ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [GOT7] MARKBAM ll Sleep with me

    ลำดับตอนที่ #2 : Sleep with me free pillow

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 12.48K
      276
      1 เม.ย. 58



    Sleep with me free pillow

     

     

     

    ในชีวิตคนเรามันจะมีเหตุการณ์หนึ่งที่เราคิดว่าเฮ้ย! ทำไมกูถึงได้ซวยขนาดนี้วะ แต่ยัง...เหมือนโลกเล่นตลก ความซวยที่เข้ามาในชีวิตของคนบางคนก็ยังไม่หยุดเพราะมันจะกระหน่ำเข้ามาเหมือนจะเหยียบซ้ำให้เราจมดิน แบมแบมเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อน ในหนึ่งปีจะเจอเหตุการณ์บัดซบแบบนี้สักที

    ปีนี้แม่งก็เสือกมาเร็วเกินไม่บอกไม่กล่าวอีกต่างหาก

    เข้านี้อากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตก แบมแบมดูพยากรณ์อากาศแล้วพบว่าฝนคงไม่ตกหรอกเพราะในแอพพลิเคชั่นช่วงบ่ายมีรูปพระอาทิตย์ขึ้นยิ้มแฉ่ง ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มรื้อผ้าปูเตียงกับปลอกหมอนมาปั่นแล้วตากทิ้งไว้หลังห้องถ้าเกิดว่าฝนตกก็แย่สิ วันนี้เขาเลิกเรียนก็บ่ายๆ นู้น

    แบมแบมยิ้มกว้าง เช้าวันนั้นเขาเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าในสถานีและเจอที่นั่งว่างเพราะโบกี้นั้นไม่ค่อยมีคนด้วย ถือเป็นโชคดีของยามเช้า พอพ้นออกจากสถานีรถไฟใต้ดินและกำลังหยิบหูฟังเพื่อเก็บระหว่างเดินมุ่งหน้าไปทางหน้าคณะ ความซวยอันแรกก็บังเกิดกับชีวิต

    “น้องแบมแบม”

    เสียงนี้...

    หันหน้ากลับไปแล้วก็ยิ้มเจื่อน เพราะแบมแบมไม่เคยฟังผิด รุ่นพี่ในชุดฟอร์มดูสุภาพเรียบร้อยยืนอยู่ด้านหลัง พอเห็นว่าเขาหันหน้าไปสบตาก็ยิ้มบางแล้วสาวเท้าเข้ามาใกล้

    “มีเรียนเช้าเหรอครับ?” อีกฝ่ายเดินมาหยุดตรงหน้าแล้วถาม มือที่จับหูฟังอยู่ยังถือมันคาไว้ในอุ้งมือแล้วตอบคำถามไปด้วยการพยักหน้า

    “พอดีเลย พี่นัดแจบอมไว้แถวหน้าคณะแบมแบมนั่นล่ะ มันไปส่งน้องยองแจน่ะครับ เราเดินไปพร้อมกัน แบมแบมคงไม่รังเกียจพี่...” ปลายเสียงลากยาว เหมือนจะขอความเห็นใจ

    “อ๋อ...ครับ เราไปพร้อมกันก็ได้”

    มือยัดหูฟังใส่กระเป๋าไปอย่างลวกๆ แบมแบมจำต้องหันไปมองแล้วเดินไปพร้อมกับรุ่นพี่ต่างคณะที่แค่มองหน้าก็รู้แล้วว่ากำลังจีบเขาอยู่

    จินยองไม่ใช่คนพูดมาก แบมแบมเองก็อึดอัดเวลาอยู่กับอีกฝ่ายแต่พยายามเก็บอาการเพราะเกรงใจ อย่างน้อยเขาก็ต้องรักษามารยาทบ้าง แต่ทุกวันนี้ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงโดนคนใกล้ๆ จับทำเมียนัก หน้าตาเขาก็ไม่ได้สะสวย ร่างกายก็เก้งก้างผอมบางพอๆ กับอีกฝ่ายด้วย

    แบมแบมรู้จักกับจินยองเพราะยองแจมีแฟนเป็นเพื่อนสนิทของอีกฝ่ายชื่อแจบอม เพราะงั้นช่วงที่เพิ่งตกลงเป็นแฟนกับพี่แจบอม ไปไหนมาไหนยองแจที่ยังเขินแฟนอยู่ก็มักจะลากแบมแบมไปคณะดุริยางค์ด้วย กลายเป็นว่าเขาไปบ่อยจนรู้จักกับเพื่อนสนิทของแฟนเพื่อน แต่ใครมันจะไปคิดว่าจู่ๆ รุ่นพี่หน้าเหมือนแมวคนนั้นจะมาชอบ มันเป็นสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสำหรับแบมแบมอยู่พอสมควรตอนโดนอีกฝ่ายจีบ ในขณะที่ยองแจดี๊ด๊าอยากให้เขาใจอ่อน แบมแบมกลับคิดว่าเขาไม่เหมาะกับคนเงียบแบบนี้ และแน่นอนว่าคนเงียบๆ แบบจินยองไม่ได้ทำให้เขารู้สึกสบายใจแต่ไม่รู้จะชวนพูดอะไรด้วยมากกว่า

    แต่ก็เพราะจินยองเป็นประเภทไม่ได้รุกเร้าแบบจู่โจม แต่อีกฝ่ายใช้การหยอด เช่น ฝากขนมมากับยองแจ หรือไม่ก็พวกของบำรุงร่างกายต่างๆ แบมแบมเลยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ที่จริงแล้วเขาคิดว่าการที่จินยองเอาของมาให้มันไม่ได้หมายความว่าได้ฟรี ของฟรีไม่มีในโลก ทุกอย่างล้วนต้องมีการแลกเปลี่ยนที่อาจจะเท่าเทียมบ้างหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบ แน่นอนว่าจินยองให้ของเพื่อหวังให้แบมแบมใจอ่อน แต่ไม่มีทางหรอก ตามจีบตามตื๊อยังไงเขาก็ไม่อยากเป็นเมียให้

    “พี่เดินผ่านร้านนี้ด้วย เห็นยองแจบอกว่าแบมแบมชอบขนมปังร้านนี้”

    ถุงกระดาษสีขาวถูกพับเก็บ มีโลโก้ร้านดังแถวหน้ามหาลัยแปะหรา ปกติแบมแบมชอบขนมปังร้านนี้ตอนอบเสร็จใหม่ๆ ข้อมูลนี้ยองแจก็คงคาบไปบอกจินยองอีกนั่นล่ะ เขายื่นมือไปรับแล้วพึมพำขอบคุณ

    “พักนี้เรียนเป็นไงบ้าง”

