ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SF HAEEUN'S STORY

    ลำดับตอนที่ #6 : เจ้าชู้ 4 100%

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 870
      8
      17 พ.ย. 55

    4

    EH ::  ฉันมองทงเฮจากตรงนี้ได้ใช่มั๊ย

    DH :: อยู่กับผมนะครับ เพราะพี่คือหัวใจของผม

     

     

     

     

    ปล่อยให้ฮยอกแจร้องไห้ได้ซักพัก ทงเฮก็ค่อยๆประคองร่างบางลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือให้เดินลงไปข้างล่างด้วยกัน แต่ทว่าฮยอกแจขืนตัวไว้เต็มที่ พอหันมามองก็พบว่าใบหน้าหวานนั้น ส่ายไปมาน้อยๆ ดวงตาแดงช้ำ ยังเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆ ทงเฮเพียงแค่ส่งยิ้มให้พร้อมทั้งกระชับมือเล็กให้แน่นขึ้น

     

    “เรายังจับมือกันอยู่  เพราะฉะนั้น อย่ากังวลไปเลยนะครับ”

     

    มันก็แค่คำพูดธรรมดาๆ ที่คนทั้งโลกก็พูดได้ หากแต่ฮยอกแจกลับรู้สึกอุ่นใจ เพราะคนที่กำลังกุมมือตัวเองไว้เป็นคนพูดมันออกมา  แรงบีบกระชับมือตอบกลับมาทำให้ทงเฮชะงักไปเพียงชั่วครู่ ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย แม้ไม่ต้องหันกลับไปดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหน

     

    “เราจะไปไหนกันหรือ”

     

    เสียงหวานเอ่ยถามเมื่อทงเฮพาเดินออกมาไกลจากตัวบ้าน พอสมควร ทิวสนเรียงรายทอดยาว ขนานไปกับหาดทรายสีขาวยาวจนเกือบสุดสายตา  มือเรียวกระตุกอีกฝ่ายเล็กน้อยเมื่อหันไปมองภาพตรงหน้าเต็มๆตา ทงเฮเองก็หยุดเดินแล้วปล่อยมือเรียวนั้นออก   แล้วยืนมองฮยอกแจที่กำลังเดินไปข้างหน้าช้าๆ

     

    แสงแดดอ่อนๆอาบไล้ไปทั่วทั้งผืนน้ำและผืนทราย ทงเฮยืนทอดมองคนที่ทั้งใจบอกว่ารักกำลังก้าวช้าๆไปยังท้องทะเลสีฟ้าใส  ฮยอกแจยิ่งดูผอมบางเมื่อมองจากมุมนี้ เสื้อยืดพอดีตัว กับกางเกงขายาวสีขาวพับขาขึ้นมาจนถึงครึ่งแข้งเพื่อไม่ให้เปียกน้ำ รองเท้าแตะหูคีบถูกทอดทิ้งไว้บนพื้นทราย แล้วเจ้าตัวก็ค่อยๆก้าวย่ำเข้าไปแตะผืนน้ำทีละน้อย  เหยียบย่ำเดินเล่นไปมา บางคราวก็ยืนนิ่งๆ ให้น้ำพัดเข้ามากระทบขาเล่นๆ ทำเช่นนั้นอยู่ซักพักก็หันมาหาโบกมือ พร้อมส่งยิ้มสดใสเรียกให้อีกคนที่อยู่บนฝั่งลงไปเล่นด้วยกัน

     

    “อ้ะ...ทงเฮ”

     

    “ชู่วว์  อยู่นิ่งๆแบบนี้ซักพักนะครับ”

     

    แรงสวมกอดจากด้านหลังทำให้ฮยอกแจทำท่าจะหันไปมอง ทว่ากลับมีมือหนาของใครอีกคนเอื้อมมาปิดตาไว้พร้อมกับจับใบหน้าให้หันไปทางเดิม  ฮยอกแจรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดที่แสนอบอุ่น ที่กอดรัดตัวเองไว้ ตอนนี้ทงเฮคงกำลังเกยคางไว้บนไหล่ของเขา มือซ้ายเอื้อมมาปิดตา มือขวาก็ยังคงกอดกระชับเอวเอาไว้ ฮยอกแจแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวพิงอกอุ่นที่คุ้นเคย

     

    “ผม....”

     

    “คิดดีแล้วหรือทงเฮ”

     

    ยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบเสียงหวานก็เอ่ยขัดขึ้นมาราวกับนั่งอยู่ในใจของเขา น้ำเสียงของฮยอกแจยังคงอ่อนหวาน เรียบเรื่อยไม่แสดงอาการใดๆ รอยยิ้มก็ยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ทงเฮรู้ว่าตัวเองพลาดที่อึกอักกับคำถามของอึนนา แต่มันเพราะว่าตอนนั้นไม่เคยมีใครมาถามเขาตรงๆแบบนั้น

     

    “ฉันน่ะ...ต่อให้ทงเฮไม่รักก็ไม่เป็นไร”

     

    “ฮยอกแจ...”

     

    “ต่อให้ทงเฮไม่กล้าบอกใครว่ารักกันก็ไม่เป็นไร”

     

    “.......”

     

    “ฉันน่ะ....”

     

    สัมผัสที่ชื้นอยู่ที่ฝ่ามือบอกทงเฮได้เป็นอย่างนี้ เขาเลยเลือกที่จะกระชับอ้อมกอดของตัวเองให้แน่นขึ้น อยากจะขอโทษฮยอกแจเป็นพันๆครั้ง แต่ก็รู้ว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับน้ำตาของฮยอกแจ 

     

    “ฉันน่ะ เชื่อที่หัวใจทงเฮบอกฉันนะ”

     

    “ฮยอกแจอา....”

