6โมงเช้า ท่ามกลางเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกสูงและ และรถราที่วิ่งไปมาอย่างสับสนวุ่นวาย ผู้คนทั้งหลายตื่นขึ้นในยามเช้าเพื่อเริ่มเช้าวันใหม่ที่สดใส หลายคนเร่งรีบที่เดินทางไปทำงาน รวมถึงวัยเรียนอีกหลายๆคนที่เริ่งรีบไปให้ทันเวลาเข้าเรียน ตลาดเต็มไปด้วยผู้คนเดินจับจ่ายใช้สอย พระกำลังยืนให้ศิลห้พรแก้ผู้มาใส่บาตร แต่ตัวฉันเองรณวีย์สาวน้อยผู้มีเรือนร่างอันอวบอั๋น ผิวขาวน้ำผึ้งกลับใช้ชีวิตที่แต่งต่างจากคนทั่วไป คงมีเพื่องไม่กี่คน หรือเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้นที่ใช้ชีวตเหมือนกันกับฉัน ยามแสงแห่งดวงอาทิตย์ลับฟ้า นั้นคือเวลาปห่งการพักผ่อน ตรงข้ามกับฉันที่ต้องเริ่มทำงาน ในขณะที่ผู้คนตื่นจากการหลับไหลในยามเช้าที่สดใส แต่ตัวฉันเองเพิ่งเลิกจากงานที่เลือกเลาไม่ได้เลย นี่แหล่ะหนอมนุษย์เงินเดือนจะโทษใครก็ไม่ได้ มันเป็นเพราะตัวฉันเองที่เลือกจะเดินตรงกันข้ามกับคนอื่น เกือบสองปีแล้วที่ฉันเข้ามาทำงานในบริษัทแห่งนี้ บริษัทที่มีชื่อเสียงติดอันดับประเทศและมีสาขาอยู่ในหลายๆประเทศทั่วโลก หลังจากที่ถูกทิ้งจากผู้ชายหลายใจชอบครบใครหลายคน หลังจากที่เสียใจและเสียน้ำตามาหลายหน ด้วยเหตุผลเหล่านี้เองทำให้ฉันเริ่มเข้าสู่โลกใบใหม่ที่มีแต่งาน ไม่ต้องพบเจอผุ้คนมากมาย เดินทางสวนกระแสกับผู้คนและจมดิ่งอยู่กับอดีตที่ฝังใจ
โอ้ย...เมื่อยๆ และง่วงที่สุดในโลกเลย ทามกลางออฟฟิตที่มีเพื่อนร่วมงานกับฉันอีกสี่คน ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาอยู่ที่หน้าจอคอมของตัวเอง บ้างก็เล่นเกม์ บ้างก็กำลังรอรับสาย
นี่ แกจะบ่นอะไรนักหนา อีก ชั่วโมงเดียวก็จะเลิกงานแล้ว ทนเอาน่า ผัดฉ่า เพื่อนรักและเพื่อนร่วมงานที่รู้เรื่องราวในชีวิตฉันมากที่สุด รวมไปถึงรู้ใจและคอยช่วยเหลือมาโดยตลอดมักจะเบรคฉันเหมือนทุกๆทีที่ฉันบ่นพรึมพรัม
แก ฉันหิวว่ะ แกมีอะไรให้กินมั้งป่ะ
ไหนแกบอกว่าจะลดความอ้วนไง เดี๋ยวก็หาแฟนไม่ได้หรอก ผัดฉ่าพูดทักขึ้นอย่างทันควัน แต่มือก็เอื้อมหยิบกระเป๋าผ้าที่ใส่ขนมขบเคี้ยวรวมถึงกล่องข้าวยื่นให้
เอาน่าแก วันนี้งดสักวันเหอะนะ ฉันหิวจริง ฉันรีบรับถุงผ้าในมือเพื่อนรักที่แสนรู้ใจทันทีแบบไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
แกก็แบบนี้ทุกทีอ่านะ เออนี่ อีก 3 วันก็วันเกิดแกปล้วนี่หว่า เราไปฉลองที่ไหนกันดีวะปีนี้
เออ ฉันลืมไม่เลยนะเนี่ย ตรงกับวันหยุดของแกกับฉันพอดีเลยนี่หว่า งั้นเราไปที่เดิมแหล่ะ
โอเคร จัดไปตามนั้น ผัดฉ่ารุ้ดีว่าที่เดิมตือที่ไหน เพราะตลอด 20 ปีที่เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียนประถมที่ที่ฉันไปเป็นประจำในวันเกิดมีเพียงที่เดียว นั่นคือร้านฟองเบียร์ ร้านนมที่เจ้าของร้านตั้งชื่อไม่สมกับร้านเอาซะเลย แต่นั่นไม่ใช่ใคร มันคือร้านของเพื่อนรักอีกคนที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อนุบาล ร้านนมสีขาวตัดกับสีชมพูดูหวานแหว๋ว ดูสดใสน่ารัก ซึ่งผิดกับชื่อร้านที่ฟังดูไม่เข้ากันเอาซะเลย ข้างๆร้านกำลังถูกตกแต่งและอีกไม่นานจะกลายเป็นบาร์เหล้าเล็กๆ มีดนตรีสดให้ฟัง และนี่มันกำลังจะเป็นธุรกิจแลกที่ฉันมีร่วมกับหุ่นส่วนที่เป็นเพื่อนรักอีกสองคน
