ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Frozen/Elsanna] Always You

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter I : That White Door

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 57


     

    นับเป็นวันที่สี่แล้วหลังจากที่เธอเกือบได้เสียสละชีวิตเพื่อการกระทำรักแท้ต่อพี่สาว แต่ในสายตาของอันนามันช้าราวกับว่าผ่านไปซักสี่เดือนแล้วอย่างนั้นแหละ

     

    หลังจากเปลี่ยนลานพระราชวังเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งให้ทุกๆคน ไม่นานเอลซ่าก็ต้องกลับสู่ภาระวุ่นวายของตำแหน่งราชินีที่ทิ้งไว้ แรกสุดคือสั่งเปิดประตูวัง เปิดการติดต่อจากโลกภายนอกทุกอย่าง ตามขออภัยราชทูตจากทั่วสารทิศที่มาร่วมงาน รวมไปถึงเจรจาการค้าต่างๆที่แต่ละประเทศรอมาเกือบสามปี แม้แต่เวลากลางคืนที่ควรจะได้พักผ่อน เอลซ่าก็ตามเก็บงานทุกอย่างที่ไม่เรียบร้อยมานานใต้แสงเทียน ดังนั้นในสามวันที่ผ่านมาเธอแทบไม่เจอพี่สาวนอกจากเวลานั่งโต๊ะทานอาหาร ซึ่งกว่าครึ่งเธอก็สั่งให้ยกขึ้นไปที่ห้องทำงาน

     

    คิดแล้วก็ได้แต่ถอนใจกับพี่สาวที่ชอบแบกทุกอย่างไว้กับตัว ถึงแม้ตอนนี้เอลซ่าจะยิ้มได้อย่างมีความสุข...แต่ก็เป็นยิ้มโทรมๆแบบคนไม่ได้นอนติดกันหลายคืน ร้อนถึงข้าราชบริพารในวังที่ดูแลเจ้าหญิงเอลซ่า แต่เล็กแต่น้อยจะมาขอให้เจ้าหญิงอันนาตามพี่สาวไปบรรทมก่อนจะสิ้นพระชนม์คากองพระราชกรณียกิจหลังครองราชย์ไม่ถึงสัปดาห์ ส่วนตัวอันนาเองก็ไม่ใช่จะไม่เจอกับตัว หลังคืนแรกที่เป็นปาร์ตี้ส่งแขกเหรื่อกลับประเทศ คืนที่สองเธอก็คว้าหมอนใบโปรดไปยืนรอหน้าห้องทันที ขณะที่ยังลังเลจะเคาะประตู ก็เจอกับไคที่หอบเอกสารกองหนึ่งเข้าไป แล้วออกมาพร้อมกับเอกสารอีกกองที่ตรวจเรียบร้อยแล้ว หรืออีกคืนก็สวนกับเกอร์ด้าที่ถือถาดอาหารซึ่งแทบไม่ถูกแตะต้องออกมา ...สิ่งที่ทั้งสองคนทำแทบจะเหมือนกันคือมองอันนาด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง แทบจะเปิดประตูห้องเชิญอันนาเข้าไปจัดการพระเชษฐภคินีขึ้นบรรทมให้เรียบร้อย

     

    แต่มีเหรอที่เธอจะกล้าขัดขวางหน้าที่ที่พี่สาวทำเพื่ออาณาจักร คนเป็นน้องได้แต่ส่ายหัวและยิ้มแห้งๆให้ ได้แต่หวังว่าเอลซ่าไม่จะไม่นอนดึกเกินไปนัก...