     

    “เพราะฉะนั้น  ฮึ่ก...ถึงทงเฮจะไม่กล้าบอกใคร...”

     

    “พี่ครับมันไม่ใช่”

     

    “แต่ฉันก็ยังรักทงเฮนะ”

     

    ไม่รอให้ร่างบางเอ่ยคำพูดทำร้ายจิตใจดวงน้อยๆ ไปมากกว่านี้  ทงเฮจับพลิกร่างบางหันมาเต็มตัว  ประกบริมฝีปากลงไปขบเม้มเบาๆ  มือหนาประคองใบหน้าเรียวไว้  บดเบียดริมฝีปากลงไปให้แนบแน่น ไม่ได้ล่วงล้ำไปกว่านั้น  ฮยอกแจเองที่ตกใจก็ได้แต่เบิกตากว้าง จนกระทั่งทงเฮผละริมฝีปากออกห่าง และได้สบตากันชัดๆ นัยน์ตาทงเฮยังคงทำให้ฮยอกแจหวั่นไหวได้เหมือนเคย  จนทนมองไม่ไหวจึงได้ก้มหน้าหลบสายตา แต่ทว่าแก้มที่แดงก่ำลามจนถึงใบหูมันก็ฟ้องทงเฮได้อยู่ดีว่าตอนนี้ใบหน้าฮยอกแจจะแดงเรื่อถึงเพียงไหน

     

    แรงกระแทกเบาๆที่หน้าผากทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาที่ทำให้ตนใจสั่นนั้นเข้ามาใกล้กว่าเดิม รอยยิ้มละมุนละไมของทงเฮยังคงส่งมาให้ แกล้งให้ใจเต้นแรงขึ้นเหมือนเดิม

     


     

    “ผมรักพี่นะครับ รู้มั๊ย ว่าอีทงเฮคนนี้รักพี่ไปแล้วนะครับ”





    -------------------------------------------------------

     


     

    มองโครงหน้าหล่อเหลาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน  หากแต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่มักทอดมองเขาด้วยความอบอุ่น ฮยอกแจก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองไม่ได้หูฝาดไป ทงเฮยังคงมองมาที่เขาเช่นเดิม รอยยิ้มก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม และตอนนี้ ฮยอกแจเห็น...เห็นตัวเองอยู่ในดวงตาของทงเฮ

     

     

     

     

    “ว่ายังไงครับ ผมรักพี่นะ พี่ล่ะ รักผมมั๊ย”

     

    “อะ...อะไรเล่า”

     

    มาถามกันแบบนี้ ฮยอกแจก็แย่สิ! จะถอยหนีก็หนีไม่ได้ แขนของทงเฮโอบรอบตัวเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะหนีก็ไม่ได้ จะเงยหน้าจ้องตากันก็ไม่ไหว ดวงตาทงเฮมีอะไรอยู่มากมายเสียเหลือเกิน

     

    “เห็นอะไรมั๊ยครับพี่ฮยอกแจ”

     

    “อะ..อืออ”

     

    “เห็นอะไรหรอครับ คนดี”

     

    ไม่พูดเปล่า ทงเฮยังขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้ฮยอกแจเกิดอาการใบ้กินหนักขึ้นไปอีก ใบหน้าหวานหันซ้ายหันขวา อย่างจะต้องการหาทางออก แต่มันก็ไปไหนไม่ได้ในเมื่ออ้อมแขนของทงเฮยังคงกักตัวเขาไว้แบบนี้  ฮยอกแจจึงได้จ้องแผ่นอกกว้าง ราวกับมันมีอะไรให้น่าค้นหาอยู่เสียมากมาย

     

    จุ๊บ

     

    ใบหน้าหวานขึ้นสีแดงก่ำทันที เมื่อจังหวะที่เขากำลังจะเงยหน้าขึ้นสบตากับใครอีกคนนั้น กลับมีแรงดึงรั้งตัวเขาเข้าไปกอดไว้แน่น และนั่นก็ทำให้ริมฝีปากสีเชอร์รี่ประทับลงเบาๆบนแผ่นอกกว้างที่ฮยอกแจจ้องอยู่เมื่อครู่ ซึ่งเรียกเลือดให้กระจุกกันที่แก้มใสได้ไม่ยากเลย มิหนำซ้ำอีทงเฮที่ดูเหมือนจะตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นยังเอ่ยแซวเขามาอีก

     

     

    “อา...อยากจูบหน้าอกผมก็ไม่บอก”

     

     

    ไม่ใช่แบบนั้นสะหน่อย!!!

     

     

    หลังจากแกล้งฮยอกแจให้ได้เขินอายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ทงเฮก็ผละตัวออกมา ยืนอมยิ้มมองฮยอกแจที่ตอนนี้ทั้งหน้าทั้งตาแดงก่ำไปหมด  ยอมรับว่าสเปคของอีทงเฮมันแตกต่างกับคนตรงหน้าไปคนละขั้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นอุปสรรคเลย เพราะฮยอกแจเปรียบเสมือนสิ่งที่เขาโหยหายมาทั้งชีวิต

     

     

    “ทงเฮ กลับกันเถอะ”

     

    “หื้มม ทำไมล่ะครับไม่อยากอยู่กับผมสองต่อสองแล้วหรอ”

     

    “คือ ไม่ใช่อย่างนั้น”

     

    “งั้นก็แสดงว่าอยากอยู่กับผมสองต่อสองหรอครับ”

     

    ใบหน้าแดงก่ำกับดวงตากลมโตที่มองค้อนมา เรียกเสียงหัวเราะจากทงเฮได้ไม่น้อย  เวลายิ้มฮยอกแจว่าน่ารักแล้ว แต่เวลากลับน่ารักกว่าอีกหลายเท่า อดไม่ได้ที่จะกดจมูกลงแก้มนิ่มนั่นไปแรงๆ เสียหนึ่งฟอดให้ชื่นใจ แล้วนั่นก็ยิ่งทำให้แก้มใสที่ขึ้นสีเรื่ออยู่แล้วขึ้นสีจัดมากเข้าไปอีก ฮยอกแจเองก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองค้อน ใบหน้าหล่อเหลาที่เต็มกำลังยืนยิ้มเสียจนน่าหมั่นไส้

     

    ทำไมทงเฮถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ!!

