คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter III : Beautiful Blue
คนผมแดงขยับตัวเมื่อรู้สึกถึงความหนาวภายในห้องที่ทะลุผ่านผ้าห่มเข้ามาสัมผัสผิว ทำให้สองแขนควานหาคนข้างๆโดยอัตโนมัติ แม้ว่าคนข้างๆที่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดความเย็นก็ตาม... พอมือเจอพี่สาวที่อยู่ห่างไปไม่มากก็ดึงมากอดทันทีโดยไม่สนใจจะลืมตา วางแขนสองข้างพาดเอวบางไว้แบบไม่ให้หนี
เอวบาง...เกินไปรึเปล่า? นอกจากเรื่องนอนแล้วสงสัยต้องพาไปกินข้าวด้วยมั้งเนี่ย...?
นั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่เข้ามาในหัวก่อนที่สัมผัสน่าพอใจจะดึงให้กลับสู่ห้วงนิทราอีกรอบ
.
.
แสงอาทิตย์อ่อนๆส่องเข้าในห้องแล้ว แต่ดูจะไม่มีผลอะไรกับอุณหภูมิในห้องของราชินีหิมะซักนิด ออกจะหนาวขึ้นด้วยซ้ำ
อันนาเริ่มขยับเมื่อรู้สึกถึงความว่างเปล่าข้างตัว แต่สติรับรู้ที่ค่อยๆตื่นตามธรรมชาติถูกบังคับให้เปิดเต็มที่เมื่อรู้สึกถึงแรงกดบนหน้าอกกับสัมผัสเย็นเฉียบบางอย่างที่ต้นคอ
สัมผัสเย็น แข็ง เรียบลื่น...
ความรู้สึกที่คุ้นเคยจนน่ากลัว บวกกับอุณหภูมิที่ดูจะลดไปจากเมื่อคืนอีกหลายองศาทำให้สมองเริ่มกังวลไปร้อยแปดกับพลังของเอลซ่าที่อาจออกมาอาละวาดแค่เพราะพี่สาวที่รักฝันร้าย แต่เพราะเพิ่งตื่นทำให้ไม่มีแรงขยับมากนัก พอลืมตาก็มีผมยุ่งๆของตัวเองบังไว้จนมองไม่เห็นทันทีอีก อะไรๆก็ดูไม่เป็นใจไปซะหมดตอนนี้ อันนารีบปัดผมออกอย่างร้อนรน แต่การขยับของเธอทำให้แรงกดที่หน้าอกเพิ่มลงมาอีกพร้อมๆกับปลายแหลมเย็นเยียบที่คืบเข้ามา...
“อย่าขยับมากไปกว่านี้นะ!”
ในที่สุดฝ่ายที่กดเธอไว้ก็ออกเสียงสั่งขึ้น ตัดผ่านความคิดฟุ้งซ่าน
เสียงที่สั่ง...เป็นเสียงที่เหมือนจะคุ้นแต่ก็ไม่คุ้นซะทีเดียว ออกแหลม เล็ก และเพราะจนชวนให้นึกถึงเสียงนกร้องเพลง -- ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่าน่ากลัวซักนิด เผลอๆทำให้ใจชื้นขึ้นซะมากกว่าเมื่อภาพสโนว์แมนยักษ์มีแท่งน้ำแข็งงอกกลายเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ...
ที่เอาแท่งน้ำแข็งจ่อคอคนนอนหลับแถมด้วยเอาเข่ากดหน้าอกซ้ำ แค่เด็กผู้หญิง
ปลายแหลมของแท่งน้ำแข็งทิ่มเข้ามาอีกเล็กน้อยเป็นจังหวะเดียวกับที่อันนาแหวกผมอันยุ่งเหยิงของตัวเองสำเร็จและลืมตามองภาพตรงหน้า
ก่อนจะอ้าปากค้าง
นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลเบิกกว้างเมื่อสบกับดวงตาอีกคู่ที่แสนคุ้นเคยมองตรงมาที่เธอ ก่อนที่คำพูดคำเดียวจะหลุดออกจากริมฝีปาก
“...เอล ซ่า?”
“??”
เสียงเรียกชื่อจากปากอีกฝ่ายทำให้แท่งน้ำแข็งปลายแหลมในมือเล็กคลายลง นัยน์ตาสีน้ำเงินอ่อนแสงลงเล็กน้อย มองคนตรงหน้าที่จริงๆตัวเองก็รู้สึกคุ้นๆอย่างบอกไม่ถูกโดยเฉพาะกับน้ำเสียงที่ใช้เรียกชื่อ
ถึงจะรู้สึกไม่อันตราย แต่อยู่ดีๆตื่นมาตอนเช้าเจอคนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้บุกถึงเตียงก็ต้องขู่ไว้ก่อนจริงมั้ย?