    “เรื่อยๆ ครับ” แบมแบมบอก ทำทีเหมือนไม่ใส่ใจแต่มือกำลังแกะถุงกระดาษเพื่อดูว่าในนั้นมีขนมปังที่อยากกินรึเปล่า ตอนกำลังแกะถุงแล้วเปิดออกได้ จู่ๆ น้ำใสๆ หยดหนึ่งก็ไหลผ่านแก้ม

    “อะไรวะ?” พึมพำกับตัวเองแล้วยกมือขึ้นเช็ดหน้า ก่อนจะหันไปตกใจความพร้อมของคนข้างกายมากกว่าที่หยิบร่มมาเปิดกางแล้วเขยิบมาหาแบมแบมอย่างรวดเร็วแล้วพึมพำว่า

    “พี่ว่าฝนตกแน่ๆ เลย”

    ยังไม่ทันขาดคำฝนแม่งก็ตกจริงๆ

    ความซวยแรกคือการเจอหน้าพี่จินยองตั้งแต่เดินยังไม่ถึงหน้าประตูรั้วมหาลัย ความซวยสองคือฝนแม่งเสือกตก ความซวยสามคือแบมแบมไม่ได้พกร่มมาเลยต้องอาศัยร่มพี่จินยอง ความซวยที่สี่คือบรรยากาศโรแมนติกอยู่ใต้ร่มกับผู้ชายอีกคนคืออะไรวะเนี่ย

    แต่ก็ต้องจำใจ...เพราะไม่อยากเปียกเลยไม่ได้ปฏิเสธ พยายามเดินตัวลีบๆ ไปพร้อมกับเจ้าของร่มซึ่งถ้าสนิทกันมากและเขาไม่ได้มาจีบแบมแบมคงหันไปถามแล้วว่าหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้าพี่เหรอวะทำไมเดินช้าได้ขนาดนี้ พอนึกได้(แบบเข้าข้างตัวเอง)ว่าอีกฝ่ายคงอยากใช้เวลากับตัวเองก็เลยไม่ได้พูด

    ปกติจากหน้ามหาลัยไปถึงคณะเดินเล่นๆ แบบไม่รีบก็ประมาณ 5-10 นาที แต่พอวันนี้ฝนตกและคนข้างๆ มีหมากฝรั่งติดพื้นรองเท้า(?) แบมแบมกับจินยองใช้เวลาเดินฝ่าฝนไปถึงคณะด้วยสถิติใหม่ถึง 20 นาที

    เสื้อแบมแบมเปียกไปครึ่ง เขาก้าวเข้าไปในอาคารแล้วย่ำเท้าอยู่กับพื้นเพื่อให้หยดน้ำออกจากรองเท้า สะบัดผมไปมาเพราะปอยผมข้างหนึ่งเปียกจนแนบลู่ไปกับโครงหน้า กำลังยืนสะบัดตัวเหมือนหมาให้ร่างแห้งอยู่ดีๆ ยองแจก็วิ่งมาจับแขนด้วยมือเย็นเฉียบก่อนจะดึงแบมแบมไปกระซิบถามเบาๆ ว่า

    “แหม...สวีทเชียวนะ เดินใต้ร่มคันเดียวกัน”

    “สวีทพ่อง” แบมแบมบ่นอุบ พอเหลือบตาไปทางคนที่มาด้วยกัน

    จินยองยังมองมาทางแบมแบมอยู่ก่อน พอหันไปเจอแล้วบังเอิญสบตาอีกคนก็ยิ้มหล่อส่งให้ คนโดนยิ้มเลยหันหน้ามาหาเพื่อนกะทันหัน แต่ยองแจดันไหล่เขาไปทางรุ่นพี่คนเดิม แบมแบมเลยหันเหไปทักทายแฟนเพื่อนที่ยืนหัวโด่เอามือล้วงกระเป๋าอยู่อีกทาง

    “สวัสดีครับพี่แจบอม”

    “อืม...เปียกเลยนะ ดีแล้วที่เจอจินยอง ไม่งั้นคงเปียกกว่านี้”

    นี่ก็ชงกันจังโว้ย! ไอ้ยองแจก็สะกิดยิกๆ แบมแบมเลยตัดรำคาญด้วยการเดินไปหาจินยอง อย่างน้อยถ้าเขาขอบคุณรุ่นพี่คณะดุริยางค์จะได้รีบๆ กลับคณะตัวเองซะที แล้วแบมแบมจะได้ขึ้นไปเรียน

    “ขอบคุณนะครับพี่จินยอง”

    ลากันอีก 2-3 ประโยค แล้วก็ปล่อยให้ยองแจยืนสั่งเสียแฟนอีก 2-3 นาทีกว่าจะลากันได้ เราทั้งคู่ถึงได้เดินขึ้นชั้น 3 เพื่อรออาจารย์และเข้าเรียน แบมแบมคิดว่าความซวยที่เจอแต่เช้านี่คงเป็นอะไรที่แย่สุดๆ ของวันแล้ว เขาไม่รู้หรอกว่ามันมีเรื่องซวยหนักกว่านี้รออยู่

     

     

     

    อากาศเลวได้บัดซบมาก แอพพลิเคชั่นที่โหลดมาเพื่อดูเรื่องพยากรณ์อากาศเมื่อเช้าชวนโมโหจนแบมแบมต้องลบมันทิ้งอย่างหงุดหงิดขณะอยู่บนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินตอนกำลังจะเดินทางกลับคอนโด สรุปว่าวันนี้ฝนเทไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่เช้ายันตอนนี้ และแบมแบมก็วิ่งฝ่าฝนเพราะไม่มีร่มมาสถานีรถไฟดังนั้นสภาพเขาตอนนี้ไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำดีๆ นี่เอง

    ตอนออกมาจากรถที่พามาถึงสถานีปลายทางที่ต้องการ แบมแบมก็ห่อไหล่และเริ่มหนาวจากอากาศ พาลคัดจมูกจะจามอยู่รอมร่อ ยกมือขึ้นกำลังจะจามแรงๆ ออกมาให้จมูกโล่งก็ดันมีคนมาจับไหล่ดึงไป

    ไอ้เชี่ย! ขนาดจะจามยังไม่ได้จาม!

    “อ้าว? พี่มาร์ค” เอ่ยทักคนที่เพิ่งเดินออกมาจากโบกี้อีกฝั่ง สายตาอีกคนหรี่มองแล้วหัวเราะ

    “ไม่ได้เอาร่มไปด้วยเหรอ? ไม่ดูพยากรณ์อากาศบ้างรึไง?”