     

    แต่เธอคิดผิดมหันต์

     

    เป็นเวลาเช้าของวันที่สี่ที่เธอได้เจอเอลซ่าตรงๆที่โต๊ะอาหารเช้า ภายนอกของพี่สาวดูไม่มีอะไรผิดปกติมากนักยกเว้นหน้าขาวๆที่เหมือนจะขาวกว่าเดิมไปอีกระดับ แต่ด้วยเสื้อผ้าหน้าผมที่เป๊ะเหมือนเดิมเธอเลยไม่ได้ใจเอะใจอะไรมาก แต่หลังเริ่มทานไปซักพักนั่นแหละถึงได้เห็นความผิดปกติ

     

    เริ่มจากทำช้อนหล่น ส้อมหล่น มีดหล่น จนถึงทำจานทั้งจานหล่น (ซึ่งอันนาเริ่มนับถือความสามารถเอลซ่าที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยทำจานหล่นโดยไม่ได้ตั้งใจได้) เอามีดธรรมดาไปทาเนย...ซึ่งหน้าตามันต่างกันเห็นๆ เหมือนกันแค่คำว่ามีด แล้วคิดดูว่านี่คือเอลซ่า เจ้าหญิงคนสวยที่ฝึกมารยาทบนโต๊ะอาหารตั้งแต่จับส้อมกับมีดเป็น... คนรับใช้ในห้องอาหารก็มองหน้ากันเป็นระยะๆด้วยกลัวราชินีจะทรงก่ออุบัติเหตุแทงพระองค์เองระหว่างเสวยขนมปัง ยังดีที่เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้น

     

    แต่ที่วิบัติสุดคือตอนที่ดื่มชาหลังอาหาร เอลซ่าเหมือนจะลืมไปชั่วคราวว่าคนรับใช้จะเข้ามาเติมชาทางขวา เธอเลยหลบทางขวาให้อย่างมีมารยาทเต็มที่...ผลคือ ชาร้อนๆเกือบทั้งเหยือกรดลงไปบนไหล่ของราชินี เล่นเอาคนทั้งห้องอาหารเกือบหัวใจวาย แต่เอลซ่าที่อันนาค้นพบว่านอกจากความหนาวจะไม่ทำให้เธอเดือดร้อนซักเท่าไหร่ ชาร้อนก็ยังไม่เดือดร้อนเธอด้วย เอลซ่าแค่โบกมือซ่อมชุดส่วนที่ละลายให้เรียบร้อย ดื่มชา เดินมาบอกลาน้องสาวแล้วกลับขึ้นห้องทำงาน...

     

    นั่นเป็นตอนที่ทุกคนในวังลงมติเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าหญิงต้องทรงทำอะไรซักอย่าง

     

    และนั่นเป็นเหตุผลที่เธอมายืนหน้าห้องของเอลซ่ารอบที่สามในสี่วัน จ้องมองประตูสีขาวที่กั้นเธอสองคนมามากกว่าสิบปีซึ่งยังคงเหมือนใหม่ไม่ต่างอะไรจากตอนที่เธออายุห้าขวบ

     

    ถึงเอลซ่าจะบอกว่าไม่มีการปิดประตูอีกแล้วก็เถอะ...

     

    ตลอดสามสี่วันมานี่ไม่ใช่ว่าเธอไม่ห่วงเอลซ่าจนต้องรอให้ทุกคนเอ่ยปากเธอถึงค่อยมา แต่ทุกๆครั้งที่เธอมองประตูสีขาวบานนี้ หรือแม้แต่เดินผ่านโถงทางเดินนี้ ความรู้สึกเดิมๆที่ปะทะเธอตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้เธอ ...กลัว

     

    สิบสามปีแห่งความพยายามที่ไม่เป็นผลผูกปมเล็กๆที่แน่นหนาที่สุดไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของใจเธอ ให้เธอกลัวการปฏิเสธ ให้เธอกลัวความเงียบ ให้เธอกลัวความหนาว จนกลัวที่จะต้องเดินผ่านมาทางนี้

     