     

     

     

     

     

     

     

    กว่าจะเดินกลับมาถึงบ้านพักของคิบอมก็สายมากแล้ว  ฮยอกแจเห็นทุกๆ คนอยู่ในชุดลำลองสบายๆ ขาสั้น ในอิริยาบถต่างๆกันไป ก็หันมาหาทงเฮส่งสายตาเป็นเชิงถาม ก่อนจะได้รอยยิ้มกลับมาเป็นคำตอบ

     

    “จะไปถ่ายรูปทำงานกันที่เกาะน่ะครับ”

     

    “อ้าว ไหนว่ามาพักผ่อนไง”

     

    “ก็พักผ่อนไปในตัวด้วยไง”

     

    เป็นซองมินที่ตอบแทนขึ้นมาให้ ก่อนจะเร่งให้ทั้งสองคนขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมของให้พร้อมสำหรับไปเกาะ นี่ก็เลยเวลามามากแล้ว ถ้าช้ากว่านี้ แสงแดดที่เกาะจะไม่สวย ทำให้ต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ อีกหนึ่งวัน ทงเฮพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะปล่อยมือฮยอกแจออกเดินแยกไปหยิบโทรศัพท์ทั้งของตัวเองและฮยอกแจมาส่งให้ร่างบาง โดยที่ไม่ลืมคว้ากล้องตัวโปรดคล้องคอ ติดมาด้วย

     

     

     

    หลังจากลงเรือเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังเกาะซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร ฮยอกแจยืนเกาะกราบเรือ ยิ้มรับลมเย็น และไอน้ำที่กระเซ็นมาโดนตัวเล็กน้อยอย่างสดชื่น ซึ่งทงเฮที่เฝ้ามองอยู่ตลอดนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพของฮยอกแจเอาไว้

     

     

    “ทำเป็นหนุ่มน้อยแอบปิ๊งสาวไปได้”

     

    “ตัวยุ่งดีแท้”

     

    อีซองมินทำหน้าบูดใส่เพื่อนรัก เมื่อทงเฮตอบกลับมาแบบนั้น   ค้อนลมค้อนฟ้าได้สักพัก ก็เดินกระแทกปึงๆ ไปทางคยูฮยอน ที่กำลังนั่งจิบไวน์อยู่อีกฝั่งของดาดฟ้าเรือ ทงเฮมองตามยิ้มๆ ก่อนที่จะหันไปอีกด้าน ที่มีคนมาใหม่ มายืนท้าวแขนพิงอยู่ ใบหน้าเจ้าเสน่ห์แย้มยิ้มให้ จนทงเฮนึกอยากหาอะไรมาฟาดแก้มให้มันบวมไปมากกว่านี้

     

    “ไม่ต้องมารู้ทัน”

     

    “กูกับมึงรู้จักกันมากี่ปีครับ”

     

    “ตั้งแต่มึงเรียกชื่อแม่กูคล่องนั่นแหละ”

     

    ทงเฮถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ เมื่อคิมคิบอม ก็ยังคงเป็นคิมคิบอมที่ฉลาดเป็นกรดอยู่วันยังค่ำ  รู้จักกันมา ตั้งแต่คลานได้ พูดคล่อง ทำไมทงเฮจะไม่รู้ ว่าไอ้ยิ้มอย่างนั้นหมายความว่ายังไง แน่ล่ะ คิมคิบอมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อ่านใจทงเฮออก และตอนนี้มันก็อ่านออกไปถึงก้นบึ้งเลยด้วยซ้ำ ถึงได้มาทำหน้าตารู้ทันอยู่ข้างๆแบบนี้

     

    “บอกเขาไปหรือยังล่ะ”

     

    “อืมม บอกไปแล้ว”

     

    เลิกคิ้วเล็กน้อย พลางหันมามอง อดจะแปลกใจไม่ได้ ว่าคาสโนว่าอย่างทงเฮ จะผูกมัดตัวเองไว้กับใครสักคนเร็วขนาดนี้

    หลังจากที่ทงเฮเป็นเสือผู้หญิงหลายปี เรียกได้ว่าตั้งแต่โตมา มีหน้าตาหล่อๆกับยิ้มหวานๆ เป็นอาวุธ ทงเฮก็ไม่เคยคิดจะหยุดตัวเองกับใครเลยแม้แต่น้อย

     

    “คนนี้ตัวจริงหรอวะ”

     

    “ถ้ามีลูกได้ ก็เป็นแม่ของลูก”

     

    “แล้วบรรดาคนในคลังมึงล่ะ”

     

    “ต่อจากนี้จะมีแค่เขาเท่านั้น”

     

