คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Special I : The Crowns [80%]
“เอลซ่า ทำไมพี่ไม่ใส่ชุดน้ำแข็งชุดนั้นอีกล่ะ? ชุดนั้นแค่ดีดนิ้วก็เรียบร้อยแล้วนี่นา”
อันนาถามเสียงใสหลังจากโผล่เข้ามาในห้องและนั่งลงไม่ถึงห้านาที เพราะเป็นเรื่องออกจะเข้าใจไม่ได้สำหรับเธอที่ถูกปลุกเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้วและแต่งตัวผมจรดเท้าเสร็จเรียบร้อย เทียบกับพี่สาวที่ดูจากสีหน้ามึนๆสะท้อนในกระจกคงตื่นก่อนเธอโขอยู่ และนี่ยังทำผมไม่เสร็จด้วยซ้ำ
คงเป็นเรื่องปกติที่ราชินีต้องแต่งตัวนาน แต่เจ้าหญิงไม่จำเป็น? อาจจะเพราะตื่นสายกินเวลาบ่อยๆเลยทำให้เธอแต่งตัวได้เพอร์เฟ็กต์ระดับเท่าช่างสามคนด้วยความไวแสง ทุกวันนี้ไคเลยเลือกจะปล่อยให้เธอนอนๆไปบ้าง น่าสงสารเอลซ่าผู้ตื่นเช้าเป็นกิจวัตร...
“...แล้วบางประเทศก็ยังกลัวพลังของพี่อยู่ พวกที่ปรึกษาเลยแนะนำว่าให้ใส่ชุดพิธีการปกติน่าจะดีกว่า”
แล้ว? อันนากระพริบตา “ขอโทษที ย้อนไปก่อนหน้านี้นิดนึง” เพราะจมอยู่กับความคิดนานเกินไปเลยเพิ่งรู้ตัวว่าพี่สาวกำลังตอบคำถามของตัวเอง กว่าเสียงจะแปลเป็นความหมายได้ก็มาถึงท้ายประโยคแล้ว
“บางประเทศยังกลัวพลังของพี่อยู่?”
“อีกนิด”
“มีเจ้าชายมาดูตัวพี่เยอะแยะ ควรจะแต่งตัวให้เรียบร้อยหน่อย?”
“เดี๋ยวนะ!?”
ดูตัว? ดูตัว!? ดูตัว!!?
เอลซ่ายิ้มขำๆเมื่อเห็นปฏิกิริยาของน้องสาวที่อ้าปากค้างในท่าเดิมเกือบนาทีก่อนพูดซ้ำ “ดูตัว”
“แต่...แต่ไม่ใช่ว่ามันเป็นงานเลี้ยงครบรอบพิธีครองราชย์เฉยๆเหรอ??”
“ไม่มีงานเลี้ยงอะไรเป็นแค่งานเลี้ยงเฉยๆหรอกอันนา” เอลซ่าพูดอย่างเอ็นดู ตลอดชีวิตกับบทเรียนการเมืองการปกครองทำให้เธอเข้าใจเรื่องนี้ได้ชัดกว่าใคร ถึงจะไม่มีใครพูด แต่เมื่อเวลามาถึงบวกกับรายชื่อตัวแทนแต่ละประเทศที่ทางสภาสรุปให้ก็รู้ชัดเหมือนเขียนป้ายบอก
เห็นอีกฝ่ายพูดเรื่องนี้ออกมาง่ายๆยิ่งทำให้เรื่องนี้ดูเป็นเรื่องช็อกยิ่งกว่าเดิม สำหรับเธอเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว แต่งงานกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันคือรักแท้แรกพบที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ตอนนี้...