    “ดู แอพแม่งหลอกอ่ะ บอกว่าตอนบ่ายแดดจะออก พี่เอาร่มมาป่ะ? ขอติดไปด้วยได้ไหม?” แบมแบมยกแขนขึ้นห่อไหล่ ทำหน้าหนาวสุดขีดแต่ที่จริงไม่ต้องทำก็ได้เพราะตอนนี้หนาวจริง

    “เออ มาดิ่ ตอนนี้ฝนตกไม่หนักแล้วล่ะ”

    เราทั้งคู่เดินออกไปจากสถานีพร้อมกัน มาร์คกางร่มแล้วดึงแขนแบมแบมให้เข้ามาในร่ม เด็กหนุ่มเม้มปาก ขณะที่ฟันเริ่มสั่นกระทบกัน มาร์คหันมาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีก

    “น่าสงสารว่ะ เอาสูทพี่ไปไหม?”

    “ไม่เอาเดี๋ยวเปียก พี่แม่งจะให้ผมซักสูทให้ล่ะสิ แพงจะตายห่า” แบมแบมเหลือบมองสูทราคาพอประมาณที่อีกคนสวมอยู่ มาร์คยักไหล่ก่อนพึมพำว่า

    “รู้ทันอีก”

    เราเดินมาด้วยกันจนถึงคอนโด พอเข้ามาในลิฟต์แบมแบมก็เริ่มถอนหายใจหนักๆ เขาคิดถึงน้ำอุ่นๆ เดี๋ยวจะแช่น้ำให้พอใจก่อนแล้วค่อยกินยานอน แต่เดี๋ยวนะ...กูตากผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนไว้

    “เชี่ยแล้วไง”

    “อะไร? ทำไมจู่ๆ ถึงชอบสบถนักวะ” มาร์คหันมาดุ ประตูลิฟต์เปิดกว้าง แบมแบมแทรกตัวออกไปทันทีโดยไม่ฟังเสียงคนที่โวยและด่าไล่หลังว่าไร้มารยาท

    คว้ากุญแจมาไขแล้วดึงคีย์การ์ดมาเสียบ ประตูเปิดกว้างออก แบมแบมปิดบานประตูแล้วเสียบคีย์การ์ด หันไปเปิดสวิตซ์ไฟก่อนจะพบว่าไฟไม่ติด

    “อะไรอีกวะเนี่ย!

    กระชากคีย์การ์ดออกมาใหม่แล้วเสียบลงไปอีกครั้ง กดสวิตซ์อีกหนแต่ก็ไม่ได้ผลเพราะห้องยังคงมืดสนิท ยิ่งฝนด้านนอกยังตกปรอยๆ บรรยากาศที่ฟ้าอึมครึม ก่อนจะมองไปเห็นราวตากผ้าที่มีทั้งผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนเปียกซ่กบนนั้นเหมือนหลั่งน้ำตาให้ความซวยบรรลัยของเขา

    ไฟจะดับได้ยังไง ในเมื่อลิฟต์ยังใช้ได้ แบมแบมเริ่มดึงสติกลับเข้าสู่สมอง ใช้มือถือส่องเป็นไฟฉายเดินไปยกหูโทรศัพท์แล้วถอนใจเมื่อเห็นว่ามันใช้การได้ กดเบอร์เคาน์เตอร์ต้อนรับลงไปรอเพียงไม่กี่นาทีก็มีคนรับสาย

    “สวัสดีค่ะ”

    “เอ่อคือ...ห้อง 707 น่ะครับ ผมเสียบคีย์การ์ดแล้วแต่ว่าดูเหมือนจะมีปัญหาเพราะว่าผมใช้ไฟในห้องไม่ได้” แบมแบมกรอกเสียงบอกปัญหาลงไป

    “สักครู่นะคะ” ได้ยินเสียงรัวคีย์บอร์ดดังอยู่ไม่ถึงวินาที น้ำเสียงของพนักงานสาวก็ตอบกลับมาว่า

    “ห้อง 707 ยังไม่จ่ายค่าไฟนะคะ ชำระค่าไฟได้ถึงเมื่อวาน นี่เกินมา 1 วันแล้วก็เลยโดนตัดไฟไปตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้วค่ะ”

    “อ่า! ผมลืมไปเลย ถ้ายังงั้นจ่ายตอนนี้ก็ทันใช่ไหมครับ”

    “ขอโทษค่ะ...ช่างไฟที่ดูแลเรื่องนี้กลับเร็วเพราะวันนี้ฝนตก คงจะแก้ไขเรื่องไฟได้อีกทีก็พรุ่งนี้เช้าเลยค่ะ” เสียงอ่อนโยนนั่นไม่ได้ชวนให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด

    “อ้าว! แต่พรุ่งนี้ผมมีเรียน แล้วคืนนี้...จ่ายตอนนี้ก็ไม่ทันเหรอ ผมเพิ่งเคยลืมเองนะ” แบมแบมมองออกไปด้านนอก ฟ้าเริ่มมืดขึ้นทุกขณะ

    “ไม่ได้จริงๆ ค่ะ ตอนเซ็นต์สัญญามีระบุเอาไว้ในข้อ 13 ว่ากำหนด...”

    “โอเคๆๆ ครับ ขอบคุณครับ แต่เดี๋ยวผมจะไปจ่ายไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าจะใช้ได้ใช่ไหม?” แบมแบมถามเสียงห้วน

    “ค่ะ ช่างเข้างานเจ็ดโมงเช้าค่ะ”

    แบมแบมวางสายแล้วยืนสบถหน้าโทรศัพท์อยู่เกือบ 3 นาที สุดท้ายก็ยืนนิ่ง เดินเข้าห้องน้ำที่มืดๆ และอาศัยไฟฉายจากโทรศัพท์ไปก่อนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะหวัดกิน จะโทษใครก็ไม่ได้ แบมแบมลืมจ่ายค่าไฟจริงๆ นั่นล่ะ ตอนได้บิลมาก็คิดอยู่ตลอดว่าเดี๋ยวจ่ายๆ สรุปบิลก็วางอยู่ในลิ้นชักนอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้น

    หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมากดโทรศัพท์หาเพื่อนเพื่อหาที่พักพิง สัญญาณดังไม่กี่ครั้งยองแจก็รับสาย

    “มีไร?”

    “มึง...ห้องกูไฟดับ เดี๋ยวไปค้างที่หอมึงนะ” แบมแบมบอกความประสงค์ลงไป ยองแจไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ อึกอักอยู่แบบนั้นก่อนจะตอบว่า

    “แบม...วันนี้ไม่ได้”

    “ก็ไฟดับวันนี้จะให้ไปวันไหนวะไอ้ห่านี่” เดินไปทางระเบียงห้องแล้วทำท่าจะเปิดประตูเพราะชินกับการคุยโทรศัพท์ตรงระเบียง ยังดีว่าชะงักไปตอนม่านฝนบางๆ สาดเต็มหน้าให้รีบดึงประตูปิด

    “กูไม่ได้อยู่หอ”

    “แล้วมึงไปไหน” แบมแบมถามเสียงห้วน

    “กูมาค้างกับพี่แจบอม...” เสียงนั่นตอบเบาหวิวแล้วก็เขินไปด้วย แบมแบมฟังแล้วก็พอจะเข้าใจในทันที

    “เสียตัวกี่รอบแล้วล่ะ?”