หลังจากที่มีขนมขบเคี้ยวเข้าปากไม่นานเวลาที่แสนยาวนานของฉันมันก็เหมือนราวกับว่าวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันได้แต่มองที่นาฬิกาที่บอกเวลา 06.59 น. หัวใจของฉันตอนนี้จดจ่อรอเวลา 7 โมงตรงเวลาที่รอมาอย่างเดินนานนั่นคือเวลาของการเลิกงาน ในมือขวาที่จับเม้าส์กำลังเล็งอยู่ที่หน้าจอเตรียมปิดเครื่อง เลิกงาน ใบหน้าของฉันในเวลานี้ไม่น่าชวนมองเท่าในใดนัก ตาบวม ขอบตาดำคล้ำ น้ำตาไหลเป็นทางด้วยอาการที่แสนจะง่วงงัน และแล้วเวลานั้นก็มาถึง เวลาแห่งการรอคอย 7 นาฬิกาตรง ฉันไม่พูดพร่ำอะไรมากมาย ปิดเครื่องและเตรียมที่จะกลับบ้านนอนในทันที
โอ้ย ยันคุณรณวีย์ ตรงเวลาจังเลยนะจ๊ะ ผัดฉ่า หันมองฉันทันทีที่ฉันปิดคอมและลุกจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว
แน่นอน ฉันเป็นคนตรงต่อเวลาย่ะ ฉันหยิบกระเป๋าสะพายเก็บปากกาและสมุดบันทึกใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็ว หน้าตาที่หม่นหมองในตอนแรกตอนนี้เบิกบานขึ้นมาทันทีที่นาฬิกาบอกเวลา 07.00 ผัดฉ่า เดี๋ยวฉันกลับบ้านก่อนนะแก ไม่ไหวจริงๆ หลังจากที่ร่ำลาเพื่อนรักก็มุ่งหน้าสู่ประตูทางออกสแกนนิ้วมือเลิกงานในทันที จากนั้นก็วิ่งลิ่วไปยังลิฟย์ในทันที ไม่นานนักลิฟย์ได้ถูกเปิดออก ผู้ชายสองคนร่างสูงโปร่ง ขาว ราวกับว่าเป็นดาราเกาหลีก็มิปราณ ทำเอาฉันถึงกลับลืมไปเลยว่ากำลังจะกลับบ้าน ตอนนี้ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับว่ากำลังถูกต้องมนตร์สะกด ผู้ชายสองคนยิ้มทักทายและเดินผ่านฉันไป ฉันได้แต่ยืนมองและอมยิ้มพร้อมกับสูดหายใจอย่างเต็มปอด เพราะได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่โชยตามตัวสองหนุ่มนิรนาม
นี่ วีย์แกยังไม่ไปไหนอีกเหรอเนี่ย ฉันคิดว่าแกลงไปแล้วซะอีก ผัดฉ่าเดินมาแตะที่หัวไหล่ ทำเอาฉันที่กำลังตรงหลุ่มเสน่ห์หนุ่มนิรนามถึงกับสะดุ้งทันที
อ้อ ก็ฉนรอแกไง เออ มาก็ดีแล้ว กลีบบ้านกัน
เชื่อตายแหล่ะแก มองใครอยู่หรือเปล่าเนี่ย เหม่อลอยใหญ่เลยนะ ผัดฉ่ามองหน้าฉันที่ตอนนี้ทำหน้าตกใจอยู่
เปล่าๆ ป่ะไปกันเถอะ ลิฟย์มาพอดี ฉันรีบลากผัดฉ่าเข้าลิฟย์ที่ถูกเปิดออกทันที
เวลาในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ 5 ปีก่อน วันเดียวกันนี้ ตอนนั้นฉันเรียนมหาวิทยาลัยปีที่3 ทุกๆวันหลังเลิกเรียนฉันจะต้องมารวมกลุ่มกันที่ร้านฟองเบียร์เพื่อทำการบ้าน สังสรรค์เฮา ตามประสาเพื่อนสูง และนี่เองเป็นบ่อเกิดและสถานที่ที่ทำให้ฉันได้พบกับรักครั้งแรกและความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตฉัน แม้จะผ่านมาเนินนานกี่ปี ฉันก็ยังจดจำเรื่องราวทั้งหมดไม่เคยลืม วันนี้เมื่อ 5 ปีที่แล้วเป็นวันที่ฉันและเพื่อนๆกำลังนั่งหาข้อมูลทำรายงานอยู่ในร้านฟองเบียร์ รุ่นพี่ปี4 คณะวิศวะที่ทุกคนต่างหลงไหลได้ปลื้มในความหล่อ คงไม่แปลกอะไรที่ทุกคนจะชอบ เพราะเขานั้นเป็นถึงประธานนักศึกษาที่เก่งและฉลาด ทุกๆวันเขามักจะมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ร้านอยู่เป็นประจำหลังเลิกเรียน เมนูประจำที่สั่งคือ กาแฟม็อคค่าและขนมเค้กชิ้นหนึ่ง แต่วันนี้คนเต็มทั้งร้านจึงทำให้เขาตั้องมานั่งโต๊ะเดียวกันกับฉัน ซึ่งเป็นโต๊ะที่ประจำของฉัน มันอยู่ที่ชั้นสองในมุมลับตาหลังชั้นหนังสือ ซึ่งถ้าไม่สังเกตุจะไม่รู้เลยว่ามีโต๊ะตัวนี้ตั้งอยู่ ฉันมักจะหนีความวุ่นวายจากผู้คนมากมายหน้าร้านมานั่งอ่านหนังสือและทำการบ้านอยู่ที่นี่
ขอโทษครับ ขอผมนั่งด้วยคนได้ไหมครับ ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาผูกไทน์อย่างเรียบร้อยยืนอยู่หน้าโต๊ะที่นั่ง
เชิญค่ะ ตามสบาย ฉันตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้ามองเลยว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาเป็นใคร
ผู้ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับที่ฉันนั่ง พร้อมกับมีหนังสืออีกหลายเล่มวางลงที่โต๊ะ ฉันเงยหน้าเล็กน้อยมองดูหนังสือที่เขาวางลงและก้มหน้าก้มตาลงอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเบาท่ามกลางความเงียบสงัดทำให้ได้ยินเสียงอย่างชัดเจน ฉันถึงกับสะดุ้งและรีบหาโทรศัพท์ในกระเป๋าทันที เพราะเกรงใจอีกหลายๆคนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ที่หน้าจอโทรศัพท์แสดงชื่อ แสนดี ซึ่งนั้นก็คือเพื่อนตัวดีเจ้าของร้านฟองเบียร์นี่เอง
ฮัลโหล ว่าไงแสนดี แกจะโทรมาไมเนี่ย เดินขึ้นมาก็เจอแหล่ะ โห่ ฉันรับโทรศัพท์แสนดีแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นักที่โทรมากวนใจตอนที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ อย่างเพลิดเพลิน
เห้ย วีย์ แกลงมาอาของไปเสริฟลูกค้าโต๊ะแกหน่อยดิ ตอนนี้ลูกค้าล้นร้านเลยว่ะ เด็กเสริฟไม่พอ
โอเคร เดี๋ยวลงไปช่วยเดี๋ยวนี้แหล่ะ พูดจบก็วางสายทันที และก็รีบเดินลงไปชั้นล่างเพื่อไปช่วยเอาของขึ้นมาเสริฟ
ตอนนี้ในร้านเต้มไปด้วยนักศึกษา อาจารย์ ละบุคคลทั่วไปนั่งอยู่เต็มร้าน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นกลุ่มเพื่อนๆที่มานั่งทำรายงานกันซะส่วนมาก ตอนนี้เด็กเสริฟ 5 คนของร้านต่างเดินกันไปมาไม่มีใครหยุดนิ่ง เจ้าของร้านและฝ่ายชงกาแฟอีก 3 เร่งมือกันทำอย่างขมักเขม้น
วีย์ แกมายกไปเลย นี่ของคุณวายุที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับแกนะ แสนดีที่กำลังชงกาแฟอยู่ตะโกนบอกฉันทันทีที่ฉันเดินลงบรรไดมาจากชั้น 2 ฉันไม่ได้พูดพร่ำอะไรมากมายนอกจากเดินยกกาแฟเดินขึ้นไปเสริฟตามคำสั่งของเพื่อนรัก