ฉันยังไม่อยากเสียพี่สาวที่เพิ่งได้คืนมาแค่หนึ่งปีพอดิบพอดีให้ผู้ชายแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้
เสียงเล็กๆในหัวให้ความรู้สึกน่ากลัวจนพูดไม่ออก พอต้นเสียงในห้องหยุดพูด ห้องแต่งตัวก็กลับสู่ความเงียบเหมือนก่อนที่เธอจะมา เอลซ่ามองกระจกเห็นเงาสะท้อนหัวสีแดงๆตกไปเงียบๆ จึงรอจนผมสีบลอนด์แพลททินัมของตัวเองถูกเกล้าขึ้นเป็นทรงเรียบร้อยแล้วค่อยยิ้มน้อยๆให้ช่างเป็นเชิงขอความเป็นส่วนตัวก่อนลุกขึ้นเดินไปหาอันนาที่เหมือนเพิ่งออกจากภวังค์
“เอลซ่า พี่จะแต่งงานกับผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่ได้นะ” ประโยคคุ้นๆกับน้ำเสียงหงอยๆที่ย้อนกลับมาหาตัวเองทำให้คนเป็นพี่หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ มือซ้ายเอื้อมไปลูบผมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ถ้ามันเป็นรักแท้ล่ะ?”
อันนาสะอึกเล็กๆเมื่อโดนประโยคตัวเองย้อนบ้าง แต่น้ำเสียงหยอกเล่นของเอลซ่าทำให้คำพูดหลุดจากปากก่อนจะทันคิด“รักแท้ของพี่เป็นของฉัน”
เกิดความเงียบขึ้นในห้องเมื่อทั้งสองคนต่างพูดไม่ออกกับความจริงที่ว่า อันนามองแก้มของเอลซ่ากลายเป็นสีชมพู รู้สึกร้อนๆที่หน้าไม่แพ้กัน แต่ไม่ถึงอึดใจเอลซ่าก็ยิ้ม ดึงคนเป็นน้องสาวเข้ามากอด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว... จริงมั้ย?”
เพราะเป็นงานครบรอบไม่ใช่งานขึ้นครองราชย์ พิธีในโบสถ์จึงสั้นกว่าปีที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในความรู้สึกของเอลซ่าที่ตอนนี้ไม่ต้องทะเลาะกับพระสังฆราชเรื่องถุงมือหรือกลัวจะแช่แข็งอะไรอีก พิธีรอบนี้จึงผ่านไปอย่างสวยงามมาก ฝั่งอันนาที่แม้จะมองพี่สาวยังไม่เบื่อแต่ก็แอบสังเกตแขกที่เข้ามาร่วมพิธีในโบสถ์และเห็นว่าต่างกับปีที่แล้วจริงๆ -- กว่าครึ่งเป็นเจ้าชายหนุ่มอายุใกล้เคียงกับตัวเองหรือเอลซ่าที่แต่งหล่อมาเต็มที่หวังดึงความสนใจแรกจนน่าสงสัยว่าจะคงสภาพถึงงานเลี้ยงตอนเย็นได้ยังไง และดูท่าจะเป็นความพยายามสูญเปล่าเพราะเอลซ่าเอาแต่ส่งทั้งสายตาทั้งรอยยิ้มให้ประชาชนที่เบียดกันอยู่ตรงพื้นที่ว่างข้างหลังมากกว่าพวกเจ้าชายหรือราชฑูตที่นั่งแถวหน้าและได้แค่ยิ้มตามมมายาทไปแวบนึง