    “เสียเหี้ยไรไม่เคย! เขาเป็นสุภาพบุรุษ แค่นี้นะ! มึงไปค้างกับคนอื่นนะ”

    “เดี๋ยว! ยองแจ! เหี้ยยองแจ! ไอ้ห่าเอ๊ย เพื่อนเชี่ยไรเนี่ยเห็นผัวดีกว่าเพื่อน กูเกลียดมึงชเวยองแจ!” ตะโกนลั่นทั้งๆ ที่รู้ว่าเพื่อนวางสายไปแล้ว

    แบมแบมกลืนน้ำลาย แสงสว่างเริ่มหมดไปเรื่อยๆ โทรศัพท์ก็ใกล้จะแบตหมดแน่ๆ หากเขาใช้เป็นทั้งไฟฉายแถมยังไม่มีไฟให้ชาร์จแบตเตอรี่อีกต่างหาก พอยืนนิ่งอยู่นานก็นึกได้ว่าพอจะมีคนให้พึ่งพิงอยู่ห้องข้างๆ แต่ไม่รู้เขาจะให้อยู่ด้วยไหม ก็ต้องลองหน้าด้านดู

    แบมแบมไปยืนกดออดหน้าห้อง 708 รอไม่นานประตูห้องก็เปิดกว้างออก พี่ชายห้องข้างๆ อยู่ในชุดลำลองสบายๆ พอเห็นแบมแบมก็ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย

    “พี่มาร์ค...คือว่ามีเรื่องรบกวน...” แบมแบมเอ่ยเสียงอ้อนไปก่อน อีกฝ่ายฟังแล้วไม่ได้พูดอะไร แบมแบมเลยพูดต่อ

    “ขอผมนอนด้วยได้ไหม?”

    “อะไรนะ?” มาร์คทำหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยยาวเหยียด “ฝนตก อากาศมันดีชวนเสียตัว เปลี่ยวมากจนต้องมาเคาะห้องพี่เลยเหรอวะแบมแบม?”

    “เสียตัวอะไรไม่ใช่โว้ย ห้องโดนตัดไฟ” แบมแบมเม้มปากนิ่งแล้วถอนหายใจ ขณะที่ไอ้ห้องข้างๆ หัวเราะลั่นอยู่หน้าเขานี่ล่ะ

    “มันไม่ตลกนะ นี่ไฟดับ หนาวก็หนาว”

    “ไปเอาของมาสิ ไม่ใจร้ายหรอก” มาร์คบอก แค่ได้ยินแค่นั้นแบมแบมก็ยิ้มกว้างได้แล้ว

    “ให้มานอนฟรีนี่เสียดุลการค้าจริงๆ ว่ะ”

    “เสียดงเสียดุลอะไรของพี่วะ ไปช่วยเก็บของหน่อยสินะ...” แบมแบมหันกลับมาอ้อนทันที ไอ้พี่ข้างห้องถอนหายใจเบาๆ ออกมาแล้วทำหน้าเพลียใส่ แต่ก็ยอมเดินมาช่วย แบมแบมเลยดี๊ด๊าเพราะอย่างน้อยคืนนี้ก็มีที่ให้ซุกหัวนอนอุ่นๆ แล้ว

     

     

     

    “ทำบุญทำทานบ้างนะ คนอะไรซวยบรรลัยมาก”

    มาร์คเอ่ยประโยคนั้นด้วยสีหน้าจริงจังจนคนเล่าอย่างแบมแบมถึงกับถอนหายใจ ก่อนหน้านี้เขาย้ายข้าวของมาไว้ในห้องมาร์คเรียบร้อยแล้ว เขามีเรียนเช้าและต้องออกไปพร้อมๆ กับมาร์คในเช้าวันพรุ่งนี้ หลังจากเก็บของเรียบร้อยแบมแบมก็ไปจัดการจ่ายค่าไฟให้เรียบร้อย สุดท้ายเขาก็มานั่งบนโซฟามุมขวา เล่าเจื้อยแจ้วเรื่องซวยบรมให้มาร์คซึ่งนั่งอยู่ฝั่งซ้ายของโซฟาฟังอย่างหงุดหงิด

    “เพราะไอ้แอพบ้านั่นล่ะ” แบมแบมบ่น โทษตัวเองแล้วรู้สึกผิดมากก็โทษแอพพลิเคชั่นแทนแล้วกันจะได้รู้สึกผิดน้อยลง มาร์คส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า

    “ไม่รอบคอบเองแล้วยังโทษฟ้าโทษฝน”

    “นี่ผมตื่นมาซักผ้าปูที่นอนกับปลอกหมอนเลยนะพี่! เช็คอากาศแล้วด้วยไม่งั้นไม่โง่ซักแล้วตากให้ฝนตกใส่แบบนั้นหรอก” บ่นอุบแล้วดึงหมอนอิงมากอด

    “แล้วไม่ได้มีพวกปลอกหมอนหลายๆ ชุดหรือไง?”

    “มี มันอยู่ในตู้อ่ะขี้เกียจค้น อีกอย่าง...ห้องผมไฟดับนะ ทำอะไรก็ยุ่งยากไปหมด แบตโทรศัพท์ก็จะหมดด้วย” ทำปากยื่นไปให้อีกคนดูว่ามือถือกูชาร์จอยู่บนโต๊ะห้องพี่เนี่ยครับ คิดก่อนด่านิดหนึ่ง รู้ว่าโง่อย่าตอกย้ำให้มาก

    “แล้วไม่โทรหาเพื่อน”

    “นี่พี่รังเกียจผมป่ะวะ? ถ้าไม่อยากให้มาพักด้วยก็บอกดีๆ สิ” คุยกันไปคุยกันมาก็ชักโมโห อะไรกันวะ แบมแบมเม้มปากก่อนจะลุกยืน มาร์คเขยิบมาหาแล้วดึงแขนไว้ก่อนพลางดึงให้นั่งลง

    “ไม่ใช่ ไม่ได้รังเกียจ นี่กำลังคิดอยู่ว่าเปลี่ยวแล้วบรรยากาศดีเลยอยากมีคนอยู่ใกล้ๆ”

    “ไอ้เหี้ยพี่มาร์ค” แบมแบมหันมาโวย “รู้ว่าหล่อแต่อย่าหลงตัวเองได้ไหม”

    กระแทกตัวลงมานั่งบนโซฟานิ่มๆ เหมือนเดิม ไอ้เบ้าหน้าหล่อนี่รู้มานานแล้วตั้งแต่เจอหน้ากัน แต่ไอ้นิสัยหลงตัวเองของพี่ข้างห้องนี่หลังๆ แสดงออกโจ่งแจ้งเกรงใจคนไม่ค่อยหล่อ (แต่เสน่ห์ล้นเหลือ) แบบแบมแบมบ้าง ขอกูมีที่ยืนบ้างนะพี่มาร์คนะ...

