ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Balatic การเวลาอันเป็นนิรันด์

    ลำดับตอนที่ #4 : สู่แดนแห่งมโนภาพ....โอวาเรส

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    ตอนที่2:สู่แดนแห่งมโนภาพ....โอวาเรส

    "ทำไมเธอถึงไม่รีบบอกฉันก่อนเล่า!!ว่ามาถึงแล้ว"

    "ถ้าเอาจริงๆชั้นไม่รอปลุกนายให้เสียเวลาอีกนานหรอกนะยะ...แต่เห็นแก่ความเป็นพี่น้องกันชั้นก็เลยยอมมารอนายเก้อเกือบ10นาทีรู้มั้ย"

    พี่น้องหนุ่มสาวทั้ง2เถียงกันไปเถียงกันมาตลอดทางที่ขณะกำลังวิ่งลอดผ่านอุโมงค์ยาวไปตามทางเรื่อยๆจนในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงทางออกของอุโมงค์ที่มีผู้คนกำลังต่อแถวเข้าคิวเข้าไปในตู้ที่ส่องแสงสีฟ้ามรกต

    "ในที่สุดก็ได้มาหาบรรพบุรุษของเราซักทีรีบไปเข้าคิวที่จุดของคิงด้อมเบสกันเถอะ"

    ฟาเรลฉุดมือน้องสาวของตัวเองแล้วกระโจนเข้าไปในเครื่องวารป์โดยที่ตัวเองนั้นไม่ยอมแม้แต่จะต่อคิวด้วยซ้ำ

    ทั้ง2วิ่งโผล่ออกมา ณ.ที่ๆหนึ่งฟาเรลมองดูไปรอบๆซากปรักหักพังที่ยังคงแสดงความขลังค์ทางวัตถุของมหาอาณาจักรแห่งนี้ไว้อย่างตื่นตาแต่เป้าหมายที่เค้ามองไปนั้นกลับเป็นที่ๆมีหลุมศพจำนวนมากของเหล่าทหารในอดีต

    "ฉันไปดูตรงนั้นหน่อยนะเดี๋ยวมา~ ~"

    ฟาเรลวิ่งไปทางพื้นที่สุสานอย่างรวดเร็วโดยที่โซเรียน้องสาวของตัวเองนั้นยังตื่นตากับการสเก็ตภาพของซากปรักหักพังพวกนี้จนไม่รู้ว่าโดนทิ้งให้อยู่คนเดียวซะแล้ว

    "ฟาเรล...พี่คิดว่าฉันจะวาดรูปตรงใหนก่อนดีล่ะ...ฟาเรล..ฟาเรล...คุณพี่!!"

    เธอเริ่มไม่ค่อยพอใจเล็กน้อยที่พี่ชายของเธอนั้นไม่ยอมตอบกลับมาโดยที่ตัวเองยังไม่หันไปมองดูเลยว่าพี่ชายของเธอนั้นวิ่งไปคนละทิศละทางกับที่เธอยืนอยู่ไปแล้ว

    "ทำอะไรอยู่หรือโซเรีย?..ถ้าไม่ว่าอะไรยังไงก็ไปเดินเล่นกับชั้นเอามั้ยตรงจุดชมวิวตรงนั้นน่ะมีวิวสวยมากเลยเหมาะแก่การวาดรูปมากๆเลยนะ"

    ขณะที่เธอกำลังไม่พอใจพี่ชายของเธอเองอยู่นั้นก็มีเด็กหนุ่มกลุ่มนึงเดินเข้ามาชวนเธอเหมือนว่าพวกเค้าอยากให้เธอไปด้วยกันกับเค้ายังไงยังงั้น.

    แต่เธอก็ไม่ได้รู้เหมือนกันว่าเค้ากำลังชวนเธออยู่แล้วเธอค่อยสะบัดผมที่ปลิวไสวเพราะแรงลมแล้วเดินไปทางสุสานที่พี่ชายเธออยู่ปล่อยให้พวกผู้ชายคนอื่นๆยืนเก้อ

    ขณะที่ฟาเรลนั้นก็ยืนอยู่หน้าหลุมศพจุดนึงที่มีการตกแต่งแกะลวดลายบนหน้าหลุมอย่างงดงามพร้อมกับค่อยๆวางดอกไม้สีขาวลง1ดอกตรงหน้าหลุมศพที่เค้ามองดูด้วยความภาคภูมิอะไรบางอย่าง