จบพิธีก็เป็นเวลาเริ่มงานฉลองที่เหมือนจะได้ยินเสียงพลุไกลๆทั้งที่เป็นเวลากลางวัน เสียงดนตรีและเสียงร้องเพลงแว่วมาตลอดทาง เมืองถูกประดับประดาอย่างสวยงามโดยไม่ต้องพึ่งทางราชสำนัก ทุกๆบ้านประดับธงตราเอเรนเดลล์และราชินี ทุกที่ในเมืองมีแต่บรรยากาศแห่งความสนุกสนาน ผู้คนยิ้มอย่างมีความสุขให้ราชินีของพวกเขา และเอลซ่า ที่แม้จะยิ้มเขินๆให้แต่แววตาเปี่ยมไปด้วยความสุขกับความรักของพสกนิกร
ช่วงบ่ายของวันทั้งสองคนแทบจะถูกรุมด้วยประชาชนที่อยากพบราชินีและเจ้าหญิง แรกๆเอลซ่าก็ยังไม่ค่อยชินกับความรักเปี่ยมล้นที่ล้อมรอบเท่าไหร่ เพิ่งรู้ตัวว่าตลอดหนึ่งปีมานี้แทบจะไม่ได้ออกจากปราสาทมาเดินในเมืองเลย ตรงข้ามกับอันนาที่เป็นที่รู้จักคุ้นเคยกับชาวบ้านโดยเฉพาะกับเด็กๆ เด็กหลายคนเอาดอกไม้มาให้ ตอนแรกก็ยังกลัวราชินีที่ไม่ค่อยเจอหน้า แต่พอเห็นสีหน้าที่เขินไม่แพ้กันก็คงรู้สึกสบายใจขึ้น บวกกับความช่วยเหลือของอันนา เด็กผู้หญิงคนแรกก็ส่งดอกไม้ให้เอลซ่าสำเร็จ พอมีคนแรกก็ตามด้วยคนที่สอง คนที่สามสี่ห้า จนสุดท้ายในมือของทั้งสองคนก็มีดอกไม้ช่อใหญ่พร้อมกับมงกุฎดอกไม้สีขาวบนศีรษะ เสียงพูดคุย เสียงหัวเราะและเสียงดนตรีดังไปทั่วเอเรนเดลล์ มีการเต้นรำ ร่วมด้วยเจ้าหญิงและสโนว์แมนขาสั้นที่เพิ่งตามมาจากปราสาท แม้แต่ราชินีที่ไม่เต้นก็ยกชายกระโปรงร่วมฟลอร์แรกในชีวิตใต้ท้องฟ้าสีคราม
แต่เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปไวเสมอ ระฆังประจำเมืองตีสี่ครั้งบอกเวลาที่ทั้งสองต้องกลับไปเตรียมตัวสำหรับงานเลี้ยงตอนเย็น เอลซ่ากล่าวขอบคุณพวกผู้ใหญ่ ในมือถือดอกไม้ที่ได้รับเต็มอ้อมแขน อันนากับโอลาฟบอกลาเด็กๆที่ดูอิดออด สัญญาว่าจะพาเอลซ่าจากห้องมาในเมืองบ่อยๆ แล้วทั้งสามก็ขึ้นรถม้าที่ถูกส่งมาตรงเวลาพอดีกลับปราสาท
ตลอดทางกลับมีแต่เสียงฮัมเพลงจากโอลาฟ ส่วนเอลซ่าที่แทบไม่ได้ขยับขนาดนี้บ่อยๆก็หลับทันทีที่ขึ้นรถ ใช้ไหล่ของน้องสาวข้างๆเป็นหมอน แม้ตาจะปิดแต่รอยยิ้มยังคงประดับบนใบหน้าให้คนมองอดยิ้มตามไม่ได้ แต่พอคิดถึงงานเลี้ยงซ่อนความหมายที่จะมาถึงก็แอบขมวดคิ้ว กังวลหน่อยๆเมื่อนึกถึงเจ้าชายมากหน้าหลายตาเมื่อเช้าที่อาจจะมีซักคนที่จับใจพี่สาวอยู่ก็ได้ พอถึงปราสาท อันนาส่งขนมที่ชาวบ้านให้ให้เกอร์ด้าเอาไปเก็บแล้วเดินขึ้นห้องพร้อมกับเอลซ่าที่ตื่นพอดีเมื่อรถหยุดก่อนแยกย้ายกันไปแต่งตัว ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรเมื่อคนนึงยังเพิ่งตื่น ส่วนอีกคนก็ใจลอยไปอีกสองชั่วโมงข้างหน้า ในสมองเต็มไปด้วยความเป็นไปได้สารพัดของงานเลี้ยง