    “เออ...กินไรป่ะ? มีขนมในตู้นะ มีไอติมด้วย”

    “กินได้จริงดิ่? คิดเงินเพิ่มป่ะ?” แบมแบมหันไปถาม ต้องถามก่อน ส่วนใหญ่โลกใบนี้ไม่ค่อยให้อะไรเขาฟรีนักหรอก แต่พอมาร์คยิ้มแล้วผายมือไปทางห้องครัวพลางเอ่ยว่า

    “ฟรี”

    แบมแบมก็วาดยิ้มกว้าง รีบลุกจากโซฟาไปทางห้องครัว เจ้าของห้องเดินตามหลังมา ก่อนจะชี้ให้ว่าอะไรอยู่ในตู้หรือลิ้นชักไหน แบมแบมออกมาจากห้องครัวขนาดย่อมของมาร์คอีกทีพร้อมกับขนมขบเคี้ยว 2 ถุง และถ้วยเยลลี่อันใหญ่ในมือ เราย้ายร่างกลับมานั่งที่โซฟา แล้วแบมแบมก็เริ่มกินเยลลี่ก่อนด้วยช้อนพลาสติกที่แถมมา

    “พี่ชอบกินขนมตอนดึกๆ เหรอ?” แบมแบมหันมาถาม เพิ่งกลืนเนื้อเยลลี่ลงคอไปได้ 1 คำถ้วน

    “ก็ไม่บ่อยหรอก แต่มีไว้ติดห้องก็ดีไม่ใช่เหรอ?”

    “ดี เพราะผมได้กิน อ่ะนี่...เดี๋ยวหาว่าไม่แบ่งเจ้าของห้อง” แบมแบมหยิบขนมยื่นไปที่ปาก พี่ข้างห้องอ้าปากแล้วเขาก็ดันชิ้นขนมเข้าไป แต่อีกคนงับริมฝีปากไวไปเลยโดนนิ้ว

    “อี๋! น้ำลาย” แบมแบมโวยขึ้น นิ่วหน้าแล้ววางถุงขนมพลางหยิบทิชชู่มาเช็ดผิวเนื้อที่เปียก

    “เออ...ไม่ลองโทรหาพี่...พี่อะไรนะที่มาชอบน่ะ” มาร์คหัวเราะเขาแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น แบมแบมเม้มปากก่อนจะกระแทกเสียงบอกชื่อเสียงเรียงนามรุ่นพี่เอกวอยซ์ไป

    “จินยอง ... ปาร์ค จินยอง”

    “เออ ไม่ลองโทรหาเขาล่ะ ห้องเขาคงว่างให้ไปค้าง” แบมแบมหันมาหรี่ตามองคนถาม ก่อนหมอนในมือจะเหวี่ยงไปทางเจ้าของห้องที่ตอนรู้จักกันก็ดูนิ่งขรึม แต่ตอนนี้แม่งก็ไอ้พี่ชายวัยทำงานสันดานกากๆ เกรียนๆ คนหนึ่ง

    “ก็บอกว่าไม่อยากมีผัว!

    “นี่ยังไม่ได้พูดสักคำเลยนะว่าจะให้ไปเอากับเขาอ่ะ นี่พูดถึงแค่ว่าห้องเขาว่าง คิดไปไกลจริงๆ” ประโยคหลังทำหน้าพึมพำเหลือบมามองเหมือนแบมแบมเป็นเด็กที่ถูกแม่สั่งห้ามให้กินลูกอมแต่แอบขโมยมากิน

    “โว้ย! พี่จะเลิกพูดมากสักวินาทีได้ไหมเนี่ย”

    “นี่ๆ จำให้ได้หน่อยนี่ห้องใคร ป้ายหน้าห้องติดชื่อมาร์ค ต้วน ห้องคนไทยเลี้ยวขวาครับน้อง น้องคนไทยที่ชอบมายืนคุยโทรศัพท์ตรงระเบียงแล้วก็ลืมจ่ายค่าไฟ”

    “ไอ้เชี่ยพี่มาร์ค”

    “ก็ดีนะเรียกพี่แต่มีคำว่าเชี่ยนำนี่มันก็ออกจะเกินไป” หมอนในมือเจ้าของห้องถูกเหวี่ยงกลับมา แบมแบมหลบไม่ทันเลยโดนเต็มหน้า เม้มปากถอนหายใจก่อนจะบอกว่า

    “ผมคิดถูกหรือผิดวะที่มาขอค้างห้องพี่”

    “คิดถูกแล้วล่ะ” มาร์คเอื้อมมือไปตบไหล่ “แล้วจินยองอะไรนี่เป็นไงอ่ะ ทำไมถึงได้ไม่ชอบเขาขนาดนั้น” เจ้าของห้องยังถามต่อถึงแบมแบมจะไม่อยากพูดถึง แต่ไหนๆ อีกคนก็ให้ที่ซุกหัวนอน เลยจำต้องเล่า

    “เขาดีจนอึดอัดอ่ะ” แบมแบมพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็ถอนใจเบาๆ ฉีกขนมอีกถุงมาโยนเข้าปากพลางเริ่มเล่าและระบายความในใจไปด้วย

    “ถ้าเขามาจีบแบบน่ารำคาญก็คงด่าได้ง่ายๆ นี่เขาจีบผมด้วยวิธีพระเอกมากพี่ ผมก็ไม่ได้อยากเป็นนางเอกอ่ะ นี่ไม่รู้จะปฏิเสธยังไง คือเขาไม่ได้เข้าหาแล้วแสดงออกว่าจีบ เหมือนจะเข้ามาแบบพี่น้อง สักพักแม่งไม่ใช่แล้วป่ะวะ อยากเป็นแค่พี่ทำไมวันนี้ทำยังกับผมเป็นนางเอกซี่รี่ส์”

    เหวี่ยงหมอนลงบนตัก ตบหมอนเบาๆ แล้วเล่าเหตุการณ์ฝนตกจนต้องติดร่มจินยอง พอเล่าจบ เสียงหัวเราะสูงปรี๊ดของมาร์คก็ดังลั่นห้อง แบมแบมนึกอยากฆ่าตัวตาย เล่าให้มาร์คฟังแม่งเหมือนตอกย้ำความสาวน้อยของตัวเองเบาๆ จนน่าหงุดหงิด