    คิบอมหันมามองทงเฮ แล้วก็พบว่า ดวงตาที่เคยแพรวพราว ตอนนี้กลับทอดมองไปยังใครอีกคนที่กำลังยืนยิ้มสบายๆ รับไอทะเลอยู่ที่กราบเรือ อย่างอบอุ่น มันเป็นสายตาที่คิบอมก็บอกไม่ถูก แต่ก็กล้าเทพนันหมดหน้าตัก ว่าอีทงเฮคงไม่เคยใช้สายตานี้มองใครที่เคยควงด้วยแน่นอน มันทั้งรัก ทั้งหวงแหน ทั้งอบอุ่น  เชื่อว่าถ้าพี่ฮยอกแจหันมาเห็นแบบนี้ คงเขินแน่ๆ

     

     

    “เดี๋ยวกูซื้อ  ที่ประคบไว้รอ”

     

     

     

    กูขอบใจนะคิมคิบอม! =  =

     









     

     

    ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็เดินมาถึงเกาะที่พวกคิบอมต้องมาทำงาน ฮยอกแจตาโตทันที เมื่อเห็นว่า น้ำทะเลของที่นี่ใสเสียจนเห็นพื้นทราย ขาวละเอียด ทงเฮมองภาพนั้นยิ้มๆ ก่อนจะก้าวลงจากเรือไปก่อน แล้วส่งมือมาให้อีกคนที่กำลังจะก้าวตามลงมา ฮยอกแจมองมือนั้นงงๆ แต่เมื่อทงเฮยังคงส่งมือมาให้ และพยักหน้าให้เป็นเชิงจับไว้ ฮยอกแจก็ไม่ได้ลังเลอะไร มือเล็กจับลงไปบนมือของอีกคนแล้วค่อยๆประคองตัวลงมาทันที  ซึ่งมันก็ไม่พ้นสายตาของอีซองมิน กับโจคยูฮยอนไปได้  คยูฮยอนสะกิดซองมินให้หันมา ก่อนที่ซองมินจะรีบยกกล้องขึ้นเก็บภาพไว้ได้ทัน ไม่รู้ว่ากี่ช็อตที่เก็บได้ แต่ซองมินมั่นใจ ว่าเค้าถ่ายได้ตั้งแต่ตอนที่ฮยอกแจจับมือทงเฮจนก้าวลงมายืนบนพื้นน้ำได้สำเร็จ ฮยอกแจก้มลงมองน้ำที่สูงกว่าที่คิดไว้เล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองทงเฮ แล้วก็หัวเราะกันทั้งสองคน 

     

    “คยูฮยอนอา ฉันเขินสองคนนั้นชะมัด”

     

    “นายได้รางวัลอีกแล้วมั้งซองมินงานนี้”

     

    ซองมินยิ้มกว้าง พลางก้มมองรูปที่ตนถ่ายไว้เมื่อครู่ ก่อนจะยิ้มตามออกมา เมื่อนึกถึงหัวข้อคราวนี้ ที่ตนได้มา ตอนแรกก็กะจะขอร้องให้ทั้งทงเฮและฮยอกแจเป็นแบบให้ แต่ทว่าดูท่าแล้วซองมินคงไม่ต้องแล้วล่ะ เพราะทั้งคู่นั้นมีรอยยิ้มให้กันอยู่เสมอ  ซองมินหันไปยิ้มกว้างให้คยูฮยอน  พร้อมทั้งพยักหน้า เป็นเชิงเห็นด้วย แล้วก็หันกลับไปมองทางสองคนนั้นอีกครั้ง ก็พบว่ากำลังจับจูงกับเดินเล่นเลียบหาดทรายละเอียดไปอีกทาง ฮยอกแจพับขากางเกงขึ้นให้สูงอีกนิด มือซ้ายหิ้วรองเท้าแตะหูคีบของตัวเอง ส่วนทงเฮที่อยู่อีกข้าง ก็ถอดรองเท้าออกใช้อีกมือหิ้วรองเท้าไว้เช่นกัน   ทั้งคู่ไม่จับมือกันแน่นหนา แค่ปลายนิ้วก้อยเกี่ยวกันไว้ก็เท่านั้น  ซึ่งนั่นทำให้ซองมินถึงกับยกกล้องขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้มันจะไม่เกี่ยวกับหัวข้อของเขาเลยสักนิด แต่ทว่าซองมินรู้สึกถึงอะไรบางอย่างรอบตัวสองคนนั้น

     

     

    นี่ล่ะมั้ง ที่เขาเรียกว่า ความรักลอยวน อบอวลอยู่รอบตัว 

















    “ฮยอกแจชอบทะเลหรอครับ”

     

    ฮยอกแจหันมาพยักหน้าให้แรงๆ พร้อมกับยิ้มเสียเต็มแก้ม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ทงเฮยกกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ไปพอดี ซึ่งนั่นทำให้ฮยอกแจโวยวายลั่น ว่ายกกล้องขึ้นมาซะชิดกันแบบนี้ หน้าฮยอกแจไม่บานเป็นกระด้งไปเลยหรือไง

     

    “เดินไปทางนั้นอีกหน่อยจะมีต้นไม้ที่นั่งเหมือนชิงช้าได้ ยื่นไปทะเล อยากไปลองมั๊ยครับ”

     

    “อยากสิ!