“อะ...อธิบายมาว่าทำไมถึงมาอยู่บนเตียงในห้องของเราโดยไม่ได้รั...อ๊ะ”
พอเห็นว่าไม่ปฏิเสธชื่อคนผมแดงที่แรงขยับเริ่มมาก็ลุกขึ้นกอดคนที่นั่งทับตัวเองอยู่ทันทีแบบทิ้งคำสั่งทะลุหู แถมยิ่งเห็นอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ทันก็ยิ่งกอดแน่นพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ
กลิ่นและสัมผัสถูกต้อง!
แท่งน้ำแข็งอีก
ถ้านี่ไม่ใช่เอลซ่า... ชั้น...ยอม...งด-ช็อกโกแล็ตมื้อเย็นเลยเอาสิ!
“เอลซ่าา ใช่มั้ย??” อันนาผละออกหลังตัดใจพนันกับตัวเองเสร็จสรรพพลางมองสำรวจเด็กน้อยอีกครั้งระหว่างรอคำตอบ ดวงตาเป็นประกาย
เด็กผู้หญิงอายุสิบต้นๆ ผมสีบลอนด์เกือบขาวจนแทบกลืนกับผิวขาวเหมือนหิมะแรก ร่างกายเล็กๆบอบบางอยู่ในชุดนอนสีน้ำเงินเข้มพอดีตัวที่ดูคุ้นตา มองผ่านๆแล้วแทบจะเหมือนตุ๊กตาบนชั้น มือซ้ายกำดาบน้ำแข็งแบบจะหลุดเหล่มิหลุดเหล่ คิ้วสวยขมวดเล็กๆ แววตาสับสนวุ่นวาย...
แววตาสีน้ำเงินอ่อนคู่สวยที่สับสนวุ่นวาย
ที่ชั้นไม่มีวัน และไม่มีทางจำผิด อันนายิ้มอย่างมั่นใจ
แต่แค่ปล่อยโอกาสแป๊บเดียว เอลซ่าตัวน้อยก็กระชับดาบในมือใหม่ ไสแท่งน้ำแข็งปลายแหลมมาจ่อคออีกรอบ
“รักษามารยาทหน่อย ตอบคำถามของเราก่อน”
ถึงภาพที่เห็นจะให้ความรู้สึกน่ารักมากกว่าน่ากลัวกับควีนตัวน้อย แต่เธอก็ยกมือสองข้างแบบยอมแพ้โดยดี
“ขอประทานอภัยเจ้าหญิง ที่หม่อมฉันมานอนที่นี่เพราะเมื่อคืนพี่สาวชวนมาค้างด้วยกัน” อันนาตอบพลางใช้มือสางผมที่ยุ่งเหยิงไปด้วย การต้องรับมือกับผมทรงนี้ทุกเช้ากว่าสิบปีสร้างสกิลพิเศษให้เธอจัดการมันได้ในเวลาไม่นาน ระหว่างพูดก็สังเกตอีกฝ่ายไปด้วย เมื่อไม่เห็นว่ามีการปฏิเสธสรรพนามที่เรียกก็ยิ่งรู้สึกเหมือนได้ข้อยืนยัน พาให้รู้สึกปลื้มกับความสามารถในการปะติดปะต่อเรื่องได้แบบนานทีปีหนของตัวเองจนแทบหุบยิ้มไม่อยู่
“แล้ว?” เด็กหญิงขมวดคิ้วสีเดียวกับเส้นผมอย่างไม่เข้าใจ ถึงจะวางใจลงเพราะดูอีกฝ่ายไม่มีท่าทีคิดร้ายแต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่ช่วยแก้ข้อสงสัยใดๆซักนิดจนต้องซักไซ้ไล่เรียงต่อ...และถึงแม้จะมีความรู้สึกบางอย่างลึกๆเป็นคำตอบแต่เธอเองปฏิเสธที่จะเชื่อและเลือกจะปัดออกไปไว้ด้านหลังแทน
อันนายิ้มหลังถักเปียข้างที่สองเสร็จในช่วงที่ราชินีตัวน้อยจมอยู่ในความคิดของตัวเองก่อนจะตอบคำถามต่อแบบสบายๆ
“พี่สาวของหม่อมฉันชื่อ เอลซ่า รา...เจ้าหญิงแห่งเอเรนเดลล์”
ท้ายประโยคแทบจะกัดลิ้นตัวเองเพราะหลุดยศปัจจุบันอย่างชินปาก แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่ทันสังเกตเพราะช็อกตั้งแต่ชื่อของตัวเองที่หลุดจากปากออกมาแล้ว
...เพราะมันทั้งเกินความคาดหมายจนโล่งใจ แต่ก็ตามความคาดหมายจนตกใจ
“จำเค้าไม่ได้เหรอ?” แยบไปอีกประโยคเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ คำถามเรียกให้เด็กน้อยหลุดจากภวังค์และมองกลับมา
แค่พูดอย่างเดียวคงไม่พอจะทำให้เชื่อ น้องสาวที่ตอนนี้แก่กว่าพยายามฉีกยิ้มกว้างแบบ ‘อันนา’ สุดๆให้พร้อมกับใช้ดวงตาสีฟ้าของตัวเองมองลึกเข้าไปในตาของอีกฝ่าย พยายามใช้ความจริงใจเข้าสู้เต็มที่
แต่ฝั่งเอลซ่ามองตอบอย่างไม่แน่ใจนัก และถึงจะว่าไม่แน่ใจ แต่น่าแปลกที่เธอเชื่อที่คนๆนี้พูดไปกว่าครึ่งทั้งๆที่เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ซักนิด
อาจจะเพราะความรู้สึกคุ้นเคยในทุกๆอย่างของคนตรงหน้าที่ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อใจโดยไม่มีเหตุผล เธอพิจารณาใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่นาน ทั้งผมสีบลอนด์สตรอเบอร์รี ทั้งวิธีถักเปีย ทั้งตาสีน้ำทะเล รอยยิ้ม...