สองชั่วโมงนิดๆหลังถึงปราสาทจึงเป็นเวลาเริ่มงาน พอได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่ออันนาก็ก้าวออกไปนอกม่าน แม้รอบนี้จะเตรียมตัวมาพร้อมตรงเวลา แต่รอยยิ้มสวยๆจากพี่สาวก็แทบทำสะดุดพื้นราบ ภาพในสายตาเบลอและพิธีเปิดเหมือนถูกคนรวมกันจนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนที่ทุกคนหันไปสนใจกับงาน รอบนี้เธอจึงชิงพูดคำพูดที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นตั้งแต่แวบแรกที่เห็นอีกฝ่าย
“เอลซ่า พี่สวยมาก” แววตาสีฟ้าน้ำทะเลซึ่งมีแต่ความชื่นชมมองตาร่างบางที่ดูเปล่งประกายอย่างที่ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรย “สวยมาก สวยกว่าปีที่แล้วอีก...ไม่ได้หมายความว่าปีที่แล้วไม่สวยนะ ชุดครองราชย์พี่ก็สวยมาก เจอกันครั้งแรกยังไม่ได้เตรียมใจเลยว่าพี่จะกลายเป็นราชินี...คือรู้ว่าต้องเป็นราชินี แต่แบบราชินีที่สวยขนาดนั้น ชุดน้ำแข็งก็สวยอีกแบบ อีกแบบที่ดีมากๆๆ จริงๆอยากให้ใส่บ่อยกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาพวกนั้...”
ท้ายประโยคหยุดกลางคันเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะใสๆจากข้างๆ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดนอกเรื่องอีกแล้ว ใบหน้าที่มีกระจางๆเริ่มขึ้นสีให้ราชินีต้องกลั้นหัวเราะเพิ่มกับความน่ารักของน้องสาว
“ขอบคุณ” เอลซ่าปาดน้ำตาจากการหัวเราะ แก้มเป็นสีชมพูอ่อนที่ดูจะไม่ได้มาจากการแต่งหน้า “น้องก็สวยมากนะอันนา ทั้งวันนี้...” น้ำเสียงทอดช้าอ้อยอิ่งลงตรงท้ายประโยคก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสที่หน้าผากเบาๆ “...และตลอดมา” เอลซ่าผละออกพร้อมรอยยิ้ม ทิ้งให้น้องสาวหน้าแดงจนเกือบเท่าสีผม ก่อนจะหรี่ลงนิดหน่อยเมื่อเห็นใครบางคนที่มุมห้อง
“...พูดถึงแล้ว น้องไปอยู่กับคริสตอฟด้วยก็ดีนะ นี่ก็เป็นวันแรกที่พบเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
พูดตรงๆว่าไม่ได้คิดถึงประเด็นนั้นเลย... อันนายิ้มแหยๆ สีหน้าจางลงเล็กน้อย “แล้วพี่ล่ะเอลซ่า?”
“พี่ต้องอยู่ต้อนรับราชฑูต ถ้าน้องอยู่ด้วยก็จะเบื่อเปล่าๆ”
“แต่...”