     

    ฮยอกแจตอบกลับเสียรวดเร็วจนทงเฮต้องหัวเราะออกมาดังๆ ฮยอกแจเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นยามได้มาออกแคมป์เข้าค่ายลูกเสือ เจอนั่นก็ตื่นตา เจอนี่ก็ตกใจ นัยน์ตาเรียวรีใสแจ๋วราวกับลูกแก้ว เต็มไปด้วยประกายแห่งความสุข จนต้องเอื้อมไปลูบแก้มใสนั้นเบาๆ

     

    “ยิ้มเยอะๆนะครับ ผมชอบรอยยิ้มของฮยอกแจที่สุด”

     

     

     

    อ่า...ใครก็ได้ช่วยช็อตฮยอกแจที ทงเฮแอทแทคแบบนี้ ฮยอกแจไปไม่เป็น T////////T

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “เหยดดดด แปดนิ้วว่ะ”

     

    เสียงแซวดังขึ้นมาเมื่ออีทงเฮทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะประจำที่โรงอาหาร  คิ้วเข้มขมวดคิ้วมุ่นอย่างอารมณ์ พร้อมๆกับใช้ลิ้นดุนกระพุ้งแก้มข้างที่มีรอยแดงประดับอยู่แปดนิ้ว

     

    “กูบอกแล้วว่าให้ซื้อยาแก้ช้ำให้มัน”

     

    “ถ้าพวกมึงไม่ซ้ำจะเป็นพระคุณอย่างสูง”

     

    ทงเฮหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อนฝูงที่กำลังนั่งหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ตั้งแต่กลับมาจากทะเลสุดสัปดาห์ที่แล้ว เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า ต้องจัดการกับบรรดาเด็กในสต๊อกให้เรียบร้อย เพราะเค้าไม่อยากให้ฮยอกแจต้องมาเสียใจอีกครั้ง แต่ดูท่า การบอกเลิกคงไม่ได้สวยหรูอย่างที่ทงเฮคิด

     

    “แม่เจ้าประคุณพวกนี้ ตอนเลิกมือหนักงี้ทุกคนจริงๆ”

     

    อดจะซี๊ดปากไม่ได้  วันนี้บอกเลิกไปสองคน โดนตบมาทั้งสองครั้ง ยังดีไม่ตบซ้ำทับรอยเดิม ไม่งั้นหน้าทงเฮคงได้แสบชาไปเป็นชั่วโมงแน่ ๆ และแน่นอนว่า ฮยอกแจไม่มีรู้ถึงเรื่องเหล่านี้เป็นอันขาด เพราะอีทงเฮจะหลบหลีกจนกว่ารอยแดงบนใบหน้าจะหายแล้วค่อยถ่อไปเป็นสารถีคอยรับคอยส่ง เด็กอาร์ต แต่ดูท่าวันนี้จะผิดแผนไปหน่อย

     

    “ทงเฮ พี่ฮยอกแจมา”

     

    สะดุ้งโหยงสุดตัวราวกับทำความผิด แล้วหันไปที่ทางเข้าของโรงอาหาร ที่บัดนี้มีกลุ่มเด็กอาร์ตกลุ่มนึงเดินเข้ามา แม้จะไม่เป็นที่รู้จักของคนทั้งมหาวิทยาลัย หากแต่หน้าตาสไตล์การแต่งตัวของแต่ละคนก็เป็นจุดเด่นได้ไม่ยาก ทงเฮรีบก้มหลบเป็นพัลวัน เพราะรอยแดงที่หน้าคงยังไม่หายไปแน่ ๆ แต่ดูเหมือนมันจะไม่พ้น เพราะเห็นได้จากเพื่อนทุกคน กำลังโบกไม้โบกมือเรียกให้ฮยอกแจเดินมาทางนี้

     

    “ทงเฮเป็นอะไรน่ะ ไม่สบายหรือเปล่า”

     

    เมื่อมาถึง ก็อดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ คนที่ปกติมักจะส่งยิ้มให้ฮยอกแจเสมอ วันนี้กลับฟุบลงกับโต๊ะหลบหน้าหลบตาฮยอกแจไปเสียอย่างนั้น น้ำเสียงอ่อนนุ่มที่ส่งไปถามเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนในกลุ่มได้เป็นอย่างดี

     

    “พี่ฮยอกแจมาทำอะไรที่โรงอาหารนี้หรอครับ”

     

     “อ๋อ เดี๋ยวบ่ายมีโชว์ที่ใต้ตึกใหญ่น่ะ ที่นี่ใกล้เลยชวนกันมากินข้าวที่นี่”

     

    “นั่งด้วยกันมั๊ยครับ”

     

    เป็นคิมคิบอมที่ชวนคุยออกมา เมื่อเห็นว่าเพื่อนซี้ตัวเองยังคงฟุบหน้าหันหนีไปอีกทาง ฮยอกแจที่ไม่ได้เอะใจ ก็หันไปตอบรับด้วยรอยยิ้ม  และกำลังจะตอบตกลงด้วยซ้ำ ถ้าไม่มีเสียงทุ้มดังขัดขึ้นมาก่อน

     

    “ไม่ได้!!

     

    “หะ..เห ทงเฮ”

     

    “มึงไม่เห็นหรอว่าพี่เขามากับเพื่อน พวกเราอิ่มแล้วก็ลุกเหอะ เพื่อนพี่เขาจะได้นั่งด้วย”

     

    ไม่เพียงไม่ตอบคำฮยอกแจอย่างเคย ทงเฮกลับหันหลังให้ฮยอกแจเสียอย่างนั้น  ทำเอาฮยอกแจได้ยิ้มแห้งๆ ให้กับบรรดาเพื่อนของทงเฮที่ตอนนี้ก็นับได้ว่าสนิทกันพอสมควร

     

    “ไม่เป็นไรหรอก พวกนายนั่งเถอะ เดี๋ยวพี่กับเพื่อน คงซื้อไปกินกันใต้ตึก”

     

    ทงเฮถอนหายใจโล่งอก เมื่อได้ยินฮยอกแจพูดแบบนั้น ท่าทางที่ทำให้ฮยอกแจถึงกับชะงักงัน นัยน์ตาหม่นแสงลงเพียงนิด แล้วค่อยๆเดินกลับออกไป ทงเฮทิ้งตัวลงจะฟุบลงกับโต๊ะอีกครั้ง ถ้าไม่ติดที่ว่าฝ่ามือหนักๆ กำลังประเคนลงมาบนหัวเขาอย่างไม่ปรานีปราศัย

     

    “โอ๊ยๆๆๆ อะไรของพวกมึงวะ”

     

    “เพราะมึงโง่”

     

    “อะไรวะ”

     

    “โน่น มึงดูพี่ฮยอกแจโน่น เดินหงอยไปโน่นแล้ว”

     

    “....”