หลายๆอย่างที่คุ้นตาเหลือเกินจนปฏิเสธไม่ได้ ถึงจะไม่ได้เจอกันตรงๆนานแล้วก็ตาม...
เอลซ่าลังเล แต่ในที่สุดเหตุผลก็ชนะ เจ้าหญิงผมบลอนด์ถอนสายตาออกแล้วพูดเบาๆ
“...พิสูจน์”
อันนาถอนหายใจเมื่อเห็นท่าทีของพี่สาวที่ขี้ระแว...ระมัดระวัง สะสมตั้งแต่อดีต แต่ก็ไม่ได้ผิดความคาดหมายเท่าไหร่ เจ้าตัวยิ้มกับสิ่งที่คิดไว้ก่อนจะเอื้อมมือไปที่เสาเตียงที่ใกล้ที่สุด และ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อก
เสียงข้อนิ้วเคาะเป็นจังหวะเรียกให้ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนจ้องกลับมาในตาสีน้ำทะเลครั้งแรก หน้ากากเย็นชาหายไปทันทีที่สิ้นเสียง กลายเป็นสีหน้าที่คุ้นเคย ...อบอุ่น แต่โหยหา แทบไม่ต่างจากพี่สาวคนปัจจุบันที่มองหน้ากันจนถึงเมื่อวาน
“...อันนา?” เสียงเล็กๆเรียก ยังไม่แน่ใจทั้งหมด แต่แววตาเต็มไปด้วยความคิดถึงอย่างที่ไม่เคยมองคนอื่น
“ปั้นมนุษย์หิมะด้วยกันมั้ย?”
“อันนา” ประโยคที่ได้มาเป็นร้อยรอบทำให้เสียงเรียกคราวนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจ แท่งน้ำแข็งสลายจากมือตอนไหนไม่รู้ เอลซ่ายิ้มก่อนเขยิบตัวเข้าไปใกล้น้องสาวอีกนิด มือซ้ายค่อยๆเอื้อมออกเหมือนจะสัมผัสใบหน้าของอีกฝ่าย
มีหลายเรื่องที่อยากถาม ทำไมถึงสูงกว่า? ทำไมโตแล้ว?? ล่าสุดที่เห็นที่ห้องสมุดก็ยังสูงเท่าไหล่พี่เองนะ แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้สบายดีมั้ย? ยังเตะผ้าห่มเหมือนเดิมรึเปล่า? แล้วทำไมถึงบอกว่าพี่ชวนเข้ามาในห้อ...มือเล็กชะงักกลางอากาศเมื่อคิดมาถึงประโยคสุดท้ายที่ถูกความวุ่นวายกับความคิดถึงบดบังไปชั่วขณะ สีหน้าซีดเผือดเมื่อนึกถึงพลังที่ใช้จนถึงเมื่อครู่นี้...
อันนา...!