    “เลิกเล่าแล้วแม่ง...นี่ผมว่าจะไปหาแฟนเป็นตัวเป็นตนหรือไม่ก็จ้างใครมาเป็นแฟนปลอมๆ แล้วล่ะ แต่ก่อนอื่นต้องโกหกไอ้ยองแจด้วย เกลียดแม่ง...ตัวเองอยากเป็นเมียพี่แจบอมแล้วเสือกมายัดเยียดให้ผมเป็นเมียพี่จินยองอีก” บ่นไปยัดขนมเข้าปากไป ยิ่งเครียดยิ่งต้องกิน ยิ่งเล่ายิ่งหงุดหงิด ต้องเคี้ยวให้ปากไม่ว่างจะได้หยุดพูด เพราะพอเริ่มแล้วหยุดยาก

    “แล้วใครเขาจะมายอมเป็นให้” มาร์คเอ่ยขึ้นแล้วเอื้อมมือมาล้วงเข้าไปในถุงขนมเพื่อหยิบเข้าปากบ้าง

    “ถ้าเกิดว่าหาผู้หญิง เขาก็ไม่เลิกตื๊อหรอกเชื่อเหอะ ต้องหาผู้ชายที่แมนๆ กว่า ดูดีกว่า เหนือกว่าทุกอย่างอ่ะ แบบนั้นพี่ว่าเขาถึงจะยอมแพ้ เพราะถ้าเลือกผู้หญิงเดี๋ยวจินยองก็คงคิดว่าหาทางชนะได้อยู่ดี”

    “เออว่ะ” แบมแบมเห็นด้วยกับคำพูดนั้น หันไปมองหน้ามาร์คเหมือนเจอทางสว่าง แต่จู่ๆ อีกคนก็ตบแผ่นอกตัวเองเบาๆ แบมแบมเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามเสียงห้วน

    “ทำไรอ่ะ? เลียนแบบคิงคองเหรอ?”

    “กวนตีน” มาร์คหยิบทิชชู่มาปาใส่หน้า แบมแบมหัวเราะก่อนจะเกือบขนมติดคอตอนได้ยินประโยคต่อมาของคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ

    “พี่ไง หล่อ มาจากเมกา มีงานทำ จะดาวน์รถเดือนหน้า เหนือไหม?”

    “ไอ้พี่มาร์ค!” แบมแบมเบิกตาโตที่จริงควรใช้คำว่า ตาเหลือก มากกว่า มองหน้าเจ้าจองห้องที่ตบอกตัวเองเหมือนคิงคองอีกรอบเหมือนนำเสนอตัวเองสุดๆ

    “เอาเหอะ ผมจะเก็บไว้ในพิจารณา”

    “สักวันเดี๋ยวก็ต้องมาอ้อนวอนขอพี่เป็นแฟนอ่ะเชื่อเหอะ”

    “พี่เหอะจะต้องมาอ้อนวอนผม!” หันไปเถียง แล้วมาร์คก็หัวเราะเสียงต่ำพึมพำกับตัวเองว่า

    “แม่งปากแข็ง...ไม่อยากเป็นเมียคนอื่นนอกจากพี่ก็บอก”

    “ไอ้เหี้ยพี่มาร์ค!

    เราทะเลาะกันเป็นเด็กอยู่ไม่นานก่อนจะสงบศึก มาร์คเปิดทีวี ส่วนแบมแบมนั่งตักเยลลี่สลับไปกับกินขนมที่เจ้าของห้องให้ เราทำตัวไร้สาระกันแบบนั้นจนเกือบเที่ยงคืน ขนมหมดไปนานแล้ว แบมแบมเองก็นั่งสัปหงกและวูบจะหลับไปหลายรอบ พอรู้ตัวอีกทีก็คือมาร์คมาสะกิดไหล่แล้วพึมพำว่า

    “เข้าไปนอนในห้อง”

    เขาลุกจากโซฟา ไปแปรงฟันให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในห้องนอน ตอนนั้นสะลึมสะลือแล้วก็มาตาสว่างตอนนึกได้ว่าไม่ใช่ห้องตัวเอง แถมมาร์คนั่งอยู่บนขอบเตียง มือพลิกหนังสือเล่มหนึ่งก่อนจะปิดลงแล้ววางลงยังโต๊ะข้างเตียง แบม

    แบมกวาดตามามองบนเตียง มีหมอนวางอยู่ 2 ใบ ไร้หมอนข้าง มาร์คชี้นิ้วไปยังที่นอนอีกฝั่งซึ่งแบมแบมก็คิดอยู่ว่ามันคือที่ซุกหัวของเขาคืนนี้แล้วเอ่ยสั้นๆ

    “นอนนั่นนะ เอาผ้าห่มไหม?”

    “ไม่เป็นไรอ่ะ คงไม่หนาวมาก” แบมแบมบอกอย่างเกรงใจ แล้วมาร์คก็พยักหน้ารับรู้

    ด้านนอกฝนยังตก แบมแบมได้ยินเสียงฝนอยู่เลย แต่ก็ตกหนักกว่าตอนพวกเราเดินจากสถานีมายังคอนโดนัก ช่วงหัวค่ำหลังจากแบมแบมจ่ายค่าไฟเรียบร้อยฝนก็เทอย่างฟ้ารั่วมาอีกรอบเหมือนจะบอกกลายๆ ว่าพรุ่งนี้เช้ากูก็ยังไม่หยุดตกให้หรอก

    แบมแบมปีนขึ้นไปบนเตียง เขาไม่กล้าบอกมาร์คว่าตัวเองติดหมอนข้าง ปกติเวลาอยู่ที่ห้องก็มักจะนอนกอดหมอนข้างแล้วหลับไป จะให้ไปเอาหมอนข้างซึ่งไม่มีปลอกหมอนจากที่ห้องมานอนกอดก็ยังไงอยู่ พอนอนลงปุ๊บก็รีบดึงผ้าห่มมาคลุมครึ่งตัว ไอ้ความรู้สึกตอนที่เตียงฝั่งหนึ่งมันยวบนี่ก็ชวนให้แบมแบมรู้สึกแปลกๆ ปกติเวลานอนคนเดียวที่ห้องด้วยเตียงไซส์เดียวกันเขากลิ้งได้รอบเลย แต่พอมีอีกคนนอนด้วยอีกฝั่งก็เลยเกร็ง

    “ปกติพี่ตื่นกี่โมงอ่ะ” แบมแบมหันไปถาม มาร์คกำลังนั่งตบหมอนให้เข้าที่เข้าทางพลางตอบว่า

    “หกโมงครึ่ง”

    “งั้นปลุกผมด้วยนะ”