     

    “ก็มึงทำท่าประหลาดๆ อะไรของมึงล่ะ  เรื่องระหว่างมึงกับเค้า ยังเซนซิทีฟอยู่นะไอ้ทงเฮ”

     

    “เออ กูรู้ แต่กูอยากจัดการปัญหาให้มันเคลียร์ก่อน”

     

    ทงเฮทอดสายตามองตามกลุ่มของเด็กอาร์ต ที่ค่อยๆทยอยตัวออกห่างจากความวุ่นวาย หนึ่งในนั้นคือฮยอกแจ แต่ท่าทางยิ้มบางๆ กับการหยอกล้อของเพื่อนๆ มันทำให้ทงเฮรู้สึกแปลกๆ ในอก หวังว่ารอยยิ้มของทงเฮจะไม่คิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เหมือนทงเฮจะคิดผิดไปถนัด

     

    ตกเย็นของวันนั้น ทงเฮก็มารับฮยอกแจที่คณะเหมือนเคย แต่มันผิดไปจากปกติ เมื่อเพื่อนของฮยอกแจบอกว่า ร่างบางนั้นกลับบ้านไปแล้ว บอกว่าไม่สบายจึงขอตัวกลับก่อน ชายหนุ่มโค้งหัวให้เพื่อนของฮยอกแจก่อนจะรีบเดินเร็วๆกลับมายังรถสปอร์ตคันเก่ง คว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ติดต่อล่าสุด รอสัญญาณสักพักก็ถูกตัดทิ้งไป

     

    ไม่เกินครึ่งชั่วโมง รถคันครูของทงเฮก็เคลื่อนตัวมาจอดอยู่หน้าคอนโดของฮยอกแจ ทงเฮไม่รีรอที่จะขึ้นลิฟต์มายังห้องที่ตนคุ้นเคย  หากแต่จะเสียบคีย์การ์ดเข้าไปเลยก็คงเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป เขาจึงตัดสินใจส่งข้อความบอกว่าเขารออยู่หน้าห้องแล้ว ไม่นานเสียงเลื่อนโซ่คล้องประตูพร้อมๆกับเสียงปลดล็อคก็ดังขึ้น ใบหน้าของคนที่เขาหลบหน้าเมื่อกลางวันก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ทงเฮถึงกับเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น

     

     

    “ฮยอกแจ...”

     

    “เอ่อ เข้ามาก่อนสิทงเฮ”

     

    ฮยอกแจรีบหมุนตัวเร็วๆ เดินเข้าห้อง ทงเฮก็ไม่รอช้าที่จะเดินตามเข้ามา เขาปิดประตูให้เรียบร้อย และคว้าแขนเล็กที่มันมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ ไว้ได้ทันที่ฮยอกแจจะเข้าไปในห้องนอน

     

    “เกิดอะไรขึ้นฮยอกแจ”

     

    มือหนาจับร่างบางให้หันมาเผชิญหน้ากันเต็มตา  ร่องรอยฟกช้ำยังปรากฏอยู่บนหน้าฮยอกแจอย่างชัดเจน  รวมไปถึงแขนเรียวเล็กที่ช้ำจนทงเฮเชื่อว่า พรุ่งนี้เช้าตื่นมาฮยอกแจจะต้องปวดแน่ๆ  มือหนาลูบเบาๆ ตามรอยช้ำ  ฮยอกแจเงยหน้าขึ้นสบตาก่อนจะเสมองไปทางอื่น นัยน์ตาของทงเฮสะท้อนความเป็นห่วงออกมาจนใจเจ็บ  แต่คำพูดของผู้หญิงที่มาหาเรื่องเมื่อบ่ายนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว

     

     

    “อย่างแก ก็เป็นได้แค่ของเล่น เท่านั้นแหละ!

     

     

















     

    ฮยอกแจก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะก่อนที่จะออกไปพักกลางวัน ข้าวของทุกอย่างที่ตนลำบากลำบนเตรียมงานมาตลอดหนึ่งสัปดาห์นั้นพร้อมสมบูรณ์ดี  แต่เมื่อกลับไปแล้ว ฮยอกแจกลับพบว่า ภาพวาดของตัวเองนั้นกองอยู่กับพื้น ซ้ำยังถูกเทราดด้วยสีแดงจนไม่เห็นเค้ารางของภาพเดิม ร่างบอกบางวิ่งเข้าไปยังตัวการแล้วผลักออกไปเต็มแรง เขามองผลงานของเขา ผลงานที่ใช้เวลาเป็นเดือนๆสร้างสรรค์มันขึ้นมา ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียง เศษกระดาษใบใหญ่ใบหนึ่ง

     

    นัยน์ตาเรียวที่มักจะเป็นมีประกายสดใส และแสดงความเป็นมิตรให้กับทุกคน บัดนี้เต็มไปด้วยความโมโห ฮยอกแจโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาจำได้ว่า เขาต่อยผู้ชายที่ตัวเกือบจะเท่าชเวซีวอน ล้มคว่ำไปต่อหน้าต่อตาคนทั้งคณะ  แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ที่มาทำลายผลงานของเขา 

