม่ได้ พิธีกรหญิงพยายามหยุดสถานการณ์นี้ลง แต่ก็ยุ่งอยู่กับประธานที่นอนกองอยู่กับพื้น…
ความทรงจำสุดท้ายก่อนฉันจะช็อคไปทั้งวันคือการที่สมาชิกสภานักเรียนสองคนลากประธานนักเรียนใส่แว่นที่กำลังหันมามองทางฉัน ซึ่งประธานนักเรียนคนนั้นเลือดกำเดาไหลและยิ้มจางๆ
“หลงเลยครับ”
……………….
หนึ่งวันที่โรงเรียนวันนี้ จบไปด้วยการหลบหน้าผู้คนนับพันออกจากห้องประชุม แล้วแวะร้านขายของใกล้ๆโรงเรียน แล้วรอคนใช้ที่บ้านมารับ….
ฉันขอไม่มาโรงเรียนนี้อีกซักอาทิตย์สองอาทิตย์ หรืออาจจะตลอดชีวิตไปเลยก็ได้ถ้าพ่อกับแม่ไม่ว่าอะไร….
ชีวิตของฉัน…จบลงแล้วสินะ…
….อา….
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็น