    "ไม่เคยยักกะรู้นะ...ว่าพี่ชายของชั้นที่ติดอยู่กับความไฮเทคของวิทยาการในปัจจุบันจะมาหาที่พักของบรรพชนแบบนี้ด้วย"

    โซเรียที่เดินมาข้างหลังฟาเรลพูโหยอกล้อเค้าไปล็กน้อยแต่พอเธอมองสีหน้าที่อิ่มเอิบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะมาคอยดูเค้าอย่างใกล้ชิด

    "โซเรีย...รู้รึเปล่าว่าบรรพชนของฉันน่ะเป็นยอดนักรบและนักปกครองที่ห้าวหาญมากเค้ายอมที่จะถูกคนทั่วไปตรงหน้าว่าเป็นผู้ก่อสงคราม...แต่ชั้นรู้...ว่าที่เค้าทำไปนั้นก็เพื่อช่วยเหลือผู้คนในอาณาจักรนี้...แล้วเธอคิดว่ายังไงบ้าง"

    "ฉันเหรอ...ไม่รู้สิ...ก็ชั้นไม่มีสายเลือดแท้ๆอย่าพี่นี่...ชั้นมันก็เป็นเด็กที่คุณแม่กับคุณพ่อของพี่ให้การอุปการะเท่านั้นเองคงไม่มีสิทธิไปออกความเห็นอะไรได้หรอก"

    โซเรียสีหน้าสลดลงในทันทีที่พูดถึงว่าตัวเองนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่ลูกแท้ๆหรือไม่ใช่พี่น้องแท้กับฟาเรลเลยเป็นเพียงลูกบุญธรรมของครอบครัวนี้เท่านั้น

    "ยายบื้อ..."

    "ว่าไงนะ!!"
    โซเรียกลับมาเข้าสภาพแกร่งเหมือนเดิมในทันทีหลังจากโดนพี่ของเธอนั้นล้อเข้าไปแต่เธอนั้นก็รู้สึกสบายใจและปลอดภัยเมื่อมีพี่ชายคนนี้อยู่เคียงข้างเธอ

    "ไปกันเถอะ..."
    ฟาเรลจับมือโซเรียไว้แล้วเริ่มจะเดินไปทางอื่น

    "ปะ..ไปใหนล่ะ?"

    โซเรียเริ่มกะอุกกะอักทำไรไม่ถูกนักหลังจากพี่ชายของเธอกำมือเธอไว้แน่นแต่เธอก็ยังทำท่าทางขึงขังเก็บความอายคราวนี้ไว้

    "ก็เธอจะวาดรูปไม่ใช่หรือไงชั้นก็จะพาเธอไปจุดมุมที่วาดยากๆเองไงล่ะ...ใหนๆเธอก็ช่วยปลุกไม่ให้ชั้นพลาดโอกาสมาพบบรรพชนในครั้งนี้น่ะ"

    เด็กสาวสีหน้ายิ้มหวานชื่นมื่นใจแล้วกลายเป็นฝ่ายเดินนำลากพี่ชายของเธอไปเองบ้างด้วยสีหน้าที่ยิ้มแป้นอย่างสุขใจจนเวลานั้นล่วงไปถึงช่วงค่ำคืน

    "วันนี้ได้รูปมาเยอะมากเลยยังงี้คงต้องขอบคุณพี่แล้วสินะ"

    "คืนนี้ก็ให้ระวังพวกแฟนคลับด้วยล่ะเพราะตอนที่ชั้นให้เธอขี่หลังเพื่อวาดรูปจากมุมสูงน่ะพวกนั้นมองชั้นตาวาววับเลย"

    "รู้แล้วค่า...พี่ชายสุดเลิฟ...ขอบคุณที่เป็นห่วง"

    โซเรียยิ้มให้โดยทั้งคู่ต่างเดินแยกทางไปห้องพักของตัวเองคนละทางกันแต่โซเรียนั้นก็ยังเหลียวหลังมามองฟาเรลที่เดินกลับไปอย่างไม่คิดอะไรมากนัก

    ในค่ำคืนนั้น

    "จงมา...มาช่วยสร้างอดีตให้เป็นจริง...ดั่งชีวิตที่เดินอย่างไม่หลงทาง...เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยพวกเราได้...เจ้าเท่านั้น"

    ฟาเรลลุกขึ้นมาในทันทีที่เสียงเย็นหนาวสันหลังจบหายไปหน้าของเค้านั้นชะโลมไปด้วยเหงื่อเม็ดโตๆหลายเม็ดและในทันใดนั้นร่างของเค้าราวกับว่าไม่มีแรงต้านสิ่งใดๆร่างนั้นเดินไป...ออกนอกประตู....เดินไปตามทาง....พื้นถนนที่มืดมิดร่างของเค้านั้นราวกับว่าค่อยๆล่องลอยไปทางวาร์ปสู่อาณาจักร ดีลาเว่น

    "ทำไมกัน...ทำไมเราถึงไม่มีแรง..."