    อันนาตอนอายุไม่เกินสิบสองอาจจะมองโลกในแง่ดีว่าถ้าเธอล่อพี่สาวได้ถูกวิธี เอลซ่าอาจจะยอมเปิดประตูมาเล่นกับเธอ ตลอดเจ็ดปีที่เธอพยายามเปิดประตูบานนั้น ในใจของเธอมีแต่เอลซ่า ยามตื่นหรือยามหลับ หลายต่อหลายคืนที่อันนาตัวน้อยฝันว่าพี่สาวของเธอยอมเปิดประตูออกมาเล่นด้วยกัน ก่อนที่จะตื่นมาพบความจริงที่ว่ามันเป็นแค่ฝัน และเธอพลาดมื้อกลางวัน

     

    อันนาตอนอายุสิบสามเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าเอลซ่ายังชอบปั้นมนุษย์หิมะอยู่รึเปล่า

     

    อันนาตอนอายุสิบสี่ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าพี่สาวของเธอยังอยู่ในห้องหรือไม่ ตั้งแต่เอลซ่าค้นพบวิธีปฏิเสธที่ได้ผลที่สุด...เงียบ ใช้ความเงียบปฏิเสธทุกอย่างจนกว่าอันนาจะไปจากหน้าประตูห้อง

     

    สุดท้ายอันนาตอนอายุสิบห้า และหลังจากวันที่พ่อแม่ของพวกเธอจากไป ครั้งสุดท้ายที่เธอมาที่หน้าประตูห้องและนั่งร้องไห้ตลอดทั้งคืน เธอคิดว่าได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาผ่านแผ่นไม้สีขาว แต่ประตูที่ยังปิดสนิทอย่างที่เคยทำให้เธอบอกตัวเองว่าแค่ฝันไป

     

    และไม่เคยกลับมาที่หน้าห้องนี้อีกเลยหลังเช้าวันนั้น

     

    ประตูบานนี้ จึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์แห่งความกลัวทุกอย่างของเธอ...เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยข้ามผ่านมันได้

     

    ...แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว

     

    อันนาถอนหายใจ พยายามดึงตัวเองออกจากความคิดน่าหม่นหมอง คิดถึงพี่สาวที่เธอได้รู้จักอีกครั้งในสี่วันมานี้ เอลซ่าที่ชวนเธอสเก็ตน้ำแข็ง เอลซ่าที่ปั้นโอลาฟ เอลซ่าที่ยิ้มอย่างอ่อนโยน...อันนายิ้มให้กำลังใจตัวเองแล้วคิดภาพเจ้าหญิงผมแดงเคาะประตู

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อก

     

    วินาทีต่อมาราชินีผมสีบลอนด์เปิดประตูพร้อมรอยยิ้มสวัสดีอันนามีอะไรรึเปล่า?

     

    สวัสดีเอลซ่า ทุกคนรวมทั้งฉันด้วยเห็นพี่เบลอมาก น่าเป็นห่วงสุดๆ ฉันเลยมาดูแลให้พี่พักผ่อนน่ะ

     

    อย่างนั้นแหละอันนา แค่นั้นที่ต้องพูด อันนายิ้มให้ตัวเองในจินตนาการ แต่ก็ต้องยิ้มค้างไปพร้อมๆกันเมื่อเอลซ่าในจินตนาการตอบกลับหวานๆ

     

    จริงเหรอ? ขอโทษนะอันนา แต่พี่มีงานต้องทำเยอะมาก อาจจะว่างในอีกสามเดือนหลังจากนี้ ถ้ายังไงตอนนั้นพี่จะไปนอนนะ?

     

    แล้วประตูก็ปิดใส่หน้าอันนาในจินตนาการอีกรอบ...

     

    ต้องไม่ใช่อย่างนั้นสิ!!!!!!!