     

    “มาพังงานของฉันทำไม”

     

    ฮยอกแจถามเสียงใหญ่ ให้กับไอ้ถึกลำบึกที่กำลังลุกขึ้นยืนขึ้นปาดเลือดที่กลบปากตัวเองอยู่ตรงหน้า มันไม่ตอบคำถามของฮยอกแจ แต่พอมันลุกขึ้นได้ ก็ชกสวนฮยอกแจจนล้มคว่ำไปเหมือนกัน  ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม และฝ่ามือใหญ่บีบแขนเล็กไว้แน่น เมื่อฮยอกสวนกลับไป

     

    “สำหรับไอ้หน้าด้าน ที่ไปยุ่งกับของของคนอื่น แค่นี้ มันยังน้อยไป”

     

    เสียงผู้หญิงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฮยอกแจหันไปมอง คิมอึนนายืนอยู่ตรงนั้น กับกลุ่มนักศึกษาผู้หญิงอีกสี่ห้าคน ฮยอกแจมองหญิงสาวอย่างไม่น่าเชื่อสายตา คิดว่าเรื่องนี้มันคงจะจบไปตั้งแต่ที่ทะเลในวันนั้นแล้ว หากแต่ไม่ใช่เลย คิมอึนนา ยังคงจ้องจะทำร้ายอีฮยอกแจอยู่ตลอดเวลาให้สมกับความเจ็บปวดที่เธอได้รับจากพี่ทงเฮ ฮยอกแจชะงักค้างกับประโยคเมื่อครู่ ชายหนุ่มสะบัดมือที่โดนยึดไว้ออก

     

     

    “เผื่อเธอจะลืมไปนะคิมอึนนา...”

     

     

    ฮยอกแจหมุนตัวกลับเดินเข้ามาหาหญิงสาวด้วยท่าทีสบายๆ แต่ทว่าในความคิดอึนนานั้น อีฮยอกแจกลับดูน่ากลัวว่าเมื่อครู่ที่ชกเพื่อนเธอจนคว่ำเสียอีก  ใบหน้าซีกที่โดนต่อยเริ่มบวมช้ำ แต่ทว่าฮยอกแจก็ยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ ยิ่งก้าวเข้าใกล้ คิมอึนนายิ่งทำท่าจะถอยห่าง  แล้ววาจาที่เชือดเฉือนที่สุดเท่าที่คิมอึนนาเคยได้ยินมาก็ดังแผ่วอยู่ตรงหน้า

     

    “อีทงเฮ...เลือกฉัน ไม่ใช่เธอ”

     

     

    “อีฮยอกแจ!!!!  แก!!....อย่างแกก็เป็นได้แของเล่นเท่านั้น! เบื่อแล้วก็โดนเขาเขี่ยทิ้ง!

     

    “เหมือนเธอน่ะหรอ?”

     

    “แก!!!” 

     

    “หยุดนะ! นี่มันอะไรกัน”

     

    ดูเหมือนว่าคงจะมีใครไปตามอาจารย์ลงมาเพราะเหตุการณ์เริ่มบานปลาย  ฮยอกแจถูกว่ากล่าวตักเตือน เพียงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นนักศึกษาที่มีพฤติกรรมดีมาตลอด ไม่เคยมีเรื่องราวอะไร จึงไม่ได้ลงโทษตามกฎ ส่วนคิมอึนนานั้น ถูกเชิญออกไปจากคณะอย่างสุภาพที่สุด ทุกสายตามองกลุ่มของหญิงสาวราวกับเป็นตัวประหลาด  และเมื่อเรื่องทุกอย่างคลี่คลาย ฮยอกแจก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ งานของเขาได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำแสดง แต่จะให้คะแนนเหมือนเพื่อนก็คงไม่ได้ ฮยอกแจได้แต่ยอมรับในชะตากรรม ในเมื่อจะให้ทำใหม่ก็คงไม่ทัน

     

    ร่างบางพรูลมหายใจออกอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะคิดได้ว่า เขาควรจะรีบเคลียร์พื้นที่ตรงนี้ให้เรียบร้อย  อย่างไรเสียพวกนั้นก็มาเรื่องเขา ทำให้นิทรรศการวุ่นวายไปขนาดนี้  มือเรียว หยิบฉวยภาพเขียนลายเส้น ที่ลงแสงและเงาเป็นอย่างดีขึ้นมา อย่างเสียดาย นัยน์ตาหวานฉายแววเศร้า ที่ใครบางคนไม่ได้เห็นรูปนี้ ทว่าคำพูดของคิมอึนนากลับทำให้ฮยอกแจคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น เมือตอนกลาง วันที่ทงเฮหันหลังให้กันไปเสียอย่างนั้น

     

     

     

     







     

     

     

     

     

    “บอกผมได้มั๊ยคนดี ใครทำกับพี่แบบนี้”

     

    เสียงของทงเฮทำให้ฮยอกแจหลุดออกมาจากภวังค์  ฮยอกแจหันมองไปหน้าหล่อเหลาที่นั่งอยู่ข้างกัน ดวงตาของทงเฮยังคงสะท้อนภาพของฮยอกแจอยู่เสมอ และนั่นทำให้หยดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่นาน ค่อยๆกลิ้งไหลกระทบแก้มเนียน ทงเฮถึงกับเบิกตากว้าง มือหนา ปาดเช็ดน้ำตาบนแก้มให้อย่างแผ่วเบา แต่ไม่ว่าจะทำยังไง ฮยอกแจก็ยังไม่หยุดร้องไห้ จนสุดท้าย ทงเฮต้องรั้งมาไว้ในอกของตัวเอง กระซิบเสียงนุ่ม กดจูบลงบนกลุ่มผมเบาๆ อย่างปลอบโยน

     

    “เป็นอะไรไปคนดี ใครทำอะไร บอกผมสิครับ”

     

    “.....”