รีบเขยิบถอยหลังทันทีที่นึกได้ แต่เตียงนิ่มๆดูจะไม่เป็นใจนักทำให้หนีไปไม่ทันไรก็ถูกแขนยาวๆดึงกลับไปกอดอีกรอบ
“ปล่อย...” เอลซ่าพูดสั่นๆ พยายามดิ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เก็บมือสองข้างกอดตัวเองไว้อย่างดี อันนากอดแน่นขึ้น ไม่บีบรัด แต่ไม่ปล่อยให้ขยับ จนที่สุดคนตัวเล็กกว่าก็ต้องหยุดดิ้นไปเองเพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์กับน้องที่ตอนนี้สูงกว่าเป็นช่วงหัว
“นี่ ชั้นเป็นอันนาที่โตแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว” อันนาพูดช้าๆทำลายความเงียบเมื่อเห็นว่าพี่สาวเริ่มสงบ
...ไม่ต้องบอกก็รู้ ก็นั่นเหตุผลให้เธอจำน้องไม่ได้แต่แรกนี่นา
ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหตัวเองจนรู้สึกถึงน้ำตารื้นที่ขอบตา
อันนาที่ดูจะจำเธอได้ตั้งแต่ตื่นนอนด้วยซ้ำ
ความรู้สึกผิดสะสมแสดงออกมาทางอุณหภูมิที่ตกลงจนหน้าต่างขึ้นฝ้าหนา แต่มือใหญ่ที่เอื้อมมาลูบหลังเบาๆทันทีเหมือนอ่านใจออกทำให้เธอได้สติควบคุมตัวเองใหม่
หายใจเข้า
อย่าคิด ปิดไว้
อย่ารู้สึก...
อีกหลายอึดใจที่ความเงียบทิ้งลงมาระหว่างคนสองคนบนเตียง ฝั่งคนในอ้อมกอดทั้งปรับอารมณ์ รอจนแน่ใจว่าเสียงตัวเองจะไม่สั่นจึงเริ่มเปิดปากพูด
กลัว...แต่ต้องรู้
ในสถานการณ์ที่ถูกอันนากอดไม่ปล่อยอย่างนี้เธอก็คงไม่มีทางให้หนีไปไหนอยู่ดี แล้วถ้าคำตอบที่ได้จะเบี่ยงเบนตัวเองออกจากอารมณ์ที่แช่แข็งห้องๆนี้หรือร้ายแรงกว่านั้น...ไปคิดอะไรที่มีประโยชน์ซักหน่อย...มันก็ดูเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ที่จะหยุดกลัวซักนิด
“...แล้ว ทำไมอันนาถึงโตแล้วล่ะ?” ถึงจะเสียงที่ออกไปจะเบา แต่ก็รู้สึกกล้าหาญกว่าที่ตัวเองคิด และผลที่ได้ดูจะคุ้มค่าเมื่ออีกฝ่ายยอมคลายอ้อมกอดลงน้อยๆจนพอขยับได้บ้าง
“ทางนี้ก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าทำไมพี่ตัวเล็กลง” อันนาหัวเราะ พยายามปรับอารมณ์ให้ร่าเริงเข้าไว้แม้จะยังรู้สึกงงๆไม่แพ้กัน แต่ยิ่งก้มลงมองพี่สาวที่กลับมาตัวเล็กกว่าแค่ไหน ก็ให้ความรู้สึกอยากเป็นฝ่ายดูแล อยากเป็นคนที่เข้มแข็งและจับมืออีกฝ่ายไว้ในทางที่สับสนมากเท่านั้น
“บางทีอาจจะต้องไปถามปู่โทรลล์” คนผมแดงพูดขึ้นหลังจากนิ่งคิดไปพักใหญ่ แต่ก็เป็นประโยคที่ทำให้เอลซ่าตกใจรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน
“น้องรู้จักปู่โทรลล์?”
อันนาหัวเราะกับสีหน้าเหวอๆของพี่สาวตัวน้อย “รู้จักสิ”
เอลซ่าขมวดคิ้วเหมือนต้องการคำอธิบายเพิ่ม แต่คนเป็นน้องสาวแค่ยิ้ม
“ไปเถอะ” มือเรียวจับข้อมือเล็กๆสองข้างดึงให้ลุกขึ้น “เรามีเวลาให้คุยอีกยาว”
A/N: พอดีสอบเสร็จไปอย่างนึงเลยแวบกลับมาอัพได้ เพิ่งรู้ว่ามาเป็นคนเขียนนี่ก็อัดอั้นตันใจพอๆกับตอนที่รอฟิคคนอื่นเขาอัพเลย55555 ที่อยากบอกคือ ขอบคุณมาก มากๆๆๆจริงๆ ทั้งสำหรับทุกๆคนที่เข้ามาอ่านแล้วรออ่านต่อ //ถึงจะยังไม่เม้นก็ไม่เป็นไร ซักวันๆ// และทุกคนที่เม้น เราดีใจที่ฟิคเล็กๆเรื่องนี้ทำให้หลายๆคนยิ้ม : ) รวมทั้งคนที่แอดเฟบแล้วก็ของขวัญทีส่งมาให้ แทบจะนั่งกรี๊ดหน้าคอมทุกครั้งที่เห็น ตอนนี้แทบจะท่องได้ทุกคอมเม้นแล้วจริงๆ555555 ขอบคุณมากนะ
ปล เปอร์เซ็นความมุ้งมิ้งของแชปเตอร์ต่ำ ตอนหน้าน่าจะดีขึ้น555
ความคิดเห็น