    คำถามนี้วนเวียนในหัวของฟาเรลตลอดเวลาร่างของเค้าตอนนี้ราวกับไม่ใช่ร่างแท้ๆของเค้าเองตัวเค้าลอยไปตามแรงของคนอื่น..ใครบางคน...

    จนกระทั่งร่างของฟาเรลนั้นยืนอยู่บนกลางพื้นหญ้าเขียวขจีที่รอบๆตัวเค้านั้นมีรอยหญ้าที่ถูกถางเป็นเส้นแนวยาวที่ถ้ามองจากข้างบนฟ้าเส้นเหล่านั้ก็ราวกับอักษรอักขระอะไรบางอย่าง

    "นี่มันอะไรกัน?..."

    เด็กหนุ่มได้เพียงแค่คิดอยู่ในใจตัวเองแต่ขณะที่ร่างของเค้านั้นเริ่มที่จะควบคุมเองได้แล้วเค้ายื่นมือไปคันบังคับที่แขนซ้ายเพื่อกลับไปที่พักของเค้า...แต่มือของเค้านั้นกลับแข็งนิ่งไม่ไหวติง

    ร่างของเค้าเริ่มส่องแสงประกายตรงกลางศีรษะเป็นลายอักษรบางอย่างและแสงที่พื้นตรงจุดที่หญ้านั้นถูกถางก็เริ่มทำปฎิกิริยากับรอยบนหน้าผากของเค้าด้วยการส่องแสงราวกับตอบสนองซึ่งกันและกัน

    "นี่...นี่มันอะไรกัน!!!!!ใครก็ได้...บอกชั้นที้!!!!!!!!!!"

    สิ้นเสียงที่ตะโกนลั่นไปทั่วพื้นหญ้านั้น...โซเรียที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาราวกับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง....สิ่งนั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเอาซะเลย....แต่ตอนนี้เธอก็ทำอะไรไม่ได้....เพราะมันดึกมากแล้ว....แต่เธอนั้นก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้พี่ชายที่เธอรักที่สุดนั้น...ได้จากเธอไปแล้ว

    ---------------------------------------------------------------------------

    "เหวอ"ฟาเรลที่ล่องลอยอยู่ในห้วงอะไรบางอย่างที่สภาพรอบๆนั้นเป็นสีเขียวโพลนพอเค้าสังเกตุดีๆก็เห็นว่ามีนาฟิกาเรือนใหญ่จำนวนหลายหมื่นเรื่อนกำลังหมุนหน้าปัดอย่างรัว

    จนตอนนี้เค้าได้มองเห็นแสงสว่างนึง...ส่องจ้าตรงหน้าของเค้า...พอเค้าไปถึงจุดแสงตรงนั้นได้ร่างของฟาเรลก็ร่วงลงบนพื้นหญ้ากระแทกอย่างแรงจนดวงตาของเค้านั้นพร่ามัวไปหมด...และเค้าก็ได้เห็นอะไรบางอย่าง

    "ดูสิ..."มีกลุ่มคนกลุ่มนึงที่สวมฮู้ทสีดำสีเทาสีขาวสลับไปกันรวม5คนที่ยืนล้อมเค้าอยู่โดยที่ฟาเรลเองก็ยังพอมีสติที่จะมองพวกนั้นแต่เค้าเองก็ไม่มีแรงที่แม้แต่จะพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้

    "ยังเด็กอยู่เลยนี่..."ชายคนหนี่งกล่าว

    "แต่ซักวันเด็กคนนี้มีลางว่าจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน"คนอีกคนที่น้ำเสียงน่าจะเป็นผู้หญิงได้พูดไว้หลังจากชายคนเมื่อกี้พูดก่อนหน้านั้น

    "เจ้าหนูนี่แหละที่จะเป็นความหวังของพวกเรา...ดีลาเว่น"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×