    “มาขอค้างห้อง ค่าเช่าก็ไม่ได้ยังต้องมาเป็นนาฬิกาปลุกอีกเหรอวะ?” มาร์คดีดนิ้วลงบนหน้าผาก แบมแบมยกมือขึ้นลูบป้อยๆ แล้วเม้มปาก

    “พี่อยากได้ไรล่ะ? ก็ใจดีกับน้องบ้าง...เห็นแก่เด็กไทยตาดำๆ ที่มาเรียนไกลถึงนี่หน่อย”

    “คนเรียนเศรษฐศาสตร์นี่จ้องจะเอาของฟรีตลอดเลยป่ะ?” มาร์คทำท่าจะดีดนิ้วบนหน้าผากอีกรอบ แบมแบมยกมือขึ้นกุมหน้าไว้ก่อน

    “พอๆ ก็อยากได้ไรก็บอกมาสิ เออ...ห้องพี่ไม่มีหมอนข้างเหรอ?” แบมแบมถามหาของที่อยากได้ เจ้าของห้องเลยส่ายหน้ายืนยันว่ามันไม่มีของแบบนั้นจริงๆ แบมแบมถึงกับถอนใจเบาๆ

    “อะไร? ติดหมอนข้างเหรอ?”

    “อื้อ ผมต้องกอดอะไรตอนนอนอ่ะ ไม่งั้นนอนไม่หลับ แต่จะไปเอาหมอนข้างที่ห้องก็ไม่มีปลอกหมอนอยู่ดี” แบมแบมบ่นอุบ มาร์คนอนลงข้างๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า

    “พี่มีหมอนข้างให้ยืมนะเอาป่ะ? แต่มีข้อแลกเปลี่ยน”

    “จริงอ่ะ?” ตาโตตอนได้ยินข้อเสนอ กะพริบตาปริบๆ แล้วมองหน้าเจ้าของห้องด้วยความหวัง

    “แลกกับนี่นะ” ปลายนิ้วอีกคนยื่นมาแตะปาก แบมแบมขมวดคิ้วก่อนจะบอกว่า

    “เอาไร? ลิปมันที่ผมใช้เหรอ?” เฮ้ย...คือไม่ได้โง่ขนาดนั้น แต่ถามไปโง่ๆ งั้นแหละ อีพี่ข้างห้องนี่มันติดใจอะไรปากเขานักหนาวะ

    “หน้าก็โง่ล่ะสมองก็โง่อีกเหรอวะแบม”

    “พี่มาร์ค...อันนี้ด่าก็พอรู้นะไม่ได้โง่” แขวะกลับแล้วพลิกตัวมองหน้าอีกฝ่ายจะได้มองชัดเจน “พี่รึเปล่าวะที่เปลี่ยวเนี่ย แล้วมาว่าผม”

    “ฝันดี” มาร์คตัดบท แบมแบมหัวเราะในลำคอแล้วพลิกตัวดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย

    ไฟจากโคมไฟบนหัวเตียงดับลง ด้านนอกเสียงฝนยังกระหน่ำเป็นจังหวะขับกล่อม แต่แบมแบมกลับนอนไม่หลับ เขาลืมตาโพลงมองเพดานอันมืดมิด คนข้างๆ ผ่อนลมหายใจเข้าออกแผ่วเบาเหมือนเป็นสัญญาณว่าหลับไปแล้ว แบมแบมคิดว่าอีกเดี๋ยวก็คงหลับ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันเดี๋ยวก็หลับเองนั่นล่ะ

    20 นาทีแล้วกูก็ยังไม่หลับ

    พลิกตัวไปๆ มาๆ จะแปลกที่ก็ไม่ใช่ แบมแบมไม่มีปัญหาเรื่องสถานที่นอน คงเป็นเพราะหมอนข้างนั่นล่ะ เวลาไปนอนห้องยองแจเขาก็หลับได้ปกติเพราะห้องเพื่อนมีตุ๊กตาให้กอดแทนหมอนเยอะแยะ แบมแบมพลิกตัวนอนขด ก่อนจะเขยิบไปยังอีกฝั่งของเตียง รับรู้ถึงผิวกายจากแท่นแขนมาร์ค แล้วเขาก็...

    กูไม่ได้พิศวาสมึงแน่ๆ ไอ้พี่มาร์คแค่กูนอนไม่หลับ

    บอกตัวเอง(?) ก่อนจะสอดแขนไปกอดแขนข้างขวาของอีกคนเอาไว้หลวมๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทาง พอได้กอดอะไรในมือหน่อยเปลือกตาก็เริ่มหนักอึ้ง คงได้หลับซักทีหลังจากเหนื่อยมาเกือบทั้งวันจนค่อนคืน

    แต่...เหี้ยอะไรวะ!

    อะไรบางอย่างกดทับมาที่ปาก แบมแบมสะลึมสะลือทั้งง่วงทั้งงง ไม่รู้นี่ฝันหรือเรื่องจริง แต่พอมีอะไรบางอย่างขบเม้มริมฝีปากล่างแล้วความเปียกชื้นก็สอดเข้ามาในปลายลิ้น เขาก็เบิกตากว้างตื่นเต็มตา

    “ไง...ตื่นแล้วเหรอ?” มาร์คเอ่ยหน้าตาย ไม่ได้เปิดไฟแต่ก็ยังพอเห็นหน้าเลือนราง แบมแบมมองเจ้าของห้องที่ตอนนี้คร่อมเขาไว้ครึ่งหนึ่ง ขณะแขนอีกข้างแบมแบมกอดเอาไว้

    “อยากมากป่ะ?”

    “ไม่ได้อยาก...เขาเรียกว่ากำไรเล็กๆ น้อยๆ”

    “ไอ้ที่พี่ทำอยู่นี่เรียกเกินกำไรแล้วนะ”

    “เกินอะไร ปกติจะตาย ให้นอนฟรี กินขนมฟรี ชาร์จแบตฟรี เป็นหมอนข้างให้ฟรีด้วย แลกกับจูบเดียวเนี่ย” มาร์คเอ่ยหน้าตาย แบมแบมนึกอยากยันไอ้เจ้าของห้องลงจากเตียงนัก

    แต่รู้เลย...ถ้าไม่ได้กอดแขนอีกคนเขานอนไม่หลับแน่ๆ ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาก็บอกได้ดีว่าเขาติดหมอนข้างขนาดไหน พออีกฝ่ายเอ่ยร่ายยาวมาแบบนั้นก็ดันไปเห็นด้วยว่าเขาไม่ได้เสียเปรียบนักหรอก การโดนจูบมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่ ก็รู้สึกดี แบบเบาๆ หวิวๆ

    เชี่ยล่ะ...