“ไปหาคริสตอฟเถอะ” ประโยคสุดท้ายที่น้ำเสียงแฝงคำสั่งแบบพี่สาว อันนาอ้าปากจะค้านแต่นึกไม่ออกจึงหันหลังอย่างจำใจ คิดซะว่าไปทักทายเพื่อนก็ยังดี แต่ห่างไปทันไร เสียงทุ้มๆของไคก็ดังขึ้นจนเจ้าหญิงหันกลับแทบไม่ทัน
“ขออนุญาตแนะนำ เจ้าชายรีฟ ออฟเลเบนวาลด์”
เจ้าชายรีฟ ออฟเลเบ้นวาลด์ตรงหน้าเอลซ่าคือชายหนุ่มรูปหล่อที่ออร่าเจ้าชายฉายแสงแบบไม่ต้องนะนำตัว ผมสีน้ำตาลเข้ม ผิวขาว สูงโปร่งแข็งแรงพร้อมด้วยใบหน้าหล่อเหลามีมารยาทครบคุณสมบัติ
เจ้าชายรูปหล่อผู้เพียบพร้อม เหมือนเห็นภาพซ้อน อันนากำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
เจ้าชายรีฟยิ้มน้อยๆก่อนก้มลงจุมพิตที่มือของเอลซ่าเป็นการทักทาย “เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบ”
“หม่อมฉันเองก็เช่นกัน ขอขอบคุณเจ้าชายที่สละเวลาเดินทางร่วมเฉลิมฉลอง หวังว่าเอเรนเดลล์จะมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับท่าน”
“เอเรนเดลล์เป็นอาณาจักรที่สวยงามมาก โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างตอนนี้” เจ้าชายว่า “แต่คงจะเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สุดแก่หม่อมฉัน หากองค์ราชินีจะทรงให้เกียรติเต้นรำ...”
แม้จากระยะห่างเท่านั้นแต่อันนาก็ได้ยินทุกคำของเจ้าชายชัดเจน แม้จะยืนนิ่งมองเหตุการณ์ที่เหมือนหลุดมาจากเทพนิยาย แต่พอคำว่า‘เต้นรำ’หลุดจากริมฝีปากฝ่ายนั้น สติของคนเป็นน้องสาวก็ขาดผึง และก่อนจะทันรู้ตัว แขนอีกข้างของเอลซ่าก็ถูกแขนสองข้างรัดอย่างแนบแน่น
หนึ่งอึดใจที่เหมือนทุกคนจะทำอะไรไม่ถูก คนต้นเรื่องเป็นคนรู้สึกตัวคนแรกรีบปล่อยมือพี่สาว รอยยิ้มแห้งๆวาดบนหน้าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำไปแบบไม่รู้ตัวเมื่อครู่ เพื่อแก้สถานการณ์อันนาเลยถอนสายบัวแนะนำตัวกับเจ้าชายรีฟที่เหมือนเพิ่งตั้งสติ
“สายัณห์สวัสดิ์เจ้าชายรีฟ” อันนาพูดแบบตะกุกตะกัก “เจ้าหญิงอันนาออฟเอเรนเดลล์ ยินดีที่ได้พบ”
“หม่อมฉันก็เช่นกัน” เจ้าชายรีฟโค้งอย่างสง่างามตอบกลับ
อันนาสูดหายใจ “ขอบคุณ แต่ว่า แต่ว่า...” ตอบกลับอย่างเร็ว สมองพยายามเค้นหาข้อแก้ตัวที่จะดึงเอลซ่าไปจากปรินซ์ชาร์มมิ่งตรงหน้า มือจับมือของพี่สาวที่ปล่อยไปแล้วโดยไม่รู้ตัว “เรากับเอลซ่...ราชินีเอลซ่านัดกันว่าจะเต้นเปิดฟลอร์ เพราะอย่างนั้น...”
“ต้องขออภัยเจ้าชายรีฟที่ไม่ได้บอกก่อน” เสียงนุ่มนวลแทรกขึ้นมาเห็นคนก่อเรื่องยังไม่มีทางไป “แต่เจ้าหญิงอันนาเคยขอไว้นานแล้วว่าอยากเต้นรำด้วยกันกับหม่อมฉัน” เสียงหวานข้างๆพูดไหลเรื่อยอย่างคนที่คุ้นเคยกับสถานการณ์มากกว่า
“กระหม่อมเข้าใจ” เจ้าชายยิ้มน้อยๆอย่างมีมารยาท “แต่หากฝ่าบาทจะยังทรงให้เกียรติหม่อมฉันในเพลงอื่น...”