     

    อันนาแทบล้มทั้งยืนเมื่อนึกภาพตัวเองในจินตนาการพยายามแซะประตูสีขาวบานเดิม

     

    ...แต่นี่แหละคือภารกิจของฉัน ลากเอลซ่าไปนอน ห้ามการทำงานจนกว่าพี่จะพักผ่อนเต็มที่ ต่อให้ต้องพังประตูก็ตาม...เธอแบกรับความหวังของคนทั้งวังมาแล้วนะ ทำหัวใจให้ห้าวหาญแล้วเคาะประตูได้แล้ว

    เพื่อเอลซ่า! เพื่อแสงสว่างแห่งเอเรนเดลล์!

     

    หายใจเข้าลึกๆ เจ้าหญิงองค์เล็กหลับตาปี๋ กำปั้นเล็กๆเคาะประตูสีขาวเป็นจังหวะที่คุ้นเคย

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อก

    .

    .

    .

    ...ไม่มีเสียงตอบ

     

    อันนาลืมตาที่เผลอหลับช้าๆหลังจากผ่านไปเกือบนาที หัวใจที่ถูกปลุกฟีบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับพยายามห้ามความคิดน่ากลัวที่สุดที่เคยคิดทุกอย่างที่เริ่มประดังเข้ามาในหัว

     

    ไม่หรอกๆ บางที แค่บางที...ฉันอาจจะเคาะเบาเกินไป?

     

    อันนารีบรวบรวมกำลังใจเคาะอีกรอบก่อนตัวเองจะคิดเป็นอื่น

     

    ก๊อก ก๊อก ก๊อกๆ ก๊อก...

    .

    .

    .

    .

    .

    ไม่มีแต่เสียงใดๆที่บ่งบอกความเคลื่อนไหวในห้อง

     

    ตอนนี้เองที่เธอห้ามขบวนความคิดของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว

     

    บางทีพี่อาจไม่อยู่ในห้อง แต่ไคบอกว่าพี่อยู่ เกอร์ด้าก็บอก ทุกคนก็บอก เอลซ่าอยู่ในห้องส่วนตัว ห้องส่วนตัวที่-ไม่-เคย-เปิด-ให้-ฉัน-เข้า พอๆๆอันนา ไม่ใช่เวลาดราม่าตอนนี้ ...หรือถ้าเอลซ่าเป็นอะไรไป!? ไม่มีทาง นี่เป็นพระราชวังเอเรนเดลล์ มีทหารยามสิบชั้น ห้องส่วนตัวของราชินี แต่เอลซ่าเป็นราชินี! มันต้องมีคนจิตใจเลวทรามอย่างฮานส์อีกเยอะแยะแน่ที่อยากได้บัลลังก์ของท่านพ่อ ที่ตอนนี้เป็นของเอลซ่า บางทีตอนนี้พี่อาจจะกำลังตกออยู่ในอันตราย โดนฟาดสลบ มัดกับเสาเตียง...เดี๋ยว ทำไมต้องเสาเตียง? ประเด็นคือเอลซ่าอาจจะตกอยู่ในอันตราย อยู่ในห้องนี้!

     

    ความคิดต่างๆทำให้เจ้าหญิงองค์เล็กเอื้อมมือไปจับกลอนโลหะเย็นเฉียบอย่างร้อนรน พร้อมเจอกับล็อกและเตรียมใจจะพังเข้าไปเต็มที่

     

    ...เลิกหลอกตัวเองได้แล้วอันนา

     

    เหมือนมีปีศาจมากระซิบ มือที่กำลังจะบิดกลอนชะงักลง รู้สึกถึงความชื้นที่ขอบตา

     

    ต่อให้พี่ไม่เป็นไร เขาก็คงไม่อยากเปิดประตูให้เธอหรอก จริงมั้ย?

     

    เธอคิดว่าเอลซ่าจะหยุดงานทุกอย่างแค่เพราะเธอขอร้องรึไง?

     

    หรือ...แม้แต่รักแท้ที่เธอให้เอลซ่า รู้ได้ยังไงว่ารักแท้ของเอลซ่าจะมอบให้เธอเหมือนกัน?