    “ไง...งั้นไม่ต้องกอด เอาแขนออกไป” มาร์คเขย่าแขน แบมแบมส่ายหน้าก่อนจะกอดแขนแน่นขึ้นอีก สุดท้ายก็เอ่ยอู้อี้ว่า

    “จูบเดียวนะ”

    “ใช้ลิ้นนะ”

    “ไม่!” แบมแบมส่ายหน้าบอกเสียงสั้นห้วน ได้ยินเสียงมาร์คจิ๊ปาก

    “งั้นสามจูบ ไม่ใช้ลิ้น”

    “งั้นจูบเดียวใช้ลิ้น”

    ต่อรองเยอะนัก ไม่ยอมก็ไม่ได้ แบมแบมขมวดคิ้ว กำลังจะโวยอีกเลยว่าทำไมถึงต่อรองได้ แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรหรอก เงานั่นก็เคลื่อนตัวเข้ามาและโน้มหน้ามาหา แบมแบมกอดแขนพี่ข้างห้องแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะถูกบดจูบลงมาอย่างแผ่วเบา

    แบมแบมรู้ว่ามาร์คจูบเก่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เราจูบกันเมื่ออาทิตย์ก่อน และรู้สึกว่าตัวเองแม่งโคตรพลาดที่ยอมให้อีกคนใช้ลิ้นเพราะคนมากประสบการณ์กำลังแกล้งเขา

    ไม่รู้ว่าตอนไหนที่มาร์คพลิกตัวมาคร่อมแบมแบมเอาไว้ พี่ข้างห้องยังจูบทั้งริมฝีปากบน ริมฝีปากล่าง ปรนเปรอเขาด้วยการขบปากของเราจนแบมแบมซ่านเสียวไปทั้งตัว แต่ก็เหมือนจะแกล้งเพราะข้อตกลงจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่ออีกคนสอดลิ้น มาร์คเลยไม่ยอมสอดลิ้นเข้ามาซะที

    แต่พออีกคนสอดปลายลิ้นเข้ามา...แบมแบมก็แทบตาย...

    ปลายลิ้นสากนั่นกวาดเก็บความหวาน ทั้งดูด ทั้งรุกไล่ปลายลิ้นแบมแบมจนเขาไม่รู้จะหลบไปทางไหน เหมือนอีกฝ่ายไล่ต้อนเขาผ่านโพรงปาก แบมแบมไม่เคยเกิดอาการแบบนี้ เขารู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรง มือไม้อ่อนจนนอนแผ่หราไปบนเตียงและยินยอมให้อีกคนถอนจูบออกไปและประกบปากเข้ามาใหม่เป็นครั้งที่สอง

    นี่ก็ค้ากำไรเกินควร!

    แต่ไร้พลังจะต้านทาน แบมแบมได้แต่นอนครางแผ่ว ปลายนิ้วอีกฝ่ายรั้งรอแถวขอบกางเกง มาร์คแตะปลายลิ้นลากไล้ตามโครงหน้าจากปลายคางไล่สูงจนถึงใบหู พ่นลมหายใจร้อนๆ รินรด แบมแบมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนจนแผ่นหลังไม่ติดฟูก ก่อนจะเอื้อมมือมาจิกไหล่อีกคน

    “อ่ะ...พี่...”

    แต่จู่ๆ มาร์คก็ถอนริมฝีปากออกไป ร่างยังคร่อมแบมแบมแล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดปาก ก่อนจะนอนแผ่ลงข้างๆ ดึงมือแบมแบมให้มากอดแขนตัวเองไว้หลวมๆ เช่นเดิม

    เด็กหนุ่มนอนลืมตามองเพดาน หอบหายใจทั้งที่นอนเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง เผลอกัดริมฝีปากล่างแล้วพาลไม่กล้าหันไปมองคนข้างๆ มาร์คพลิกตัวแล้วเลื่อนหน้ามาจูบแก้มแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยพึมพำว่า

    “กอดแขนได้ทั้งคืนเลยนะ ฝันดี”

    แบมแบมเม้มปาก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยถามโดยไม่ได้หันไปมองคนข้างๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่เครื่องหมายคำถามตัวใหญ่เต็มหัว

    “อยากจูบผมนี่คิดไรกับผมป่ะ?”

    “หึ...” มาร์คส่งเสียงออกมาแค่นั้น ก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยถามกลับแทน “แล้วแบมแบมยอมให้พี่จูบนี่คิดไรกับพี่ป่ะ”

    “นอนเถอะ บาย...”

    แบมแบมลากเสียงยาว พลิกตัวนอนตะแคง ในเมื่ออีกคนยินยอมให้กอดตลอดคืน เขาก็จะไม่เกรงใจแล้วล่ะ แบมแบมเอาหน้าแนบกับท่อนแขนนั่น มันไม่นุ่มเหมือนหมอนข้างที่ชอบเอาหน้าเกยอย่างทุกวันหรอก แต่สัมผัสมันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่

    ไอ้จูบแบบใช้ลิ้นนี่...อันที่จริงก็ไม่ได้แย่เหมือนกันแหละ...

    .

    .

    แต่ไม่ได้อยากเป็นเมียใคร เคป่ะ!

     

     

     

     

     

     

    ไหนใครทอล์คท้ายตอนที่แล้วนะคะว่านานๆจะมาอัพที ............. //ขอโทษค่ะ

    พอดีเมื่อวานแต่ง #มาร์คแบมโซเชียล เสร็จก็เลยแต่งเรื่องนี้ต่อไปได้ครึ่งหนึ่ง

    พอวันนี้เปิดไฟล์มาแต่งก็อ้าว...เสร็จเฉยเลย 5555555555555555 ทุกคนจงดีใจในความบ้านี้

    ตอนนี้พอแต่งจบแล้วรู้สึกว่าเออ...เราให้แบมแบมพูดหยาบไปป่าว แต่ก็ไม่หรอกเนาะ 5555

    คือถ้าเยอะกว่านี้เว็บคงแบนเราเองในไม่ช้า เอาไว้ค่อยว่ากันใหม่ถ้ามันโดนอ่ะ TwT

     

    ตอนที่แล้วให้เห็นมุมพี่มาร์ค ตอนนี้ก็เลยให้เห็นมุมน้องแบมกันบ้างค่ะ จะได้แฟร์ๆ XD

    อันที่จริงคาแรกเตอร์สองคนในเรื่องนี้พอกันอ่ะค่ะ 5555

    ใครที่ชอบช่วยคอมเม้นต์ให้กำลังใจไรเตอร์ตาดำๆ คนนี้หรือจะติดแท็ก #ficmbinbed ก็ได้นะคะ

     

    ตอนหน้า...ไม่เร็วล่ะนะ ไม่อัพถี่ล่ะนะ เห็นลงฟิคนี่ตีข้อมือไล่ไปอ่านหนังสือหน่อยนะคะ 55555

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×