“แน่นอนเพคะเจ้าชาย”
พอจบบทสนทนาได้อันนาแทบจะกรี๊ดแล้วลากเอลซ่าไปที่ฟลอร์ที่เริ่มมีคู่ชายหญิงมารวมตัวรอให้ห่างจากเจ้าชายเร็วที่สุดและมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใจนึงก็ขอบคุณเอลซ่าที่ยอมตามน้ำมาด้วย แต่อีกใจก็ขัดใจนิดๆที่สุดท้ายก็รับปากไปรับเต้นรำเพลงอื่นอยู่ดี
ฝ่ายเอลซ่าที่ยังไม่พูดเพราะขำกับท่าทีของน้องสาว ที่ถึงพอจะเห็นระดับความหวงมาแล้วแต่ก็คิดไม่ถึงว่ากล้าขัดเข้ามาขนาดนั้น ตลอดทางยังไม่มีใครพูดอะไรนักเมื่อต้องรีบไปให้ทันวงดนตรีที่ตั้งท่าจะบรรเลงเพลงแรก
พอฝ่าแขกเหรื่อรวมทั้งสายตาไปถึงฟลอร์สำเร็จอันนาจึงหมุนตัวกลับไปหาเอลซ่าที่เดินตามหลังมาอย่างว่าง่าย รอยยิ้มใสกลับมาวาดบนหน้าเมื่อเจ้าตัวดึงมือบางของอีกฝ่ายขึ้นมาสัมผัสริมฝีปากเบาๆ ดัดเสียงทุ้มล้อเลียนใครบางคน
“ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติเต้นรำเพลงนี้กับหม่อมฉันได้หรือไม่”
เอลซ่าหัวเราะคิก ก่อนถอนสายบัวอย่างสวยงาม “เป็นเกียรติของหม่อมฉัน”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ดนตรีเริ่ม คู่รอบๆเริ่มก้าวไปตามจังหวะเพลงช้าที่ถูกบรรเลง สองพี่น้องมองตากันพร้อมรอยยิ้มในตา ก่อนจะ...
“อ๊ะ เอลซ่า พี่ทำอะไร?” อันนาร้องแบบไม่เบาเมื่อพี่สาวก้าวเท้าข้างเดียวกันมาข้างหน้าจนเกือบจะเหยียบกัน
“ทำอะไร?”
อันนากลอกตาเล็กๆเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของจริงของพี่สาวก่อนจะดึงมือที่อยู่ที่เอวขึ้นไปจับบ่าตัวเอง เอลซ่าหายงงกับความหมายแต่ก็ดึงมือกลับทันที
“น้องนั่นแหละทำอะไร” เอลซ่าว่า ทั้งคู่หยุดก้าวชั่วคราว เรียกสายตาคนรอบๆให้เริ่มหันมามอง “พี่นำสิ”
“ไม่ ก็พี่เคยบอกว่า‘ไม่เต้น’”
“แต่ตอนนี้ก็เต้นอยู่ไง”
“ชั้นเป็นคนขอ”
“แต่พี่สูงกว่านะ”
“แน่ใจ?” ประโยคสุดท้ายอันนายิ้มเยาะๆแบบผู้ชนะก่อนก้าวเข้ามาชิดเต็มความสูงให้คนเป็นพี่สาวเบิกตากว้างเมื่อดวงตาสีเทอควอยซ์ที่เคยเงยขึ้นมองต้องก้มลงหน่อยๆเพื่อสบตา เอลซ่าหลบตาอย่างจนคำพูด มือบางเลื่อนจากเอวขึ้นไปที่ไหล่อีกฝ่ายช้าๆ