ขอโทษค่ะ นี่กาแฟของคุณ ฉันวางกาแฟลงบนโต๊ะ พร้อมกับขนมเค้กอีกชิ้นหนึ่งให้กับผู้ชายที่นั่งร่วมโต๊ะ ทันที เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมอวดรอยยิ้มให้เห็นฟันขาวๆ แก้มสองข้างเป็นรอยบุ๋มของลักยิ้มอย่าง ฉันถึงกับตกใจวางจานขนมเค้กกระทบถูกโต๊ะจนขนมเค้กแทบจะกระเด็นหล่นออกจากจาน ฉันได้แต่มองหน้าและยิ้ม ความรู้สึกตอนนี้คืออยากให้เวลหยุดนิ่งอยู่กับที ด้วยใบหน้าที่คมเข้ม คิ้วหนาดำเข้ม ปากสีชมพู ลักยิ้มที่มุมปาก ทำให้ใบหน้าของเขาดูมีเสน่ห์หน้าหลงไหลขึ้นมาในทันที
ขอบคุณครับ รอยยิ้มที่แสนหวานสะกดใจของทำให้ฉันหลงเสน่ห์เขาเสียแล้ว
ค่ะ ค่ะ ค่ะ ฉันไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ฉันกำลังพูดอะไรอยู่
ฮา ฮา ฮา คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เขาใช้มือที่มีนิ้วอันเรียวยาวจับที่แขนของฉัน ซึ่งตอนนั้นเองฉันกำลังเดินถอยหลังและสะดุดขาโต๊ะจะล้มลง
ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ พอตั้งสติได้ฉันก็เดินกลับไปที่นั่งที่เดิม และรีบหยิมหนังสื้อขึ้นมาอ่านแก้เขิลทั้นที ฉันแอบยิ้มอยู่ภายหลังหนังสือที่บังหน้า โดยไม่ได้มองเลยด้วยซ้ำว่าหนังสือที่ถืออยู่นั้นกลับหัว
น้องครับ หนังสือกลับหัวครับ ผู้ชายที่อยู่ต่อหน้ายิ้มและทักฉัน ซึ่งมันยิ่งทำให้ฉันเขิลอาย ฉันสะดุ่งและรีบเอากลับหนังสือใหม่ทันที ฉันได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเงียบอีกครั้ง ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง จนลืมเวลาเลยว่าได้ผ่านล่วงไปจนพลบค่ำ ตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกเมื่อไปทั้งตัวและหิวมาก ท้องที่ร้องเบาๆตอนนี้มันส่งเสียงร้องดังจนได้ยินชัดเจนทำเอาผู้ชายที่อยู่ต่อหน้าหันมามองและแอบขำ
ขอโทษค่ะ ฉันยิ้มอย่างเขิลอาย แต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้แต่ยิ้มให้เช่นเคย ฉันเริ่มเก็บหนังสือทั้งหมดใส่กระเป๋าเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้าน แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ฮัลโล วีย์ แกอยู่ไหน ฉันรออยู่ร้านข้าวนานแล้วนะ นี่แกลืมหรือไงว่าวันนี้เรามีนัดกันอยู่นะ เสียงแหลมๆจากปลายสายบ่นอุ๊บ
เออ จริงๆด้วย ผัดฉ่า แกฉันลืมว่ะ โอเคร เดี๋ยวเจอกันอีก 10 นาที ฉันรีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างเร่งรีบ ก่อนที่จะลุกออกจากโต๊ะไปก็ยังไม่ลืมที่จะยิ้มให้กับผู้ชายที่นั่งร่วมโต๊ะ ซึ้งเขาเองก็ยิ้มตอบกลับ แต่ด้วยควมรีบร้อนจึงทำให้ฉันตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไปโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าลืมไดอารีย์ทิ้งไว้บนโต๊ะ