     

    จากน้ำตาหยดเดียวเริ่มกลายเป็นหลายหยด

     

    เธอไม่รู้

     

    ...ตลอดสี่วันที่ผ่านมา เธอบอกตัวเองว่าเรากำลังกลับไปเป็นครอบครัวที่มีความสุข ปู่โทรลล์คืนความทรงจำให้เธอ เธอรู้แล้วว่าทำไมเอลซ่าถึงล็อกประตู ทำไมท่านพ่อท่านแม่ถึงไม่ให้เธออยู่ด้วยกัน

     

    แต่เธอไม่เคยเข้าใจ

     

    อย่างน้อย ถ้าให้โอกาส ให้เธอได้ช่วยเอลซ่า ให้เธอได้บอกว่ามันไม่เป็นอะไรกับผมปอยนึง มันไม่เจ็บด้วยซ้ำ...อย่างน้อย ก็ไม่ให้เหตุการณ์นั้นตามหลอกหลอนเอลซ่าจนต้องโดดเดี่ยวตัวเองกว่าสิบปี กัดกินภายในของเธออย่างที่คนอื่นไม่มีทางรู้

     

    อย่างที่ท่านพ่อท่านแม่ไม่มีทางรู้

     

    หลายครั้งหลังรู้ความจริงที่อันนานึกโกรธทั้งพ่อและแม่ที่เลือกวิธีที่ผิด เธอโกรธโทรลล์ที่ให้คำทำนายกำกวม เธอโกรธเอลซ่าที่ยอมทำตาม

     

    แต่ที่โกรธที่สุด...เธอโกรธตัวเอง โกรธที่ต้องให้ทุกคนมาปกป้อง โกรธที่ไม่เคยรู้อะไรเลย โกรธที่ช่วยอะไรไม่ได้

     

    อันนาจ้องประตูสีขาวที่อยู่ตรงหน้า อย่างที่เคยเป็นมาสิบสามปี ตอกย้ำว่าเธอไม่เคยรู้อะไรเลย แม้แต่หลายครั้งที่เธอนอนหน้าห้อง รู้สึกถึงลมหนาวที่พัดออกมา หรือแม้แต่ตอนที่มองลอดประตูเข้าไป...

     

    เธอไม่เคยรู้อะไรเลย

     

    หยดน้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าเบลอไปหมด สะอื้นจนไม่มีแรงยืน มือที่กุมกลอนกลายเป็นฝ่ายรับน้ำหนักตัว ก่อนที่จะดันลง

     

    ...และเปิดออก

     

    อันนาที่ถลาไปข้างหน้าเล็กน้อยเมื่อประตูเปิด หยุดสะอื้นชั่วคราว

     

    ประตูไม่ได้ล็อก?

     

    คนผมแดงเริ่มปาดน้ำตาที่เปรอะเต็มหน้าออก ตอนนี้ที่เธอเริ่มได้สติถึงเห็นได้ว่าตัวเองเข้ามายืนในห้องของพี่สาวแล้ว ...ข้ามผ่านอุปสรรคตลอดกาลเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจซักนิด

     

    แสงเทียนจุดสว่างทำให้รู้ว่ามีคนอยู่ อากาศเย็นๆที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆดูสดชื่นกระจายอยู่ในห้อง แต่ก็ยังคงไม่มีการตอบปฏิกิริยาใดๆจากเจ้าของห้องที่ยังไม่เห็นตัว อันนาลังเลเล็กน้อยก่อนเดินตามแสงเข้าไปสำรวจรอบๆ ความเป็นห่วงเข้ามาแทนที่ความคิดน่ากลัว ลืมเรื่องที่ตัวเองเพิ่งร้องไห้ไปซะสนิท

     