พอตกลงฝ่ายกันได้ การเต้นก็ไม่เป็นปัญหา ทั้งคู่เต้นอย่างสวยงามสมกับบทเรียนตลอดครึ่งชีวิต เข้าจังหวะทันเหมือนไม่เคยหยุดยืนเถียงกันมาก่อน แต่เอลซ่ายังคบหลบตาเล็กๆ ทิ้งสายตาสีน้ำเงินอ่อนมองพื้น ผ่านไปซักพักถึงยอมเปิดปากพูด
“...สูงขึ้น ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เสียงกระซิบเบาๆดังจากพี่สาวที่ยังไม่ยอมมองหน้าเรียกรอยยิ้มบนริมฝีปาก
“เด็กอายุสิบเก้ายังโตได้อีกเยอะ” คนเป็นน้องลากเสียง ขยิบตาก่อนจะแอบดึงชายกระโปรงที่ยาวระพื้นของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรองเท้าส้นสูงกว่าปกติ “...และตัวช่วยเล็กน้อย”
เอลซ่าเห็นก็เบ้ปากใส่ แต่ก่อนจะพูดอะไรต่อก็ได้ยินอันนาพึมพำซะก่อน
“ยังไงๆ เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปเต้นกับเจ้าชายรัฟอยู่ดี ซ้อมก่อนซักเพลงคงไม่เป็นไร” แม้ประโยคจะเบาหวิวจนแทบโดนเสียงเพลงกลบ แต่ระยะห่างที่น้อยจนหายใจรดกันทำให้ได้ยินชัดเจน เอลซ่าคลี่ยิ้มเมื่อเห็นโอกาสเอาคืน
“...น้องพูดถูก ต่อไปคงต้องเต้นอีกหลายเพลง เห็นว่าเจ้าชายรีฟออกงานสังคมบ่อย ชอบเต้นรำ”
ประโยคเรียบๆพร้อมรอยยิ้มบนหน้าเรียกสายตาสีเขียวให้จ้องกลับมาแบบไม่อยากเชื่อ และตามมาด้วยไม่พอใจ ก่อนที่มือที่วางที่เอวจะโอบเข้ามาให้ใกล้ขึ้น
“เอลซ่า พี่...”
“ล้อเล่น” เอลซ่าหัวเราะ รีบพูดก่อนมือของอีกฝ่ายจะบีบเอวตัวเองหัก “เจ้าชายรีฟ ไม่ได้ชอบออกงาน เขาเงียบมากในบรรดาโอรสสามคนของไกเซอร์”
อันนาเบ้ปาก ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่กับข้อมูลจากปากพี่สาว “รู้ละเอียดนะ”
“เขาเป็นตัวเต็งที่สภาสนับสนุนให้มาเป็นพระคู่หมั้นสูงสุดตอนนี้...”
“โอ้ว...”
นึกๆดูก็คงจะเป็นอย่างนั้น เอเรนเดลล์กับเลเบ้นวาลด์ก็มีสัมพันธ์ดีๆมานาน แล้วทางนู้นก็มีอีกสองคนไว้ดูแล ส่งเจ้าชายมาเป็นเส้นสายซักคนก็ไม่มีปัญหา ออกจะวินวิน รีฟก็หล่อมากแม้แต่ในบรรดาเจ้าชายในห้องนี้ก็เหอะ
เจ้าชายรูปงามกับราชินีแสนสวย ออกจะเหมาะสม...
อันนาคิดเงียบๆจนแปลกใจกับตัวเอง “แล้วพี่คิดว่าเขาเป็นไงบ้าง?”