     

    “โธ่ ไม่เอานะ อย่าร้องนะครับ ผมอยู่นี่นะคนดี ผมอยู่กับฮยอกแจตรงนี้  หยุดร้องนะคนดี”

     

    เสียงสะอื้นยังคงมีเล็ดรอดมาให้ได้ยิน  ทงเฮร้อนใจ อยากรู้ว่าใคร ทำไม เพราะอะไร ฮยอกแจถึงได้เป็นแบบนี้ ในเมื่อเมื่อกลางวันนั้นถึงแม้จะไม่ได้หันไปมองชัดๆเต็มตา  ก็รู้ว่าฮยอกแจยังคงสดใสร่าเริงอยู่เหมือนเดิม

     

    “ไม่เอาแล้วนะครับ ผมไม่ให้พี่ร้องแล้วนะ”

     

    ดันร่างฮยอกแจออกจากอกเพียงเล็กน้อย แล้วใช้ปลายนิ้วโป้งปาดเช็ดน้ำตาให้แผ่วเบา นัยน์ตาสีน้ำตาลทอดมองมายังร่างตรงหน้าอย่างอบอุ่น จนฮยอกแจต้องเสมองไปทางอื่น กระนั้น ก็ยังไม่พ้นถูกทงเฮดึงไว้ สัมผัสแผ่วเบาที่เกลี่ยอยู่ตรงข้อมือที่ช้ำยังคงชัดเจน มือที่อุ่นจนร้อนก็บอกฮยอกแจได้เป็นอย่างดี ว่าทงเฮยังคงไม่ปล่อยมือจากไปไหน

     

    “ทงเฮ...”

     

    “....”

     

    “ฉัน..ไม่ใช่แค่ของเล่นใช่มั๊ย”

     

    “ฮยอกแจ! พูดอะไรออกมา!

     

    “ฉันน่ะ...ฮึ่ก..ไม่ใช่..ฮึ่ก แค่ของเล่นของทงเฮอย่างที่คิมอึนนาพูดใช่มั๊ย”

     

    น้ำตาของฮยอกแจร่วงหล่นลงมาอีกครั้ง ทงเฮมองมันด้วยความเจ็บปวดที่ฉายชัดบนใบหน้า ชื่อของคิมอึนนาทำให้เขานึกอยากจะไปกระชากหญิงสาว คนนั้นมาฉีกเป็นชิ้นๆ ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ตามที  ร่างสูงขยับลงไปนั่งยองเท้าบนพื้นห้อง พลางจับใบหน้าเล็กให้หันมาหาอย่างแผ่วเบา รอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากเรียวบางขยับยกยิ้มส่งให้ฮยอกแจ อย่างคุ้นเคย มือหนาที่กอบกุมกันไว้ ก็บีบกระชับเข้าหา ประคองมือเล็กให้อยู่ในอุ้งมือใหญ่ น้ำเสียงที่ไม่ว่าจะฟังกี่ทีก็อบอุ่นไปทั้งใจ เอ่ยช้าๆ อย่างชัดเจนให้คนฟังได้มั่นใจ

     

     

     

    “พี่ฮยอกแจครับ  พี่ คือ หัวใจของผม เป็นรอยยิ้มของผม เป็นคนสำคัญของผม  เป็นทุกอย่างของผม  เชื่อผมนะครับ  ....

     

     

     

     

    ......ผมรักพี่”

     

     

     

    TBC

     

     

    TALK ::: ยี่สิบหน้าเอสี่ ที่ดองนานมากมากมากมาก  TT กราบขอโทษคุณคนอ่านทุกคนด้วยนะคะ  ไม่มีอะไรจะบอก นอกจากคำว่า ตอนหน้าจบแล้ว ตอนนี้เลยตัดที่จบไม่ถูกกกกกกก มันเลยออกมาแบบนี้  โดยส่วนตัวเราเข้าใจความรู้สึกของพี่ฮยอกแจนะคะ ฮ่าๆ ค่อนข้างลึกซึ้งเลยทีเดียว ว่าทำไมเขาถึงไม่มั่นใจ ทำไมเขาถึงต้องหวั่นไหวไปกับพูดต่างๆนานา ทุกคนอาจจะคิดว่า ก็แค่เชื่อใจคนที่เรารัก มันไม่เห็นยากเลย  การที่เราจะรักและเชื่อใจใครสักคน มันยากนะคะ ถึงแม้จะเป็นคนที่เรารักก็เถอะ ไม่ใช่ว่าฮยอกแจไม่เชื่อทงเฮ เขาก็เชื่อ แต่ก็เพราะ สรรพคุณของคุณชายท่านขึ้นชื่อลือชา แล้วยังแม่สาวอึนนาที่ทำท่าจะจบไม่จบแหล่นั่นอีก มันไม่แปลกหรอกค่าที่จะไขว้เขว

     

    ขอบคุณทุกๆท่านที่แวะเข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคำติชมนะคะ เราจะรับไว้เพื่อปรับปรุงแก้ไขต่อไป อ้อๆๆ ใครไป SMTOWN บ้างงงง เจอกันได้น้า 555 เราก็ไป พึ่งตัดสินใจได้ว่าจะไป 555555

     

    สุดท้ายนี้ อย่าลืมไปโหวตกันน้า จุ๊บบบบบบบบ

     

    ลูกครึ่งแร๊พแด๊นซ์น้อมเคารพเจ้าค่า
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×