    ห้องของเอลซ่าไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้มากนัก โดยรวมคือเล็กกว่าห้องของอันนาที่เคยใช้เป็นห้องรวม เฟอร์นิเจอร์เป็นสีฟ้า-ม่วงเรียบๆส่งบรรยากาศในห้องให้ดูอึมครึมทว่าสง่าสวยงามสมเป็นห้องของราชนิกูล ของใช้ทุกอย่างถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยสะท้อนนิสัยเจ้าของห้อง อันนามองตามอย่างตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นของบางอย่างที่เหมือนเอลซ่าจะสร้างขึ้นจากน้ำแข็งเอง ก่อนเดินตามทางเข้าสู่ห้องชั้นในที่ดูเป็นส่วนตัวกว่า สิ่งแรกที่เห็นคือเตียงสี่เสาซึ่งเป็นเตียงเดิมก่อนจะถูกแยกห้อง เตาผิงสีขาวที่ดูเหมือนไม่เคยใช้งาน หน้าต่างบานใหญ่ และสุดท้าย...

     

    โต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่มีคนที่เธอเฝ้าหาฟุบอยู่

     

    อันนาก้าวยาวๆเข้าไปที่โต๊ะโดยพยายามทำเสียงให้น้อยที่สุด โชคดีที่ห้องของเอลซ่าดูจะให้ความร่วมมืออย่างเยี่ยมโดยการมีพรมอย่างหนาปูตลอดทางไม่ต้องให้คนซุ่มซ่ามอย่างเธอระวังมากนัก ระหว่างทางก็นึกบ่นตัวเองในใจที่บ้าคิดอะไรไปไกลเมื่อครู่เมื่อได้เห็นพี่สาวชัดๆ

     

    สภาพเอลซ่าตอนนี้เรียกให้ถูกคงจะเป็นทำงานจนน็อก ลมหายใจลึกๆสม่ำเสมอบอกให้รู้ว่าควีนผู้โหมงานถูกร่างกายชัตดาวน์สำเร็จหลังสู้กันมาหลายวัน ปากกาขนนกยังอยู่ในมือซ้ายทิ้งให้หมึกหยดบนเอกสารอะไรซักอย่างจนเป็นรู คนเป็นน้องยิ้มขำก่อนค่อยๆก้มลงไปดึงปากกาขนนกออกจากมือของอีกฝ่าย พลางถือโอกาสสำรวจใบหน้าของพี่สาวที่ยังไม่รู้สึกตัว

     

    ใบหน้าตอนหลับของเอลซ่าดูไร้เดียงสาไม่ต่างจากตอนเด็กๆ โดยเฉพาะเมื่อปราศจากเครื่องสำอางที่เจ้าตัวชอบแต่ง ทั้งผิวขาวละเอียดราวกับเครื่องเคลือบ เครื่องหน้างดงามที่ดูจะเหมือนท่านแม่ขึ้นทุกวัน และผมสีแพลททินัมบลอนด์นุ่มราวเส้นไหมที่อันนาชื่นชม ...เอลซ่ายังคงเป็นเอลซ่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย

     

    ...แต่น่าแปลกที่ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอได้เจอพี่สาวในวันราชินีภิเษกจนถึงตอนนี้กลับยังรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน

     

    เหมือนยังไม่รู้สึกว่าคนตรงหน้าเป็นของจริง

     

    เหมือนว่าเธอได้เสียพี่สาวเข้าไปในห้องๆหนึ่งสิบสามปีแล้วได้หญิงสาวที่งดงามเพียบพร้อมหน้าตาเหมือนกันออกมาแทน โดยที่เธอไม่รู้จักอะไรในตัวคนๆนี้เลย

     

    เอลซ่ายังคงเป็นเอลซ่า...พี่สาวที่เธอรัก แต่ช่องว่างขนาดใหญ่ในใจที่โหยหาความรักมาตลอดกลับยังไม่รู้สึกเติมเต็ม

     

    บางทีมันคงต้องขึ้นอยู่กับเวลา

     

    โชคดีที่มันเป็นสิ่งที่เธอมีมากที่สุดตอนนี้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×