“โปรไฟล์ดี มารยาทดี หล่อดี” เอลซ่าพูดเรื่อยๆเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก่อนจะพูดต่อเชิงกระเซ้า “แต่ยังไม่รู้จักนิสัย เพราะใครบางคนมาขัดซะก่อน”
จะขัดให้ครบทุกคนเลย อันนาฉีกยิ้ม เป็นจังหวะเดียวกับที่ต้องดิปครั้งสุดท้าย เอลซ่าที่เป็นฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองเลยเจอกับรอยยิ้มในมุมสยองที่สุดของคนตรงข้ามที่คลี่โดยไม่รู้ตัว
“...อย่ายิ้มแบบนั้นสิ” คนเป็นพี่สาวว่าหลังจากกลับมายืนตัวตรงถอนสายบัวปิดเพลง
“ยิ้มแบบไหน?”
“แบบที่เหมือนจะพังงาน...”
“หืม?” เพราะเสียงปรบมือรอบๆที่ดังกว่าเสียงเพลงมากทำให้อันนาไม่ได้ยินเสียงเสียงตอบพึมพำของพี่สาว
“ไม่มีอะไร แค่ยิ้มแปลกๆ” เอลซ่าเลี่ยงเพราะไม่อยากเถียงกันกลางฟลอร์อีกรอบ สายตามองไปรอบๆที่ถึงจะจบเพลงจนเสียงปรบมือเริ่มซาแล้วก็ยังไม่มีใครขยับออกจากฟลอร์ หลายคู่สบตากัน บางคู่จุมพิต ราชินีแห่งเอเรนเดลล์ยิ้มน้อยๆกับความคิดของตัวเอง มือบางจับต้นแขนอีกฝ่ายแล้วดึงเข้ามาใกล้จนตัวแทบจะชิดกัน
“ยังไงก็ตาม...ดีใจที่ได้เต้นด้วยกันนะ” กระซิบเสียงหวาน ก่อนจะโน้มใบหน้าสวยมาจูบเบาๆที่จมูก นัยน์ตาสีน้ำเงินอ่อนมีประกายบางอย่างที่อันนาไม่เคยเห็นผ่านมาแวบหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตาลง
“ไปหาคริสตอฟฟ์ได้แล้ว”
A/N: เราขอโทษ เราเป็นคนตกเลข ไม่ต้องแปลกใจถ้า20%ที่งอกมาวันนี้ยาวเกือบเท่า60%ที่ลงไว้55555
ขอโทษที่หายไปนาน แล้วก็ขอโทษที่ลงไม่จบ100% เรานึกเพลินพิมเพลินมากจนยาวกว่าความตั้งใจไปเยอะ แต่ไม่อยากได้ชื่อว่าทิ้งข้ามปีเลยตัดมาลงก่อน555 แล้วก็ขอโทษเรื่องราชาศัพท์ถ้ามันแปลกๆด้วย ยากมากเลย น้อยไปไม่ได้เยอะไปก็เว่อ แทบจะต้องเปิดชีทแต่ง ปกติพี่น้องคุยกันเองเขาไม่ต้องใช้อ้าา
และจริงๆตอนนี้Specialเนื่องในโอกาส 1st Anniversary Frozen (ซึ่งได้ข่าวว่ามันวันที่27/11 55555) แพลนเรามันก็เละเพราะความemotioalของม.6กับความแค้นของอาจารย์ ชีวิตเลยเป็นแบบ //สอบเสร็จ//อ้าววันครบรอบ//ตามงานตามสอบ// ไม่เป็นไร วันเกิดเอลซ่าละกัน//สอบมิด// คริสต์มาสได้มั้ย//ประกาศแกทแพท//... ประมาณนี้ เอาเป็นว่าขอโทษที่ยิงยาวขนาดนี้นะรีดที่น่ารัก ._.
สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่อ่านถึงตอนนี้ อดทนกับความพูดมากและความเลทของเรา5555 เช่นเคย ขอบคุณทุกวิวเม้นเฟบแชร์ Happy 1st Frozen Anniversary, Long May You Reign Queen Elsa, Merry Christmas(ทั้งหมดนี้คือย้อนหลัง555) และ Happy New Year 2015 ล่วงหน้านะ :)
ความคิดเห็น