ตอนนี้เวลาล่วงเลยผ่านไปถึง 2 ทุ่มกว่า แต่วายุชายนิรนามทั่งร่วมโต๊ะกับรณวีย์ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ โดยลืมเวลาเสียสนิท
คุณครับ เราจะปิดร้านแล้วนะครับ วายุเง้ยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่เอ่ยปากทักทาย
ขอโทษครับ ผมอ่านหนังสือเพลินไปหน่อยจนลืมเวลาไปเลย วายุเก็บของใส่กระเป๋าเตรียมที่จะกลับหอ โดยไม่รู้เลยว่าได้เก็บเอาไดอารี่ย์ของรณวีย์ไปด้วย วายุลุกไปจ่ายเงินที่เค้าเตอร์และและตรงไปยังรถยนตร์ที่จอดอยู่ และขับกลับหออย่างสบายใจ เมื่อถึงห้องพักก็ตรงดิ่งไปยังดิ่งไปยังโต๊ะและเริ่มอ่านหนังสือต่อทันที
เอ๊ะ นี่มันไดอารีย์ใครกันนะ วายุหยิบไดอารีย์สีชมพูหวานออกจากกระเป๋าที่ไม่รู้ว่าตัวเองไปหยิบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ในใจก็คิดอยู่ว่าจะลองเปิดอ่านข้างในดูดีหรือเปล่า แต่การเปิดอ่านไดอารีย์ก่อนได้รับอนุญาติจากเจ้านั้นเป็นการเสียมารยาทน่าดู แต่ถ้าไม่ลองเปิดก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าใครเป็นนเจ้าของ วายได้แต่ยืนคิดอยืนคิดอยู่นานว่าจะทำอย่างไรกับไดอารีย์เล่มนี้ เขาตัดสินใจเปิดไดอารีย์อย่างช้าๆ หน้าแรกของไดอารีย์มีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า รณวดีย์ เขียนไว้ด้วยลายมือดูน่ารักเรียบร้อย วายุมองลายมือนั้นแล้วได้แต่จินตนาการถึงใบหน้าของเจ้าของไดอารีย์เล่มนี้ แล้วเปิดหน้าต่อไปๆ โดยไม่รู้เลยว่าเจ้าของมันใคร เขาไม่ได้พูดอะไรอีกนอกเสียจากแอบยิ้มเล็กๆ เนื้อหาของไดอารีย์เล่มนี้ส่วนใหญ่แล้วมักเป็นเรื่องราวที่เจ้าของมันได้พบเจอมาในแต่ละวัน บางครั้งก็เป็นเรื่องราวที่ทำเอาวาสยุอดที่จะขำออกมาเสียดังไม่ได้ แต่ในบางครั้งเป็นเรื่องราวที่แสนจะเศร้า และบรรยายถึงความรู้สึกที่เหงา และหดหู่ของเจ้าของไดอารีย์ ไดอารีย์หน้าหนึ่งถูกเขียนไว้ว่า
12/08/50
HAPPY BRITHDAY FOR ME
บองชูย์ เรสเตอลอง ห้อง A04
20.00 น.
เอ๊ะ วันนี้นิ เขายิ้มและเปิดผ่านไป เขายังคงอ่านไดอารีย์ไปเรื่อยจนถึงหน้าสุดท้ายจึงได้เห็นรูปสาวน้อยตากลมโตภายใต้แว่นสายตากรอบสีดำ ยิ้มอย่างสดใสโชว์เหล็จัดฟันสีฟ้า ใบขาวพร่องแก้มแดงระเรื่อ ในชุดนักศึกษาตัวใหญ่และรูปร่างที่อวบอั๋น ทำให้เขาคุ้นหน้าคุ้นตาขึ้นมาในทันที นอกเหนือไปจากนี้ใต้รูปยังเขียนไว้ว่า รณวีย์ อักษรฯ Inter ซึ่งอย่างน้อยมันก็ทำให้เขาพอจะมีเบาะแสของเจ้าของไดอารีย์เล่มนี้อยู่บ้าง
อ้อ เธอคนที่นั่งโต๊ะเดียวกันกับเราเมื่อกลางวันนี่น่า เพียงแค่เสียวินาทีเขาก็คิดออกทันที มันคงจะไม่ผิดแน่ ไดอารีย์เล่มนี้ต้องเป็นของสาวน้อยที่นั่งร่วมโต๊ะกับเขาเมื่อตอนกลางวันอย่างแน่แท้ เขาเก็บไดอารีย์สีชมพูหวานแว่วเล่มนี้ลงกระเป๋าเช่นเดิม และนั่งอ่านหนังสือต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ใบหน้าก็ยังคงเบิกบานอยู่แม้จะเลิกอ่านแล้วก็ตาม
ความคิดเห็น